‘จิราพร ลิ้มปานานนท์’ ลาออกจาก คกก.วัตถุอันตราย ย้ำจุดยืนแบน 3 สารเคมี

เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (27 พฤศจิกายน 2562) รศ.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว โดยประกาศขอลาออกจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย และขอแย้งการแถลงข่าวของประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) ด้วยเหตุผลดังนี้

  1. ขอแย้งว่าไม่ได้มีการลงมติอย่างชัดเจน ว่าผู้ใดเห็นด้วยหรือไม่ในแต่ละประเด็น แต่เป็นภาวะจำยอมในการรับมติ จึงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นมติเอกฉันท์ เพราะหากพิจารณาในการอภิปรายจะพบว่า ดิฉันยืนยันชัดเจนมาโดยตลอดในการแบนสารทั้งสาม และยืนยันให้คงมติวันที่ 22 ตุลาคม 2562
  2. ขอแย้งการแถลงข่าวที่ว่า ไกลโฟเสตไม่เป็นอันตราย เพราะกรรมการรวมทั้งดิฉันได้อภิปรายถึงผลเสียต่อสุขภาพและไม่สามารถจะจัดการความเสี่ยงต่อผู้บริโภค จนพบปนเปื้อนทั้งในสิ่งแวดล้อม ผัก ผลไม้ และน้ำนมแม่

การประกาศลาออกของ รศ.ภญ.จิราพร ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในคณะกรรมการวัตถุอันตราย สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดใหม่ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรก โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธาน มีมติให้เลื่อนการแบน ‘พาราควอต’ และ ‘คลอร์ไพริฟอส’ ออกไปอีก 6 เดือน เป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ส่วน ‘ไกลโฟเซต’ ให้จำกัดการใช้และให้จัดอบรมการใช้อย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ มติเดิมของที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ให้ยกระดับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 และให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้งสามภายในวันที่ 1 ธันวาคม นี้

ทว่าภายหลังเมื่อคณะกรรมการชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่แทนได้มีการทบทวนมติเดิม โดยให้เหตุผลว่า หากจะยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทั้งสามสาร อาจมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติ เนื่องจากมีสารเคมีที่คงค้างอยู่ประมาณ 23,000 ตัน หากต้องทำลายจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก อีกทั้งยังไม่มีมาตรการรองรับที่เหมาะสมสำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

มติเดิมของที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562

 

ต่อมา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน รศ.ภญ.จิราพร ได้โพสต์ข้อความย้ำอีกครั้งว่า ในที่ประชุมครั้งล่าสุดไม่ได้มีการลงมติ และไม่ได้มีการนับองค์ประชุม ดังนั้น ประธานจะไปแถลงข่าวโดยอ้างเสียงมติเอกฉันท์มิได้

ในหนังสือขอลาออกของ รศ.ภญ.จิราพร ระบุด้วยว่า “กลไกคณะกรรมการวัตถุอันตรายอันเป็นกลไกที่สำคัญเชิงนโยบายในการตัดสินใจควบคุมวัตถุอันตรายเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและสังคม แต่จากการประชุมครั้งที่ผ่านมากลไกดังกล่าวไม่สามารถทำให้เกิดการตัดสินใจในเชิงนโยบายที่ดีได้”

การประกาศลาออกของ รศ.ภญ.จิราพร คือการตอกย้ำถึงเจตนารมณ์ของคณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดที่ผ่านมา และยืนยันว่าสารเคมีทั้งสามมีความเสี่ยงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

รศ.ภญ.จิราพร มีประสบการณ์ทำงานด้านเภสัชศาสตร์เพื่อสังคมมายาวนาน นับตั้งแต่เข้าทำงานที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2517 มีผลงานวิชาการที่สำคัญทั้งระดับชาติและระดับประเทศ

หลังเกษียณปี 2551 รศ.ภญ.จิราพร ยังทำงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ได้ช่วยผลักดันการประกาศบังคับใช้สิทธิเพื่อผลิตหรือนำเข้ายา 6 รายการ อาทิ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ยาสลายลิ่มเลือด ยารักษาโรคมะเร็ง ทำหน้าที่ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จนได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประธานสมาพันธ์องค์กรผู้บริโภคอาเซียน และได้รับเลือกตั้งเป็นนายกสภาเภสัชกรรม

ขณะเดียวกัน รศ.ภญ.จิราพร ยังทำงานวิจัยระบบยาและระบบทรัพย์สินทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการเข้าถึงยา และการเฝ้าระวังผลกระทบจากการเจรจาการค้าระหว่างประเทศต่อระบบสาธารณสุข ช่วยภาคประชาสังคมตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรกัญชาของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งเป็นการขอสิทธิบัตรพันธุ์พืชที่ตามกฎหมายไม่ให้ แต่กรมทรัพย์สินทางปัญญายังรับคำขอดังกล่าวไว้ในกระบวนการพิจารณา

นอกจากนี้ รศ.ภญ.จิราพร ยังรับหน้าที่สืบสานงานจาก ผศ.ภญ.สำลี ใจดี ในการพัฒนาการแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน และพืชสมุนไพร อาทิ กระท่อม กัญชา และสมุนไพรอื่นๆ ให้สามารถนำกลับมาเป็นแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และดูแลสุขภาพประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพได้ อย่างปลอดภัยและมีหลักฐานเชิงประจักษ์

 

 

‘Sick Building Syndrome’ ภัยสุขภาพของมนุษย์ตึก 2020

คนเมืองในยุคนี้กำลังเสี่ยงที่จะป่วยด้วยโรค ‘Sick building syndrome’ หรือที่เรียกกันว่า ‘กลุ่มโรคตึกเป็นพิษ’ สาเหตุมาจากฝุ่นละออง PM2.5 มลพิษทางอากาศ และความแออัดของที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน โดยมีคำเตือนจากแพทย์ว่า ภายในปี 2563 จะมีคนเมืองป่วยด้วยโรคนี้กันมากขึ้น

จากการเปิดเผยของ ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืดและระบบหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ระบุว่า โรคตึกเป็นพิษ หรือ Sick building syndrome ไม่ได้หมายถึงโรคชนิดเดียว หากแต่เป็นกลุ่มโรคที่แสดงอาการเมื่อต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการใช้ชีวิตในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือที่อยู่อาศัย โดยกลุ่มโรคนี้จะสัมพันธ์กับมลภาวะทางอากาศ ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ. 2563 หรือ ค.ศ. 2020 จะมีคนเมืองป่วยมากขึ้น

ศ.พญ.อรพรรณ กล่าวว่า กลุ่มโรค Sick building syndrome เป็นกลุ่มโรคที่วงการแพทย์ในปัจจุบันให้ความสำคัญและเฝ้าระวังอย่างมาก เนื่องจากพบว่าประชากร 1 ใน 3 ของผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมีประวัติป่วยเป็นกลุ่มโรคนี้ และมีแนวโน้มว่าผู้ป่วยจะเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนประชากร โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น การจราจรติดขัด และอาคารบางแห่งยังเป็นโครงสร้างแบบเก่าที่มีความชื้น ไม่มีการระบายอากาศที่ดี และใช้สีทาผนังหรือสิ่งพิมพ์ที่เป็นสารระเหยง่าย (volatile organic compounds)

ศ.พญ.อรพรรณ อธิบายเพิ่มว่า มลพิษภายในอาคารเกิดขึ้นได้ทั้งจากอากาศที่เล็ดลอดเข้ามา และเกิดจากภายในอาคารเอง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ระบบระบายอากาศไม่ถ่ายเท พรมทางเดินมีไรฝุ่น มีการตกแต่งอาคารโดยใช้สีทาผนังซึ่งเต็มไปด้วยสารเคมีต่างๆ รวมถึงมีความชื้น รอยรั่วซึม ซึ่งทำให้เกิดเป็นเชื้อราตามฝาผนัง ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียง่าย ปวดหัว ไอ จาม คลื่นไส้ หายใจไม่สะดวก ฯลฯ

“เราต้องสังเกตอาการตัวเองให้ดี เช่น ทำไมเดินเข้าอาคารนี้แล้วรู้สึกไม่ค่อยดี อยู่นานๆ แล้วรู้สึกเวียนหัว เพลีย แสบคอ คันตา คันจมูก คันผิวหนัง อาการผิดปกติเช่นนี้เกิดจากการที่เราไปใช้ชีวิตอยู่ในอาคารที่มีมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค”

ผู้อำนวยการศูนย์เป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ฯ แนะนำว่า การเอาตัวเองออกมาข้างนอกจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่สำหรับผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ จะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้อื่น หรืออาจมีอาการรุนแรงมากยิ่งขึ้น เช่น ผู้ป่วยโรคหอบก็จะเสี่ยงอาการกำเริบมากขึ้น และถึงแม้จะไม่ได้มีโรคประจำตัว ครอบครัวไม่ได้มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ แต่หากใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ที่มีความเสี่ยงทุกวันก็จะกลายเป็นผู้ป่วยได้ในที่สุด

นอกจากนี้ คนเมืองยังสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค ‘ออฟฟิศซินโดรม’ ซึ่งมาจากการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ ขาดการออกกำลังกาย เพราะการใช้ชีวิตในพื้นที่แนวดิ่งไม่เอื้ออำนวย เช่นเดียวกับการเกิดกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs: Non-communicable diseases) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากวิถีชีวิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การบริโภคอาหารประเภทหวาน-มัน-เค็ม มากเกินไป และขาดการออกกำลังกาย

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหา คือการปรับปรุงสถานที่ให้เป็นมิตรต่อสุขภาวะให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม แม้ระบบอาคารจะถูกออกแบบใหม่เพื่อให้อากาศถ่ายเท แต่ถ้าคอนโดอยู่ในสถานที่ตั้งที่มีดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index: AQI) อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็ต้องมีเครื่องฟอกอากาศช่วย และต้องถูกวางในห้องที่สมาชิกครอบครัวใช้เวลามากที่สุด โดยเปิดทิ้งไว้ล่วงหน้า 30 นาทีเป็นอย่างน้อย ขณะเดียวกัน ภายในห้องนอนควรจัดให้โล่งที่สุด ไม่ควรมีพรมซึ่งเสี่ยงต่อการสะสมไรฝุ่น หมั่นทำความสะอาดผ้าม่านอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการมีตุ๊กตาและหมอนจำนวนมาก เพราะเสี่ยงต่อการเก็บกักเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้

“ที่สำคัญคนเมืองยุคนี้ต้องปรับพฤติกรรมตามหลัก 4Es ตั้งแต่ eating (การกิน) exercise (การออกกำลังกาย) environment (ปรับสภาพแวดล้อมรอบตัว) emotion (ปรับอารมณ์) ให้ถูกสุขลักษณะ และติดตามข่าวสารอยู่เสมอ ไม่ควรไปยังสถานที่ใดที่ค่าดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ในขั้นเฝ้าระวัง พกพาหน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัย และยิ่งเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่มีฝุ่นหนาแน่นต้องใส่หน้ากากแบบ N95 ซึ่งป้องกันฝุ่น PM2.5 และเชื้อไวรัสได้ ส่วนในกรณีผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ต้องพกยาติดตัวไว้เสมอ เพราะไม่อาจรู้ได้ว่าจะต้องไปเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงเมื่อใด” ศ.พญ.อรพรรณ กล่าว

ศ.พญ.อรพรรณ กล่าวว่า ตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา มลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็กยังคงเป็นปัญหาสำหรับคนในเขตเมือง และในปี 2563 เป็นต้นไป คาดว่าจะมีผู้ป่วยจากโรคตึกเป็นพิษมากขึ้น ฉะนั้นจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้นกว่าเดิม

บุกตลาดยาแก้ปวดในอินเดีย ประเทศที่เคยเชื่อว่า ‘ไม่มีใครว่างพอจะบ่นเรื่องความเจ็บปวด’

ทันทีที่อินเดียผ่อนปรนกฎหมายยาเสพติดที่เคยเข้มงวด บริษัทยารายใหญ่สัญชาติอเมริกัน เช่น Johnson & Johnson, Abbott Laboratories และเครือข่ายของ Purdue Pharma ก็พากันมุ่งหน้าเข้าสู่อินเดีย

ดูเรชา (Dureja) คือแพทย์ผู้ก่อตั้งศูนย์จัดการความเจ็บปวดแห่งเดลี (Delhi Pain Management Centre) และเป็นหนึ่งในกลุ่มแพทย์ผู้บุกเบิกด้านการจัดการความเจ็บปวดในอินเดีย

ที่คลินิกของดูเรชา หญิงคนหนึ่งมาพบหมอเพราะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Fibromyalgia หรือความผิดปกติทางระบบประสาทเรื้อรังที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย การใช้ยาสูตรผสมระหว่างพาราเซตามอล (paracetamol) กับทรามาดอล (tramadol) ซึ่งเป็นยาระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์ (opioid analgesic) ไม่สามารถระงับความเจ็บปวดได้ เธอต้องการยาที่แรงกว่านั้น

ก่อนหน้านี้ ชาวอินเดียมองว่าการระงับความเจ็บปวดเป็นแนวทางแบบตะวันตก หลังจากที่หญิงคนนั้นออกจากคลินิกไปพร้อมกับใบสั่งยาใหม่ หมอดูเรชากล่าวว่า “ในอินเดีย ไม่มีใครมีเวลามาบ่นเรื่องความเจ็บปวด แต่ตอนนี้ ผมมีคนไข้ใหม่ราว 5-7 คนต่อวัน”

ศูนย์จัดการความเจ็บปวดเดลีเป็นคลินิกเอกชน ที่มีสาขาประมาณ 20 แห่งกระจายอยู่ในมุมไบ กัลกัตตา บังกาลอร์ และในเมืองใหญ่อื่นๆ ของอินเดียซึ่งมีประชากรประมาณ 1,300 ล้านคน

หลายทศวรรษที่ผ่านมา อินเดียเข้มงวดกับกฎหมายยาเสพติดมาก เนื่องจากต้องต่อสู้กับการระบาดของฝิ่นมานานนับศตวรรษ แต่ถึงวันนี้ อินเดียพร้อมที่จะบรรเทาอาการปวดให้แก่ประชาชน

และบรรดาบริษัทยาสัญชาติอเมริกัน ผู้สร้างปัญหา opioid crisis ในสหรัฐอเมริกาและพวกเสือหิวตลาดใหม่ ก็พร้อมบุกตลาดและกระตุ้นความต้องการใช้ยานี้

คนไข้มะเร็งชาวอินเดียที่เคยชักดิ้นชักงอด้วยความปวดร้าวทรมาน จะอาศัยแผ่นปิดที่มีตัวยา fentanyl patches ของบริษัทที่เป็นสาขาของ Johnson & Johnson ส่วนชนชั้นกลางที่ส่วนใหญ่ทำงานออฟฟิศและมักจะมีปัญหาปวดคอปวดหลัง ก็จะใช้ buprenorphine ของ Mundipharma อีกหนึ่งเครือข่ายบริษัทที่บริหารโดยครอบครัวแซคเลอร์ (Sackler) ซึ่งเป็นเจ้าของ Purdue Pharma แห่งคอนเนคติคัต และผู้สูงอายุชาวอินเดียหลายร้อยล้านคนที่มักมีปัญหาปวดตามข้อต่อต่างๆ และหัวเข่า ก็ได้อาศัย tramadol จากบริษัท Abbott Laboratories

ผู้ดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (palliative care) ที่เห็นผู้ป่วยมะเร็งต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดหรือตายไปอย่างทรมาน เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐอนุญาตให้มียาแก้ปวดโอปิออยด์ชนิดแรงๆ ในคลินิกและร้านขายยาได้

‘ชีวิตที่ปลอดจากความเจ็บปวด’ ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลอกล่อในประเทศที่รายได้กำลังพุ่งสูงขึ้นในกลุ่มคนเมืองจำนวนมาก และประชากรประมาณ 300-400 ล้านคนเขยิบขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง แพทย์ด้านความเจ็บปวดรุ่นใหม่ให้ความหวังกับชาวอินเดียว่า ชีวิตจะดีขึ้นอีกมาก ถ้าร่างกายไม่เจ็บปวด

“อย่าไปเชื่อฟังบรรพบุรุษ” ดูเรชากล่าว “บรรพบุรุษบอกว่าคุณควรทนกับความเจ็บปวด ไม่ควรบ่น ไม่ควรกินยาแก้ปวด แต่เดี๋ยวนี้ ใครๆ ก็อยากจะหายปวดให้เร็วที่สุด”

มีความพยายามอย่างจริงจังในการนำเสนอให้เห็นถึงความทุกข์ยากของผู้ป่วย กลุ่มแพทย์และกลุ่มบริษัทยาสนับสนุนให้มีการใช้ยาบรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยมะเร็ง และเรียกร้องให้ผู้ควบคุมยาอนุมัติทะเบียนยาโอปิออยด์แรงๆ ให้คนไข้เข้าถึงได้มากขึ้น บรรดาแพทย์ด้านความเจ็บปวดพากันเปิดคลินิก ตามมาด้วยคลินิกเงาด้านความเจ็บปวด

และแล้วโอปิออยด์ที่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ก็พรั่งพรูออกมา ช่วงแรกๆ ก็เป็นไปตามกฎหมายให้ใช้ในทางการแพทย์ แต่ไม่นานนักก็รั่วไหลสู่ถนนและเข้าสู่ตลาดมืด

แนวโน้มที่จะมีผู้ติดยาแก้ปวดเพิ่มขึ้นอีกมากมายสร้างความกังวลใจให้กับวิชาชีพของแพทย์อินเดียบางคน ซึ่งมั่นใจว่า ถ้ารัฐไม่ควบคุม ยาส่วนใหญ่ก็จะแพร่กระจายด้วยอำนาจเงินไปที่ร้านขายยา

“ประชาชนจะรู้เท่าทันหรือไม่ ต่อกลอุบายที่จะทำให้โอปิออยด์แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง?” บ็อบบี จอห์น (Bobby John) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของอินเดียในนิวเดลี เอ่ยถาม “มันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

 

ตลาดยาแก้ปวดไปได้สวย

สำนักงานใหญ่ของคลินิกความปวดในอินเดียได้เปิดสำนักงานสาขาเล็กๆ ในเชมบูร์ (Chembur) ชานเมืองมุมไบทางตะวันออก บริษัทนี้ได้เผยแพร่อย่างโดดเด่นทางอินเทอร์เน็ตว่า ไกลาศ โกธารี (Kailash Kothari) นายแพทย์ผู้ก่อตั้งคลินิก ปฏิเสธการเรียกร้องจากประชาชนในแอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องการโอปิออยด์ที่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์

ในตรอกแห่งหนึ่ง มีคลินิกเล็กๆ ตั้งอยู่ ด้านหน้ามีภาพคนแสดงอาการปวดหลัง ปวดคอ เข่าบ้าง ศีรษะบ้าง ไหล่บ้าง โดยรวมแล้ว ภาพต้องการจะสื่อว่า ‘มุ่งสู่ชีวิตที่ปราศจากความเจ็บปวด’

ในด้านโครงสร้างการกระจายยาแก้ปวด โกธารีมีคลินิกหลายแห่งในมุมไบ เขาเป็นที่ปรึกษาให้กับโรงพยาบาลหลายแห่ง และยังต้องบินไปที่คลินิกของเขาในเมืองกัว (Goa) สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Indian Academy of Pain ซึ่งเป็นสาขาการศึกษาแขนงหนึ่งของ Indian Society for the Study of Pain ที่มุ่งสร้างมาตรฐานการอบรมด้านการจัดการความเจ็บปวดในทางการแพทย์

“ตอนนี้แพทย์ทั่วไปก็ได้เริ่มจ่ายยาเหล่านี้แล้ว” ดูเรชากล่าว “แต่เราก็ยังไม่ได้ให้การศึกษาแก่ประชาชนว่าจะใช้หรือหยุดใช้ยาเหล่านี้เมื่อใด”

ที่คลินิกของดูเรชาก็เช่นเดียวกับคลินิกอื่นๆ ในอินเดีย คนไข้จ่ายเงินสดแลกกับบริการและใบสั่งยา ศูนย์จัดการความปวดเดลีคิดค่าบริการให้คำปรึกษา 10 ดอลลาร์ แผ่นยาปิดแก้ปวดเฟนตานิลของ Johnson & Johnson อีก 10 ดอลลาร์ และสำหรับแผ่นยาปิดแก้ปวด buprenorphine ของ Mundipharma สำนักงานของดูเรชาจะได้รับ 15 เปอร์เซ็นต์ของรายได้

ในห้องนั่งคอยพบแพทย์ภายใน East Delhi Clinic ของดูเรชามีแผ่นแสดงความขอบคุณจาก Johnson & Johnson ในโอกาสที่ดูเรชาไปบรรยายในงานสัมมนาเรื่องการจัดการความเจ็บปวด โดยบรรยายเกี่ยวกับ tapentadol ซึ่งเป็นโอปิออยด์ตัวหนึ่งที่วางตลาดโดย Johnson & Johnson ในปี 2009 เคาน์เตอร์จ่ายยาของคลินิกนี้จำหน่ายยาชื่อทางการค้าว่า Ultracet ซึ่งเป็นยาเม็ด tramadol ที่ผลิตโดยโรงงานในเครือของ Johnson & Johnson

ในแต่ละปีจะมีแพทย์ 20 คนมาเข้าอบรมกับโกธารีเป็นเวลา 3-6 เดือน เขาบอกว่าทำการอบรมไปแล้ว 150 คน “มีมากกว่า 50 คนที่มีคลินิกขจัดความเจ็บปวดเป็นของตนเองแล้ว กระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ของอินเดีย” โกธารีกล่าว

โกธารีบอกว่า มีเพียงบางโรงพยาบาลในมุมไบเท่านั้นที่รับรักษาผู้ป่วยมะเร็งและใช้ยาโอปิออยด์ “เราใช้ยาเหล่านี้มากขึ้นทุกปี” เขากล่าว “ร้านขายยาและโรงพยาบาลหลายแห่งเริ่มขอใบอนุญาตครอบครองยาเหล่านี้ และความแพร่หลายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มิใช่มีเพียงโอปิออยด์ชนิดเม็ดสำหรับรับประทานเท่านั้น แต่ยังมีชนิดน้ำเชื่อมสำหรับรับประทาน ชนิดฉีด และชนิดแผ่นปิดอีกด้วย”

โรงพยาบาลขนาดใหญ่ในอินเดียส่วนใหญ่ได้บรรจุเรื่องการบริหารจัดการความเจ็บปวดเข้าเป็นอีกหนึ่งสาขาพิเศษเฉพาะ (specialty) ในช่วง 2-3 ปีมานี้ โกธารีบอกว่า การรับรองคุณภาพของโรงพยาบาลอินเดียในปัจจุบันนั้น สมาคมวิชาชีพกำหนดให้แพทย์และพยาบาลจะต้องมีความสามารถในการประเมินความเจ็บปวดได้เช่นเดียวกับการวัดชีพจร อุณหภูมิ การหายใจและความดันโลหิต

อุตสาหกรรมยาก็ก้าวตามทัน โกธารีกล่าวว่า เมื่อย้อนหลังไป 20 ปี มีบริษัทยาเพียงไม่กี่แห่งที่วางตลาดยาแก้ปวดในอินเดีย “แต่ถึงวันนี้ เกือบจะทุกบริษัทมีเรื่องการจัดการความเจ็บปวดแยกออกมาเป็นอีกหนึ่งแผนก”

เซลส์แมนของ Sun Pharma บริษัทยาที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในอินเดีย สะท้อนว่า

“เดี๋ยวนี้ประชาชนขับรถเองมากขึ้น จึงมีการปวดหลังมากขึ้น ทำให้ต้องใช้ยา” เช่นเดียวกับอัตราการเป็นโรคอ้วนที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นสาเหตุให้ต้องใช้ยามากขึ้น ทั้งโรคปวดหลังและปวดเข่า “ดังนั้น ตลาดยาแก้ปวดจึงไปได้สวย”

มานโมฮัน ซิงห์ (Manmohan Singh) รองประธานกรรมการบริหาร Modi-Mundipharma ในนิวเดลี กล่าวว่า การให้ยาแก้ปวดโอปิออยด์เป็นทางเลือกที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการปวดอันเนื่องจากมะเร็ง เขายังกล่าวอีกว่า ในการส่งเสริมการขายของบริษัท จะต้องเน้นย้ำให้แพทย์ใส่ใจในเรื่องข้อมูลความปลอดภัยและในเรื่องผลข้างเคียง

“ควรทำให้คนไข้เข้าใจอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายของการรักษาที่สัมพันธ์กับความเจ็บปวดและการทำงานของอวัยวะส่วนนั้นๆ รวมถึงให้เข้าใจเรื่องผลข้างเคียงของโอปิออยด์ โอกาสที่จะมีการใช้อย่างผิดๆ (misuse) และในทางที่ผิด (abuse) ตลอดจนการเสพติด” เขาเขียนในบทความ

 

ก้าวที่ผิดพลาด

ความเฟื่องฟูของการจัดการความเจ็บปวดในอินเดียเกิดจากสถานการณ์ทางการเมืองแบบบังเอิญ ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ (Narendra Modi) ได้ลงทุนทุ่มเทอย่างมากในระบบการดูแลสุขภาพ ฤดูใบไม้ร่วงของปีที่แล้ว รัฐบาลอินเดียได้ริเริ่มโครงการประกันสุขภาพภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่า Ayushman Bharat หรือที่นิยมเรียกกันว่า ‘Modicare’ โครงการนี้ประกันสุขภาพให้คนอินเดียที่ยากจนประมาณ 500 ล้านคน และเมื่อถึงปี 2020 รัฐบาลจะเปิดศูนย์ดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ 150,000 แห่ง และรัฐบาลได้ให้เงินประเดิมโครงการนี้ไว้ 484 ล้านดอลลาร์

ซึ่งโครงการนี้จะเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีการคลายความเข้มงวดของกฎหมายยาเสพติด

คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดแห่งชาติถือกำเนิดเมื่อปี 1968 และกฎหมายยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทปี 1985 ได้ระบุเงื่อนไขต่างๆ สำหรับแพทย์ที่ต้องการสั่งจ่ายยาแก้ปวดโอปิออยด์ พร้อมกับบทลงโทษหากมีการละเมิด

กฎหมายยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทได้รับการแก้ไขในปี 2014 เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่า การบรรเทาอาการปวดเป็นเรื่องสำคัญ กฎหมายที่แก้ไขแล้วมีกลุ่มยาเกิดขึ้นใหม่ เรียกว่า รายการยาเสพติดที่จำเป็น ได้แก่ มอร์ฟีน, เฟนตานิล, เมทาโดน, oxycodone, โคเดอีน และ hydrocodone

เอ็ม. อาร์. ราชาโกปาล (M. R. Rajagopal) วิสัญญีแพทย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการดูแลรักษาแบบประคับประคองในอินเดีย แสดงความกังวลว่า การก้าวที่ผิดพลาดของรัฐบาลจะทำให้มีการกระจายโอปิออยด์อย่างแพร่หลายกว้างขวาง สวนทางกับงานที่เขาทำมาหลายทศวรรษ ที่เขาไม่แนะนำให้ใช้ oxycodone หรือ hydrocodone

หลายทศวรรษที่ผ่านมา เขาพยายามชี้แนะนักกฎหมายระดับชาติว่า ไม่ควรผ่อนผันให้ใช้โอปิออยด์ แต่ควรส่งเสริมให้ใช้มอร์ฟีนและยาแก้ปวดชนิดอื่นๆ “เป็นเวลานานมากแล้วที่แพทย์ไม่เคยเห็นยาเม็ดมอร์ฟีน” เขากล่าว

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com

เรียน-เครียด-ซึมเศร้า วงเวียนชีวิตนักศึกษาไทย

แฮชแท็กยอดฮิต #การศึกษาฆ่าฉัน กลายมาเป็นแคมเปญรณรงค์ที่ติดเทรนด์อันดับ 1 ของทวิตเตอร์ในชั่วข้ามคืนของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมื่อเยาวชนคนหนุ่มสาวต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นมาพูดถึงสภาพปัญหาที่ตัวเองต้องเผชิญในฐานะที่เป็น ‘นักศึกษา’

ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการปรับตัว การแบกรับความคาดหวังของตัวเองและครอบครัว การถูกบังคับด้วยกฎระเบียบอันคร่ำครึไร้เหตุผล ตลอดจนการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่อาวุโสมากกว่า

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในแง่หนึ่งจึงกลายเป็นความเครียด ความกดดัน ที่ค่อยๆ บ่มเพาะขึ้นในตัวของนักศึกษาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

ยิ่งเครียด ยิ่งเปราะบาง

เป็นความจริงที่ว่า ทุกมหาวิทยาลัยล้วนมีนักศึกษาที่คาดหวังผลการเรียนในระดับที่สูงมาก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เด็กกลุ่มนี้รู้สึกแย่หรือด้อยค่าอย่างรุนแรง และยิ่งเมื่อต้องเจอกับแรงกดดันของครอบครัวที่ทิ่มแทงมาจากข้างหลังด้วยแล้ว ช่วงใกล้สอบจึงเป็นช่วงที่เด็กแสดงอาการทางจิตเวช เกิดความเครียด และมีความพยายามฆ่าตัวตายมากที่สุด

“ใน 1 ปี นักศึกษาจะเครียดจัด 4 ครั้ง ได้แก่ สอบมิดเทอม 2 ครั้ง สอบไฟนอลอีก 2 ครั้ง ซึ่งจากผลสำรวจภาวะเครียด-ซึมเศร้าในเด็กมหาวิทยาลัย พบว่าในช่วงเหล่านี้มีเด็กที่เครียดสะสมในระดับมากถึงระดับรุนแรงเกือบ 1 ใน 3 ของเด็กทั้งหมด” อธิชาติ โรจนะหัสดิน อาจารย์สาขาจิตวิทยาคลินิก คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ข้อมูล และบอกด้วยว่าในสถานการณ์นี้ผู้ปกครองจำเป็นต้องเข้าใจและช่วยกันเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ไปเพิ่มแรงกดดันจนเด็กรับไม่ไหว

แน่นอนว่า ความเครียดย่อมเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน แต่หากพูดถึง ‘ความเปราะบาง’ จะพบว่าอาการลักษณะนี้มักจำกัดอยู่ในกลุ่มของนักศึกษาชั้นปีที่ 1

“เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะต้องปรับตัวในหลายๆ เรื่องพร้อมกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กไทยมีภาวะพึ่งพิงสูง เมื่อต้องจากบ้านออกมาจะเกิดความเครียด ความกังวล บางคนเหงามาก กว่าจะมีเพื่อนกินข้าวด้วยก็เข้าสู่ภาคเรียนที่ 2 ไปแล้ว หรือในกลุ่มเด็กที่ต้องมาอยู่หอพัก ตรงนี้ก็มักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาเงินทอง กิจกรรมระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ระบบโซตัส ฯลฯ

“หรือแม้แต่ในกลุ่มเด็กเก่งเอง เป็นช้างเผือกจากต่างจังหวัด เคยเป็นที่หนึ่งของหมู่บ้าน เป็นเด็กเก่งประจำโรงเรียน ประจำตำบล แต่พอต้องมาเจอกับเด็กหัวกะทิในกรุงเทพฯ ก็ทำให้หลายคนไปไม่เป็นเหมือนกัน ดังนั้นเด็กปี 1 จึงมีความเครียดและภาวะซึมเศร้าสูงกว่าอีก 3 ชั้นปีอย่างมีนัยสำคัญ” อาจารย์สาขาจิตวิทยาคลินิก ระบุ

 

ธรรมศาสตร์ผุด ‘Viva City’ รองรับไม่ให้นักศึกษาร่วงหล่น

จากสภาพความเป็นจริงข้างต้น มีความเป็นไปได้ที่นักศึกษาจะบอบช้ำและร่วงหล่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงได้จัดตั้ง ‘ศูนย์ชีวิตชีวา’ (Viva City) ขึ้นในโซนหอพักนักศึกษา ณ ศูนย์รังสิต ทำหน้าที่คล้ายกับคลินิกให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจ เปิดบริการตั้งแต่ เวลา 08.30-22.00 น.

ทุกวันนี้ ศูนย์ Viva City ยังอยู่ในช่วงโครงการนำร่อง แต่ก็ได้เปิดให้บริการแล้วใน 2 ส่วนใหญ่ๆ ประกอบด้วย 1. คลินิกให้คำปรึกษา มีบุคลากรผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ Student Advisor ซึ่งผ่านการคัดเลือกและฝึกอบรมให้เป็นผู้ให้คำปรึกษาเบื้องต้น ทำงานร่วมกับนักจิตวิทยา จิตแพทย์ จากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ 2. Call Center ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเลขหมาย 02-028-2222

“ศักยภาพของ Viva City ในช่วงแรกยังไม่ถึงขั้นรักษา โดยเฉพาะในเคสที่มีความรุนแรงฉุกเฉินก็จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ฉะนั้นหน้าที่ของเราจริงๆ ก็คือการเข้าถึงเคสให้เร็ว จากนั้นก็ช่วยแปะพลาสเตอร์ คือทำให้นักศึกษา cool down ลงมาก่อน” อาจารย์อธิชาติ ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ อธิบาย

แม้ว่าศูนย์ Viva City จะเพิ่งเปิดได้ไม่ถึง 2 เดือน แต่จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคมที่ผ่านมา พบว่ามีนักศึกษาเข้ามาใช้บริการแล้วถึง 155 ครั้ง โดยพบปัญหาความเครียดเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือการเรียน ความวิตกกังวล และการปรับตัว

แน่นอนว่า คงยังเร็วไปที่จะชี้ว่าการตั้งศูนย์แห่งนี้ประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด แต่จากอัตราการฆ่าตัวตายของนักศึกษาที่เคยมีราว 2-3 รายต่อปี ปัจจุบันสถิติยังคงอยู่ที่ 0 ราย และภายในเดือนเดียวศูนย์ Viva City สามารถช่วยเคสที่มีแนวโน้มฆ่าตัวตายไปได้ถึง 4 เคส ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

อาจารย์อธิชาติ บอกว่า จุดแข็งของศูนย์ให้คำปรึกษาในมหาวิทยาลัยคือ ความเข้าใจสภาพปัญหาและบริบทของนักศึกษา มากไปกว่านั้นก็คือ รู้ว่านักศึกษาอยู่ที่ไหน ทำให้เข้าถึงได้อย่างทันท่วงที มีการจัดรถและหน่วยเคลื่อนที่เร็วครอบคลุมการดูแลทั้งหอในและหอนอก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความศูนย์ Viva City จะทำหน้าที่แทนโรงพยาบาล

“นักศึกษาจะมีอาการขึ้นๆ ลงๆ ในช่วงใกล้สอบ แต่โรงพยาบาลซึ่งต้องให้บริการทั้งนักศึกษาและประชาชนทั่วไปจะมีคิวแน่นเป็นคอขวด อาจไม่สามารถรองรับความต้องการที่ขึ้นๆ ลงๆ ของนักศึกษาได้ไหว ตรงนี้ศูนย์ Viva City จะมีจิตแพทย์ Part time มาช่วยรองรับความต้องการของนักศึกษาที่ล้นจากโรงพยาบาลในช่วงใกล้สอบได้

“ในกรณีที่นักศึกษาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจนอาการดีขึ้นแล้ว แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่นักศึกษาเลือกจะกลับมาอยู่หอพัก ศูนย์ Viva City ก็จะเข้ามาช่วยติดตามอาการอย่างใกล้ชิด” อาจารย์อธิชาติ ฉายภาพการสนับสนุนการทำงานของโรงพยาบาล

หลังจากเปิดศูนย์ Viva City อย่างเป็นทางการช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ก็จะเริ่มประชาสัมพันธ์ให้เข้มข้น เพิ่มบุคลากร พัฒนาระบบ Call Center ให้ใช้ได้ทั้ง 4 วิทยาเขต และในอนาคตอันใกล้จะมีการจับมือกับบริษัท Ooca เพื่อขยายบริการให้คำปรึกษาผ่านวิดีโอคอลด้วย

 

เลิกเนื้อสัตว์ กินผัก ออกวิ่ง สัญญาณวิกฤติวัยกลางคน

ไม่พอใจกับความสำเร็จ ห่อเหี่ยว ไม่มีแรงลุกจากเตียง เปิดโหมดอัตโนมัติแล้วปล่อยให้ชีวิตเป็นไปเอง หรือพลิกโฉมตัวเองเป็นคนใหม่ หันมากินอาหารปลอดเนื้อสัตว์ หรือวีแกน (vegan) แข่งวิ่งมาราธอน หรือสมัครเข้าแข่งขันรายการคนอึด เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกจุดเปลี่ยนของการเข้าสู่วิกฤติวัยกลางคน

‘วิกฤติวัยกลางคน’ (midlife crisis) เป็นคำที่ อีเลียตต์ ฌาคส์ (Elliott Jaques) นักจิตวิเคราะห์ชาวแคนาดาประดิษฐ์ขึ้นมาในปี 1965 เพื่ออธิบายความท้าทายที่เกิดขึ้นในระยะเปลี่ยนผ่านจากช่วงหนึ่งไปสู่อีกช่วงของชีวิต ซึ่งพบได้ทั่วไปในบรรดาผู้คนวัยตั้งแต่ 40-60 ปี

Bupa Health Clinics ประมวลข้อมูลที่เก็บได้จากผู้ใหญ่ชาวอังกฤษจำนวน 3,000 คน สรุปได้ว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงปีที่ 40 หรือ 50 ของชีวิต คนส่วนมากเจอปัญหา และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ โดยหันเหจากตัวเลือกเก่าๆ เช่น การซื้อรถสปอร์ตสักคัน มาเป็นการจ่ายเงินเพื่อดูแลสุขภาพ เช่น เข้าพบแพทย์ เปลี่ยนวิถีการกิน เลิกบุหรี่ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ก็บอกลาเส้นทางสายดื่มถาวร

งานวิจัยเมื่อปี 2018 ระบุว่า คนอังกฤษเกือบครึ่งมักเปลี่ยนมารักสุขภาพเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 30, 40, หรือ 50 ปี เช่น คนอังกฤษจำนวนกว่าครึ่งเปลี่ยนมางดหรืออดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยผู้หญิงมักเข้าสู่วิกฤติวัยกลางคนเร็วกว่าผู้ชาย ขณะที่ผู้ชายมักเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองในวัย 40 ผู้หญิงมักเริ่มทำตั้งแต่วัย 30 ปี อย่างไรก็ตาม เม็ก อาร์โรลล์ (Meg Arroll) นักจิตวิทยาประจำบริษัทจำหน่ายวิตามินและอาหารเสริม Healthspam เตือนว่าแม้ผู้ชายจะเข้าสู่วิกฤติวัยกลางคนช้ากว่า แต่วิกฤติที่เจอก็มักรุนแรงกว่า เช่น มีอาการซึมเศร้า หมดพลัง

แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าคนคนหนึ่งเข้าสู่วิกฤติวัยกลางคน กลุ่มเป้าหมายวิจัยเพศชาย 24 เปอร์เซ็นต์เลือกเป็นวีแกน ผู้ชายอีก 31 เปอร์เซ็นต์เลือกสมัครเข้าร่วมการแข่งขันที่ต้องใช้แรงกายมากๆ เช่น วิ่งมาราธอน หรือแข่งซีรีส์ ‘เกมคนอึด’ (Tough Mudder) หรือการแข่งขันที่ผู้เข้าแข่งจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ อาทิ เปลวไฟ กระแสไฟฟ้า หรือความสูง ตลอดระยะทาง 16-19 กิโลเมตร คน 5 เปอร์เซ็นต์ให้เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงตัวเองว่าเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้เจอความท้าทายใหม่ๆ ส่วนอีก 6 เปอร์เซ็นต์บอกว่าอยากดูหนุ่มแน่นขึ้น เพราะจะได้เอาใจแฟนสาวอายุน้อยกว่า

หลังผ่านงานฉลองวันเกิดวัยสำคัญๆ ผู้หญิง 67 เปอร์เซ็นต์ตัดสินใจเปลี่ยนวิถีการกินให้ ‘รักสุขภาพ’ มากขึ้น ผู้หญิง 50 เปอร์เซ็นต์เลือกสมัครเป็นสมาชิกยิม หรือจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวมาช่วยควบคุมการออกกำลังกาย

“การก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ของชีวิตเป็นหนึ่งในหลายๆ ตัวแปรที่กระตุ้นให้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ” เจค วิลเลียมส์ (Jake Williams) ผู้ให้คำแนะนำด้านสุขภาพจากสถาบัน Bupa Health Clinics เล่าว่าเมื่อใกล้หรือเข้าสู่วัยลงท้ายด้วยเลข 0 ไปแล้ว ลูกค้ามักเข้ามาใช้บริการตรวจสุขภาพมากขึ้น

 

กินผัก

ก่อนหน้านี้ อเล็กซ์ โกติเยร์ (Alex Gauthier) เป็นเชฟชาวฝรั่งเศสที่คุ้นชินกับการปรุงอาหารจากเนื้อวัว ปลา ไปจนถึงเมนูราคาแพงที่เป็นที่ถกเถียงกันถึงความเหมาะสมด้านศีลธรรมต่อสัตว์อย่างฟัวกราส์ หรือตับห่านย่าง แต่วันนี้เขาเป็นหนึ่งในผู้ชาย 24 เปอร์เซ็นต์ที่รับมือวิกฤติวัยกลางคนด้วยการเลิกกินเนื้อสัตว์และเปลี่ยนตัวเองเป็นวีแกน

“วันหนึ่งผมก็รู้ได้ว่าการกินเนื้อไม่ใช่ตัวตนผมอีกต่อไปแล้ว” เขาว่า “ผมพยายามทบทวนความรู้เรื่องอาหารที่มี แล้วเขียนสูตรขึ้นมาใหม่ และกินตามแบบฉบับชาววีแกน”

โกติเยร์ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากวิกฤติวัยกลางคน แต่เขาบอกว่าการกินวีแกนเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก

“คนอื่นอาจรับมือด้วยการซื้อรถ Harley-Davidson คันใหม่ แต่ผมไม่-ผมแค่เปลี่ยนมากินผัก”

ประมาณ 50 ปีก่อน วีแกนเคยอยู่ในฐานะชนกลุ่มน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จากการสำรวจในปี 2015 มีคนสหรัฐเพียง 3.4 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นมังสวิรัติ (vegetarian) หรืองดกินเนื้อสัตว์ แต่ยังกินผลิตภัณฑ์จากสัตว์บ้าง เช่น ไข่ นม ชีส น้ำผึ้ง ส่วนเปอร์เซ็นต์ผู้เป็นวีแกน หรืองดกินเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ไปจนถึงไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้อื่นๆ จากสัตว์เลย เช่น เครื่องหนัง มีเพียง 0.4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

แต่ในปี 2019 กระแสการ ‘กินผัก’ ในแต่ละแนวทางเริ่มกลายเป็นกระแสหลักที่นิยมมากโดยเฉพาะในกลุ่มช่วงวัยมิลเลเนียลส์ ที่เกิดระหว่างปี 1980-2003 ควบคู่ไปกับกระแสการลดใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น ไข่ นม ผ้าขนสัตว์ หรือเครื่องหนังด้วย

ในปีนี้ชาวสหรัฐวัย 25-34 ปีมากถึง 25 เปอร์เซ็นต์ที่ออกมาประกาศว่า “ฉันเป็นมังสวิรัติ/วีแกน” แม้แต่เจ้าพ่อเบอร์เกอร์อย่าง McDonald’s ก็ยังออกเมนู ‘McVegan’ ออกมาขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ออกวิ่ง

ในยุคที่การวิ่งเป็นกระแสเฟื่องฟู มีกิจกรรมให้เลือกเข้าร่วมหลากหลาย ตั้งแต่การวิ่งระยะสั้นที่สุด คือ ฟันรัน (fun run) 5 กิโลเมตร มินิมาราธอน (minimarathon) 10.5 กิโลเมตร ฮาล์ฟมาราธอน (half-marathon) 21 กิโลเมตร ส่วนมาราธอน (marathon) คือการวิ่งระยะไกล 42.195 กิโลเมตร

เว็บไซต์ Runrepeat เก็บสถิติและพบว่าเฉพาะยอดผู้วิ่งมาราธอนในปี 2018 เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 10 ปีที่แล้วถึง 49.43 เปอร์เซ็นต์ โดยประเทศที่มีจำนวนผู้สนใจเข้าร่วมวิ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ อินเดีย เพิ่มขึ้น 229 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่า 2 เท่าตัว ตามมาด้วยโปรตุเกส 117 เปอร์เซ็นต์ และไอร์แลนด์ 130 เปอร์เซ็นต์

สำนักข่าว New York Times ใช้ข้อมูลจากงานวิจัยสนับสนุนว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคของการออกวิ่ง ตรงกันข้าม ไม่สายเกินไปที่นักวิ่งวัยกลางคนจะหันมาจริงจังกับการออกกำลังกาย และไม่สายเกินไปที่คนวัยกลางคนจะสุขภาพดีขึ้นจากการออกกำลังกาย

ริชาร์ด อาสค์วิธ (Richard Askwith) ทหารผ่านศึกและนักเขียนเจ้าของผลงานหนังสือเกี่ยวกับการวิ่ง วัย 59 ปี กล่าวว่า สุขภาพใจของนักวิ่งรุ่นใหญ่ค่อนข้างมีผลต่อความสำเร็จในการวิ่ง

“มุมมองเรื่องเวลาขึ้นอยู่กับอายุนะ (เมื่ออายุมากขึ้น) คุณจะอดทนฝึกซ้อมและลงแข่งมากขึ้น คุณจะค่อยๆ วิ่งไปตามทางด้วยจิตใจเบาสบาย แทนที่จะมัวกลุ้มอยู่กับตัวเลขระยะทาง”

สุดท้ายอาจฟังดูน่าเศร้า แต่งานวิจัยจาก Bupa Health Clinics สรุปว่า คนอังกฤษส่วนมากมักคงวิถีชีวิตรักสุขภาพได้เฉลี่ย 3 ปี และคน 1 ใน 4  มักกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ภายใน 12 เดือนแรก มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เปลี่ยนตัวเองได้สำเร็จในระยะยาว 8 ปีขึ้นไป

เมื่อเข้าสู่วัยสำคัญ 30, 40, 50 อาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตไปรักสุขภาพอย่างสุดโต่ง หนังสือพิมพ์ Dailymail อังกฤษแนะนำว่า เพียงแค่ลดอาหารหวานหรือเค็ม ควบคุมปริมาณแอลกอฮอล์ ตรวจสุขภาพบ้างเป็นระยะ และพบแพทย์เมื่อรู้สึกว่าสุขภาพไม่ปกติ เท่านี้ก็ช่วยลด ‘วิกฤติ’ ด้านสุขภาพของกลุ่มคนวัยกลางคนได้แล้ว

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
menshealth.com
dailymail.co.uk
forbes.com
plantbasednews.org
worldin2019.economist.com
theguardian.com
nytimes.com

ใช้ยาปฏิชีวนะไม่สมเหตุผล ต้นเหตุเชื้อดื้อยา

“ขณะนี้เชื้อโรคดื้อยาค่อนข้างเยอะ ภาคใต้เจอคนไข้วัณโรคดื้อยาทุกชนิด ค่ารักษาตกราว 2 ล้านบาทต่อคน อัตราการหายจากโรค 30 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลักๆ เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะในระดับชุมชนอย่างไม่เหมาะสม”

นพ.กำพล กาญจโนภาส รองประธานคณะทำงานพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเฉพาะประเด็น ว่าด้วยการจัดการเชิงระบบสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยมีชุมชนเป็นศูนย์กลาง กล่าวถึงความสำคัญที่ต้องหยิบยกประเด็นนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคมนี้

“เรื่องนี้ส่งผลต่อระบบงบประมาณด้วย จาก 1,000 กว่าบาท เป็น 3,000 กว่าบาทต่อหัว ภายใต้งบประมาณจำนวนนี้ เกินครึ่งหนึ่งเป็นค่ายา ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลตั้งแต่ระดับชุมชนขึ้นมาเลย” นพ.กำพล กล่าวเสริม

 

ปัญหาการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมอาจฟังดูไม่ร้ายแรง หากในทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพประชาชนและระบบงบประมาณ อีกทั้งการจัดการเรื่องนี้ก็ยากยิ่ง ร่างมตินี้จึงนำเสนอภาพรวมทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ นั่นคือ การสร้างจิตสำนึกที่ดีและการตระหนักรู้ของบุคคล การบริหารจัดการระบบยาที่ดี และการกำกับติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทย แต่ยังเป็นปัญหาร่วมในระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า กว่าร้อยละ 50 ของการใช้ยาในประเทศกำลังพัฒนา เป็นการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมและสูญเปล่า

ปัญหาการใช้ยาไม่สมเหตุผลที่พบบ่อย ได้แก่ ผู้ให้บริการอาจมีการสั่งยาไม่เป็นไปตามแนวทางการรักษา หรือตัวผู้ป่วยเองอาจมีการใช้ยาหลายขนานร่วมกัน เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการดื้อยา การใช้ยาฉีดเกินจำเป็นทั้งที่ใช้ยาทานได้ และซื้อยากินเองจากร้านชำ ฯลฯ

ประเทศไทยมีมูลค่าการบริโภคยาประมาณร้อยละ 41 ของค่าใช้จ่ายสุขภาพ สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้านยาต่อค่าใช้จ่ายสุขภาพเพียงร้อยละ 10-20

ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย พบการบริโภคยาอย่างไม่เหมาะสมในทุกระดับ ทั้งในสถานพยาบาลภาครัฐและเอกชน การใช้ยาในชุมชน โดยเฉพาะยาที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ยาต้านจุลชีพ ยาสเตียรอยด์ ยาชุด เป็นต้น

ปี 2555 มีงานศึกษาพบว่า ผู้ป่วย 19.2 ล้านคน ครอบครองยาเกินความจำเป็น และรัฐต้องสูญเสียงบประมาณจากการครอบครองยาเกินจำเป็นราว 2,370 ล้านบาท/ปี

ในระดับโครงสร้าง ร่างมตินี้ได้เสนอให้มีกลไกระดับชุมชนเพื่อขับเคลื่อนการใช้ยาอย่างสมเหตุผล การสนับสนุนชุมชนต้นแบบที่มีระบบการเฝ้าระวังและเตือนภัยการใช้ยาอย่างสมเหตุผล การพัฒนาชุดความรู้ในการใช้ยาเท่าที่จำเป็น ส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ สนับสนุนให้เกิดความตระหนักต่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ส่งเสริมให้ผู้ให้บริการสุขภาพทุกหน่วยงานดำเนินการให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล รวมไปถึงการกำหนดให้มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นกลไกเชิงระบบระดับประเทศ โดยจะมีการนำความคิดเห็นของภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปผนวก ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

 

เจาะพื้นที่เขตเมือง-เขตทหาร-โรงเรียน

นพ.เอนก มุ่งอ้อมกลาง ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค สะท้อนว่า ร่างมติควรให้ความสำคัญกับเขตเมืองมากยิ่งขึ้น เนื่องจากประชากรในเขตเมืองมีประมาณ 37 ล้านคน แต่ข้อมูลการจัดการในเขตเมืองขาดหาย เพราะในพื้นที่นิติบุคคล เช่น คอนโดมิเนียม หมู่บ้านจัดสรร ไม่มี อสม. เหมือนพื้นที่ต่างจังหวัด จึงจำเป็นต้องนำเสนอวิธีการจัดการอีกรูปแบบ

“อยากเสนอให้ กทม. สร้างต้นแบบการจัดการหรือกลไกการจัดการแบบมุ่งเป้า enhancing zone เช่น คอนโด บ้านจัดสรร ชุมชนแออัด เรือนจำ” นพ.เอนก กล่าว

อีกพื้นที่หนึ่งที่ไม่มีข้อมูลและไม่มีกลไกใดไปติดตามเรื่องการใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสมคือ ‘พื้นที่ทหาร’ ซึ่งผู้แทนปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมก็น่าจะอยู่ในกลุ่มเป้าหมายภายใต้ร่างมตินี้ เพราะหน่วยงานในกระทรวงกลาโหมมีเป็นจำนวนมาก อสม. เข้าไม่ได้ จำนวนทหารก็ไม่ใช่น้อย แม้หน่วยทหารต่างๆ จะมีหน่วยแพทย์อยู่แล้ว แต่งานเชิงรุกลักษณะนี้ไม่ได้ทำ เน้นเพียงแต่การรักษาพยาบาล

“นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีคนลงชื่อเป็นจิตอาสาเป็นล้านคน และจะขยายขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสามารถเชื่อมกับช่องทางนี้ได้ก็น่าจะดี เพราะจะมีข้อมูลด้วยว่าผู้เข้ารับอบรมเป็นใครอยู่ที่ไหน” ตัวแทนปลัดกระทรวงกลาโหมกล่าว

อีกพื้นที่หนึ่งที่ไม่ควรละเลยคือ การจัดการและติดตามการใช้ยาในโรงเรียน ตัวแทนครูจากกระทรวงศึกษาธิการให้ข้อมูลว่า การพัฒนาระบบห้องพยาบาลในโรงเรียนและความรู้ของครูประจำห้องพยาบาล ลำพังอาศัยเพียงกระทรวงศึกษาธิการไม่น่าจะทำได้ เพราะครูที่ดูแลห้องพยาบาลส่วนใหญ่ดูแลเพียงความเจ็บป่วยเบื้องต้น เกือบทั้งหมดไม่ได้รับการอบรมเฉพาะทาง จึงน่าจะต้องมีหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขมาให้ความรู้ ให้คำแนะนำ อบรมการบริหารจัดการยา และวางระบบการส่งต่อเด็กไปยังสถานพยาบาล

เริ่มจากชุมชนต้นแบบ

ชัยณรงค์ สังข์จ่าง ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ความเห็นว่า เจตนารมณ์ของการใช้ยาสมเหตุสมผลคือ การมุ่งให้ประชาชนใช้ยาอย่างปลอดภัย โดยมีโจทย์หลักคือการเปลี่ยนความคิดความเชื่อของคนในชุมชน ซึ่งการใช้ยาฆ่าเชื้อเป็นความเชื่อผิดๆ ของคนจำนวนมาก จึงต้องขยับที่ประเด็น ไม่ใช่มุ่งเน้นที่หน่วยงาน เช่น ต้องสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิด เน้นงานสื่อสาร งานในพื้นที่ แล้วหน่วยงานอื่นๆ ก็จะขยับตาม

แม้เรื่องการปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ นพ.กำพล ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยยกตัวอย่างพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จอย่างชุมชนบ้านตาแกะ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ซึ่งทำเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use: RDU) โดยมีคณะกรรมการที่ นายก อบต. เป็นประธาน รพ.สต. เป็นเลขาธิการ มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู โต๊ะอิหม่าม แกนนำชุมชนอีก 4-5 คน ร่วมกันเขียนแผนงานว่า รพ.สต.จะทำอะไร จะพัฒนาสุขภาพอย่างไร

“ตอนนี้ รพ.สต.บ้านตาแกะ เป็นเหมือนภาคเอกชนเลย มีการใช้งบ อบต.ทั้งหมด มีรถพยาบาลรับส่งผู้ป่วย มีการดูแลสุขภาพผ่านระบบสุขภาพทางไกล (telehealth) กับโรงพยาบาล ทุกวันพฤหัสบดีจะมีคณะกรรมการเดินไปดูร้านชำว่ามียาที่ผิดกฎหมายอะไรหรือไม่ ถึงตอนนี้สามารถลดอัตราการตายลงได้ แม้กระทั่งเรื่องอุบัติเหตุจราจร เพราะทำให้คนสวมหมวกกันน็อคมากขึ้น เหล่านี้เป็นมติของคณะกรรมการท้องถิ่นทั้งสิ้น ทำให้เห็นภาพว่า ในระดับชุมชนสามารถบริหารจัดการในเรื่องเหล่านี้กันเองได้” นพ.กำพล กล่าว

ที่มา: กลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

 

บทเรียนนักช็อปออนไลน์ เจ็บแต่ไม่จบ

มหกรรมช็อปกระหน่ำ เทกระจาด จ่ายกระจุย ครั้งใหญ่แห่งปี กับแคมเปญ ‘11.11’ หรือที่เรียกกันว่าวันช็อปปิ้งโลก วันที่ 11 เดือน 11 เวียนมาบรรจบอีกครั้ง

นาทีนี้ตลาด e-Commerce ทุกแพลตฟอร์มพากันโหมกระแสโปรโมชั่นสารพัดรูปแบบ ทั้งลดแลกแจกแถม อัดคูปองส่วนลดพิเศษให้ลุ้นกับแบบนาทีต่อนาที ยั่วเย้ากิเลสนักช็อปยิ่งนัก ทำเอาหลายคนต้องเตรียมควักกระเป๋าจัดหนักจัดเต็มให้สาแก่ใจ

งานนี้ใครตาดีได้ ตาร้ายเสีย เพราะอย่างที่รู้กันว่า การจับจ่ายในโลกออนไลน์นั้นดำรงอยู่ภายใต้กฎ ‘จินตนาการสำคัญกว่าความรู้’ เพราะทั้งภาพสินค้าและถ้อยคำโฆษณาทุกอย่างล้วนล่องลอยอยู่ในโลกไซเบอร์ ซึ่งผู้บริโภคไม่มีโอกาสได้สัมผัสสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ

หลายคนอาจโชคดีได้สินค้าตรงตามปก แต่ก็มีอีกหลายคนที่เจ็บแต่ไม่จบ

 

หลักเกณฑ์ป้องกันอาการบาดเจ็บจากช็อปปิ้งออนไลน์

ใกล้ช่วงเทศกาล การจับจ่ายซื้อของเป็นกิจกรรมสำคัญ ไม่ว่าจะจับจ่ายเป็นของขวัญให้ผู้อื่นหรือตนเอง และการช็อปปิ้งออนไลน์ก็เป็นช่องทางที่เราใช้มากขึ้นเรื่อยๆ กิจกรรมช็อปปิ้งออนไลน์จบลงโดยแฮปปี้เอนดิ้งก็มาก และผู้บริโภคเจ็บตัวมาก็มีไม่น้อย เพราะสินค้าไม่ตรงปก และอีกสารพัดปัญหา หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชนที่เป็นผู้เล่นในภูมิทัศน์ตลาดออนไลน์ จึงหาข้อตกลงร่วมในการสร้างหลักเกณฑ์เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เพราะศักยภาพในการเติบโตของตลาดออนไลน์ต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค

 

องค์การอาหารและยาสหรัฐและยุโรปตรวจพบสารก่อมะเร็งในยารักษากรดไหลย้อน

หน่วยงานดูแลสุขภาพระดับโลกพบว่า ยารักษาโรคกระเพาะที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกนั้นอาจปนเปื้อน ‘สารก่อมะเร็ง’ เช่นเดียวกับยาลดความดันโลหิตที่ถูกเรียกเก็บคืนจากท้องตลาดเมื่อปีที่แล้ว

เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยด้านยาในสหรัฐและยุโรปกล่าวเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า กำลังมีการตรวจสอบยารักษาโรคกรดไหลย้อนของบริษัท Sanofi ที่ชื่อ Zantac (ยาต้นตำรับ) และ Ranitidine (ยาชื่อสามัญ) นั้นมีระดับของสารก่อมะเร็งที่มีชื่อย่อว่า NDMA หรือ N-Nitrosodimethylamine สูงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยหรือไม่

“Sanofi คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยอย่างยิ่ง และเราก็สมัครใจทำงานร่วมกับ FDA” แอชลีห์ คอสส์ (Ashleigh Koss) โฆษกของ Sanofi กล่าวไว้ในอีเมล รวมทั้งระบุว่า Zantac ผลิตในเม็กซิโกและ Sanofi สั่งซื้อวัตถุดิบที่เป็นสารสำคัญจากสเปน

การทบทวนทะเบียนยา Ranitidine ซึ่งเป็นชื่อสามัญของยาลดกรดที่ยับยั้งการหลั่งฮีสตามีน และรักษาและป้องกันโรคกระเพาะและลำไส้ ขององค์การอาหารและยาสหรัฐ (Food and Drug Administration: FDA) ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ Valisure ร้านขายยาออนไลน์ในคอนเนคติกัต ได้ทำการทดสอบยาทั้งหมดที่วางจำหน่าย จนพบสาร NDMA ปริมาณสูง ทั้งในยาชื่อสามัญและยาต้นตำรับคือ Zantac ที่ขายให้กับร้านยาเป็นส่วนใหญ่ที่บริหารโดย Walgreens Boots Alliance Inc, CVS Health Corp และ Walmart Inc.

FDA กล่าวว่า จะทบทวนทั้งยาต้นตำรับและยาชื่อสามัญของยานี้ เช่นเดียวกับหน่วยงานควบคุมยาของยุโรป (European Medicines Agency: EMA) ที่กล่าวว่า “กำลังประเมินข้อมูลเพื่อดูว่าคนไข้ที่ใช้ยา Ranitidine มีความเสี่ยงจาก NDMA หรือไม่ และจะรีบรายงานผลให้ทราบอย่างเร็วที่สุด”

NDMA เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ที่พบในเนื้อสัตว์ที่ผ่านการย่างหรือปรุงสุกด้วยวิธีการต่างๆ เช่น เบค่อน และเป็นสารที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมต่างๆ

FDA ตรวจพบ NDMA ทั้งในตำรับที่เป็นยาที่ต้องให้แพทย์สั่งจ่ายและยาสามัญประจำบ้านที่ประชาชนหาซื้อได้เอง แต่ยังรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างได้ไม่มากพอที่จะบอกระดับของสารก่อมะเร็งอย่างชัดเจนเป็นช่วงได้ โดย เจเน็ต วูดค็อค (Janet Woodcock) ผู้อำนวยการศูนย์ประเมินและวิจัยยาของ FDA กล่าวว่า มีการใช้วิธีตรวจทดสอบที่แตกต่างจาก Valisure แต่ยังคงปฏิเสธที่จะให้รายละเอียด

Valisure ยื่นข้อร้องเรียนต่อ FDA ให้เรียกเก็บคืนยาทั้ง Zantac และยาชื่อสามัญที่มี NDMA แต่ FDA บอกว่า ปริมาณของ NDMA ในยาเหล่านั้นอยู่ในระดับต่ำ สวนทางกับข้อร้องเรียนของ Valisure ที่ระบุว่ามีปริมาณของ NDMA นั้นมีมากเกินไป

“เราไม่คิดว่ามันเป็นภยันตรายเร่งด่วนต่อสุขภาพมนุษย์ ดังนั้น เราจะดำเนินการต่อไปเพื่อดูว่าการเรียกเก็บคืนนั้นจำเป็นหรือไม่” วูดค็อคกล่าว

แม้ FDA จะยังไม่แนะนำให้ประชาชนหยุดกินยาเหล่านี้ แต่ก็แนะนำว่ามีวิธีการรักษาโรคนี้โดยวิธีอื่นๆ อีก

FDA จะขอให้ผู้ผลิตใช้วิธีทดสอบ NDMA ที่สากลยอมรับ ขณะเดียวกัน FDA ก็จะขอตัวอย่างจากผู้ผลิตมาตรวจสอบเองด้วย และคาดว่าคงจะใช้เวลาราวสองสัปดาห์จึงจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติม วูดค็อคกล่าว

เจเรมี คาห์น (Jeremy Kahn) โฆษกของ FDA เขียนในอีเมลว่า ยังไม่ทราบว่า NDMA เข้าไปอยู่ในยาได้อย่างไร แต่ในเบื้องต้นคาดว่า มันคงต่างจากยาลดความดันโลหิตที่มีสาเหตุอยู่ที่กระบวนการผลิต

ขณะที่ CEO ของ Valisure เดวิด ไลท์ (David Light) กล่าวว่า บริษัทของเขาคิดว่า NDMA ใน Zantac มีอยู่ตามธรรมชาติ โดยมีการศึกษาชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 2016 ก็แสดงความเห็นคล้ายกันนี้

กลุ่มนักวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดสนใจว่า สารก่อมะเร็งเกิดขึ้นได้อย่างไรในปัสสาวะของอาสาสมัคร 10 คนที่ใช้ยา Ranitidine พวกเขาพบว่าระดับของ NDMA เพิ่มสูงขึ้น 400 เท่า หลังจากที่อาสาสมัครกินยานี้เข้าไป คือสูงถึง 48 ไมโครกรัม หรือเกือบสามเท่าของ 17 ไมโครกรัมที่ FDA พบในยาเม็ดลดความดันโลหิตที่ถูกเรียกเก็บคืนจากตลาด

กลุ่มนักวิจัยดังกล่าวเสนอในรายงานวิจัยว่าควรมีการประเมินความเสี่ยงของ Ranitidine

“เราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการประเมินดังกล่าว จึงทำได้แค่เสนอเท่านั้น” วิลเลียม มิทช์ (William Mitch) หนึ่งในกลุ่มนักวิจัยของสแตนฟอร์ด กล่าวในการให้สัมภาษณ์ “เราเพียงแค่จุดประกายให้คิด และหวังว่าจะมีผู้นำไปศึกษาต่อ”

Zantac และยาชื่อสามัญมีจำหน่ายทั้งในรูปแบบที่ต้องใช้และไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ โดยมีความแรงหรือขนาดยาแตกต่างกัน จากแหล่งข้อมูลของ Bloomberg พบว่ามีใบสั่งจ่ายยานี้เกือบ 25 ล้านใบในปี 2018

FDA พบ NDMA ที่ระดับ 17 ไมโครกรัมในยาลดความดันโลหิต และสั่งการให้เรียกเก็บคืนจากตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2018 แต่ Valisure พบ NDMA ที่ระดับสูงถึง 3,000 ไมโครกรัมในยาเม็ด Zantac รวมถึงพบในยาชื่อสามัญด้วย

“ความเสี่ยงต่อมะเร็งจากยาแบบนี้ แม้แต่น้อยนิดก็รับไม่ได้” เดวิด ไลท์ จาก Valisure กล่าว

 

จอห์นสันเรียกคืนแป้งเด็ก 33,000 กระป๋อง หลังพบแร่ใยหินปนเปื้อน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ค้ารายย่อยในสหรัฐต่างนำกระป๋องแป้งเด็กขนาด 22 ออนซ์ออกจากชั้นวางของในร้านค้า หลังมีประกาศว่าบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) เรียกคืนผลิตภัณฑ์รวม 33,000 กระป๋องในราวกลางเดือนตุลาคมก่อนหน้านี้ เนื่องจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (Food and Drug Administration: FDA) ตรวจพบแร่ใยหินประเภทไครโซไทล์ (chrysotile asbestos) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเยื่อหุ้มปอด ในแป้งเด็กที่ซื้อมาจากช่องทางออนไลน์

บริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันพยายามแก้ต่างว่า แร่ใยหินที่ตรวจพบในแป้งมีปริมาณน้อยกว่า 0.00002 เปอร์เซ็นต์ และกล่าวว่า บริษัทกำลังทำงานร่วมกับ FDA เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลการตรวจสอบที่พบแร่ใยหินในตัวอย่างแป้งเด็กเป็นไปอย่างเที่ยงตรงและสมเหตุสมผล เช่น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์แป้งดังกล่าวที่ถูกตรวจสอบเป็นผลิตภัณฑ์จากบริษัทจริง ซีลบรรจุกระป๋องไม่มีการฉีกขาดก่อนหน้านี้ หรือมีการปนเปื้อนซึ่งกันและกัน (cross contamination) คือ มีวัตถุแปลกปลอมหลุดร่วงลงไปปะปน ปนเปื้อนสารเคมี แบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส ฯลฯ ระหว่างขั้นตอนตรวจสอบแร่ใยหินหรือไม่ เพราะบริษัทยืนยันว่าไม่เคยพบแร่ใยหินระหว่างการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ตลอดระยะเวลาหลายปี รวมถึงไม่พบในการทดสอบจาก FDA ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วด้วย

ด้าน FDA กล่าวว่า ขณะนี้สามารถยืนยันได้เบื้องต้นว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ ที่บ่งชี้ว่าผลิตภัณฑ์แป้งเด็กที่นำมาตรวจสอบเป็นของปลอม รวมถึง FDA ก็ไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีการปลอมแป้งเด็กตราจอห์นสันแอนด์จอห์นสันในตลาดสหรัฐมาก่อน อย่างไรก็ตาม องค์การจะตรวจสอบร่วมกับบริษัทอีกครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าผลการตรวจสอบนั้นมาจากผลิตภัณฑ์แป้งจากจอห์นสันแอนด์จอห์นสันจริง

“องค์การ FDA รับผิดชอบตัวอย่างผลิตภัณฑ์และตรวจสอบผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานการวิเคราะห์ผลในห้องปฏิบัติการ และเราไม่พบข้อบ่งชี้ว่ามีการปนเปื้อนซึ่งกันและกัน (ในห้องปฏิบัติการ)” ลินด์เซย์ เมเยอร์ (Lyndsay Meyer) โฆษก FDA ชี้แจงกับสำนักข่าว CNN

แป้งเด็กตราจอห์นสันแอนด์จอห์นสันที่ถูกเรียกคืนจากร้านค้าต่างๆ ในสหรัฐมีเพียงล็อตเดียวเท่านั้น คือ ล็อตหมายเลขการผลิตที่ #22318RB ซึ่งผลิตในประเทศจีนและนำเข้ามาขายในตลาดสหรัฐ โดยผู้บริโภคที่ได้ซื้อแป้งไปแล้วควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ในทันที และสามารถติดต่อบริษัทเพื่อขอคืนเงินได้

สำหรับประเทศไทย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ได้ตรวจสอบไปยังบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ประเทศไทย) จำกัด ได้ข้อสรุปว่า แป้งล็อตที่มีปัญหาดังกล่าวไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย และได้เฝ้าระวังการนำเข้าแล้ว โดย อย. ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นโรยตัวในประเทศไทยที่มีส่วนผสมของแร่ทัลคัม (Talcum) สารอนินทรีย์ที่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้น ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จำนวน 113 ตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์ไม่พบแร่ใยหิน

ย้อนไปในวันที่ 18 ตุลาคม หลังมีข่าวเรื่องการปนเปื้อนแร่ใยหิน มูลค่าในตลาดหุ้นของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันตกไปมากกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ แม้ผลิตภัณฑ์แป้งเด็กจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในอาณาจักรสินค้าเพื่อสุขภาพแม่และเด็กทั้งหมดของบริษัท แต่ก็สร้างผลกระทบด้านความเชื่อมั่นในชื่อเสียงของบริษัทได้ไม่น้อย

 

ส่วนผสมของแป้งเด็ก

แร่ที่บริษัทใช้เป็นวัตถุดิบและมีปัญหาฟ้องร้องกับผู้บริโภคเรื่อยมาก็คือทัลคัม (talcum) หรือทัลก์ แร่หินสบู่ที่มีความอ่อนมาก นิยมใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเครื่องสำอาง เช่น แป้งและบลัชออนทาแก้ม แม้บริษัทกล่าวว่าแร่ทัลก์ที่นำมาผลิตเป็นแป้งเด็กบรรจุกระป๋องมาจากแหล่งแร่ที่ได้รับการทดสอบแล้วว่าสะอาดได้มาตรฐาน แต่เป็นที่รู้กันว่ามักพบแร่ทัลก์อยู่คู่กับแร่ใยหิน จึงมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้วที่จะพบแร่ในหินในแป้งทัลก์ด้วย

องค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติ (International Agency for Research on Cancer) ได้จัดให้แร่ใยหินทุกชนิด รวมถึงชนิดไครโซไทล์ เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ โดยมีผลเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ระบุว่า การสัมผัสแร่ใยหินประเภทไครโซไทล์ผ่านการสูดหายใจก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อหุ้มปอด (mesothelioma) และโรคใยหิน (asbestosis) หรือภาวะเกิดพังผืดในปอด จนทำให้ประเทศต่างๆ มากกว่า 50 ประเทศ เช่น กลุ่มประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ประกาศห้ามใช้แร่ใยหินทุกชนิด

จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ผู้ผลิตแป้งฝุ่นรายใหญ่ในสหรัฐ ยืนยันว่า จากการตรวจสอบพันๆ ครั้งตลอด 40 ปีที่ผ่านมาไม่เคยพบแร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ สวนทางกับรายงานพิเศษของสำนักข่าว Reuters เมื่อปีที่แล้ว ที่ออกมาเปิดโปงว่าบริษัทเคยตรวจพบแร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ของตนเองหลายครั้งระหว่างปี 1971-2000 แต่ไม่ได้เปิดเผยให้สาธารณชนทราบ

 

แป้งก่อมะเร็ง?

หลายปีที่ผ่านมาเริ่มมีคำเตือนว่าไม่ควรใช้แป้งฝุ่นโรยบริเวณอวัยวะเพศ เนื่องจากแป้งอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งรังไข่ แม้ว่าหลักฐานอาจไม่แน่ชัดพอจะสรุปได้ว่าแป้งเด็กเป็นสารก่อมะเร็ง แต่องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติก็จัดแป้งทัลก์ให้อยู่ในหมวด ‘สารที่เป็นไปได้ว่ามีฤทธิ์ก่อมะเร็ง’

ที่ผ่านมามีการฟ้องร้องคดีความบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสันรวมแล้วมากกว่า 100,000 คดี เฉพาะคดีที่กล่าวหาบริษัทว่าแร่ใยหินที่ปนเปื้อนในแป้งทัลก์ที่นำมาทำเป็นแป้งเด็กเป็นสารก่อมะเร็งมีมากกว่า 15,000 คดี เช่น ในเดือนพฤษภาคม 2018 คณะลูกขุนรัฐแคลิฟอร์เนียร์ตัดสินให้บริษัทต้องจ่ายเงิน 25.75 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 778 ล้านบาท) แบ่งเป็นเงินชดเชยค่าเสียหายแก่คู่สามีภรรยาผู้เสียหาย โจแอนน์ และ แกรี แอนเดอร์สัน (Joanne/Gary Anderson) เป็นเงิน 21.75 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 658 ล้านบาท) จากคำกล่าวหาของโจแอนน์ว่าเธอเป็นมะเร็งหลังใช้แป้งเด็กของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ (punitive damages) เพื่อไม่ให้บริษัทอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างอีก 4 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 121 ล้านบาท) เนื่องจากบริษัท “ละเลย และไม่เตือนผู้บริโภคถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่แป้งเด็กของบริษัทอาจก่อให้เกิดขึ้น”

ตามมาด้วยเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งจำนวน 22 คนกล่าวว่าเป็นมะเร็งรังไข่หลังใช้แป้งเด็กและผลิตภัณฑ์จากแป้งทัลก์ต่อเนื่องนานนับสิบๆ ปี โจทก์จำนวน 6 คนจากทั้งหมดเสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งรังไข่ โดยทนายกล่าวหาว่า บริษัทรู้ดีแก่ใจตั้งแต่ปี 1970 ว่าทัลก์ที่นำมาทำแป้งปนเปื้อนแร่ใยหิน แต่ไม่เคยเตือนให้ผู้บริโภครับรู้ถึงความเสี่ยง สุดท้ายคณะลูกขุนรัฐมิสซูรีตัดสินให้บริษัทต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 550 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16,610 ล้านบาท) ยังไม่รวมค่าเสียหายเพื่อการลงโทษอีก 4,100 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 123,800,000 ล้านบาท)

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
edition.cnn.com/2019/10/25/health/johnsons-baby-powder-retailers-recall
edition.cnn.com/2018/05/24/health/johnson–johnson-talc-asbestos-verdict-california
https://www.bbc.com/news/business-50101758
https://www.bbc.com/news/business-44816805
nytimes.com
apps.who.int
reuters.com
bangkokbiznews.com