ใช้ยาปฏิชีวนะไม่สมเหตุผล ต้นเหตุเชื้อดื้อยา

“ขณะนี้เชื้อโรคดื้อยาค่อนข้างเยอะ ภาคใต้เจอคนไข้วัณโรคดื้อยาทุกชนิด ค่ารักษาตกราว 2 ล้านบาทต่อคน อัตราการหายจากโรค 30 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลักๆ เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะในระดับชุมชนอย่างไม่เหมาะสม”

นพ.กำพล กาญจโนภาส รองประธานคณะทำงานพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเฉพาะประเด็น ว่าด้วยการจัดการเชิงระบบสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยมีชุมชนเป็นศูนย์กลาง กล่าวถึงความสำคัญที่ต้องหยิบยกประเด็นนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคมนี้

“เรื่องนี้ส่งผลต่อระบบงบประมาณด้วย จาก 1,000 กว่าบาท เป็น 3,000 กว่าบาทต่อหัว ภายใต้งบประมาณจำนวนนี้ เกินครึ่งหนึ่งเป็นค่ายา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลตั้งแต่ระดับชุมชนขึ้นมาเลย” นพ.กำพล กล่าวเสริม

 

ปัญหาการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมอาจฟังดูไม่ร้ายแรง หากในทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพประชาชนและระบบงบประมาณ อีกทั้งการจัดการเรื่องนี้ก็ยากยิ่ง ร่างมตินี้จึงนำเสนอภาพรวมทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ นั่นคือ การสร้างจิตสำนึกที่ดีและการตระหนักรู้ของบุคคล การบริหารจัดการระบบยาที่ดี และการกำกับติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทย แต่ยังเป็นปัญหาร่วมในระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า กว่าร้อยละ 50 ของการใช้ยาในประเทศกำลังพัฒนา เป็นการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมและสูญเปล่า

ปัญหาการใช้ยาไม่สมเหตุผลที่พบบ่อย ได้แก่ ผู้ให้บริการอาจมีการสั่งยาไม่เป็นไปตามแนวทางการรักษา หรือตัวผู้ป่วยเองอาจมีการใช้ยาหลายขนานร่วมกัน เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการดื้อยา การใช้ยาฉีดเกินจำเป็นทั้งที่ใช้ยาทานได้ และซื้อยากินเองจากร้านชำ ฯลฯ

ประเทศไทยมีมูลค่าการบริโภคยาประมาณร้อยละ 41 ของค่าใช้จ่ายสุขภาพ สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านยาต่อค่าใช้จ่ายสุขภาพเพียงร้อยละ 10-20

ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย พบการบริโภคยาอย่างไม่เหมาะสมในทุกระดับ ทั้งในสถานพยาบาลภาครัฐและเอกชน การใช้ยาในชุมชน โดยเฉพาะยาที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ยาต้านจุลชีพ ยาสเตียรอยด์ ยาชุด เป็นต้น

ปี 2555 มีงานศึกษาพบว่า ผู้ป่วย 19.2 ล้านคน ครอบครองยาเกินความจำเป็น และรัฐต้องสูญเสียงบประมาณจากการครอบครองยาเกินจำเป็นราว 2,370 ล้านบาท/ปี

ในระดับโครงสร้าง ร่างมตินี้ได้เสนอให้มีกลไกระดับชุมชนเพื่อขับเคลื่อนการใช้ยาอย่างสมเหตุผล การสนับสนุนชุมชนต้นแบบที่มีระบบการเฝ้าระวังและเตือนภัยการใช้ยาอย่างสมเหตุผล การพัฒนาชุดความรู้ในการใช้ยาเท่าที่จำเป็น ส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ สนับสนุนให้เกิดความตระหนักต่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ส่งเสริมให้ผู้ให้บริการสุขภาพทุกหน่วยงานดำเนินการให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล รวมไปถึงการกำหนดให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นกลไกเชิงระบบระดับประเทศ โดยจะมีการนำความคิดเห็นของภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปผนวก ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

 

เจาะพื้นที่เขตเมือง-เขตทหาร-โรงเรียน

นพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค สะท้อนว่า ร่างมติควรให้ความสำคัญกับเขตเมืองมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประชากรในเขตเมืองมีประมาณ 37 ล้านคน แต่ข้อมูลการจัดการในเขตเมืองขาดหาย เพราะในพื้นที่นิติบุคคล เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ไม่มี อสม. เหมือนพื้นที่ต่างจังหวัด จึงจำเป็นต้องนำเสนอวิธีการจัดการอีกรูปแบบ

“อยากเสนอให้ กทม. สร้างต้นแบบการจัดการหรือกลไกการจัดการแบบมุ่งเป้า enhancing zone เช่น คอนโด บ้านจัดสรร ชุมชนแออัด เรือนจำ” นพ.เอนก กล่าว

อีกพื้นที่หนึ่งที่ไม่มีข้อมูลและไม่มีกลไกใดไปติดตามเรื่องการใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสมคือ ‘พื้นที่ทหาร’ ซึ่งผู้แทนปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมก็น่าจะอยู่ในกลุ่มเป้าหมายภายใต้ร่างมตินี้ เพราะหน่วยงานในกระทรวงกลาโหมมีเป็นจำนวนมาก อสม. เข้าไม่ได้ จำนวนทหารก็ไม่ใช่น้อย แม้หน่วยทหารต่างๆ จะมีหน่วยแพทย์อยู่แล้ว แต่งานเชิงรุกลักษณะนี้ไม่ได้ทำ เน้นเพียงแต่การรักษาพยาบาล

“นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีคนลงชื่อเป็นจิตอาสาเป็นล้านคน และจะขยายขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสามารถเชื่อมกับช่องทางนี้ได้ก็น่าจะดี เพราะจะมีข้อมูลด้วยว่าผู้เข้ารับอบรมเป็นใครอยู่ที่ไหน” ตัวแทนปลัดกระทรวงกลาโหมกล่าว

อีกพื้นที่หนึ่งที่ไม่ควรละเลยคือ การจัดการและติดตามการใช้ยาในโรงเรียน ตัวแทนครูจากกระทรวงศึกษาธิการให้ข้อมูลว่า การพัฒนาระบบห้องพยาบาลในโรงเรียนและความรู้ของครูประจำห้องพยาบาล ลำพังอาศัยเพียงกระทรวงศึกษาธิการไม่น่าจะทำได้ เพราะครูที่ดูแลห้องพยาบาลส่วนใหญ่ดูแลเพียงความเจ็บป่วยเบื้องต้น เกือบทั้งหมดไม่ได้รับการอบรมเฉพาะทาง จึงน่าจะต้องมีหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขมาให้ความรู้ ให้คำแนะนำ อบรมการบริหารจัดการยา และวางระบบการส่งต่อเด็กไปยังสถานพยาบาล

เริ่มจากชุมชนต้นแบบ

ชัยณรงค์ สังข์จ่าง ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ความเห็นว่า เจตนารมณ์ของการใช้ยาสมเหตุสมผลคือ การมุ่งให้ประชาชนใช้ยาอย่างปลอดภัย โดยมีโจทย์หลักคือการเปลี่ยนความคิดความเชื่อของคนในชุมชน ซึ่งการใช้ยาฆ่าเชื้อเป็นความเชื่อผิดๆ ของคนจำนวนมาก จึงต้องขยับที่ประเด็น ไม่ใช่มุ่งเน้นที่หน่วยงาน เช่น ต้องสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิด เน้นงานสื่อสาร งานในพื้นที่ แล้วหน่วยงานอื่นๆ ก็จะขยับตาม

แม้เรื่องการปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ นพ.กำพล ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยยกตัวอย่างพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จอย่างชุมชนบ้านตาแกะ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ซึ่งทำเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use: RDU) โดยมีคณะกรรมการที่ นายก อบต. เป็นประธาน รพ.สต. เป็นเลขาธิการ มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู โต๊ะอิหม่าม แกนนำชุมชนอีก 4-5 คน ร่วมกันเขียนแผนงานว่า รพ.สต.จะทำอะไร จะพัฒนาสุขภาพอย่างไร

“ตอนนี้ รพ.สต.บ้านตาแกะ เป็นเหมือนภาคเอกชนเลย มีการใช้งบ อบต.ทั้งหมด มีรถพยาบาลรับส่งผู้ป่วย มีการดูแลสุขภาพผ่านระบบสุขภาพทางไกล (telehealth) กับโรงพยาบาล ทุกวันพฤหัสบดีจะมีคณะกรรมการเดินไปดูร้านชำว่ามียาที่ผิดกฎหมายอะไรหรือไม่ ถึงตอนนี้สามารถลดอัตราการตายลงได้ แม้กระทั่งเรื่องอุบัติเหตุจราจร เพราะทำให้คนสวมหมวกกันน็อคมากขึ้น เหล่านี้เป็นมติของคณะกรรมการท้องถิ่นทั้งสิ้น ทำให้เห็นภาพว่า ในระดับชุมชนสามารถบริหารจัดการในเรื่องเหล่านี้กันเองได้” นพ.กำพล กล่าว

ที่มา: กลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)