ระวัง ‘สารทาเลท’ ปนเปื้อนของเล่นเด็ก ฮอร์โมนเพศเสี่ยงผิดเพี้ยน

ผลทดสอบของเล่นเด็กที่ผลิตจากพลาสติก PVC พบการปนเปื้อน ‘สารทาเลท’ (Phthalate) เกินค่ามาตรฐานสากล 300 เท่า แพทย์เตือนอาจมีความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อฮอร์โมนเพศทั้งเด็กชายและเด็กหญิง

ผลทดสอบผลิตภัณฑ์ของเล่นเด็กในครั้งนี้ดำเนินการโดยศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล และหัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่า สารทาเลทถูกใช้เป็นส่วนผสมในของเล่นพลาสติกชนิด PVC เพื่อให้เกิดความอ่อนนุ่ม ทำให้เด็กๆ เกิดความสนุกสนานจากการสัมผัส

การปนเปื้อนของสารทาเลทเข้าสู่ร่างกายส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมของเด็ก เริ่มตั้งแต่การสัมผัส การบีบ การนำของเล่นเข้าปาก การกัด การเคี้ยว รวมถึงการระเหยของสาร โดยของเล่นที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ได้แก่ ของเล่นที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม ตุ๊กตารูปสัตว์ชนิดต่างๆ ห่วงยาง เสื้อกันฝน เป็นต้น

“สารทาเลทถูกใช้ในของเล่นมานาน จนกระทั่งหลายประเทศได้มีการศึกษาผลกระทบและนำมาสู่การออกมาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมดังกล่าว”

“จากการศึกษาผลกระทบต่อร่างกายในสัตว์ทดลอง พบว่า หากได้รับสารทาเลทในปริมาณสูงจะเกิดอันตรายต่อตับ ไต แต่หากได้รับในปริมาณต่ำเป็นระยะเวลานานจะส่งผลต่อการสร้างสเปิร์ม การทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ และฮอร์โมนเพศ หากเป็นสัตว์ทดลองเพศเมียจะมีผลต่อภาวะการตกไข่ เนื่องจากสารทาเลทจะรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ และหากกำลังตั้งครรภ์ ลูกที่ออกมาจะมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด นอกจากนี้อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งในตับหากได้รับสารเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ระบุว่า แม้จะยังไม่มีการศึกษาทดลองกับมนุษย์โดยตรง แต่มีการตรวจสอบสารทาเลทที่อยู่ในร่างกายเด็ก พบว่ามีผลกระทบอย่างยิ่งต่อฮอร์โมนเพศชาย โดยอาจทำให้ลักษณะอวัยวะเพศมีความกำกวมตั้งแต่กำเนิด ลูกอัณฑะไม่ลงถุง การสร้างสเปิร์มมีความผิดปกติ เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะมีโอกาสเป็นหมันได้

“เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่ประเทศสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น มีการควบคุมสารทาเลทอย่างน้อย 6 ชนิด โดยไม่ให้เกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ของส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ และมีแนวโน้มว่าจะมีการควบคุมสารทาเลทชนิดอื่นๆ เพิ่มเติมอีก ขณะที่มาตรฐานอุตสาหกรรมในบ้านเรายังไม่มีข้อกำหนดที่ครอบคลุมถึงสารดังกล่าว”

สารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร ฉลาดซื้อ กล่าวว่า จากการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ของเล่นเด็ก 51 ตัวอย่าง ทั้งจากร้านค้าในห้างสรรพสินค้า ตามท้องตลาดทั่วไป หน้าโรงเรียน และในตลาดออนไลน์ พบว่ามีสารทาเลทปนเปื้อนมากถึง 18 ตัวอย่าง และสูงเกินค่ามาตรฐานสากล (EU) กว่า 300 เท่า

“ของเล่นที่ตรวจพบส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตายางสำหรับบีบและไม่มีเครื่องหมาย มอก. จำนวน 11 ตัวอย่าง ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย มอก. และตรวจพบสารทาเลทเกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ มีอยู่จำนวน 7 ตัวอย่าง”

บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร ฉลาดซื้อ กล่าวอีกว่า จากผลทดสอบผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้คาดว่าจะเกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคและนำไปสู่การพิจารณาปรับปรุงมาตรฐานอุตสาหกรรมต่อไป

 

ค้นหานิยามสู่ ‘การตายดี’ สิทธิที่ทุกคนควรเข้าถึง

แม้คำว่า ‘สิทธิการตาย’ จะเป็นคำที่ถูกกล่าวถึงมานาน แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า แพทย์จำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจความหมายและแนวทางที่ถูกต้องในการดูแลแบบประคับประคองสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือแม้แต่โรงเรียนแพทย์เองก็อาจไม่มีการบรรจุเรื่องเหล่านี้ไว้ในหลักสูตรแพทยศาสตร์

เมื่อความหมายยังไม่กระจ่าง จึงมีความจำเป็นที่ต้องให้คำจำกัดความที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้ทั้งแพทย์ ผู้ป่วย และญาติ เกิดความเข้าใจตรงกัน และมองเห็นแนวทางการดูแลรักษาร่วมกัน

“ที่ผ่านมาเราพบกรณีที่หมอไม่รู้ว่าคนไข้เป็นผู้ป่วยระยะท้าย เลยไม่ได้ให้การดูแลแบบประคับประคอง ก็รักษาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเสียชีวิต แต่ถ้าหมอมีความเข้าใจ เมื่อหมอพบผู้ป่วยที่เข้าข่ายนี้ หมอก็จะส่งต่อไปที่ศูนย์ดูแลประคับประคอง ศูนย์ดูแลประคับประคองก็จะจัดบริการให้ผู้ป่วยตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลไปจนถึงเยี่ยมบ้าน เพื่อให้คนไข้เข้าถึงบริการที่เหมาะสม”

เป็นคำบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงของ พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล หัวหน้าศูนย์การุณรักษ์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่พบว่าการที่แพทย์ไม่เข้าใจความหมายที่ชัดเจนส่งผลอย่างไรต่อชีวิตผู้ป่วยระยะท้าย

นี่จึงเป็นที่มาของการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยนิยามปฏิบัติการ (operational definition) ของคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) สำหรับประเทศไทย เมื่อวันที่ 17-18 กันยายนที่ผ่านมา

 

นิยามไม่ชัด อุปสรรคของระบบราชการไทย

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมา ประธานกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นฯ เล่าว่า ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานพยายามผลักดันระบบการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง แต่ติดขัดระเบียบราชการ ทำให้องค์กรท้องถิ่นหลายแห่งที่ได้ดำเนินการไปแล้วต้องสะดุดลง ซึ่งกระทบต่อการให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน

“หน่วยราชการด้วยกันเองมีส่วนสนับสนุนในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เวลาเสนองบประมาณเข้าไป สำนักงบประมาณอ้างว่าซ้ำซ้อนกัน เราจึงต้องทำคำจำกัดความให้ชัด ถ้าเข้าใจตรงกันก็จะแบ่งหน้าที่กันได้ ส่วนท้องถิ่นก็สามารถตั้งงบประมาณได้ ถ้าทำสำเร็จ ต่อไปหน่วยงานสนับสนุนทั้งหลาย สำนักงบประมาณ รวมถึงหน่วยตรวจสอบอย่างสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะได้เข้าใจตรงกัน”

เมื่อนิยามชัด บทบาทการทำงานของภาคส่วนต่างๆ ก็จะไม่ซ้ำซ้อน ทั้งยังเป็นการสร้างการเรียนรู้ร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ จนถึงสังคม ชุมชน และครอบครัว ในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย

การ ‘ตายดี’ ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ระบุว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้…” ซึ่ง พญ.ศรีเวียง อธิบายว่า การดูแลแบบประคับประคอง ไม่เพียงเป็นการดูแลเพื่อลดความเจ็บปวด แต่ยังรวมถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค เช่น หากผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่รักษายาก อาจมีการแจ้งข้อมูลให้คนไข้รับรู้เพื่อการวางแผนล่วงหน้าให้กับตนเองได้

“โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เขาอาจจะวางแผนดูแลตนเองไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าถึงระยะสุดท้ายแล้ว อย่ามารักษารุกราน อย่ามาปั๊มหัวใจ ใส่ท่อ ซึ่งผู้ป่วยมีสิทธิเลือกได้”

 

สิทธิการตายที่เลือกได้

อรพรรณ ศรีสุขวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในฐานะ เลขานุการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นฯ กล่าวว่า การกำหนดนิยามให้ชัดจะมีผลเป็นแนวปฏิบัติให้กับหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนให้สามารถนำไปใช้ได้ นอกจากนี้ จะเป็นการสนับสนุนผ่านไปทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อให้เกิดการดูแลแบบประคับประคองในครอบครัว

“ระบบการดูแลแบบประคับประคองควรเกิดขึ้นอย่างยิ่งในทุกโรงพยาบาล ทั้งหมอและประชาชนต้องเข้าใจตรงกันเรื่องสิทธิในการตายดี ถ้าคนไข้ทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาในวาระสุดท้ายของชีวิต หมอก็จะต้องจัดการดูแลแบบประคับประคองให้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาดูแลที่โรงพยาบาล ดูแลที่ครอบครัวก็ได้ ดูแลโดยชุมชนก็ได้ แล้ว สปสช. ก็พยายามจัดสรรงบประมาณในการสนับสนุนท้องถิ่นให้ดำเนินการเรื่องเหล่านี้ได้” อรพรรณกล่าว

ทั้งนี้ หลังจากที่ประชุมรับรองร่างมตินิยามปฏิบัติการ (operational definition) ของคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) สำหรับประเทศไทยแล้ว จะนำเสนอไปยังคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิในการดูแลแบบประคับประคองต่อไป

 

ภาพ: กลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

รับมือฝุ่นพิษฤดูหนาว วายร้ายของโรคหืด

ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เป็นปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยโรคหอบหืดโดยตรง ปัจจุบันอัตราผู้ป่วยฉุกเฉินทั่วประเทศพุ่งสูงถึงปีละ 1 ล้านครั้ง เสียชีวิตปีละกว่า 2,000 ราย

สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย (Thai Asthma Council: TAC) จึงได้จัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2562 และเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงสถานการณ์โรคหืด แนวทางการดูแลรักษาคนไข้ โดยเบื้องต้น ศ.พญ.อรพรรณ โพชนุกูล นายกสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคภูมิแพ้ โรคหืด และโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ได้กล่าวถึงสถานการณ์โรคหืดในปัจจุบันที่พบมากถึงร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ และจากข้อมูลของสำนักโรคไม่ติดต่อยังระบุด้วยว่า ผู้ป่วยโรคหืดมีแนวโน้มเสียชีวิตถึง 2,200 รายในปีนี้ และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี

“โรคหืดสามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย ทั่วโลกมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหืดประมาณ 1,000 คนต่อวัน ส่วนประเทศไทยเสียชีวิตประมาณ 6 คนต่อวัน ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยมีประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์”

ศ.พญ.อรพรรณ กล่าวอีกว่า การจัดงานประชุมวิชาการในครั้งนี้จะมุ่งเน้นเรื่องแนวทางการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงให้ง่ายขึ้น

“ในกลุ่มที่มีอาการรุนแรง แพทย์ผู้ให้การรักษาควรรู้ว่าจะต้องเช็คเรื่องอะไรบ้าง ควรเข้าสู่กระบวนการรักษาแบบไหน และต้องเลือกยาให้เหมาะสมกับคนไข้มากขึ้น รวมถึงการสร้างร่วมมือระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ในการตรวจวินิจฉัยโรค เพราะบางกรณีอาจเจอผู้ป่วยโรคหอบหืดที่มีความซับซ้อน หรืออาการคล้ายกับโรคอื่น ทำให้การตรวจวินิจฉัยล่าช้าจนทำให้อาการรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะโรคหอบหืดซ่อนเร้นและมีอาการไอเรื้อรัง”

ทั้งนี้ ศ.พญ.อรพรรณ ยังแนะนำวิธีการดูแลรักษาคนไข้โรคหืดในลักษณะองค์รวม ทั้งการรักษาด้วยยาและการรักษาแบบไม่ใช้ยา ซึ่งจากการศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสม ศ.พญ.อรพรรณ ได้เสนอทฤษฎี 4Es ที่สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ ประกอบด้วย

  1. การให้คนไข้หันมาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ (Exercise)
  2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ (Eating)
  3. สิ่งแวดล้อม (Environment) คนไข้โรคหืดจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการ
  4. อารมณ์ความรู้สึก (Emotion) ในภาวะที่คนไข้เครียด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน จะทำให้โรคกำเริบขึ้นมาได้

 

ฆาตกรซ่อนเงียบที่ชื่อว่า ‘ฝุ่น’

ด้าน ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงสภาพภูมิอากาศที่ไทยได้ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ซึ่งภาวะความกดอากาศสูงจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป และคาดการณ์ว่าจะมีการเผาเศษวัชพืชจากฝั่งประเทศกัมพูชาที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจะส่งผลกระทบมายังกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเป็นภาวะที่ ศ.นพ.ชายชาญ เรียกว่า ‘ฝุ่นมรณะ’

“ผมใช้คำว่า ‘ฝุ่นมรณะ’ เพื่อให้คนตระหนักในการดูแลตัวเอง เพื่อให้เห็นว่ามันเล่นกันถึงตาย ช่วงกลางเดือนกันยายนก็มี PM2.5 มีการเผาฟางข้าวในภาคกลาง ตามมาด้วยความกดอากาศจากทางตอนเหนือลงมาถึงกรุงเทพฯ และยังมีปัญหาไฟป่า ส่วนภาคอีสานก็จะมีการเผาไร่อ้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิดนะครับ แต่เป็นมาสิบๆ ปีแล้ว”

จากสถานการณ์ที่ผ่านมา ศ.นพ.ชายชาญ กล่าวว่า เมื่อมีการเผาจากภาคเหนือตอนล่าง กอปรกับกระแสลมพัดเข้ามาทางใต้ ทำให้กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ตอนกลางต้องเผชิญกับภาวะฝุ่นมรณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากการเผาไร่ในภาคเหนือแล้ว บริเวณชายแดนพม่าก็มีการเผาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากนายทุนจากประเทศไทยย้ายการลงทุนไปยังฝั่งพม่าด้วยเหตุผลค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่า

ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ผลการตรวจสุขภาพพบว่า ภายในโพรงจมูกของประชาชนแทบไม่ต่างจากพื้นผิวกระดาษทราย แม้จะล้างด้วยน้ำเปล่าแล้ว ฝุ่น PM2.5 ก็ยังไม่หมดไป

“ถ้าทิ้งไว้ 2-3 วันก็จะมีการอักเสบ โดยผู้ป่วยไม่รู้ตัว และถ้าเข้าไปในสมองก็อาจเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ทีนี้พอโพรงจมูกตัน ต้องหายใจทางปาก ก็จะทำให้เสียงแหบ เพราะกล่องเสียงมีฝุ่นและแบคทีเรีย

“PM2.5 มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดแดงด้วยซ้ำ เวลาเข้าไปในร่างกายแล้วจะเกาะติดที่ผนังเส้นเลือดได้ง่าย ทำให้เกิดการอักเสบ ที่สำคัญฝุ่นขนาดเล็กนี้ยังสามารถแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ยิ่งกว่าควันบุหรี่มือสองที่กระทบในบริเวณจำกัด แต่ PM2.5 กระทบต่อประชากรจำนวนมาก รายงานของสหประชาชาติ เขาเรียกว่าเป็นฆาตรกรซุ่มเงียบ คร่าชีวิตชาวโลกไปถึง 7 ล้านคน”

ถึงเวลาสังคายนาองค์ความรู้

ศ.นพ.ชายชาญ กล่าวว่า การศึกษาเรื่องมลพิษในประเทศไทยตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมาถือว่ายังน้อยมาก ทั้งที่ปัญหานี้ควรมีการสังคายนาเป็นองค์ความรู้ขนาดใหญ่ในระดับสากล

“ประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องฝุ่นละออง PM2.5 มาเป็นเวลา 20-30 ปี มีคนเสียชีวิต 30,000-50,000 คน ข้อมูลในปี 2552 มีรายงานการวิจัยที่สัมพันธ์กับ PM2.5 ประมาณ 40,000 รายงาน แต่ข้อมูลเหล่านี้กลับไม่อยู่ในความสนใจของรัฐบาลเลย กระทรวงสาธารณสุขรายงานก็รายงานไป ในขณะที่อุบัติเหตุทางรถยนต์ของไทยอยู่ที่ 9,400 คน จะเห็นว่าสถานการณ์ PM2.5 ทำให้คนตายมากกว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งปีถึง 4 เท่า แต่ไม่เคยอยู่ในแผนที่จะบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม เพราะมันไม่ง่ายที่จะนับศพ และถ้าผู้บริหารไม่ฟังนักวิชาการก็จะบริหารประเทศผิดพลาด”

ผลกระทบขั้นรุนแรงจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ทำให้อัตราการเสียชีวิตรายวันของชาวเชียงใหม่เพิ่มขึ้นในช่วงมีนาคม 2554 จนถึงมีนาคม 2561 และจากผลวิจัยยังพบข้อมูลว่า ทุกๆ 10 ไมโครกรัมของฝุ่น PM2.5 จะทำให้ชาวเชียงใหม่เสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ภายในหนึ่งสัปดาห์

“ในทุกๆ 10 ไมโครกรัมที่ของฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นต่อปี ทำให้ประชากรโลกอายุสั้นลงประมาณ 1.8 ปี แต่ในภาคเหนือตอนบนของไทยที่มีฝุ่นหนาแน่น คนจะอายุสั้นลงประมาณ 5-6 ปี ส่วนคนกรุงเทพฯ จะอายุสั้นลง 2-3 ปี นี่เป็นสถิติจากปี 2557”

ศ.นพ.ชายชาญ ย้ำว่า ผลกระทบต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่สาธารณชนควรตระหนัก รวมถึงในวงการแพทย์ที่ต้องทำความจริงให้ปรากฏ เพราะทุกคนล้วนได้รับผลกระทบทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว อาจไม่ป่วยในวันนี้ แต่ป่วยในวันหน้า และเมื่อถึงเวลานั้นอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

 

ภาพ: สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย

 

การผ่าคลอดกับความเสี่ยงออทิสติกและสมาธิสั้น

งานวิจัยชิ้นใหม่ชี้ว่า การผ่าคลอดทางหน้าท้อง (Cesarean Delivery: CD) สัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคออทิสติก (Autism Spectrum Disorder: ASD) และโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder: ADHD) โดยข้อค้นพบเหล่านี้ได้รับการตีพิมพ์แบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2019 ใน JAMA Network Open

การทบทวนและวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) ชิ้นหนึ่งทำการศึกษาใน 61 งานวิจัย ใน 19 ประเทศ ครอบคลุมการคลอด 20.6 ล้านครั้ง พบว่า การคลอดมีชีพด้วยการผ่าหน้าท้องสัมพันธ์กับการเกิดโรค ASD มากกว่าการคลอดมีชีพทางช่องคลอดถึง 33 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ ADHD อยู่ที่ 17 เปอร์เซ็นต์

“เป็นที่รับรู้กันว่า ในเชิงอุดมการณ์นั้น การผ่าคลอดฯ จะกระทำเมื่อมีความจำเป็นในทางการแพทย์เท่านั้น” ผู้นิพนธ์หลัก เทียนหยาง จาง (Tianyang Zhang) จากศูนย์วิจัยจิตเวชศาสตร์ ในสถาบัน Karolinska สต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน บอกกับ Medscape Medical News

“สำหรับหญิงที่ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าต้องได้รับการผ่าคลอดฯ การแนะนำให้ผ่าฯ ย่อมไม่เหมาะสม สูติแพทย์ควรประเมินอย่างเต็มที่ว่าทั้งแม่และทารกในครรภ์ว่าจำเป็นต้องผ่าคลอดฯ หรือไม่” จางกล่าว

ผลลัพธ์ด้านลบ

ก่อนหน้านี้ พบว่าการผ่าคลอดฯ เชื่อมโยงอยู่กับผลลัพธ์ด้านลบในเด็กหลายประการ เช่น โรคอ้วน โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ และเบาหวานประเภท 1 (type 1 diabetes) “อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างการผ่าคลอดฯ กับความผิดปกติด้านจิตและประสาทยังมีการศึกษาน้อย” จางระบุ

“ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า จำนวนของความสัมพันธ์นี้จะแตกต่างกันหรือไม่ ระหว่างการผ่าคลอดฯ ที่มีการวางแผนล่วงหน้ากับการผ่าคลอดฯ ด่วนเนื่องด้วยเหตุผลทางการแพทย์ระหว่างการทำคลอด” จางกล่าว

เพื่อตอบคำถาม นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ดำเนินการวิจัยด้วยการทบทวนอย่างเป็นระบบและการวิเคราะห์อภิมานในการศึกษาต่างๆ ที่เป็นการติดตามสังเกตการณ์ “เพื่อค้นหาปริมาณความสัมพันธ์ระหว่าง CD กับผลลัพธ์ที่เกิดด้านจิตและประสาทเปรียบเทียบกับการคลอดตามปกติทางช่องคลอด”

อย่าให้ร้ายแก่ CD

จางอธิบายว่า มีหลายเหตุผลที่ CD อาจทำให้เด็กที่คลอดออกมามีความเสี่ยงต่อปัญหาทางจิตและประสาทมากขึ้น

“การกำเนิดของทารกเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีหลากหลายปัจจัยที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป” จางกล่าว

CD ประเภทฉุกเฉิน

“โดยปกติแล้วจะเกิดขึ้นเมื่อมีบางสิ่งผิดปกติระหว่างคลอดและการผ่าตัดกลายเป็นเรื่องจำเป็น” และ “มันเป็นไปไม่ได้ที่ทารกบาดเจ็บหรือขาดอากาศหายใจระหว่างคลอดจะมีความผิดปกติทางระบบประสาทเสมอไป”

นอกจากนี้ยังเสริมปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับด้านพัฒนาการว่า “สูติแพทย์จะแนะนำให้ผ่าคลอดฯ ถ้าแม่มีโรคบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ฯลฯ บางโรคอาจมีผลต่อการพัฒนาของสมองของเด็กตั้งแต่ยังอยู่ในมดลูก” จางระบุ

“ระหว่างการคลอดทางช่องคลอด แบคทีเรียจากทางเดินอาหารของแม่จะผ่านไปยังทารกและกระตุ้นให้ทารกนั้นมีภูมิคุ้มกัน กระบวนการนี้จะต่างออกไปในเด็กที่คลอดโดยการผ่าหน้าท้อง” จางกล่าว

“เราคิดว่ามันเป็นปัจจัยร่วมระหว่างปัจจัยเหล่านี้กับปัจจัยอื่นๆ เช่น แนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเกิดความผิดปกติทางจิตและประสาท ได้ร่วมกันส่งผลให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในทารก”

และเธอยังเน้นย้ำอีกว่า “ดังนั้น จึงไม่ควรให้ร้ายแก่ CD ควรจะใช้ CD ต่อไปเมื่อมีความจำเป็นทางการแพทย์”

ควรจะทบทวนข้อบ่งชี้ได้หรือยัง?

ในการวิพากษ์วิจารณ์งานการศึกษานี้ผ่านทาง Medscape Medical News เสียเหว่ย อู๋ (Xiawei Ou) รองศาสตราจารย์ด้านรังสีวิทยาและกุมารเวช University of Arkansas for Medical Sciences and Arkansas Children’s Hospital กล่าวว่า กลไกภายในที่เชื่อมโยงกับระหว่าง CD กับความเสี่ยงต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นในเด็กทารกนั้น “ยังไม่ชัดเจนและจำเป็นจะต้องทำการศึกษาต่อไป”

อย่างไรก็ตาม งานการศึกษานี้มีประเด็นสำคัญที่แพทย์ควรเอาไปขบคิดเป็นการบ้าน รองศาสตราจารย์อู๋ซึ่งควบตำแหน่งผู้อำนวยการของ Brain Imaging Laboratory ที่ศูนย์โภชนาการเด็ก Arkansas กล่าว และในฐานะผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการศึกษาข้างต้นยังเสริมว่า

“การจงใจผ่าคลอดฯ โดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ควรได้รับการพิจารณาทบทวนด้วยข้อค้นพบทางวิชาการใหม่ ทั้งจากการศึกษานี้และการศึกษาอื่นๆ และควรพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงที่จะเกิดกับประโยชน์ที่จะได้รับใน CD ที่มีการวางแผนเพราะมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ด้วย”

จางผู้นิพนธ์หลักเตือนว่า การศึกษานี้ “ไม่ได้บอกว่ามีข้อพิสูจน์ที่แย้งไม่ได้” ว่า CD ทำให้เกิดความผิดปกติในพัฒนาการของระบบประสาท “ความสัมพันธ์กันไม่ใช่ความเป็นเหตุเป็นผลกัน” เธอเน้นย้ำ

การศึกษานี้ได้รับการสนับสนุนจาก China Scholarship Council จางและอู๋ต่างก็ได้แสดงตนว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ รายชื่อผู้นิพนธ์อื่นๆ ปรากฏในบทความนิพนธ์ต้นฉบับ

สำหรับประเทศไทย อัตราการผ่าท้องคลอดมีสูงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้อัตราการผ่าท้องคลอดไม่ควรเกิน 15 เปอร์เซ็นต์ โดยให้คำนึงจากความจำเป็นและความฉุกเฉินในการช่วยชีวิตแม่และลูกในครรภ์

 

แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อชนิดแผ่นหรือก้อน เลือกใช้อย่างไรดี?

ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อทั้งชนิดแผ่น (Alcohol pad) และชนิดก้อน (Alcohol ball) ที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปอาจไม่ปลอดเชื้ออย่างที่คิด เพราะภายใต้แพ็คเกจจิงที่แลดูสะอาดปลอดภัย อาจมีรอยชำรุด ฉีกขาด กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อก่อโรค หรือทำให้ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ระเหยหายไป เมื่อนำไปใช้งานจริงจึงไม่มีฤทธิ์พอที่จะฆ่าเชื้อได้

ทำอย่างไรล่ะจึงจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อแบบไหนควรใช้หรือไม่ควรใช้ แบบไหนควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ

ด้วยเหตุนี้ จึงมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ‘ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อฆ่าเชื้อสำหรับมนุษย์ สัตว์ และเครื่องมือแพทย์’ พ.ศ. 2562 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562 มีผลบังคับใช้วันที่ 11 มีนาคม 2563
เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคในการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

Infographic ชิ้นนี้มีข้อแนะนำง่ายๆ สำหรับประชาชนทั่วไปในการเลือกซื้อและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้ออย่างถูกต้องเหมาะสม

 

 

 

รับยาใกล้บ้าน: ให้เภสัชกรดูแลคุณ

เริ่มแล้ว 1 ตุลาม 2562 นโยบายลดปัญหาโรงพยาบาลแออัด รอคิวนาน

เมื่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีมติให้ผู้ป่วยบัตรทองสามารถรับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านได้ โดยไม่ต้องเสียเวลารอคิวรับยาที่โรงพยาบาล ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แถมยังมีเภสัชกรประจำร้านยาคอยให้คำปรึกษาแนะนำวิธีการใช้ยาอย่างใกล้ชิด

นับเป็นมิติใหม่ของการให้บริการแก่ผู้ป่วยบัตรทองที่คาดว่าจะช่วยลดเวลา ลดภาระค่าเดินทาง แก่ผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น โดยมีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการนำร่อง 50 แห่ง และร้านขายยาอีก 500 แห่งทั่วประเทศ

5 ข้อน่าจับตา ก่อนการรื้อฟื้น FTA ไทย-สหภาพยุโรป

FTA Watch (กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน) ยื่นจดหมายแก่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ห่วงการรื้อฟื้น FTA ไทย-สหภาพยุโรป จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง ทั้งผูกขาดการเกษตร ทำให้ยาราคาแพงกระทบต่อระบบหลักประกันสุขภาพฯ ขัดคำประกาศว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของนายกฯ บนเวที UN โดยเสนอให้เก็บภาษีภาคธุรกิจที่ได้ประโยชน์จาก FTA เพื่อนำมาเยียวยาผลกระทบ

เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2562 เวลา 10.00 น. ตัวแทนจากกลุ่ม FTA Watch ประกอบด้วย กรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธาน FTA Watch และ เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล จากมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ได้เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกแก่ อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับการรื้อฟื้นการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป (EU)

ตามที่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบนโยบายเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเร่งรัดการเจรจา FTA ไทย-อียู ให้บรรลุข้อตกลงนั้น จากการที่กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ติดตามและศึกษาเรื่องนี้มากว่า 1 ทศวรรษเห็นว่า FTA ไทย-อียู อาจสร้างผลกระทบต่อประชาชนในหลายมิติ จึงยื่นข้อเสนอ 5 ข้อ ดังนี้

1

ข้อผูกพันเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ที่เข้มงวดเกินไปกว่ามาตรฐาน TRIPs (Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights) ที่ตกลงไว้แล้วในองค์การการค้าโลกหรือการเป็น TRIPs+ (ทริปส์พลัส) ทั้งผลกระทบด้านการเกษตร ที่จะส่งผลให้เกิดการผูกขาดในภาคเกษตรแบบครบวงจรและกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ วิถีชีวิตชุมชน เกษตรกรรายย่อย และผลกระทบด้านสุขภาพจะทำให้เกิดการผูกขาดยาผ่านระบบสิทธิบัตรและกีดขวางการเข้าถึงยาราคาถูก ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อระบบสุขภาพของประเทศ

นอกจากนี้ การเปิดเสรีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ จะทำให้มีการบริโภคมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสังคมอย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังมีการคุ้มครองการลงทุนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องรัฐผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการนอกประเทศได้ แม้ว่ารัฐจะกำหนดให้มีนโยบายสาธารณะเพื่อประชาชน แต่ขัดผลประโยชน์ของนักลงทุนต่างชาติ โดยการคุ้มครองการลงทุนในลักษณะดังกล่าวจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชนในทุกมิติ

“ขณะนี้นายกรัฐมนตรีของไทยกำลังเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นิวยอร์ค เพื่อกล่าวคำประกาศทางการเมืองว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในสายตานานาประเทศ และหลายประเทศกำลังเดินหน้าผลักดันให้มีระบบหลักประกันสุขภาพฯ เหมือนไทย แต่ถ้าประเทศไทยเดินหน้ารื้อฟี้นการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป โดยให้มีข้อผูกพันในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาและการคุ้มครองการลงทุน ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยจะได้รับผลกระทบร้ายแรงจากราคายาที่สูงขึ้นอย่างมาก และการถูกจำกัดการออกหรือใช้นโยบายสาธารณะเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน” เฉลิมศักดิ์กล่าว

ขณะที่คำประกาศทางการเมืองว่าด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าขององค์การสหประชาชาติ ที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยกำลังไปร่วมประชุม ในข้อที่ 51 ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ เป้าหมายที่ 3 ที่ว่าด้วยสุขภาพ และในปฏิญญาโดฮา (Doha Declaration) ว่าด้วยความตกลง TRIPs และการสาธารณสุข ได้กล่าวย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการเข้าถึงยา วัคซีน และเวชภัณฑ์จำเป็นต่างๆ ในราคาที่เป็นธรรม และไม่ควรให้ความตกลงการค้าใดๆ และเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงระบบสุขภาพภายใต้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ด้งนั้น กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์จึงควรตระหนักและคำนึงถึงประเด็นในเรื่องความสอดคล้องทางนโยบายเป็นสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการค้าและการสาธารณสุข

2

เมื่อ 7 ปีที่แล้วตอนที่เริ่มการเจรจา FTA ระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป กระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชนอ้างความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเร่งจัดทำ FTA เพื่อไม่ให้สินค้าไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (Generalized System Preference: GSP) อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยของสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนาพบว่า แม้สินค้าบางรายการของไทยถูกตัด GSP ไปแล้ว แต่การส่งออกไม่ได้ลดลง สินค้าส่งออกบางรายการกลับเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งตัวเลขการลงทุนของสองฝ่ายก็ไม่ได้ลดน้อยลง ดังนั้น จึงควรมีการทบทวนงานศึกษาและข้อมูลของทั้งหน่วยราชการและภาคเอกชนที่สนับสนุนให้เร่งเจรจา เพราะอาจมีอคติและให้ข้อมูลตัวเลขผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเจรจาที่เกินจริง และในทำนองเดียวกัน อาจให้ข้อมูลตัวเลขด้านผลกระทบในกรณีที่ไทยไม่ทำ FTA กับสหภาพยุโรปที่รุนแรงเกินจริง

3

ในการเจรจารอบที่เคยผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และกระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนให้จัดทำการศึกษาผลกระทบของ FTA ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (Health Impact Assessment: HIA) และ Environmental Health Impact Assessment: EHIA) และกระทรวงพาณิชย์และสถาบันการศึกษาต่างๆ ได้ศึกษาและมีรายงานหลายฉบับ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศควรรวบรวมงานศึกษาเหล่านี้ทุกฉบับและเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจเข้าร่วมเจรจาอีกหรือไม่ และใช้เป็นข้อมูลในช่วงการเจรจา

4

ในการเจรจารอบที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้จัดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการเตรียมเนื้อหาการเจรจาอย่างเท่าเทียม เช่น การจัดให้มีการหารือผู้มีส่วนได้เสียครบทุกภาคส่วนทั้งก่อนและหลังการเจรจาในแต่ละรอบ โดยให้มีการชี้แจงท่าทีของคณะเจรจา รายงานความคืบหน้า พร้อมทั้งรับฟังและดำเนินการตามข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล ถ้ามีการรื้อฟื้นการเจรจาขึ้นมาอีกครั้ง ขั้นตอนการมีส่วนร่วมในทุกระดับและทุกหัวข้อของเนื้อหาการเจรจาความตกลง ต้องมีการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย อย่างแท้จริง และไม่น้อยไปกว่าเดิม อีกทั้งไม่ควรเลือกปฏิบัติรับฟังความคิดเห็นของภาคธุรกิจมากกว่าภาคประชาสังคม

5

การออกมาตรการรองรับหรือมาตรการเยียวยาใดๆ จากผลกระทบของ FTA ต้องให้ผู้ได้ประโยชน์จากความตกลงฉบับนี้ มีส่วนในการรับผิดชอบต่อผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อระบบสุขภาพ ชีวิตเกษตรกร และสิ่งแวดล้อม

กรรณิการ์กล่าวย้ำประเด็นนี้ว่า ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน ถ้าอยากทำ FTA เพราะจะได้รับประโยชน์ทางธุรกิจ ก็ควรต้องยอมให้รัฐจัดเก็บภาษีรายการใหม่ๆ ในอัตราที่สมเหตุสมผลและเพียงพอ เพื่อนำมาเยียวยาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน

ทั้งนี้ กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เครือข่ายภาคประชาสังคม และภาควิชาการ พร้อมที่จะสนับสนุนข้อมูลการศึกษาต่างๆ เพื่อให้การเจรจาการค้าระหว่างประเทศเกิดความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนมากที่สุด และไม่ปล่อยให้ผลได้กระจุกผลเสียกระจายดังที่เคยเป็นมา

 

สัญญาใจ 7 ข้อ คุ้มครองนักช็อปออนไลน์

ตลาดซื้อขายออนไลน์วันนี้คึกคักยิ่งกว่าตลาดนัด 100 ปี เพราะใครต่อใครต่างก็สามารถซื้อขายกันได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้ว ช็อปได้ทุกวันทุกเวลาไม่เว้นวันหยุดราชการ และด้วยความสะดวกสบายเช่นนี้เอง ที่อาจทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อของการถูกหลอก

ต้องยอมรับว่า กฎกติกาข้อแรกของการจับจ่ายในโลกออนไลน์นั้น ไม่มีสินค้าจริงให้จับต้องได้ มีเพียงภาพและข้อความโฆษณาที่ยากจะคาดเดาได้ว่า จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

นักช็อปหลายคนเคยผ่านประสบการณ์ปวดใจมาแล้วนักต่อนัก ที่พบเจอกันบ่อยๆ อย่างเช่น สินค้าไม่ตรงปก สั่งแบบนั้น แต่ได้แบบนี้ ซื้อไปแล้วไม่รับคืน หรือถ้าคืนได้ก็ต้องจ่ายค่าขนส่งเอง หลายรายเจ็บแต่ไม่จบ จ่ายเงินแล้วแต่ไม่ได้ของ เพราะแม่ค้าตัวดีหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

จะดีกว่าไหม ถ้าตลาดขายของออนไลน์จะซื่อสัตย์จริงใจและมีระบบตรวจสอบที่ชัดเจนมากกว่านี้

ด้วยเหตุที่นักช็อปจำนวนไม่น้อยต้องประสบกับปัญหาเหล่านี้ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภคที่ประกอบด้วยคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) สมาคมสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค (สสอบ.) และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) จึงจับมือกับหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และองค์กรภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด บริษัท แอลเอ็นดับเบิ้ลยู จำกัด และบริษัท บิวตี้ นิสต้า จำกัด เพื่อหาแนวทางพัฒนาวงการธุรกิจ e-Marketplace ให้เป็นที่ยอมรับ เชื่อถือได้ และไม่เอาเปรียบผู้บริโภค โดยมีการแลกเปลี่ยนระดมความเห็นจากผู้ส่วนได้ส่วนเสียในการจัดทำแนวทางการประกอบธุรกิจที่ดี จนได้ข้อสรุปร่วมกันและนำมาสู่การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อเป็นกรอบในการทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกัน เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา

 

ข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA พบว่า ตลาด e-Commerce ของประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าตลาดจะเพิ่มสูงขึ้น จาก 2.7 ล้านล้านบาท ในปี 2560 เป็น 3.2 ล้านล้านบาท ในปี 2562 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีระบบ e-Payment ที่สะดวกสบายมากขึ้น การขนส่งที่รวดเร็ว ทำให้คนหันมานิยมซื้อของออนไลน์สูงขึ้น

ทว่าเมื่อไลฟ์สไตล์การจับจ่ายของผู้คนเคลื่อนจากโลกออฟไลน์ไปสู่ออนไลน์กันมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ (สายด่วน 1212 OCC) พบว่า ในปี 2560 มีเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 9,987 ครั้ง และเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2561 โดยมีเรื่องร้องเรียนสูงถึง 17,558 ครั้ง หรือเฉลี่ย 1,463 ครั้งต่อเดือน

ปัญหาสำคัญที่ผู้บริโภคมักประสบอยู่เสมอคือ ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในการเลือกซื้อสินค้า ทั้งข้อมูลตัวตนที่แท้จริงของผู้ขาย รายละเอียดสินค้าและสัญญา จนนำไปสู่การถูกหลอก การซื้อแล้วไม่ได้รับสินค้า การได้รับสินค้าไม่ตรงตามโฆษณา หรือสินค้าชำรุดเสียหายระหว่างขนส่งก่อนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงปัญหาเรื่องการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการศึกษาทบทวนปัญหาการซื้อขายสินค้าออนไลน์โดยเปรียบเทียบทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบปัญหาที่คล้ายคลึงกันของธุรกิจ e-Marketplace โดยมีข้อสรุปที่สำคัญ 7 ประเด็น และนำมาสู่การจัดทำ MOU เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ได้แก่

  1. การตรวจสอบร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ให้ผู้ประกอบการตลาดออนไลน์มีระบบหรือกลไกการตรวจสอบร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายในตลาดของตนเพื่อพิสูจน์ตัวตน ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าซื้อสินค้าจากผู้ขายที่มีตัวตนจริง
  2. การแสดงข้อมูลของร้านค้าที่ร่วมจำหน่ายสินค้าหรือบริการ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าสินค้าหรือบริการนั้นมีการจดแจ้ง หรือได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วน และไม่มีการโฆษณาที่เกินจริง เป็นเท็จ หรือทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญ รวมทั้งมีระบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับหน่วยงานหรือที่อนุญาตสินค้าหรือบริการนั้น
  3. การมีระบบให้ข้อมูลจำเป็นแก่ผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคทราบว่าเป็นร้านค้าที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมาย รวมถึงมีช่องทางการแจ้งเตือนภัยผู้บริโภคเกี่ยวกับข้อมูลร้านค้าที่เคยถูกร้องเรียน
  4. ระบบรักษาความปลอดภัยทางการเงิน มีระบบ ‘คนกลาง’ เพื่อเก็บเงินไว้ก่อน เมื่อผู้บริโภคยืนยันว่าได้สินค้าครบถ้วนถูกต้อง คนกลางจึงจะโอนเงินไปยังผู้ขาย โดยผู้ให้บริการตลาดออนไลน์จะเลือกใช้บริการรับชำระเงิน (Payment Gateway) ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจากกระทรวงการคลัง
  5. นโยบายความเป็นส่วนตัว มีนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค เก็บรักษาข้อมูลของลูกค้าเป็นความลับ ไม่เปิดเผยหรือนำข้อมูลไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต
  6. การมีช่องทางร้องเรียนและระบบติดตามเรื่องร้องเรียน มีช่องทางร้องเรียนที่สะดวก รวดเร็ว และเห็นได้ชัดเจน ผู้บริโภคสามารถประสานงานและติดต่อได้ง่าย และให้มีการรายงานผลเรื่องร้องเรียนให้ผู้บริโภคทราบภายใน 15 วันนับแต่ได้รับเรื่องร้องเรียน
  7. การมีนโยบายความพึงพอใจ การคืนสินค้าและการเยียวยาแก่ผู้บริโภค มีนโยบายความพึงพอใจ การคืนสินค้า และความรับผิดชอบต่อความไม่ปลอดภัยของสินค้า มีการแสดงข้อมูล เงื่อนไขการคืนเงิน ช่องทาง วิธีการคืนเงิน ระยะเวลาที่จะคืนเงินเป็นไปตามกฎหมาย

แนวทางและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นก้าวแรกของความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคธุรกิจผู้ให้บริการตลาดออนไลน์ ซึ่งในอนาคตอาจเป็นบรรทัดฐานให้กับธุรกิจ e-Marketplace รายอื่นๆ ที่ต้องพัฒนาและปรับตัวเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคต่อไป

การเดินทางของ ‘เขม่าดำ’ จากลมหายใจสู่ครรภ์มารดา

งานวิจัยพบ ‘เขม่าดำ’ หรือคาร์บอนดำ (Black Carbon: BC) ในรกด้านที่เชื่อมกับทารก นับเป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบว่ามลภาวะทางอากาศจากการหายใจของแม่สามารถส่งต่อไปถึงเยื่อรกบางๆ (placental barrier) ได้ โดยรกตัวอย่างทุกชิ้นพบเขม่าดำเล็กๆ จำนวนหลายพันละอองต่อเนื้อเยื่อรก 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่ทารกจะสัมผัสเขม่าดำ เช่น จากควันไอเสียรถโดยตรงตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์

รกของคนเราประกอบด้วยสองส่วน คือส่วนที่อยู่ติดกับตัวอ่อน สร้างจากเนื้อเยื่อเดียวกับของทารก และอีกส่วนคือรกส่วนที่ติดกับแม่ สร้างจากเนื้อเยื่อมดลูกของแม่ โดยน้ำและสารอาหารจะถูกถ่ายทอดจากรกฝั่งแม่ไปสู่รกฝั่งลูก และจะลำเลียงสู่ตัวอ่อนผ่านสายสะดือ ส่วนของเสียจากตัวอ่อน เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการหายใจจะถูกลำเลียงออกมาอีกทางหนึ่ง ระบบเลือดของแม่และลูกไม่ได้แลกเปลี่ยนสารต่างๆ กันโดยตรง แต่จะผ่านเยื่อรก (placenta barrier) เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ของแม่ตรวจจับเซลล์ลูกว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม เยื่อนี้ยอมให้สารบางอย่างผ่านไปได้ เช่น DNA ลูกสู่แม่ หรือแอลกอฮอล์ นิโคติน ยาสเตียรอยด์จากแม่สู่ลูก และล่าสุดเราก็ทราบว่าเขม่าดำก็เป็นสารอีกตัวหนึ่งที่สามารถผ่านเยื่อรกไปได้

เขม่าดำเป็นหนึ่งในละอองมลภาวะทางอากาศที่ได้จากการเผาไหม้ เช่น จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงรถยนต์ การเผาเศษวัสดุทางการเกษตรหลังการเก็บเกี่ยว หรือควันจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน งานวิจัยฉบับนี้เสนอว่า เขม่าดำอาจเป็นอีกหนึ่งตัวการเพิ่มความเสี่ยงที่ทารกจะมีน้ำหนักแรกคลอดน้อยและมีโรคประจำตัวในระยะยาว คลอดก่อนกำหนด หรือถึงขั้นแท้งบุตร เขม่าดำเป็นมลภาวะทางอากาศ มีผลต่อปัญหาทางเดินหายใจและหัวใจ

ศาสตราจารย์ทิม นอว์รอต (Tim Nawrot) ผู้วิจัยหลักจากมหาวิทยาลัยฮัสเซลท์ (Hasselt University) ในประเทศเบลเยียม กล่าวว่า เมื่อตัวอ่อนในครรภ์ได้รับอันตรายก็จะส่งผลไปตลอดชีวิต เขาย้ำว่า “ระยะตัวอ่อนเป็นช่วงชีวิตที่บอบบางที่สุด เป็นขั้นตอนการพัฒนาอวัยวะทุกระบบ และเราต้องทำให้มารดาได้รับเขม่าดำน้อยลงเพื่อปกป้องเด็กๆ รุ่นต่อไป” การลดปริมาณเขม่าดำอาจทำได้ตั้งแต่การให้หญิงมีครรภ์หลีกเลี่ยงถนนที่รถติด ไปจนถึงการให้รัฐบาลประกาศควบคุมปริมาณมลภาวะทางอากาศ

“ผลลัพธ์ครั้งนี้บอกให้รู้ว่าละอองขนาดเล็กสามารถผ่านเยื่อรกของมนุษย์ได้ ขั้นต่อมาคือการวิจัยว่ามันผ่านไปถึงตัวอ่อนหรือไม่” นอว์รอตยอมรับว่าแม้จะทราบผลการวิจัยเบื้องต้นแล้ว แต่การป้องกันเขม่าดำก็เป็นเรื่องยาก “การให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงเป็นเรื่องยากมาก เพราะอย่างไรทุกคนก็ต้องหายใจ”

งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสาร Nature Communications นอว์รอตทำการวิจัยโดยเก็บตัวอย่างรกจากผู้หญิงชาวเบลเยียมที่ไม่สูบบุหรี่ 25 คนในเมืองฮัสเซลท์ พบว่ามีระดับละอองมลภาวะสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนด แต่ก็ยังต่ำกว่าเกณฑ์ที่สหภาพยุโรป (EU) กำหนด นอว์รอตและคณะวิจัยใช้เทคนิคเลเซอร์เพื่อช่วยตรวจจับเขม่าดำ พบว่ามีเขม่าขนาดนาโนเล็กๆ เกาะอยู่บนรกด้านที่เชื่อมกับทารก ยิ่งแม่ได้รับมลภาวะทางอากาศมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพบปริมาณเขม่าดำมากเท่านั้น เฉลี่ยแล้วหญิงตั้งครรภ์ที่พักใกล้ถนนใหญ่และน่าจะสัมผัสควันจากไอเสียรถมากมีเขม่านาโน ถึง 20,000 ชิ้นต่อตัวอย่างรก 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร และเฉลี่ย 10,000 ชิ้น ต่อ 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตรสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่พักห่างจากถนนใหญ่อย่างน้อย 500 เมตร

ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์เลือดของตัวอ่อนทารกในครรภ์เพื่อค้นหาว่าเขม่าดำสร้างความเสียหายแก่ DNA ของตัวอ่อนหรือไม่ นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบเขม่าดำในรกของตัวอ่อนอายุเพียง 12 สัปดาห์ที่เสียชีวิตจากภาวะแท้ง ในปี 2017 คณะวิจัยพบเขม่าดำเฉลี่ย 10 ล้านชิ้นต่อปัสสาวะ 1 มิลลิลิตรของเด็กประถมอายุ 9-12 ปี นอกจากนี้ก็เคยพบว่าละอองนาโนสามารถแพร่ผ่านตัวกลางระหว่างเลือดกับสมอง รวมถึงพบละอองนาโนหลายพันล้านชิ้นภายในอวัยวะหัวใจของคนหนุ่มสาวที่อาศัยในเขตเมือง แสดงให้เห็นว่าเขม่าดำจากปอดอาจเคลื่อนไปที่อวัยวะใดก็ได้ในร่างกาย

องค์การอนามัยโลกประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตจากมลภาวะทางอากาศทั่วโลกมากกว่า 7 ล้านคนต่อปี ประชากรกว่า 90 เปอร์เซ็นต์บนโลกนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูงเกินกว่าค่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด โดยเขม่าดำเป็นหนึ่งในฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particular Matter: PM) ที่สามารถเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดและระบบทางเดินหายใจผ่านการสูดดมอากาศไม่บริสุทธิ์ เมื่อปี 2018 เว็บไซต์ตรวจสอบมลภาวะทางอากาศ AirVisual.com จัดอันดับประเทศที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ได้ว่า ประเทศที่มีความเข้มข้นของฝุ่นละอองเฉลี่ยรายปีมากที่สุดคือบังคลาเทศ รองลงมาคือปากีสถานและอินเดีย ส่วนประเทศไทยมีมลภาวะทางอากาศสูงเป็นอันดับ 23

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com/environment
bbc.com
bangkokpost.com
pharmacy.mahidol.ac.th
facebook.com/PCD.go.th
airvisual.com
thaipublica.org
who.int

UNDERSTAND : ซึมเศร้าเราเข้าใจ

สถานการณ์ซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายในกลุ่มเยาวชน นิสิตนักศึกษา ปรากฏเป็นข่าวในปริมาณที่ถี่ขึ้นอย่างผิดสังเกตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่เว้นแม้แต่นักศึกษาแพทย์เองก็ไม่อาจได้รับการยกเว้นจากกลุ่มอาการที่ว่านี้

มองในมุมหนึ่ง ปรากฏการณ์นี้ได้สะท้อนสภาพสังคม ชีวิตการเรียนที่เต็มไปด้วยความเครียด ความกดดัน และความคาดหวังจากคนในครอบครัว

นพ.วิชยุตม์ เพศยนาวิน หรือ ‘หมอวิคเตอร์’ คือหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม ‘Understand’ (ซึมเศร้าเราเข้าใจ) องค์กรที่เกิดจากการรวมตัวของเครือข่ายนักศึกษาแพทย์หลากหลายสถาบัน เพื่อส่งเสริมความตระหนักและพัฒนาทักษะการรับมือโรคซึมเศร้าและปัญหาด้านสุขภาพจิตให้กับนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ

การรวมตัวทำกิจกรรมของกลุ่ม Understand มุ่งหมายที่จะบอกกับทุกคนว่า ภาวะซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด หากคนใกล้ชิดรอบข้างกำลังเผชิญกับโรคนี้ ขอเพียงแค่มีคนรับฟังพวกเขาบ้าง ฟังด้วยความเข้าใจ และฟังโดยไม่ตัดสิน