หยุดแก้ พ.ร.บ.สิทธิบัตร เปิดช่องทุนข้ามชาติผูกขาดยา

ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่เสนอโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ส่อว่าจะนำไปสู่ปัญหาบานปลายและกระทบชีวิตคนไทยทั้งประเทศ เหตุเพราะร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงจะฉุดให้ประเทศไทยถอยหลัง ยังเอื้อให้บริษัทข้ามชาติผูกขาดสิทธิบัตรยา ส่งผลให้ยาราคาแพงจนประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ อีกทั้งยังมีจุดอ่อนที่ทำให้ประเทศไทยประกาศใช้มาตรการซีแอลได้ยากยิ่งขึ้น

25 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการพิจารณาศึกษาการยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาภายในองค์การการค้าโลก (TRIPS) พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์เภสัชกรหญิง จิราพร ลิ้มปานานนท์ กรรมการพิจารณาศึกษาการยอมรับพิธีสารฯ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายแพทย์เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับแก้ไข) ที่ยกร่างโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องจากพบว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพิจารณาศึกษาการยอมรับพิธีสารฯ

กรรณิการ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการ สนช. ครั้งที่ 39/2558 วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาศึกษาการยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยความตกลง TRIPS โดยในเดือนพฤศจิกายน 2558 คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้เสนอผลการศึกษาและเสนอแนะให้ระมัดระวังเรื่องมาตรการทางทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวดเกินไปกว่าข้อตกลง TRIPS หรือที่เรียกว่า ‘มาตรการ TRIPS ผนวก’ (TRIPS+) ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยาและก่อให้เกิดปัญหาด้านสาธารณสุข

ที่ผ่านมา กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับที่ …) พ.ศ. … โดยเปิดให้มีการรับฟังความเห็นทางระบบออนไลน์มาแล้ว 2 ครั้ง แต่พบว่ายังมีการแก้ไขสาระสำคัญของกฎหมายให้มีมาตรการที่เกินไปกว่าความตกลง TRIPS ในมาตรา 51 และ 51/1 และประเด็นนี้ยังคงอยู่ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับล่าสุดที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในมาตรา 51 วรรคสุดท้าย กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้เสนอแก้ไขกฎหมายให้ผู้ทรงสิทธิ์สามารถร้องขอต่อศาลให้ยกเลิกคำสั่งมาตรการใช้สิทธิโดยรัฐ (มาตรการซีแอล) ได้ หากปรากฏว่าเหตุแห่งการอนุญาตได้หมดสิ้นไปและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีก ซึ่งเป็นมาตราที่เข้มงวดเกินกว่าความตกลง TRIPS เนื่องจากในความตกลง TRIPS และ พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฉบับปัจจุบัน อนุญาตให้ผู้ทรงสิทธิ์ฟ้องร้องต่อศาลในเรื่องค่าตอบตอบแทนจากการใช้มาตรการใช้สิทธิโดยรัฐเท่านั้น การจะอนุญาตให้ผู้ทรงสิทธิ์สามารถฟ้องร้องต่อศาลให้หน่วยงานรัฐยกเลิกมาตรการเพื่อใช้คุ้มครองประชาชน แม้จะมีเงื่อนไข แต่ถือเป็นการล่วงอำนาจการบริหารของประเทศ

เช่นเดียวกับมาตรา 51 และ 51/1 กรมทรัพย์สินทางปัญญาเสนอแก้ไขให้หน่วยงานรัฐที่มีอำนาจประกาศใช้มาตรการใช้ซีแอลจำกัดอยู่แค่กระทรวงเท่านั้น ทั้งๆ ที่ความตกลง TRIPS ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นหน่วยงานของรัฐหน่วยใด แต่เปิดกว้างให้แต่ละประเทศกำหนดเอง และในกฎหมายฉบับปัจจุบันก็ระบุให้กระทรวง ทบวง และกรมมีอำนาจ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายให้จำกัดเฉพาะกระทรวง จะทำให้การใช้มาตรการซีแอลเป็นไปได้ยากมากขึ้น

กรรณิการ์ กล่าวอีกว่า ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรการซีแอลยังขัดแย้งกับข้อเสนอแนะของคณะผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการเข้าถึงยา ซึ่งเรียกร้องให้ไม่มีข้อผูกมัดด้านทรัพย์สินทางปัญญาแบบ TRIPS+ อยู่ในการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี อีกทั้งเป็นอุปสรรคทำให้ไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้อีกด้วย เนื่องจากมาตราดังกล่าวทำให้เกิดการผูกขาด ทำให้ยามีราคาแพงและเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนเข้าไม่ถึงการรักษา

“ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญากำลังเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาเพื่อยื่นต่อ สนช. จึงขัดต่อมติของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 39/2558 รวมถึงไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศในเรื่องการเข้าถึงยา เราจึงเสนอคณะกรรมาธิการสาธารณสุขพิจารณาและให้คำแนะนำต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาหยุดแก้ไขมาตราดังกล่าวที่จะมีผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข และปฏิบัติตามข้อแนะนำของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อย่างเคร่งครัด” กรรณิการ์กล่าว

อนึ่ง ประเทศไทยเคยประกาศใช้ซีแอลในปี 2549 และ 2550 เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติการขาดแคลนยาจำเป็น เพราะการผูกขาดผ่านการจดสิทธิบัตรทำให้ยามีราคาแพง ซึ่งมาตรการซีแอลช่วยให้ประหยัดงบประมาณค่ายาต้านไวรัส HIV ได้มากกว่า 4,500 ล้านบาทในช่วงปี 2551-2554 อีกทั้งสามารถให้การรักษาและช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อไวรัส HIV เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในยาเอฟฟาไวเรนส์ จากจำนวนไม่ถึง 5,000 คนก่อนประกาศใช้ซีแอล เพิ่มเป็นเกือบ 30,000 คนในต้นปี 2553 และในยาโลพินาเวียร์+ลิโทนาเวียร์ เพิ่มขึ้นจาก 0 เป็น 7,000 คนในช่วงเดียวกัน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ ยาทั้งสองชนิดเป็นยาที่ใช้เป็นสูตรพื้นฐานและสำรองให้กับผู้ติดเชื้อนับแสนคนในแต่ละปี

เช่นเดียวกับยารักษาโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ประเทศไทยสามารถประหยัดงบประมาณด้านยาได้มากกว่า 1,500 ล้านบาทในช่วงปี 2552-2554 ช่วยให้ผู้ป่วยโรคร้ายแรงนับแสนคนเข้าถึงการรักษาและไม่เสียชีวิต โดยงบประมาณที่ประหยัดได้นี้ ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้นำไปจัดซื้อยาและขยายสิทธิประโยชน์การรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย