แถลงการณ์สภาเภสัชกรรม ชู 3 หลักการ แบนพาราควอต

ก่อนการประชุมนัดสำคัญของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อพิจารณาลงมติว่าจะยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือไม่นั้น หลายองค์กร/หน่วยงาน รวมถึงภาคประชาสังคม ต่างแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สารเคมีโดยทันที เนื่องจากมีผลการศึกษาชี้ชัดว่าเป็นสารที่มีพิษเฉียบพลันสูง ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และทำลายความมั่นคงทางอาหาร

ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 สภาเภสัชกรรมออกแถลงการณ์ เรื่อง ‘ยกระดับการควบคุมพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเสต ให้เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 ภายใน พ.ศ. 2562’ โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า…

จากการศึกษาข้อมูลวิชาการที่น่าเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศ สภาเภสัชกรรมได้พิจารณาหลักการควบคุมวัตถุอันตราย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเสต สำหรับประเทศไทย โดยคำนึงถึงความสมดุลของการพัฒนาประเทศ พร้อมกับคุณภาพชีวิตของประชาชน สรุปเป็น 3 ประการ ดังนี้

  1. หลักการป้องกันไว้ก่อน (Precautionary principle) ซึ่งเป็นหลักสากลในการพิจารณาการควบคุมวัตถุอันตราย
  2. เกษตรกรควรมีสิทธิและทางเลือกที่จะทำเกษตรกรรมที่ไม่มีผลเสียต่อสุขภาพของตนเองและผู้บริโภค
  3. นโยบายและแผนยุทธศาสตร์ประเทศในการพัฒนาการเกษตรกรรมของไทย เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “เกษตรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน”

จากหลักการทั้งสามข้อ สภาเภสัชกรรมจึงขอเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งเป็นคณะกรรมการตามกฎหมายที่จะกำหนดมาตรการในการควบคุมสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้งสามชนิดดังกล่าว โดยขอให้ยกระดับการควบคุมพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเสต ให้เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 ด้วยเหตุผลที่สารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้งสามชนิด  มีพิษสูง เข้าข่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดให้เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4

เจาะลึก 3 สารพิษที่ไม่มียาถอนพิษ

สภาเภสัชกรรมได้สรุปข้อมูลการศึกษาวิจัยผลกระทบจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้งสามชนิด ดังนี้

1. พาราควอต

  • เป็นสารที่มีพิษเฉียบพลัน ได้รับเพียงเล็กน้อย 1-2 ช้อนชา ก็อาจถึงแก่ชีวิต มีงานวิจัยมากมายแสดงว่า พาราควอตเข้าสู่สมองมนุษย์ได้ และทำลายสมองโดยการสร้างสาร α -synuclein เช่นเดียวกับที่พบในสมองของผู้ที่ตายจากการได้รับพาราควอตและผู้ป่วยอัลไซเมอร์
  • จากการศึกษาหาปริมาณพาราควอตในคนไทย พบทั้งเลือดหญิงตั้งครรภ์ เลือดจากสายสะดือ และขี้เทาทารกแรกเกิด รวมถึงยังพบปริมาณสารนี้ในสิ่งแวดล้อม น้ำ พืช และอาหาร
  • นอกจากนี้ ยังพบว่า สามารถทำการเกษตรกรรมที่ไม่ใช้พาราควอตและได้ผลผลิตสูงแม้ในระดับเกษตรอุตสาหกรรม
  • ประเทศทั่วโลกยกเลิกการใช้พาราควอตจำนวน 53 ประเทศ รวมทั้งจีน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพาราควอตแหล่งใหญ่ที่สุด

2. คลอร์ไพริฟอส

  • เป็นสารที่มีผลการวิจัยจำนวนมากที่แสดงว่า มีผลต่อสมองเด็ก ทำให้เกิดการเรียนรู้ช้ากว่าปกติ นอกจากนี้ ยังพบคลอร์ไพริฟอสในสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาในคนไทยพบปริมาณคลอร์ไพริฟอสในเลือดหญิงตั้งครรภ์และในสายสะดือของทารก
  • นอกจากนี้ ยังพบว่า สามารถทำการเกษตรกรรมที่ไม่ใช้คลอร์ไพริฟอสและมีผลผลิตสูงได้ แม้ในระดับเกษตรอุตสาหกรรม
  • หลายประเทศยกเลิกการใช้สารนี้แล้ว และต้นเดือนสิงหาคม 2561 ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐสั่งสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) ให้ห้ามขายคลอร์ไพริฟอสภายใน 60 วัน

3. ไกลโฟเสต

  • เป็นสารพิษที่ International Agency for Research on Cancer  (IARC) ได้จัดเป็นกลุ่มที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง (Group 2A)
  • ผลการวิจัยที่ผ่านมา พบไกลโฟเสตตกค้างในซีรัมของแม่และสายสะดือของทารก ในมารดาที่พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียงกับบริเวณที่มีการฉีดพ่นไกลโฟเสต
  • ประเทศต่างๆ หลายประเทศได้ยกเลิกการใช้สารนี้ และจากข้อมูลล่าสุด บริษัทไบเออร์มอนซานโตในเยอรมนี แพ้คดีจากการฟ้องร้องของผู้ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพจากไกลโฟเสต และขณะนี้มีการฟ้องร้องถึงเกือบหมื่นกรณี

แถลงการณ์สภาเภสัชกรรมระบุด้วยว่า ข้อมูลวิชาการข้างต้น ชี้ชัดถึงพิษภัยร้ายแรงของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้งสามชนิด ประกอบกับปัจจุบันมีหลายประเทศที่ได้ยกเลิกการใช้แล้ว และมีตัวอย่างมากมายของการทำเกษตรกรรมที่ได้ผลผลิตสูงโดยไม่ใช้สารเคมีดังกล่าว

สภาเภสัชกรรมจึงมีมติเสนอให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย พิจารณายกระดับการควบคุมพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเสต ให้เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 และยกเลิกการใช้สารที่มีพิษสูงทั้งสามชนิดภายใน พ.ศ. 2562 เพื่อสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค โดยเฉพาะทารกและเด็กในอนาคต

ลงนามโดย รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิงจิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม 13 กุมภาพันธ์ 2562

3 สารพิษที่ไม่มียาถอนพิษ: พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ไกลโฟเสต

ทำความรู้จักกับพิษร้ายของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 3 ชนิด ทั้งพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเสต บนข้อค้นพบทางวิชาการที่บ่งชี้ในทิศทางเดียวกันถึงความน่าสะพรึงของสารเคมีเหล่านี้ เพื่อจะเข้าใจเหตุผลที่ว่าทำไม 53 ประเทศทั่วโลกจึงประกาศเลิกใช้

แล้วทำไมประเทศไทยยังไม่เลิก?

14 กุมภาพันธ์นี้ เราจะได้รู้กันว่า คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะใช้เหตุผลกลใดในการลงมติแบนหรือไม่แบน

แบนพาราควอตเดี๋ยวนี้

14 กุมภาพันธ์ 2562 คือวันประชุมนัดสำคัญของคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อพิจารณาทบทวนว่าจะยกเลิกการใช้สารเคมี ‘พาราควอต’ หรือไม่ ตามคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินที่เสนอให้ต้องยกเลิกพาราควอตภายใน 1 ปี การประชุมนัดนี้จึงเปรียบเหมือนการพิสูจน์หัวใจของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ว่าจะยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง หรือเลือกที่จะยืนข้างผลประโยชน์กลุ่มทุน

ข้อเท็จจริงวันนี้

  • พาราควอตมีพิษเฉียบพลันสูง เพียงจิบเดียวถึงตายได้ โดยไม่มียาถอนพิษ
  • ไทยนำเข้าสารเคมีอันตรายสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก
  • ในปี 2560 ไทยนำเข้าพาราควอต 44,501 ตัน และนำเข้าไกลโฟเซต 59,852 ตัน
  • 50 ประเทศทั่วโลก รวมถึงลาว เวียดนาม กัมพูชา ยกเลิกพาราควอตแล้ว แต่ประเทศไทยยังใช้อยู่
  • จีน ประเทศผู้ผลิตสารพาราควอตมากที่สุดในโลกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ และบราซิล ประเทศที่ใช้พาราควอตมากที่สุด อยู่ระหว่างประกาศยกเลิกการใช้พาราควอต

เหตุผลที่ต้องแบน

ที่ผ่านมามีงานศึกษาวิจัยจำนวนมากชี้ชัดว่า พิษของพาราควอตมีความรุนแรงสูงถึงขั้นเสียชีวิต ทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภค รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หลายหน่วยงานจึงมีคำวินิจฉัยให้ยกเลิกพาราควอต ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข และคณะทำงานสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง 4 กระทรวงหลัก สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาเกษตรกรแห่งชาติ และองค์กรภาคประชาสังคม 700 องค์กร

ทว่า การแบนสารเคมีอันตรายจะสำเร็จหรือไม่นั้นจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายจากหน่วยงานรัฐทั้ง 19 คน ได้แก่ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาสมอ. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงกลาโหม เลขาสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ผู้แทนกระทรวงคมนาคม อธิบดีกรมขนส่งทางบก อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เลขาอย. อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ อธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมปศุสัตว์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และผู้แทนสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ

นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) กล่าวในการแถลงข่าว ‘จับตา คกก.วัตถุอันตรายตัดสินชะตาไทย จะก้าวพ้นการเป็นประเทศด้อยพัฒนาที่ยังใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อชีวิตพลเมืองหรือไม่’ ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 ว่า สิ่งที่น่าจับตาคือการลงมติจากหน่วยงานของรัฐในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ จะเป็นไปในทิศทางใด เพราะเป็นการลงมติโดยมีการพิจารณาคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินว่าต้องยกเลิกภายใน 1 ปี

“ประเทศไทยนำเข้าพาราควอตกว่า 40 ล้านกิโลกรัม ซึ่งอันตรายจากสารพาราควอตมีพิษเฉียบพลันสูง และยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาคการเกษตร โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกเลิกการใช้สารพาราควอต ด้วยเหตุผลว่าสารพาราควอตมีผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ชีวิตของประชาชน และกระทบถึงสิ่งแวดล้อม”

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า คณะกรรมการชุดปัจจุบันบางรายมีข้อครหามาโดยตลอดว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ดังนั้นเพื่อความชัดเจนจึงขอให้คณะกรรมการที่มีผลประโยชน์ถอนตัวจากการลงคะแนนเสียง

“องค์กรที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะ ควรยืนอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ของประชาชน หันมาใส่ใจสุขภาพชีวิตของคนไทย โดยการยกเลิกใช้สารพาราควอต หรือยุติการใช้จนกว่าจะสามารถหาหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ได้ว่า สารตัวนี้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของมนุษย์”

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่น LINE ไปยังปลัดกระทรวงเกษตรฯ และอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เพื่อหารือเกี่ยวกับการแบนพาราควอต โดยเสนอให้มีการแบนสารพิษร้ายแรงนี้ภายในไม่เกิน 3 ปี จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อเสนอให้มีการแบนภายใน 3 ปี เท่ากับยื้อการแบนออกไปอีก 2 ปี

ข้อเรียกร้องต่อ คกก.วัตถุอันตราย

  • การลงมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายต้องเปิดเผยความคิดเห็นเป็นรายบุคคล และเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบ
  • หากคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับธุรกิจสารเคมี ต้องถอนตัวจากการลงมติ
  • ขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมแสดงพลัง โดยโพสต์ข้อความหรือแสดงความเห็นต่างๆ พร้อมติดแฮชแท็ก #แบนพาราควอตเดี๋ยวนี้ #SaveThailandBanParaquat #ไม่เอาพาราควอต_คลอร์ไพริฟอส_และไกลโฟเซต เพื่อเป็นการส่งเสียงไปยังคณะกรรมการวัตถุอันตราย

ข้อเสนอจากกรรมการสิทธิฯ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562 นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยื่นหนังสือต่อ กสม. ให้ตรวจสอบการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย พาราควอต (paraquat) ของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กสม. มีความเห็นว่า การใช้พาราควอตนั้นเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพของประชาชน

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดำเนินการให้ประชาชนทุกคนมีความปลอดภัยและได้รับรู้ข้อมูลที่เป็นจริงจากอันตรายของพาราควอต รวมถึงสารเคมีทางการเกษตรชนิดอื่นด้วย เช่น ไกลโฟเสต (สารกำจัดวัชพืช) และคลอร์ไพรีฟอส (สารเคมีกำจัดแมลง) โดย กสม. มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ดังนี้

  1. คณะกรรมการวัตถุอันตรายควรกำหนดให้พาราควอตเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มาตรา 18 โดยห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง
  2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีทางการเกษตรทุกชนิดในระยะยาว โดยการจัดทำมาตรการและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนในการควบคุมการใช้หรือการเลิกใช้สารเคมีทุกชนิดในภาคการเกษตรที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ทางวิทยาศาสตร์บ่งบอกถึงอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันจะต้องพัฒนาทางเลือกด้านสารชีวภาพและเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืนสำหรับเกษตรกรอย่างเป็นระบบและจริงจัง
  3. คณะรัฐมนตรีควรจัดให้มีกฎหมายเฉพาะว่าด้วยการควบคุมสารเคมีทางการเกษตร โดยพิจารณาประกอบร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยจากการใช้สารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช พ.ศ. … ที่จัดทำโดยคณะทำงานขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ กลุ่มมติเกษตรและอาหารปลอดภัย ภายใต้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับเครือข่ายด้านสาธารณสุขและองค์กรภาคประชาสังคม
อ้างอิง:
  • https://greennews.agency/
  • https://www.facebook.com/biothai.net/

โตในอากาศคุณภาพแย่ๆ ไม่แน่อาจเป็นโรคซึมเศร้า

งานวิจัยเผยชีวิตคลุกฝุ่นก็เสี่ยงซึมเศร้าได้ เพราะโรคซึมเศร้าที่ทุกคนรู้จักกันนั้นไม่เพียงแต่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง แต่ยังพบว่า ตัวการอีกอย่างของการเกิด ‘โรคซึมเศร้า’ มาจากมลภาวะทางอากาศที่เกินค่ากำหนดมาตรฐานนั่นเอง

อากาศขุ่นมัวมีส่วนทำให้อารมณ์มัวหมองตามกันไปนั้น เป็นผลการสรุปจากวิจัยฉบับหนึ่งของ เฮเลน ฟิชเชอร์ (Helen Fisher) จากวิทยาลัย Kings College London ประเทศอังกฤษ เธอได้ลงไปสำรวจในกลุ่มตัวอย่างใน ‘วัยเด็ก’ และ ‘วัยรุ่น’ ภายในกรุงลอนดอน เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่าง อากาศและอารมณ์

เด็กๆ กว่า 284 คนในลอนดอนที่เข้าร่วมการสำรวจและทำการวิจัย เนื่องจากความพิเศษของวัยเด็กและวัยรุ่นคือพัฒนาการทางด้านสมองที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรม ไหนจะโรคซึมเศร้า ไหนจะพฤติกรรมต่อต้านสังคม เพราะปัญหาทางด้านสุขภาพจิตราว 75 เปอร์เซ็นต์มักมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่วัยเด็ก

เป็นที่ทราบกันดีว่า อนุภาคของมลภาวะทางอากาศนั้นมีขนาดเล็กมากพอที่จะสามารถหลุดลอดเข้าไปยังแนวกันระหว่างเลือดและสมอง (blood-brain barrier) และทำให้เกิดการอักเสบ (inflammation) ในสมอง ซึ่งส่งผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกได้ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการถูกทารุณทางกายกับผลกระทบจากมลภาวะทางอากาศแล้ว มลภาวะทางอากาศดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านสุขภาพจิตมากกว่าเสียอีก แต่แน่นอนว่าการสรุปเช่นนี้ยังคงต้องการหลักฐานสนับสนุนอีกจำนวนมาก

มีการสำรวจเด็กจำนวนหนึ่งที่อาศัยในพื้นที่ที่มีมลภาวะสูงสุด 25 เปอร์เซ็นต์ในลอนดอน ตั้งแต่อายุ 12 ผลที่ออกมาดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าตอนอายุ 18 มากกว่า 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับเด็กที่เติบโตมาในสภาพอากาศที่โปร่งใสและปลอดมลภาวะ นอกจากนี้ในเขตเมืองของลอนดอนยังพบไนโตรเจนออกไซด์ที่สูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่ทางองค์การอนามัยโลกกำหนดไปมาก ซึ่งอากาศคุณภาพแย่ๆ นี้ยังคงส่งผลโดยตรงกับการใช้ชีวิตของพวกเด็กๆ และมีส่วนทำให้ชีวิตสั้นลงอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

แม้ว่าเรื่องราวจากลอนดอนจะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน จนสามารถฟันธงอย่างชัดเจนถึงกรณีการอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมลภาวะจะส่งผลให้คนเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า มลภาวะนั้นคุกคามการใช้ชีวิตประจำวัน และเป็นอันตรายกับประชาชนทุกคนยังคงเป็นเรื่องจริงไม่เปลี่ยนแปลง

“มันก็ยากนะที่จะเลี่ยงพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมลภาวะ สิ่งที่พวกเราควรทำจริงๆ นั่นก็คือ การส่งเรื่องราวเหล่านี้ไปให้ถึงรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลางที่เกี่ยวข้อง ในการควบคุมมลภาวะที่เกิดขึ้น” เฮเลน ฟิชเชอร์ จากทีมวิจัยทิ้งท้าย

ที่มา: theguardian.com

ปาฐกถาเรื่อง บทบาทและความสำคัญของผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพต่อสังคม

ปาฐกถาเรื่อง

บทบาทและความสำคัญของผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม

สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพต่อสังคม

โดย นายแพทย์วิชัย  โชควิวัฒน

ในพิธีมอบครุยกิตติมศักดิ์

มอบหนังสืออนุมัติแสดงความรู้ความชำนาญการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม

สาขาคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ

และพิธีมอบประกาศนียบัตรศูนย์เรียนรู้เภสัชกรรมปฐมภูมิ

ณ ห้องประชุม 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วันศุกร์ที่  25 มกราคม 2562

นพ.วิชัย โชควิวัฒน
(ภาพ: ชิดชนก เรือนก้อน)

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ

วันนี้เป็นวันที่ 25 มกราคม ประวัติศาสตร์เคยจารึกว่าเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำ  ยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชา และกองทัพไทยได้ถือเอาวันนี้เป็นวันกองทัพไทย และเป็นวันที่จอมพล ป. พิบูลสงครามใช้เป็นฤกษ์ในการประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ.2485 แต่ต่อมานักประวัติศาสตร์ได้ตรวจสอบพบว่า ได้คำนวณปฏิทินจันทรคติเทียบกับสุริยคติผิดไป วันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทำศึกชนะพระมหาอุปราชาที่ถูกต้อง คือวันที่ 18 มกราคม มิใช่ 25 มกราคม วันกองทัพไทยจึงเปลี่ยนไปเป็นวันที่ 18 มกราคม

หัวข้อปาฐกถาวันนี้ยาวมาก แต่คำสำคัญมี 3 คำ คือ (1) วิชาชีพเภสัชกรรม (2) การคุ้มครองผู้บริโภค   ด้านยาและสุขภาพ และ (3) สังคม

 

หลักการแห่งวิชาชีพ

วิชาชีพเภสัชกรรมมีกำเนิดมายาวนาน ทางตะวันออกของเราก็มีมาตั้งแต่ก่อนท่านชีวกโกมารภัจจ์ในสมัยพุทธกาล ในจีนก็ย้อนไปตั้งแต่สมัยเสินหนง ซึ่งเป็นบุคคลในตำนาน และทางตะวันตกก็สืบย้อนขึ้นไปถึงสมัยของฮิปโปเครติส ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นบิดาแห่งการแพทย์ (Father of Medicine)

ฮิปโปเครติสได้รับยกย่องเป็นบิดาแห่งการแพทย์ และเป็นผู้วางรากฐานของวิชาชีพด้านการแพทย์ กล่าวคือ ได้แยกความแตกต่างระหว่าง อาชีพ (Occupation) กับ วิชาชีพ (Profession) ไว้อย่างชัดเจนว่า วิชาชีพคืออาชีพที่ต้องมี “อาชีวปฏิญาณ” คือ ต้องปฏิญาณ หรือ สาบาน (Profess) ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะต้องประกอบอาชีพบนพื้นฐานของคุณธรรมจริยธรรม และความรู้ความสามารถ เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยอย่างแท้จริง ดังคำปฏิญาณของฮิปโปเครตีส (Hippocratic Oath) ซึ่งขอนำมากล่าวเพื่อเป็นสิริมงคลต่อทุกท่าน ดังนี้

 

ปฏิญาณของฮิปโปเครติส

ข้าขอสาบานต่อเทพอพอลโล  ในฐานะแพทย์และเทพเอสคิวลาปิอุส ศัลยแพทย์ รวมทั้งไฮเยียและพานาเซีย และขออัญเชิญเทพ และเทพีทั้งปวงมาเป็นสักขีพยาน ว่า ข้าจะยึดมั่นและรักษาคำสัตย์สาบานนี้จนถึงที่สุดแห่งพลังและดุลพินิจของข้า

ข้าจักเทิดทูนครูผู้สอนศิลปศาสตร์ให้แก่ข้า เสมอบิดามารดาของข้า ข้าจะให้สิ่งจำเป็นแก่ท่าน และจะถือบุตรของท่านเป็นภราดาแห่งข้า.  ข้าจะสอนศิลปศาสตร์แก่พวกเขาโดยไม่รับสินจ้างรางวัลหรือข้อสัญญา และข้าจะเปิดเผยทุกสิ่งที่ข้าได้ครอบครอง คำสอนและทุกสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้ แก่บุตรแห่งครูข้า เช่น ที่ข้าให้แก่บุตรของข้าเอง และเช่นเดียวกัน แก่นักเรียนทุกคนของข้า ผู้จักผูกมัดตนเองกับคำสัตย์สาบานแห่งวิชาชีพ โดยไม่ผูกมัดกับสิ่งอื่นใดอีก

ในการเยียวยาผู้ป่วย ข้าจะปรุงและสั่งอาหารที่ดีที่สุดแก่พวกเขา ตามดุลพินิจและแนวทางของข้า และข้าจะดูแลพวกเขามิให้ทุกข์ร้อนจากความเจ็บปวดหรือเสียหาย

จักไม่มีใครวิงวอนร้องขอให้ข้าให้ยาพิษแก่ผู้ใดได้ รวมทั้งข้าจักไม่ขอให้ผู้ใดกระทำเช่นนั้น.  ยิ่งกว่านั้น ข้าจักไม่ให้ยาใดๆ แก่หญิงตั้งครรภ์เพื่อทำลายทารกในครรภ์

นอกจากนั้น ข้าจักปฏิบัติตนและใช้ความรู้ของข้าตามครรลองคลองธรรม

ข้าจักไม่ทำผ่าตัดนิ่ว แต่จะให้ทั้งหมดนั้นเป็นงานของศัลยแพทย์

เคหสถานใดที่ข้าเข้าไปสู่ ข้าจักไปเยี่ยมเยือนเพื่อความสะดวกสบายและประโยชน์ของคนไข้ และข้าจะละเว้นจากการทำอันตรายและความผิดทั้งปวง จากความผิดพลาด และ(โดยเฉพาะ) จากการกระทำเชิงชู้สาวกับผู้ใดก็ตามที่ข้ามีหน้าที่ต้องดูแลรักษา ไม่ว่ากับนายหรือบ่าว เป็นทาสหรือเป็นไท

สิ่งใดก็ตามที่ข้าเห็นหรือได้ยิน จากการประกอบวิชาชีพ (แม้ในกรณีที่มิได้รับการเชื้อเชิญ) สิ่งใดก็ตามที่ข้าได้รับรู้ หากไม่สมควรจะกล่าวซ้ำ ข้าจะรักษาไว้ประดุจสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเป็นความลับ ไว้กับตัวข้าเองเท่านั้น

หากข้าปฏิบัติตามคำสัตย์สาบานโดยซื่อสัตย์สุจริต ขอให้ข้าประสบความเจริญและความมั่งคั่งในโชคชะตาและวิชาชีพของข้า และสืบทอดไปจนถึงทายาท หากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ข้าประสบชะตากรรมในทางตรงข้าม

 

สำหรับวิชาชีพเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย พัฒนามาพร้อมกับการประดิษฐานพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ เพราะการแพทย์แผนไทยมีรากฐานมาจากการแพทย์ในพุทธอาราม ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล

กำเนิดการศึกษาเภสัชศาสตร์และวิชาชีพเภสัชกรรมแผนปัจจุบัน ในประเทศไทยเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2456 จากพระดำริของจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทำให้เกิด “ระเบียบการจัดนักเรียนแพทย์ผสมยา พ.ศ. 2457” ลงนามโดยเจ้าพระยาเสด็จสุเรนทราธิบดี ณ   วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2456 และพัฒนามาโดยลำดับ จนเกิดสภาเภสัชกรรม เมื่อ พ.ศ. 2537

 

การคุ้มครองผู้บริโภค

ในส่วนของการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารและยาในประเทศไทย เริ่มปรากฏในกฎหมายอาญา ร.ศ. 127 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2452 มีบทลงโทษเรื่องการปลอมปนอาหารและยา ก่อนเริ่มระบบการศึกษาด้านเภสัชศาสตร์  เมื่อ 4 ปี ต่อมา ดังกล่าวแล้ว

องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารและยาที่มีบทบาทสำคัญของโลก คือ สำนักงานอาหารและยาสหรัฐ เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2480 จากกรณีที่เด็กจำนวนมากไตวายเสียชีวิตจากการกินยาซัลฟาน้ำ ซึ่งใช้ Diethylene glycol ซึ่งเป็นพิษร้ายแรงต่อไตเป็นตัวทำละลาย ก่อนหน้านั้นมีความพยายามเป็นเวลายาวนานในการผลักดันให้มีหน่วยงานรับขึ้นทะเบียนยาก่อนจำหน่ายแก่ประชาชน แต่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา เพราะสหรัฐก่อตั้งประเทศขึ้นตามคำประกาศอิสรภาพ ซึ่งเชิดชูหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ สิทธิใน “ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข” หลักการดังกล่าวถือว่า ผู้ประกอบการมีเสรีภาพในการผลิตยาออกจำหน่ายแก่ประชาชน และประชาชนก็มีเสรีภาพในการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ รัฐไม่ควรเข้าไปแทรกแซง แต่กรณียาซัลฟาน้ำแสดงหลักฐานชัดเจนว่า เรื่องยานั้นเป็นเทคโนโลยีที่ยุ่งยากซับซ้อน ประชาชนทั่วไปย่อมไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอในการที่จะคุ้มครองตนเอง จำเป็นที่จะต้องมีองค์กรของรัฐเข้าไปตรวจสอบ รัฐสภาจึงยอมให้มีรัฐบัญญัติจัดตั้งสำนักงานอาหารและยาขึ้น ซึ่งแต่แรกเน้นการดูแลเรื่องความปลอดภัย (Safety) ของยาเป็นหลัก ต่อมาได้ขยายให้มีการพิสูจน์เรื่องประสิทธิผล (Efficacy) เสียก่อนด้วย และขยายการควบคุม หรือ กำกับดูแล ออกไปยังผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย ซึ่งถือกำเนิดตามการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขเมื่อ พ.ศ. 2517 หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ก็จัดตั้งขึ้นตามหลักการ และแนวคิดเดียวกันกับสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ แต่มีข้อแตกต่างสำคัญคือแยกงานด้านการตรวจวิเคราะห์ออกต่างหาก อยู่ในกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของไทย คือ วิชาชีพเภสัชศาสตร์

สมาชิกกิตติมศักดิ์ วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) และคณะผู้บริหาร

 

บทบาทต่อสังคม

ในการแสดงบทบาทต่อสังคม พื้นฐานสำคัญ คือ จะต้องรู้จักสังคมให้เพียงพอ

การที่ประเทศไทยเป็นเพียง 1 ใน 3 ประเทศของเอเชียที่รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก เพราะพระมหากษัตริย์ที่ทรงปกครองประเทศในเวลานั้นมีสายพระเนตรกว้างขวาง ยาวไกล และทรงปกครองประเทศด้วยทศพิธราชธรรม

พระมหากษัตริย์ที่ทรงริเริ่มสร้างความทันสมัย (Modernization) ให้แก่ประเทศ  พระองค์แรก คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

โชคดีของประเทศไทยที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่ในสมณเพศยาวนานถึง     27 พรรษา ก่อนจะเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงมีเวลาศึกษาหาความรู้ และทรงคบหากับสังฆราชบาทหลวง    และมิชชันนารีตะวันตก ทำให้ทรงทราบเหตุการณ์ของโลก และภัยคุกคามของเจ้าอาณานิคมต่างๆ อย่างดี

ภัยคุกคามของตะวันตกนั้น มีมาตั้งแต่ครั้งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 แล้ว เมื่อใกล้จะเสด็จสวรรคต ได้รับสั่งให้หาท่านพระยาศรีสุริยวงศ์จางวางมหาดเล็กเข้าไปเฝ้า เมื่อวันอังคารที่     11 กุมภาพันธ์ 2393 รับสั่งว่า

การต่อไปภายหน้าเห็นแต่เอ็งที่จะ  รับราชการเป็นอธิบดีผู้ใหญ่ต่อไป  การศึกสงครามข้างญวณข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว  จะมีก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขา ที่ดี  ควรจะเรียนร่ำเอาไว้ ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว

 

เมื่อ ร.4 เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงติตตามเหตุการณ์ของโลกในเวลานั้น ซึ่งพม่า ญวณ และจีน

ต่างเสียทีแก่ชาติตะวันตกแล้ว จึงทรงเป็นฝ่ายริเริ่มมีพระราชหัตถเลขาไปเชิญเซอร์จอห์น เบาวริง ซึ่งเวลานั้นเป็นทูตอังกฤษอยู่ ณ เมืองมาเก๊า ให้เขามาเจรจาการค้ากับไทย จนในที่สุดเกิดสนธิสัญญาเบาวริง เมื่อ พ.ศ. 2398

 

แต่ก่อน มักสอนกันในโรงเรียนว่า สนธิสัญญาเบาวริงเกิดจากเราถูกบังคับให้ทำสัญญา เพราะทำให้เราเก็บภาษีได้เพียงร้อยชักสาม และเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ซึ่งเป็นคำสอนที่ผิด เพราะแท้จริงแล้วเป็นความริเริ่มของฝ่ายไทย โดย ร.4 ทรงมีจดหมายขึ้นต้นว่า “My Dear Friend” เชิญทูตอังกฤษมาเจรจาทำสัญญาการค้า การเก็บภาษีร้อยชักสามก็มีผลเป็นการทำลายการผูกขาด และทำให้เกิดการพัฒนาเกษตรกรรม จากการปลูกข้าวเพื่อกิน เป็นเพื่อค้าขายด้วย ทำให้เรือที่เข้ามาค้าขายเพิ่มจากปีละ 3 – 4 ลำ เป็นนับร้อยลำ เป็นการเริ่มต้นยุค    ประเทศไทย 1.0 การที่เราต้องเสียเอกราชทางศาลก็เพราะระบบกฎหมาย และการตุลาการของเราเวลานั้นยัง    ล้าหลังมาก

ทั้งนี้ นอกจากทรงคบหากับสังฆราชบาทหลวงมิชชันนารี และอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแล้ว ระหว่างทรงสมณเพศ ยังเสด็จธุดงค์ไปตามหัวเมืองต่างๆ เช่น เสด็จไปเมืองเก่าสุโขทัย และทรงพบพระแท่นมนังคศิลาบาท และศิลาจารึก ต่อมาเมื่อ ร. 5 ครั้งบรรพชาเป็นสามเณร ก็ทรงพาเสด็จไปตามหัวเมือง เช่น ไปไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลก เป็นต้น

สมเด็จฯ พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ผู้เป็นที่เคารพบูชาของชาวสาธารณสุข เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ ก็ “ทรงสนพระทัยอยากทราบความเป็นไปของบ้านเมือง โดยปลอมพระองค์เป็นสามัญชนตามบิณฑบาตสมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธในขณะที่เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธทรงผนวชอยู่”  (ชุมนุมพระนิพนธ์ และบทความเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชบิดาเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์, 2508, น. 120)

นอกจากนี้ ยังทรงเสด็จเข้าไปเยี่ยมนักโทษถึงในเรือนจำด้วย

 

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ทรงแสดงปาฐกถา เรื่องลักษณะการปกครองของสยามแต่โบราณ ที่สามัคยาจารย์สมาคม เมื่อ พ.ศ. 2470 สรุปลักษณะเด่นของคนไทยที่ทำให้ชนชาติไทยสามารถดำรงรักษาเอกราชของชาติมาได้ว่า มี 3 ประการ คือ (1) รักอิสระเสรี (2) ไม่ชอบความรุนแรง และ (3) เก่งในการประสานประโยชน์

คนไทยปัจจุบันโดยมากเป็นชาวพุทธ แต่คนจำนวนไม่น้อยมักตำหนิว่าชาวพุทธไทยส่วนมากเป็นพุทธตามสำมะโนครัว ไม่มีมีความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ซึ่งแท้จริงแล้วคนไทยโดยมากมีความเป็นพุทธโดยรากฐาน เพราะมีความเชื่อในหลักที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา 3 เรื่อง คือ (1) เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม (2) เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด และ (3) เชื่อในพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง  และ อนัตตา

ความรู้ ความเข้าใจในคนไทยและสังคมไทย เป็นรากฐานสำคัญของบุคลากรในวิชาชีพในการทำงานกับ  คนไทยและสังคมไทย จำเป็นที่ทุกวิชาชีพรวมทั้งวิชาชีพเภสัชศาสตร์จะต้องให้ความเอาใจใส่เรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจถ่องแท้ในคนไทยและสังคมไทย จึงจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ

 

อุดมการณ์ และแนวทาง

เบื้องแรก บุคลากรในวิชาชีพเภสัชศาสตร์ เป็นผู้มีความรู้ จะต้องยึดถือตามคติพจน์ของสมเด็จฯ พระบรมราชชนก ที่ทรงบันทึกไว้ที่แผ่นแรกของสมุดบันทึกปฏิบัติการวิชา Bacteriology ของพระองค์ท่าน ที่ว่า

“ความสำเร็จที่แท้จริง มิใช่เพียงแค่เรียนรู้ แต่อยู่ที่การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ”

“True success is not in the learning, but in its application to the benefit of mandkind.”

 

หลักการข้อต่อไปในการทำงาน จะต้องมุ่ง เพื่อ “ประโยชน์สุขของประชาชน” โดยต้องยึดถือตามพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบรมนาถบพิตร ที่ว่า

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม  เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

 

และพระราชหัตถเลขาของสมเด็จฯ พระบรมราชชนก ที่ว่า

                             ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง

                             ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง

                             ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง

                             ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์

 

สุดท้าย เครื่องมือในการทำงานจะต้องประกอบด้วย (1) ความรู้  (2) ความสุจริต (3) ปัญญา และ (4) สติ ดังพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชนิพนธ์อย่างปฏิภาณกวีพระราชทานในสมุดของกรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา พระอนุชาของพระองค์ท่าน

                                  ความรู้ คู่เปรียบด้วย       กำลัง กายเฮย

                                  สุจริต คือเกราะบัง           ศาสตร์พร้อง

                                  ปัญญา ประดุจดัง             อาวุธ

                                  กุมสติ ต่างโล่ป้อง            อาจแกล้วกลางสนาม

 

เอวัง ก็มี ด้วยประการฉะนี้

ผู้ที่รับหนังสืออนุมัติฯ และคณาจารย์ วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย

สารปนเปื้อนในสาหร่ายทะเลอบกรอบ

นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยผลตรวจสารปนเปื้อนโลหะหนักในผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเลทอดกรอบจำนวน 13 ตัวอย่าง (12 ยี่ห้อ) ตามมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.)

ผลปรากฏว่า มีการปนเปื้อนตะกั่ว 11 ตัวอย่าง แต่ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด

ขณะเดียวกัน พบว่าปนเปื้อนแคดเมียมทั้งหมด โดยมี 1 ตัวอย่างที่ไม่ผ่านเกณฑ์

อยู่อย่างไรให้รอดจาก PM 2.5 เมื่อการพัฒนาสวนทางกับความยั่งยืน

ความจริงที่ว่า เราใช้เวลานานมากกว่าเราจะยอมรับและเรียกปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่า ‘มลพิษทางอากาศ’ และกว่าที่เราจะยอมรับถึงสภาพปัญหาที่หลายคนเคยเรียกว่า หมอกจางๆ หรือควัน เจ้าฝุ่นจิ๋ว และอีกหลายชื่อเรียกน่ารักๆ มากมาย ปัญหานี้ก็ได้คืบคลานมาใกล้ตัวจนเราต้องหาซื้อหน้ากากกันฝุ่นกันจ้าละหวั่น

ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของคนกรุงเทพฯ วันนี้ เรากำลังเผชิญกับมลพิษฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเมืองใหญ่ที่มีประชากรกว่า 10 ล้านคน และการเดินทางเข้าออกรอบปริมณฑลไปมาอย่างต่อเนื่องในทุกๆ วัน จึงเกิดความแออัดของผู้คนที่เข้ามาอยู่อาศัย รวมทั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดแหล่งมลพิษมากมาย ปัญหากรุงเทพฯ ในขณะนี้จึงเป็นเรื่องที่ซับซ้อน โดยเฉพาะช่องว่างทางนโยบายที่ต้องนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

หรือก็คือ เราจะอยู่อย่างไรให้รอดในวันนี้ โดยไม่ทำให้ให้เกิดผลกระทบไปสู่คนรุ่นต่อไป

pm 2.5
รศ.จำนง สรพิพัฒน์

ฝุ่น PM 2.5 มาจากไหน

ในงานเสวนาเรื่อง ‘PM 2.5 ผลร้ายการพัฒนา สวนทางความยั่งยืน’ ที่จัดขึ้นที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) รศ.จำนง สรพิพัฒน์ กรรมการบริหารสมาคมวิจัยวิทยาการขนส่งแห่งเอเชีย กล่าวที่มาที่ไปของฝุ่น PM 2.5 ว่าเกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ พูดง่ายๆ ก็คือ เขม่า ซึ่งหลักๆ เกิดจากไอเสียรถยนต์ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซล สองคือ เกิดจากการเผาในที่โล่งเเจ้ง การเผาเศษวัชพืช ขยะเปิด แต่ในความเป็นจริง กรณีการเผาขยะจะก่อมลพิษเพียงขนาด PM 10 ขณะที่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ PM 2.5 มีขนาดเล็กกว่ามาก

ส่วนที่สามก็คือ เกิดจากอุตสาหกรรม ตามข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษคือ 60 เปอร์เซ็นต์ของ PM 2.5 เกิดจากการสันดาบที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ดีเซล อีกประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์เกิดจากการเผาวัสดุชีวมวล ซึ่งเป็นขยะหรือไร่ก็ได้ อีกส่วนคือจากโรงงานอุตสาหกรรมประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์

“นับเฉพาะกรุงเทพฯ PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ดีเซลตัวเลขจะสูงกว่านี้ สอดคล้องกับข้อมูลทั่วโลกที่เกิดจากเครื่องยนต์ดีเซล ไม่ได้เกิดจากการจุดธูปไหว้เจ้าอยางที่ใครว่านะครับ เมื่อต้นตอของปัญหามาจากจุดนี้ก็ต้องเน้นประเด็นไปที่จุดนี้”

เราจะอยู่อย่างไรให้รอดกับปัญหาในวันนี้

โดยหลักการพื้นฐานทางด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ การจัดการมลพิษในเขตเมืองหลักๆ มีอยู่สามวิธีการ คือ

  1. ลดความเข้มข้นของมลพิษจากไอเสียรถยนต์ที่ออกมาจากท่อไอเสียให้ต่ำลง
  2. ลดสภาพการจราจรติดขัดในเมืองให้เหลือน้อยที่สุด

“ทำไมข้อสองถึงต้องทำ ข้อนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เรามักมองข้ามไป เพราะว่าโดยปกติ การสันดาปของเครื่องยนต์เขาจะออกแบบให้มีจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ที่ค่าเดียว เวลารถที่วิ่งช้ามาก โดยเฉพาะจังหวะที่เข้าเกียร์ว่าง ซึ่งเป็นช่วงที่ความเร็วรอบต่ำมาก ช่วงนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพการเผาไหม้แย่ที่สุด ดังนั้นพลังงานจึงถูกเปลี่ยนเป็นความร้อนแล้วก็ถูกปลดปล่อยเป็นควันพิษ ยิ่งรถติดนานเท่าไร ความเข้มข้นของไอเสียที่เป็นสารมลพิษจะยิ่งเยอะเท่านั้น

“เพราะฉะนั้นการแก้ไขปัญหาการติดขัดของการจราจรถือเป็นกลไกที่สำคัญอันหนึ่ง และภาครัฐยังไม่ได้เชื่อมโยงปัญหา PM 2.5 กับปัญหารถติด ซึ่งจริงๆ มันเชื่อมโยงกันโดยตรง”

  1. ลดปริมาณรถบนท้องถนน

“ผมว่าภาครัฐมาถูกทางแล้ว แต่สามารถทำให้ดีกว่านั้นได้อีก ซึ่งมาตรการระยะสั้นอันดับแรกคือการตรวจและปรับสภาพรถให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด และต้องทำงานแบบเชิงรุกมุ่งไปที่ต้นตอของปัญหาโดยตรง อย่างที่มุ่งไปที่รถเมล์ ขสมก. ซึ่งสามารถแก้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะยังมีรถบรรทุกที่วิ่งอยู่ใน กทม. ประมาณ 2.5 ล้านคันต่อวัน เพราะฉะนั้นจึงต้องไปทำงานเชิงรุกโดยการตรวจสภาพรถต่างๆ ในจุดที่เป็นสถานที่ประกอบการหรือจุดที่มีการรวมรถเยอะๆ เช่น ท่าเรือ โดยเฉพาะท่าเรือกรุงเทพฯ ที่ในหนึ่งปี มีรถเข้าออกกว่า 1.8 ล้านเที่ยวต่อปี

“บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่จะมีระบบรถขนส่งเยอะแยะไปหมด บริษัทเหล่านี้หัวใจของเขาคือระบบโลจิสติกส์และยังมีจุดจอดรับถ่ายสินค้าจากชานเมืองเข้าสู่กรุงเทพฯ เราจึงควรมุ่งเป้าส่งหน่วยเข้าไปตรวจสอบสภาพและขอความร่วมมือไม่ใช่แค่ที่ ขสมก. เรายังสามารถดำเนินงานในเชิงบวก อย่างเช่นจัดหน่วยอาสาสมัครเครื่องยนต์ อาศัยโรงเรียนอาชีวศึกษา ศูนย์รถยนต์ต่างๆ ไปตรวจสอบและปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ได้มาตรฐาน”

นอกจากนี้ สาเหตุสำคัญหนึ่งเกิดจากการก่อสร้างรถไฟฟ้า แต่ฝุ่นจากการก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นเพียง PM 10 ซึ่งขนาดจะใหญ่กว่า PM 2.5 การที่รัฐบาลฉีดน้ำตามจุดต่างๆ หรือล้างถนน จะช่วยดัก PM 10 เท่านั้น แต่ปัญหาที่พ่วงตามกันมาคือ การก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินส่งผลให้การจราจรติดขัดมากกว่าเดิมหลายเท่า

“สมัยก่อนที่เราสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรก เราทำเหมือนกับที่มาตรฐานทั่วโลกเขาทำ นั่นคือสร้างกลางคืน แต่กลางวันปิด เพื่อให้พื้นที่กับการจราจร แต่ในปัจจุบันขณะนี้ผมแปลกใจมากว่า วิธีการเหล่านั้นไม่มี หรือถ้าทำไม่ได้จริงๆ อย่างน้อยในชั่วโมงเร่งด่วน ก็ควรคืนพื้นที่การจราจรกลับไปให้รถยนต์ ให้วิกฤตินี้ผ่านช่วงสองเดือนนี้ไปให้ได้ ก็จะช่วยได้มาก”

รศ.จำนงยังกล่าวต่อว่า มาตรการระยะยาว ซึ่งเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นที่ยอมรับและใช้ต้นทุนถูกที่สุด คือการใช้นโยบายจราจรและผังเมือง สร้างเมืองที่ยั่งยืน

“แนวคิดของการจราจรและเมืองที่ยั่งยืนคือการให้ความสำคัญของขนส่งสาธารณะ สิทธิของคนต้องอยู่เหนือสิทธิของรถยนต์ นั่นหมายความว่า รถเมล์ต้องมีสิทธิก่อนรถเก๋ง แต่ทุกวันนี้เราให้สิทธิของรถยนต์อยู่เหนือสิทธิของคน และควรทำร่วมกับการเดินทางโดยไม่ต้องใช้รถยนต์ การขี่จักรยาน การเดิน การใช้รถไฟฟ้า”

pm 2.5
ผศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

อยู่อย่างไรในวันนี้ ไม่ให้ปัญหาตกทอดไปสู่คนรุ่นต่อไป

ผศ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ จากภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขอย่างยั่งยืนว่า

“มันไม่ได้หมายความว่า เฉพาะช่วงก่อสร้างรถไฟฟ้าสามปีแล้วปัญหามลพิษจะจบ ต่อให้สร้างรถไฟฟ้าเสร็จรถก็ยังวิ่ง ยังติดเหมือนเดิม สุขุมวิทไม่ได้มีรถหนาแน่นน้อยลง ในตอนนี้ทุกคนพยายามคนละนิดคนละหน่อย แจกหน้ากาก ยิงน้ำขึ้นฟ้า ฉีดน้ำแก้ฝุ่นพิษใกล้เครื่องวัด ซึ่งปัญหาก็ยังไม่ถูกแก้เลย

“เราใช้เวลานานมากนะในช่วง 1-2 ปีกว่าเราจะยอมรับและเรียกมันว่ามลพิษทางอากาศ ตอนแรกเราเรียกมันน่ารักๆ หมอกจางๆ หรือควัน ฝุ่นจิ๋ว ยังไม่ยอมรับสักทีว่ามันเป็นมลพิษ”

ปัญหามลพิษทางอากาศมีความไม่เท่าเทียมกัน คนยากคนจนในเมือง คนขายของริมถนน คนนั่งสองแถว คนเดินถนน จะได้รับฝุ่นควันมากกว่า

“มอเตอร์ไซค์ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง มอเตอร์ไซค์ 3.5 ล้านคันในกรุงเทพฯ ส่วนหนึ่ง ใช่ครับ ปล่อยมลพิษ และอีกส่วนหนึ่งเขาปะทะกับมลพิษโดยตรงด้วย เวลาเราบอกจะพิทักษ์เมือง เราต้องดูว่าเมืองของใครด้วย คนจนจำนวนมากที่อยู่ในเมือง คนซึ่งต้องเดินทางเข้ามาหากินในเมือง เขาประสบปัญหาเหล่านี้มากกว่าบางคนซึ่งอยู่ในห้องแอร์แล้วแชร์ข่าวตลอดเวลา เราจะทำอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้”

ในหลายประเทศ ข้อคำนึงในการก่อสร้างอาคารคือ ส่งผลกระทบชุมชนอย่างไร หากกระทบเรื่องควัน กระทบเรื่องฝุ่น ต้องดูสภาพของผู้คนบริเวณนั้น บางส่วนไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ยังเป็นบ้านเปิด ดูว่าคนเหล่านี้เผชิญสภาพปัญหาอย่างไร

“ทุกข์อันนี้ถ้ามันเป็นทุกข์ของทุกคนในเมือง เราจะมีกลไกอะไรช่วยปกป้องพวกเรา เราจะร่วมมือกันอย่างไรในชุมชนแต่ละชุมชนเมื่อมีการก่อสร้างใหญ่ เราได้มีส่วนเห็นแผนในการป้องกันฝุ่นมากน้อยแค่ไหน เราได้เห็นการคำนวณเรื่องสิ่งแวดล้อมรวมทั้งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ความยั่งยืนที่ว่าคือ เราจะอยู่อย่างไรในวันนี้ โดยไม่ทำให้ให้เกิดผลกระทบสู่คนรุ่นต่อไป”

สาหร่ายกรุบกรอบ ความอร่อยพ่วงตะกั่ว-แคดเมียม

จากกลุ่มพืชชั้นต่ำในทะเลสู่ ‘สาหร่ายทะเลทอดกรอบ’ อาหารว่างยอดนิยมในหมู่ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ทั้งแบบทอดกรอบ อบกรอบ หลากหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อเลือกรับประทาน แต่ผู้บริโภคคงไม่อาจตามใจปากได้อีกต่อไป เพราะในความอร่อยและคุณประโยชน์สารพัดของสาหร่าย ยังมีโซเดียมและโลหะหนักแฝงอยู่ในนั้น

ผลตรวจโลหะหนักในสาหร่าย 12 ยี่ห้อดัง

เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา นิตยสารฉลาดซื้อ ภายใต้การทำงานของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยผลการทดสอบสารปนเปื้อนโลหะหนักในผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเลทอดกรอบจำนวน 13 ตัวอย่าง (12 ยี่ห้อ) โดยนำมาเทียบวัดกับค่ามาตรฐานของประเทศ จำนวน 2 มาตรฐานคือ มาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.)

ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 (พ.ศ. 2529) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน กำหนดให้ตรวจพบการปนเปื้อนของตะกั่วได้สูงสุดไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ส่วนข้อกำหนดปริมาณการปนเปื้อนแคดเมียมตามประกาศของ อย. กำหนดให้ได้สูงสุดไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม (ประกาศวันที่ 1 สิงหาคม 2561) ขณะที่มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนกำหนดค่าปริมาณการปนเปื้อนแคดเมียม ไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม

ผลการทดสอบสารปนเปื้อนโลหะหนักในสาหร่ายทะเลทอดกรอบ พบว่า มีการปนเปื้อนของตะกั่วในผลิตภัณฑ์ 11 ตัวอย่าง และอีก 2 ตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนของตะกั่ว แต่ทั้ง 13 ตัวอย่างที่นำมาทดสอบ ถือว่าผ่านมาตรฐานตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน

สำหรับผลทดสอบการปนเปื้อนของแคดเมียม พบว่ามีการปนเปื้อนทั้งหมด 13 ตัวอย่าง โดยมี 1 ตัวอย่างที่ไม่ผ่านทั้งเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศ อย. และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน คือ ผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเลปรุงรส อากิโนริ ชนิดแผ่น ตรากินจัง ซึ่งปริมาณแคดเมียมที่พบคือ 2.34 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

สารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหาร นิตยสารฉลาดซื้อ กล่าวว่า หลังตรวจพบผลิตภัณฑ์ที่มีแคดเมียมสูงเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ทางคณะทำงานจึงได้ทำจดหมายแจ้งไปยัง อย. เพื่อให้ดำเนินการกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต่อไป

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ทางศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อได้ทำการทดสอบการปนเปื้อนโลหะหนักในผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเลทอดกรอบมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยพบการปนเปื้อนของสารตะกั่ว แคดเมียม และอะฟลาท็อกซิน ในผลิตภัณฑ์สาหร่ายจำนวน 21 ตัวอย่าง จาก 18 ยี่ห้อ และในครั้งนี้ที่ได้ทำการทดสอบอีกครั้งหลังจากผ่านมา 9 ปี เพื่อกลับไปทบทวนและเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงทำให้เกิดการยกระดับสินค้าให้ดียิ่งขึ้น

อร่อยเพราะโซเดียมสูง

ในสาหร่ายทะเลทอดกรอบนอกจะมีตะกั่วและแคดเมียมปนเปื้อนแล้ว ยังพบว่ามีโซเดียมในปริมาณมาก ซึ่งในผลิตภัณฑ์สาหร่ายที่นำมาทดสอบพบว่า ยี่ห้อที่มีปริมาณโซเดียมมากที่สุดคือ สาหร่ายทะเลปรุงรสเผ็ด ตราหมีแพนด้า ที่มีปริมาณโซเดียมสูงถึง 9,230 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้แนะนำปริมาณการบริโภคโซเดียมสูงสุดต่อ 1 วัน ไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม หรือเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา ขณะที่ข้อมูลบนฉลากโภชนาการของผลิตภัณฑ์สาหร่าย ส่วนใหญ่ระบุข้อมูลปริมาณโซเดียมสูงสุดที่ 2,400 มิลลิกรัม หากรับประทานในปริมาณที่มากโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากโซเดียมก็มีมากเช่นกัน

ต้องเข้าใจด้วยว่า โซเดียมมิได้มีแค่ความเค็มเท่านั้น แต่ยังแฝงอยู่ในรูปของผงปรุงรส ทำให้รสชาติของอาหารหรือขนมชนิดนั้นมีความอร่อยยิ่งขึ้น กลมกล่อมยิ่งขึ้น

การบริโภคสาหร่ายทะเลทอดกรอบจึงควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะพอควร เพื่อควบคุมไม่ให้ร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมต่อวันมากเกินไป อีกทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของโลหะหนัก ซึ่งสามารถส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้

เด็กๆ ต้องระวัง

ร่างกายของเราสามารถรับเอาโลหะหนักเข้าร่างกายได้ทุกขณะ ผ่านอาหาร น้ำ หรือแม้แต่สารเคมีในอุตสาหกรรมต่างๆ หากสะสมในปริมาณมากจะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า ‘ภาวะพิษจากโลหะหนัก’ (Heavy Metal Poisoning) ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก

หากได้รับโลหะหนักในปริมาณที่มากในครั้งเดียว จะก่อให้เกิดอาการมึนงง ตัวชา อาเจียน หมดสติถึงขั้นโคม่า ส่วนกรณีที่ได้รับโลหะหนักในปริมาณน้อย แต่สะสมเป็นระยะเวลานาน จะค่อยๆ เกิดอาการเวียนศีรษะ อ่อนแรง เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และท้องผูก

มลฤดี โพธิ์อินทร์ นักวิชาการด้านอาหาร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนะนำว่า หากบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนแคดเมียมและตะกั่วเข้าไป จะทำให้มีอาการปวดท้อง น้ำหนักลด เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ประสาทหลอน ซึม ไม่รู้สึกตัว ชัก มือและเท้าเป็นอัมพาต ถ้าได้รับในปริมาณมากอาจเสียชีวิตได้

“สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การบริโภคของเด็ก เนื่องจากลำไส้ของเด็กจะสามารถดูดซึมตะกั่วได้มากกว่า และสิ่งที่จะแนะนำในการบริโภคคือ ให้บริโภคแต่น้อย ไม่ควรบริโภคทุกวัน ควรหันไปบริโภคพวกผักและผลไม้จะดีกว่า”

หนึ่งประเทศ หลายมาตรฐาน

ภายหลังการทดสอบสาหร่ายทะเลทอดกรอบ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพบข้อสังเกตที่สำคัญประการหนึ่ง คือการกำหนดมาตรฐานการปนเปื้อนที่มีความแตกต่างลักลั่นกัน ระหว่างมาตรฐาน อย. กับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน

“เราอยากเห็น อย. เป็นกำลังสำคัญในการปรับปรุงมาตรฐานภายในประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน แต่เดิมเราคิดว่ามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนจะย่อหย่อนกว่า กลายเป็นว่ามาตรฐานชุมชนสูงกว่ามาตรฐาน อย. ฉะนั้น เราอยากให้มีการปรับปรุงตรงจุดนี้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อสร้างความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค” สารีกล่าว

อย. แจงสาหร่ายปนเปื้อนตามธรรมชาติ

ทางด้าน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการ อย. ชี้แจงถึงผลการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สาหร่ายที่มีการปนเปื้อนแคดเมียมเกินมาตรฐาน 1 ยี่ห้อ ว่า สาหร่ายถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ จึงมีโอกาสพบการปนเปื้อนของโลหะหนักจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสาเหตุของการปนเปื้อนโดยไม่ตั้งใจและหลีกเลี่ยงได้ยาก

ด้วยเหตุนี้ อย. จึงออกประกาศกำหนดปริมาณการปนเปื้อนของแคดเมียมในผลิตภัณฑ์สาหร่ายพร้อมบริโภคได้สูงสุดไม่เกิน 2 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม จากเดิมให้ปนเปื้อนได้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสากลขององค์การมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (codex) และหากตรวจพบผลิตภัณฑ์ที่มีโลหะหนักเกินมาตรฐาน จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และหากตรวจพบในปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการ อย. กล่าวเพิ่มว่า ขณะนี้มีการปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องฉลากโภชนาการ โดยปรับลดปริมาณโซเดียมจากเดิม 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน เป็น 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อให้สอดคล้องตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2562 เป็นต้นไป

ประโยชน์มากมาย สารพิษมากมี

‘สาหร่ายทะเล’ เป็นพืชทะเลชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มพืชชั้นต่ำ ไม่มีท่อลำเลียงอาหาร ใช้วิธีการดูดซับน้ำและแร่ธาตุจากน้ำทะเลสู่เซลล์ต่างๆ โดยตรง ในประเทศไทยมีสาหร่ายทะเลอยู่ประมาณ 350 ชนิด เป็นสาหร่ายสีเขียว 100 ชนิด สาหร่ายสีแดง 180 ชนิด และสาหร่ายสีน้ำตาล 70 ชนิด ซึ่งผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเลทอดกรอบในปัจจุบันมีทั้งที่ผลิตภายในประเทศและต่างประเทศ อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี

ในสาหร่ายทะเลอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมายต่อร่างกาย เช่น ไอโอดีน มีส่วนช่วยให้การทำงานของต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนควบคุมการเผาผลาญในร่างกาย ช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคคอหอยพอก ป้องกันท้องผูก และมีแมกนีเซียมที่ช่วยให้กล้ามเนื้อและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีโพแทสเซียมที่ช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์และความสมดุลของน้ำในร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ไม่เสมอไปที่สาหร่ายจะมีแต่คุณประโยชน์มากมายสารพัด ผู้บริโภคต้องตระหนักและพึงระวังสารปนเปื้อนในสาหร่าย เนื่องจากเป็นพืชที่มาจากทะเล หากน้ำทะเลบริเวณนั้นไม่สะอาด เช่น อาจอยู่ใกล้แหล่งอุตสาหกรรม ก็มีโอกาสที่สาหร่ายทะเลนั้นจะปนเปื้อนโลหะหนัก อย่างแคดเมียมหรือตะกั่ว ท้ายที่สุดสามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้หากบริโภคในปริมาณที่เกินพอดี

ข้อมูลอ้างอิง:
honestdocs.co
kjcinterfood.co.th

 

ภัยสุขภาพจากฝุ่นละออง PM 2.5

ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ปกคลุมทั่วฟ้ากรุงเทพฯ และปริมณฑล มาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2561 และกลับมาฟุ้งกระจายอย่างหนักอีกครั้งในช่วงต้นเดือนมกราคม 2562 โดยตรวจพบว่าหลายพื้นที่มีค่าฝุ่นละอองหนาแน่นเกินมาตรฐาน

นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ แต่เป็นวิกฤตการณ์อย่างหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บของประชาชนโดยถ้วนหน้า จำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องหันมาร่วมกันบรรเทาและแก้ไขสถานการณ์

ความจริงที่ปิดไม่มิด

ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) และมีความเข้มข้นเกินค่ามาตรฐาน (50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ถือเป็นระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ขณะที่ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562  พบว่า ภาพรวมของคุณภาพอากาศอยู่ในระดับคุณภาพปานกลางจนถึงระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยตรวจพบฝุ่นละลองขนาด PM 2.5 อยู่ที่ 44-80 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM 10) อยู่ที่ 61-123 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้หลายหน่วยงานได้พยายามออกมาชี้แจงว่า สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ ขอให้ประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนก แต่เมื่อปัญหาฝุ่นละอองเริ่มส่อเค้าว่าจะยืดเยื้อต่อไปอีกหลายเดือน จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนอย่างกว้างขวาง หน่วยงานภาครัฐจึงเริ่มออกมาตรการบรรเทาและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งการฉีดพ่นละอองน้ำ ล้างถนน การตรวจสอบรถยนต์ควันดำ แจกหน้ากากอนามัย ไปจนถึงปฏิบัติการฝนหลวง

รายจ่ายด้านสุขภาพ 3,000 ล้าน

ข้อมูลจาก ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ คาดการณ์ว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หากคิดเฉพาะค่าเสียโอกาสจากประเด็นสุขภาพ ทั้งการรักษาและการป้องกัน ในเบื้องต้นคิดเป็นเม็ดเงินสูงถึง 1,600-3,100 ล้านบาท

ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เกิดจากสถานการณ์ฝุ่นละอองที่กระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บป่วยสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจ จนต้องไปพบแพทย์หรือเข้ารับการรักษาพยาบาล อีกทั้งยังมีค่าเดินทาง ค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ผู้บริโภคต้องซื้อหน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพื่อดูแลป้องกันสุขภาพ

แม้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถูกส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ แต่ก็ถือเป็นค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้น เพราะผู้บริโภคไม่สามารถนำเงินนี้ไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น

การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจครั้งนี้ถือเป็นการประมาณการในเบื้องต้น ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ขนาดของผลกระทบทั้งหมดที่แท้จริงจะต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขด้านระยะเวลาและความรุนแรงของปัญหา รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาด้วย

ฝุ่น PM 2.5 กับผลต่อสุขภาพ

ในฐานะบุคลากรสาธารณสุขผู้มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพประชาชน เภสัชกรกิติยศ ยศสมบัติ อาจารย์พิเศษ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนบทความวิชาการเรื่อง ‘บทบาทของเภสัชกรชุมชนต่อสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5’ เผยแพร่ในวารสารสมาคมเภสัชกรรมชุมชน ปีที่ 18 ฉบับที่ 102 เดือนมกราคม 2562 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 และให้คำแนะนำแก่ประชาชนทั่วไปในการดูแลตนเองอย่างถูกต้อง

เนื้อหาถัดจากนี้เรียบเรียงขึ้นจากบางส่วนของบทความดังกล่าว…

PM 2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร สามารถตกค้างในปอดและถุงลมผ่านการหายใจ รวมถึงผ่านเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เกิดโรคและความผิดปกติของร่างกายได้หลายระบบ

เนื่องจาก PM 2.5 มีขนาดอนุภาคเล็ก จึงฟุ้งกระจายเป็นบริเวณกว้าง ล่องลอยอยู่ในอากาศได้นาน สามารถก่อโรคได้หลากหลายกว่ามลพิษชนิดอื่น แต่มักไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างรวดเร็วหรือมีกลิ่นชัดเจน ดังนั้นจึงเป็นมลพิษที่ได้รับการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

องค์ประกอบของฝุ่น PM 2.5 มีความซับซ้อน โดยมีสัดส่วนพื้นที่ผิวต่อมวลสูง จึงมีโอกาสอย่างมากที่จะพบสารพิษหรือละอองลอยต่างๆ จับอยู่บนผิวนอกของฝุ่น PM 2.5 เช่น โลหะหมู่ทรานซิชัน (transition metals) เหล็ก ทองแดง วาเนเดียม แคลเซียม อะลูมิเนียม สังกะสี พลวง แมงกานีส แอมโมเนียมซัลเฟต ไนเตรตคลอไรด์ และ polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

นอกจาก PM 2.5 จะเข้าสู่เนื้อเยื่อถุงลมปอดแล้ว ยังสามารถเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตและแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เมื่อ PM 2.5 เข้าสู่เซลล์เป้าหมายแล้วจะมีการปลดปล่อยสารพิษ โลหะทรานซิชัน หรือ PAHs ที่จับอยู่บนผิวนอกของฝุ่น ดังนั้น PM 2.5 จึงเปรียบเสมือนระบบนำส่งสารพิษไปยังอวัยวะต่างๆ และทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพหลายประการ ไม่จำกัดเฉพาะระบบหายใจเพียงเท่านั้น

ผลต่อทารกและเด็ก

บทความของ ภก.กิติยศ เผยอีกว่า การสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่ในครรภ์มารดามีความสัมพันธ์กับผลไม่พึงประสงค์ต่อการตั้งครรภ์ เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักทารกแรกคลอดต่ำกว่าปกติ และการเสียชีวิตของทารกแรกคลอด ซึ่งกลไกที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับภาวะเหล่านี้ ได้แก่ การเพิ่ม oxidative stress ในร่างกายของทารก การอักเสบในเนื้อเยื่อต่างๆ ความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือดและการทำงานของระบบเยื่อบุหลอดเลือดในร่างกายทารก และความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกายมารดาที่มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์

การสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 นอกจากจะมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์แล้ว ยังส่งผลต่อเนื่องจนทารกเติบโตเป็นเด็กและวัยรุ่น โดยพบว่าเด็กและวัยรุ่นที่มารดามีประวัติสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 ในระดับสูงขณะตั้งครรภ์ จะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ต่างๆ เช่น โรคหืด โรคผิวหนังภูมิแพ้ โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ และมีความไว (susceptibility) ต่อการติดเชื้อในระบบหายใจมากขึ้น

บทบาทเภสัชกรชุมชน

ในแง่การทำงานของเภสัชกรชุมชน ในฐานะบุคลากรสาธารณสุขที่อยู่ใกล้ชิดชุมชน ภก.กิติยศ เสนอว่า เภสัชกรชุมชนควรมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในด้านต่างๆ ดังนี้

1. ติดตามสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 อย่างสม่ำเสมอ และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม เพราะฝุ่นละออง PM 2.5 มีอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของผู้สัมผัสทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต โรคระบบทางเดินหายใจ และสตรีมีครรภ์

2. ให้คำปรึกษาเพื่อลดการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถดำเนินการได้หลายประการ เช่น จำกัดหรือลดกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น พื้นที่ใกล้กับสถานที่ประกอบอาหาร และพื้นที่ใกล้อุตสาหกรรมต่างๆ ในกรณีที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน ปิดประตู หน้าต่าง และช่องลมต่างๆ ให้สนิทอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคาร หรือเปิดประตู หน้าต่าง เฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้งาน สำหรับการใช้เครื่องปรับอากาศ ควรหมั่นตรวจสอบและทำความสะอาดส่วนกรองอย่างสม่ำเสมอ

3. คัดกรองอาการผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงอันตรายที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 นอกจากการให้ความรู้เพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว เภสัชกรชุมชนยังมีบทบาทในการคัดกรองอาการผิดปกติที่อาจแสดงถึงอันตรายจาก PM 2.5 ในผู้ป่วยและประชาชนที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อการส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการวินิจฉัยและให้การรักษาอย่างทันท่วงที

ตัวอย่างอาการผิดปกติที่เภสัชกรชุมชนควรประเมินผู้ป่วยที่มารับบริการในร้านยา ได้แก่ อาการเฉพาะที่ ระคายเคืองเยื่อบุจมูกและตา แสบตา ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ น้ำตาไหล คันจมูก จาม และแสบจมูก น้ำมูกไหล อาการภูมิแพ้กำเริบ ไอ หายใจลำบาก เสมหะเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยโรคหืด หอบเหนื่อย หายใจเร็ว

4. ให้คำแนะนำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความร่วมมือในการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ป่วยที่มีโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ เยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้ โรคหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ยา ผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มของการรักษา

ปัญหามลพิษทางอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาสาธารณสุขที่กำลังได้รับความสนใจจากประชาชน และกำลังขยายขนาดของปัญหาเป็นวงกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะในเมืองใหญ่เพียงเท่านั้น การลดความเสี่ยงจากฝุ่น PM 2.5 จึงต้องการหลายมาตรการร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุดต่อประชาชน

สคบ. สสส. มวคบ. และเภสัชฯ จุฬาฯ ร่วมหนุน “เสริมองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ”

การรับรอง “องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ” นับเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าในการยกระดับระบบและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศที่จะนำไปสู่การป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงจากสินค้าหรือบริการที่ไม่ปลอดภัย

นายพิฆเนศ ต๊ะปวง. รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (ภาพจาก สคบ.)

สานพลังฉบับนี้ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณพิฆเนศ  ต๊ะปวง. รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ถึงความสำคัญของการรับรององค์กรผู้บริโภค ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังจาก สำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ (มวคบ.) และ สคบ. ได้ร่วมมือกันพัฒนาหลักเกณฑ์กระบวนการต่างๆ ในการรับรองคุณภาพสำหรับองค์กรผู้บริโภคมาตั้งแต่ปี 2558  และเพิ่งร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เรื่อง “การพัฒนาระบบรับรององค์กรผู้บริโภคและการสนับสนุนองค์กรผู้บริโภค” กันไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2561

แนวทางการดำเนินงานและความคาดหวังต่อองค์กรผู้บริโภคคุณภาพที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามได้นับจากนี้

◊ เหตุใด สคบ.จึงให้ความสำคัญกับการรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพ?

 สคบ.ได้ประโยชน์อย่างมากในการร่วมลงนามในครั้งนี้ เพราะการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นภารกิจโดยตรงของ สคบ. แต่ด้วยข้อจำกัดของภาครัฐ ทั้งในแง่ของบุคลากรที่มีเพียง 200 กว่าคน กับการดูแลคุ้มครองปกป้องผู้บริโภคกว่า 65 ล้านคนนั้น ไม่ง่าย โดยเฉพาะหลังจากที่เปิด AEC ทำให้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ามากขึ้น ปัญหาก็เพิ่มขึ้น

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้เราจึงเปลี่ยนมุมมองใหม่ว่าการคุ้มครองผู้บริโภคที่ดีที่สุดคือการทำให้ผู้บริโภคเข้มแข็ง สามารถปกป้องตัวเองได้ นั่นคือ เราเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้ปกป้อง” เป็น “ผู้หนุนเสริม” หรือสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้บริโภคแทน ซึ่งสอดรับกับรัฐธรรมนูญที่เปิดให้ภาครัฐสามารถสร้างกลไกบางอย่างขึ้นมาดูแลผู้บริโภคให้เข้มแข็ง ดังนั้นเราจึงให้ความสนใจวิธีการที่ทำให้เกิดการรวมตัวของผู้บริโภคอย่างมีคุณภาพ จนกระทั่ง สสส.พัฒนาหลักเกณฑ์องค์กรผู้บริโภคคุณภาพขึ้นมา

◊ สคบ.มีแนวทางหนุนเสริมเรื่องนี้อย่างไร?

เมื่อเป็นองค์กรที่ผ่านการประเมิน ซึ่งจะแบ่งเป็น ขั้นพื้นฐาน ขั้นมีสิทธิ และขั้นสูง ในส่วนของขั้นพื้นฐาน เราจะให้การรับรองว่าเป็นเครือข่ายของ สคบ. และช่วยเรื่องการถ่ายทอดความรู้ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เราผลิต รวมถึงเมื่อ สคบ.มีการเปิดหลักสูตรการอบรม เราจะเชิญองค์กรที่ได้รับการรับรองนี้เข้ามาเป็นแกนนำหรือเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับองค์กรที่เรารับรองด้วย

นอกจากนี้ เมื่อคนก็เข้ามาขอคำแนะนำปรึกษาก็เท่ากับช่วยแบ่งเบาภาระงานให้ สคบ.ได้ สอดรับกับนโยบายการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น ของ สคบ. ซึ่งมีคำสั่งตั้งแต่ปี 2553 ตามแผนการกระจายอำนาจ ฉบับที่ 2 ดังนั้น ถ้ามีองค์กรผู้บริโภคคุณภาพในพื้นที่เข้าไปอยู่ในคณะอนุกรรมการ สคบ.จะช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนในระดับท้องถิ่นซึ่งสอดรับกับนโยบายประชารัฐด้วย

◊ กำหนดเป้าหมายในเรื่องนี้ไว้อย่างไร?

ใน 5 ปีจากนี้ เราอยากเห็นคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำท้องถิ่น ประจำเทศบาล ประจำตำบล เป็นฟันเฟืองที่จะช่วยกันทำงานในพื้นที่ ขณะที่ส่วนภูมิภาคมีอนุคณะกรรมการระดับจังหวัด ถ้าระดับท้องถิ่นแก้ปัญหาไม่จบ จะส่งเรื่องมาที่อนุกรรมการระดับจังหวัด ช่วยกลั่นกรอง ถ้าไม่เป็นผล จึงจะส่งเรื่องมาที่ส่วนกลางคือสคบ. แต่ใจผมอยากให้เรื่องจบได้ในระดับจังหวัด กรณีมีข้อพิพาทให้ฟ้องศาลจังหวัดคดีผู้บริโภค

ท้ายที่สุดองค์กรเหล่านี้จะสอดรับกับองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคมาตรา 46 ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า ให้สิทธิประชาชนในการรวมตัว เพื่อให้เกิดพลังปกป้องพิทักษ์สิทธิ์ของตัวเอง โดยได้รับการสนับสนุนจากสคบ.ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ     ตรงนี้ตรงกับสิ่งที่สคบ.ได้บอกไว้แต่ต้นว่าทำให้ผู้บริโภคเข้มแข็งดีกว่าต้องคอยปกป้องตลอด24 ชม.

องค์กรผู้บริโภคคุณภาพที่เกิดขึ้นก็จะเป็นเหมือนตาสับปะรดที่อยู่ทั่วประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการคำนึงถึงผู้บริโภคมากขึ้นขณะที่ผู้บริโภคก็รู้สิทธิตัวเองมากขึ้น

ผศ.ภญ.ดร. รุ่งเพ็ชร สกุลบำรุงศิลป์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

“คณะเภสัชฯ เราเป็นคณะที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ คือ “ยา” ซึ่งแน่นอนว่า ยา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องคำนึงถึง “ความปลอดภัยของผู้บริโภค” เป็นสำคัญ เป็นแนวคิดพื้นฐานที่ฝังรากในคณะของเราอยู่แล้ว

“การรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างมาตรฐานองค์กรผู้บริโภคขึ้นมา โดยมีศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ หรือ คคส. เป็นองค์กรหลักด้านวิชาการ ในการออกแบบ พัฒนาเกณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมา ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทำการตรวจประเมินองค์กรต่าง ๆ  กว่า 200 องค์กรที่สมัครเข้ามา ซึ่งในเดือนตุลาคมนี้เตรียมมอบใบประกาศให้กับองค์กรที่ผ่านเกณฑ์ทั้งขั้นพื้นฐานและขั้นสูง

“หลังจากที่องค์กรต่าง ๆ ผ่านการประเมินแล้ว ในส่วนของภาควิชาการจะช่วยหนุนเสริมในเรื่องของการเสริมศักยภาพ องค์กรผู้บริโภคเหล่านี้เป็นเหมือนเครือข่ายเรา เราสามารถสื่อสารสนับสนุนข้อมูลวิชาการต่าง ๆ ได้เรื่อย ๆ  แต่จริง ๆ แล้วองค์กรต่าง ๆ เหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้  เพราะหลายครั้ง Best Practice มาจากผู้ปฏิบัติ  ในส่วนของภาควิชาการ เราช่วยหนุนเสริมในเรื่องของการจัดเวที เปิดโอกาส สร้างกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้กับเขาได้ คือร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน  อย่างเช่นบางองค์กรหรือบางหน่วยงานอาจมีระบบที่ดี หรือมีจุดเล็ก ๆ ที่ดี นำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้มาแลกเปลี่ยนกัน อนาคตสิ่งเหล่านี้อาจกลายมาเป็นมาตรฐานที่ทำร่วมกันได้

“เรามององค์กรเหล่านี้ว่า ควรเป็นองค์กรเครือข่ายที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเราช่วยสนับสนุนให้เกิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยสนับสนุนในเรื่องการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ และนำความรู้ที่ได้นั้นมาช่วยเติมเต็มและพัฒนาศักยภาพให้องค์กรต่าง ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นองค์กรผู้บริโภคที่สามารถสร้างความเข้มแข็งให้ผู้บริโภคได้ในอนาคต แบบนี้ยั่งยืนกว่า

“นี่คือสิ่งที่หวังอยากให้เกิดขึ้นกับกระบวนการรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพในส่วนของภาควิชาการ”

ที่มา สานพลัง ปีที่ 14 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2561