ตรวจพันธุกรรมเสี่ยงโรคอ้วน จำเป็นหรือสูญเปล่า

เมื่อผลการทดสอบพันธุกรรมเพื่อดูแนวโน้มโรคอ้วนจาก เซการ์ คาธีเรซาน (Sekar Kathiresan) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและนักพันธุศาสตร์จากสถาบันบรอด (Broad Institute) กับทีมงาน ได้เผยแพร่ผ่านวารสาร Cell กระแสโต้กลับของนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็เกิดขึ้นทันที

คำถามหลักไม่ได้อยู่ที่การ ‘ใช้ได้จริง’ แต่อยู่ที่ว่า มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะเจาะเข้าไปในคลังข้อมูลพันธุกรรม ในเมื่อไม่มีวิธีที่ชัดเจนสำหรับการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้

ปัจจุบัน ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันราว 40 เปอร์เซ็นต์เป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักเกินมากขึ้น ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา พฤติกรรมของมนุษย์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเอื้อให้นำไปสู่สภาพที่โรคอ้วนขยายตัวแพร่หลาย

แม้โรคบางโรคมีสาเหตุมาจากความผิดเพี้ยนของยีนตัวใดตัวหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุของโรคทั่วไป รวมถึงโรคอ้วน ขณะเดียวกันยีนอีกหลายพันตัวกลับมีบทบาทเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนแทน

คาธีเรซานและทีมงานได้ทดลองหาความแตกต่างทางพันธุกรรมและดูผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ที่การระบุรูปแบบทางพันธุกรรมที่สร้างความเสี่ยงต่อโรคอ้วนให้ผู้คนมากที่สุด

“ข้อมูลด้านพันธุกรรมนี้จะสามารถอธิบายถึงเหตุผลที่บางคนตัวใหญ่โตมาก และสาเหตุที่พวกเขาต้องเจอปัญหากับการลดน้ำหนัก” เขาบอก

 

งานวิจัยเก็บคะแนนความเสี่ยงโรคอ้วน

ทีมของเขาระบุ DNA ที่เข้าข่ายได้มากกว่า 2 ล้านชนิด แม้จะพบว่าตัวแปรส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ลึกๆ เขาคิดว่าความสัมพันธ์ต้องซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในการเปลี่ยนแปลงหลายพันครั้งมีส่วนเล็กน้อยต่อความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคอ้วน

แม้จะไม่มียีนตัวใดตัวหนึ่งที่สร้างความเสี่ยงได้มากนัก แต่เขาบอกว่าผลโดยรวมจากคะแนนความเสี่ยงของยีนหลายตัวที่เรียกว่า Polygenic Risk Score ยังคงมีประโยชน์อยู่ โดยกลุ่มคนที่มีคะแนนสูงสุดมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรงได้มากกว่า (มีดัชนีมวลกายหรือ BMI มากกว่า 40) ทั้งนี้ ในกลุ่มคนที่มีคะแนนพันธุกรรมสูงสุดมีคนเป็นโรคอ้วน 43 เปอร์เซ็นต์

แต่คะแนนกับผลที่ได้ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบพอ เช่น 17 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีคะแนนสูงสุดก็ยังคงมีน้ำหนักตัวปกติ

“ผลกระทบทางพันธุศาสตร์เริ่มต้นขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่ช่วงอายุประมาณ 3 ขวบ นั่นทำให้เราเองก็ประหลาดใจเช่นกัน” คาธีเรซานบอกว่า ยิ่งป้องกันตั้งแต่เด็กก็ยิ่งสำเร็จได้เร็วขึ้น

มีการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ซับซ้อนจำนวนมากอยู่เบื้องหลังการศึกษานี้ โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 300,000 คน แต่ข้อสรุปกว้างๆ ที่ออกมากลับไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะนักวิทยาศาสตร์ต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่า ปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมมีส่วนสำคัญต่อโรคอ้วน และการศึกษาอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นว่า เด็กที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงสูงที่จะโตมาอ้วนในวัยผู้ใหญ่ด้วย

เซซิล แจนส์เซนส์ (Cecile Janssens) นักระบาดวิทยาและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเอมอรี (Emory University) ไม่ได้ใส่ใจถึงกลยุทธ์การเพิ่มความเสี่ยงเล็กๆ จากตัวแปรทางพันธุกรรมหลายล้านตัวเพื่อสร้างคะแนนความเสี่ยงสะสม

“พูดตรงๆ เราไม่รู้เลยว่าตัวแปรเหล่านี้สำคัญหรือเปล่า” เธอตอบคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของการศึกษาในทำนองนี้ “มันก็ไม่ค่อยจะตอบคำถามที่เกี่ยวข้องจากมุมมองทางชีววิทยาเท่าไหร่ รวมถึงคำถามที่เกี่ยวข้องจากมุมมองทางด้านการรักษาด้วย”

การวิเคราะห์ประเภทนี้ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลของยีนตัวที่มีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วน จึงไม่อาจนำไปใช้เพื่อทำความเข้าใจความสำคัญทางชีววิทยาได้ หากโรคอ้วนเป็นโรคหายาก การทดสอบแบบนี้อาจมีประโยชน์ต่อกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อมันกำลังกระทบชาวอเมริกัน 40 เปอร์เซ็นต์ ความพยายามในการป้องกันโรคจึงควรรวมทุกคนเข้าไปด้วย

แจนเซนส์เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ค้านวิธีใช้ยีนเป็นศูนย์กลางของโรคต่างๆ พวกเขาผิดหวังที่เห็นเม็ดเงินจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในงานพันธุศาสตร์แนวนี้ มากกว่าจะพยายามเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมที่นำไปสู่โรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน

โรคอ้วน

ยีนหรือชะตากรรม?

อีวาน เบอร์นีย์ (Ewan Birney) หัวหน้าสถาบันชีวสารสนเทศศาสตร์ยุโรป (European Bioinformatics Institute) ได้เฝ้าดูประเด็นนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเห็นด้วยว่าโรคอ้วนไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีสำหรับการวิเคราะห์ประเภทนี้

“งานวิจัยต้องทำให้ได้มากกว่าแค่แสดงความสัมพันธ์ทางสถิติที่แข็งแกร่ง แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถใช้มัน ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถใช้สิ่งนั้นเพื่อแทรกแซงโรคนั้นๆ ได้”

เบอร์นีย์ยังคิดว่าการทำฐานข้อมูลครั้งนี้มีมากเกินไป การศึกษานี้ยึดข้อมูลจากธนาคารชีวภาพของสหราชอาณาจักรและตัวอย่างของอเมริกา ซึ่งเป็นแค่คนกลุ่มน้อย อาจใช้เป็นตัวแทนทางเชื้อชาติไม่ได้

อาลี ทอร์คามานี (Ali Torkamani) หัวหน้าฝ่ายข้อมูลพันธุกรรมที่สถาบันวิจัยสคริปส์ (The Scripps Research Institute) บอกว่า หากมีการสำรวจยีนอย่างรอบคอบ แทนที่จะใช้เป็นแค่คะแนนความเสี่ยงเชิงนามธรรม อาจทำให้ระบุตัวแปรทางพันธุกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้จริงๆ

ขณะที่ยีนมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน แต่การแพร่ระบาดของโรคไปไกลกว่าแค่กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น

“ก็แค่ความน่าจะเป็น เหมือนเวลาคุณโยนเหรียญขึ้นไป มันก็ตกลงมาได้ผลทั้งหัวและก้อย” เขาบอก “เพราะคะแนนความเสี่ยงสูงไม่ใช่ชะตากรรมที่บอกว่าคุณ ‘ต้อง’ เป็นโรคอ้วน”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
npr.org

 

วิถีแบบอเมริกันชนกับผลเสียของการ ‘นั่งนาน’ จนรากงอก

นั่งนานจนรากงอก – หลายคนคงเคยโดนข้อหานี้กันบ้าง แต่อเมริกากำลังโดนหนักกว่าที่เคยเพราะจากผลการศึกษาล่าสุดที่บอกว่าชาวอเมริกันใช้เวลาไปกับการนั่งมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แถมนั่งนานไปกับการใช้เวลาดูโทรทัศน์กับเล่นโทรศัพท์มือถือ

งานวิจัยที่เผยแพร่ใน Journal of the American Medical Association ระบุว่า คนอเมริกันทุกกลุ่มอายุใช้เวลานั่งนานขึ้นอีกวันละหนึ่งชั่วโมงในช่วงระหว่างปี 2007-2016 โดยกลุ่มวัยรุ่นนั่งนานกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเพิ่มขึ้นจาก 7 ชั่วโมงเป็นวันละ 8.2 ชั่วโมง ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นจากวันละ 5 ชั่วโมงไปเป็นวันละ 6.4 ชั่วโมง

ดร.หยิน เฉา (Yin Cao) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์ (Washington University in St. Louis) ผู้เขียนผลการศึกษาชิ้นนี้ บอกว่า สิ่งที่น่ากังวลอย่างมากคือความเสี่ยงด้านสุขภาพที่จะมาพร้อมกับเวลานั่งแช่ของทุกกลุ่มอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ออฟฟิศซินโดรม

ทีวี+สมาร์ทโฟน: เหตุผลของการนั่งแช่

จากผลการวิจัย คนอเมริกันใช้เวลานั่งดูโทรทัศน์หรือวิดีโอวันละ 3 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น

“อย่างไรก็ตาม โทรทัศน์ไม่ได้อยู่เบื้องหลังตัวเลขชั่วโมงการนั่งที่เพิ่มขึ้น” ดร.เฉาบอก เพราะช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ใช้ไปกับการดูโทรทัศน์นั้นคงที่มาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกัน ผู้คนนั่งกันนานขึ้นเพราะง่วนอยู่กับการคลิกเมาส์คอมพิวเตอร์มากกว่า

“เมื่อดูจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่นอกเหนือจากเวลาเรียนหรือทำงาน เราจะเห็นว่าปริมาณเวลาของทุกกลุ่มอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ในปี 2016 เด็กๆ 56 เปอร์เซ็นต์ใช้เวลา 1 ชั่วโมงหรือมากกว่าไปกับการนั่งหน้าคอมนอกเวลาเรียน เทียบกับปี 2001 ที่มี 43 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเลขของกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มจาก 53 เปอร์เซ็นต์เป็น 57 เปอร์เซ็นต์

ทีมวิจัยบอกว่า นิสัยการนั่งนานๆ มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากเวลาที่ใช้ไปกับคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน แม้บางเวลาจะใช้ไปกับการดูโทรทัศน์หรือวิดีโอ แต่ช่วงเวลานั่งที่เพิ่มขึ้นจะเป็นช่วงที่ใช้ไปกับโซเชียลมีเดียและโต้ตอบกับเพื่อนผ่านข้อความและวิดีโอแชทมากกว่า ซึ่งนั่งทำกันเป็นส่วนใหญ่

สำหรับการศึกษานี้ ทีมวิจัยของ ดร.เฉาได้วิเคราะห์ผลจากผู้เข้าร่วม 51,000 คนในการสำรวจภาวะสุขภาพและโภชนาการระดับชาติโดยการตรวจร่างกาย (National Health and Nutrition Examination Survey) โดยบันทึกเวลาที่ใช้ไปกับการนั่งตามความแตกต่างตามเพศ เชื้อชาติ น้ำหนัก จำนวนครั้งการเคลื่อนไหวร่างกาย และพบว่านิสัยนั่งแช่จะสอดคล้องกันในระยะยาว

ตอนเด็กติดนั่งแช่อย่างไร โตมาก็ยังเป็นอย่างนั้น

 

ถึงออกกำลังกายเวลาเท่ากันก็ชดเชยไม่ได้

เมื่อไม่ได้ขยับร่างกายมากนัก โรคภัยไข้เจ็บก็ตามมาเป็นโขยง ตั้งแต่ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งการใช้เวลากับเครื่องเล่นในยิมครึ่งชั่วโมงก็ไม่สามารถชดเชยเวลาที่คุณใช้ดูซีรีส์หรือเล่นเฟซบุ๊คครึ่งชั่วโมงได้

แต่ก็แน่ล่ะ…ยิ่งขยับร่างกายยิ่งลดความเสี่ยง แต่งานวิจัยชิ้นนี้ก็ได้แนะนำว่า การออกกำลังกายหรือขยับร่างกายจะได้ผลช่วยลดความเสี่ยงเหล่านั้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นคนที่กระฉับกระเฉงอยู่แล้ว หรือเป็นกลุ่มคนที่เดินเร็วอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงและเคลื่อนไหวพอๆ กัน

“แต่คนอเมริกันยังไม่เคลื่อนไหวร่างกายถึงระดับนั้นสักเท่าไหร่”

คนอเมริกันส่วนใหญ่จึงกำลังเสี่ยงตายอยู่กับนิสัยการนั่งของตัวเอง

แต่ก็มีสัญญาณเชิงบวกบางอย่าง โดยงานวิจัยเปิดเผยว่า จากปี 2001-2016 ช่วงเวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไปที่บรรดาเด็กเล็กอายุระหว่าง 5 ถึง 11 ปีใช้ดูทีวีและวิดีโอลดลงเล็กน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผิวขาว บ่งบอกว่าพ่อแม่คอยกระตุ้นให้เด็กๆ มีกิจกรรมมากขึ้นและใช้เวลาบนโซฟาน้อยลง  

ข้อมูลเหล่านี้ยังชี้ให้เห็นประโยชน์โดยตรงต่อบางกลุ่มเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มชายแอฟริกัน-อเมริกันทุกวัยที่มีน้ำหนักเกินและกลุ่มคนที่ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง พบว่าใช้เวลาดูโทรทัศน์และวิดีโอมากกว่ากลุ่มผู้หญิง ชาวอเมริกันผิวขาว คนที่มีค่าดัชนีมวลกายปกติ และกลุ่มคนที่ออกกำลังกายมากกว่า

อาจดูเป็นปัญหาเล็กๆ แค่นิสัยการนั่ง แต่จริงๆ ผลการศึกษานี้กำลังเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับระบบ ไม่ว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสิ่งแวดล้อม การศึกษาที่โรงเรียน หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย แม้เหล่านี้จะเป็นคำถามที่ยาก แต่จากข้อมูลที่ได้มา มันถึงเวลาที่เราต้องมาร่วมกันคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า “แต่คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com

 

เจ็บป่วยโรคตา ปรึกษาครูเพลงลูกทุ่งดีมั้ย?

หากคุณเป็นโรคตา

ตามัว แสบตา น้ำตาไหล ต้อเนื้อ ต้อลม ต้อกระจก ต้อหิน วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม สารพัดบลาๆๆ …ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมช่วยท่านได้

ห๊ะ! อะไรนะ?

ข้อความข้างต้นคือ โฆษณาอาหารเสริมรักษาดวงตา อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง

โปรดทราบว่า ทั้ง อย. และราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุชัด ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆ พิสูจน์ได้ว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจะสามารถรักษาโรคตาได้

*คำเตือน: หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคตา โปรดปรึกษาจักษุแพทย์ใกล้บ้าน ดีกว่าไปถามครูเพลงลูกทุ่ง

เพราะผองเพื่อนที่ดีที่สุดของพวกเรา คือ เหล่าสัตว์เลี้ยง

ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายขนปุย หนูตะเภาตัวจ้อย ปลาสวยงามที่ว่ายไปมาในบ่อของมัน ม้า หรือแม้แต่จิ้งหรีด ต่างก็มีพลังมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความธรรมดานั้น สัตว์เลี้ยงเหล่านี้สามารถช่วยเหลือมนุษย์อย่างเราที่กำลังเผชิญหน้ากับความเครียดและสภาวะอารมณ์อันบูดบึ้งได้อย่างมหัศจรรย์

ขณะเดียวกันสัตว์ที่เลี้ยงกันโดยทั่วไปอย่าง หมาและแมว ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ พวกมันทำให้เราเห็นว่าการเลี้ยงสัตว์ภายในบ้านช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียดลงได้

มีสัตว์อยู่หลายชนิดที่ถูกนำมาเลี้ยงเพื่อการนี้ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลและโรงเรียน เพื่อสอนและฝึกให้พวกมันช่วยเหลือเหล่าเด็กๆ ที่จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

มหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่งได้ตั้งสถาบันขึ้นมาเพื่อศึกษาปรากฏการณ์ของการนำสัตว์มาเป็นผู้ช่วยเหลือแก่เพื่อนมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็น สถานบัน Tufts Institute for Human-Animal Interaction และ Center for the Human-Animal Bond at Purdue University ขณะเดียวกัน เราก็มีสัตว์เลี้ยงในโรงพยาบาลที่ถูกใช้ในฐานะผู้รักษาและเยียวยาผู้ป่วย ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลเด็กในรัฐเท็กซัส โรงพยาบาลเด็กของจอห์น ฮอปกินส์ ได้นำเอาสัตว์มาฝึกเป็นผู้ช่วยและบำบัดเหล่าผู้ป่วย

สัตว์เลี้ยง

สุขภาพ (จิต) ที่ดีขึ้นจากการเลี้ยงสัตว์

การมีสัตว์เลี้ยงในครอบครัวจะช่วยสอนเด็กๆ ให้มีความรับผิดชอบ มีทักษะการเข้าสังคม รวมถึงการใช้เวลาว่างกับสัตว์เลี้ยงนั้นยังช่วยลดความเครียดและทำให้มีจิตใจที่สงบอีกด้วย ครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเปล่าเปลี่ยวของสมาชิกภายในบ้าน แต่ยังช่วยให้ลูกๆ ของพวกเขานิ่งพอในการจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิต

มีงานวิจัยออกมาว่า เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำ ความดันเลือดต่ำ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจที่ต่ำกว่าคนกลุ่มที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ และสัตว์เลี้ยงจะทำให้เกิดสถานการณ์ เช่น การพาพวกมันออกไปเดินเล่น จนทำให้เกิดการเข้าสังคมที่มากขึ้นในหมู่เจ้าของสัตว์เลี้ยง

 

สัตว์เลี้ยงลดความเครียดจริงไหม

มีข้อสงสัยมากมายว่า สัตว์เลี้ยงเพื่อนรักของเราเหล่านี้ช่วยลดความเครียดได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ได้! ได้อย่างแน่อน พวกมันช่วยลดความเครียดในหมู่ผู้เลี้ยง แม้ว่าเราไม่จำเป็นต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ในการอธิบายว่าลูกหมาตัวน้อยที่นอนขดตัวในบ้านมีส่วนช่วยสร้างกำลังใจและความรู้ดีๆ ให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือการเฝ้ามองตู้ปลาสวยงามจะช่วยให้เราได้พักสายตาและจัดการกับระยะโฟกัสของเราหรือไม่ แต่ก็มีการศึกษาออกมาว่า การช่วยดูแลจิตใจของมนุษย์จากเหล่าสัตว์เลี้ยง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

ในประเด็น pet therapy หรือ ‘การบำบัดโรคโดยสัตว์’ พบว่า คนที่ไม่ได้ชื่นชอบสัตว์ เมื่อมีโอกาสได้เลี้ยงสัตว์หรือเล่นกับพวกมันกลับทำให้มีความเครียดลดลง อีกการศึกษาพบว่าเด็กๆ ที่พยายามทำความเข้าใจสุนัขก็มีความเครียดลดลงเช่นกัน

สัตว์เลี้ยง

เหล่าสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุดในการลดความเครียด

เป็นที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางว่าสัตว์เลี้ยงที่ช่วยลดความเครียดได้ดีที่สุดคือ หมาและแมว แต่ถ้าคุณและครอบครัวของคุณเป็นภูมิแพ้ หรืออาจจะไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับให้หมาและแมวของคุณอาศัยแล้วล่ะก็ ให้เลือกสัตว์ที่ใช้พื้นที่เล็กๆ ที่สามารถอาศัยอยู่ในกรงได้ เช่น หนูตะเภา หนูแฮมสเตอร์ หรือนกที่สามารถร้องเพลงให้กับสมาชิกในครอบครัวฟังได้ แม้แต่เต่าหรือจิ้งหรีดก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับปล่อยให้เหล่าสัตว์เลี้ยงออกมายึดครองพื้นที่ในบ้าน

อ้อ! กระต่ายก็เป็นอีกชอยส์ที่ไม่ควรลืม ถ้าฝึกพวกมันให้ขับถ่ายอย่างเป็นที่ได้ ก็ไม่มีปัญหา

ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องเลือกสัตว์เลี้ยงแล้ว

การที่เราจะหาสัตว์มาเลี้ยงในบ้าน อาจจะต้องใช้เวลาเตรียมตัวในหลายๆ เรื่อง เพราะมันเกี่ยวพันกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ บางอย่างที่ต้องทำความเข้าใจและใส่ใจ เช่น ใครเป็นคนรับหน้าที่ดูแลหลักในครอบครัว หรือถ้ามีสัตว์มาเพิ่มจะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบได้อย่างไรบ้าง จะกลายเป็นเครียดเพิ่มมากขึ้นหรือเปล่าถ้าให้เด็กรับผิดชอบมากขึ้น

นอกจากนี้ยังควรคิดอย่างระมัดระวัง เช่น ต้องพาสัตว์เลี้ยงเดินเล่นบ่อยแค่ไหน และการเดินเล่นที่ว่าจะทำให้ตารางในครอบครัวเปลี่ยนไปอย่างไร และเด็กๆ จะต้องโตพอที่จะเข้าใจความรับผิดชอบต่ออีกหนึ่งชีวิต มันไม่ใช่เพียงการคาดหวังให้นำสัตว์มาเลี้ยงเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยเหลือและรักษาระดับทางอารมณ์ของเราเพียงอย่างเดียว แต่พวกมันคือความรักและความเข้าใจ ที่เราจะต้องรับผิดชอบอย่างบิดพลิ้วไม่ได้

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
discoverbrillia.com

ฮั่นแน่! ไม่ชอบสวมหมวกกันน็อคหรือป่าว

‘สงกรานต์’ วันหยุดยาวแห่งการเฉลิมฉลองพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัว
แต่เทศกาลแห่งความสุข มักกลายเป็นเทศกาลแห่งความเศร้า
ผู้คนเดินทางกลับบ้านเกิด กลายเป็นต้องกลับบ้านเก่า
ตายจริง-เจ็บจริง กันทุกปี
ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยังคงมีความเสี่ยงสูงสุด
และ ‘หมวกกันน็อค’ คือสิ่งที่ถูกละเลยอยู่เสมอ
การใช้ชีวิตอย่างมี ‘สติ’ เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยทุเลาความสูญเสีย

 

  • แต่ละปีไทยต้องสูญเสียงบประมาณจากอุบัติเหตุทางถนน 300,000-400,000 ล้านบาท
  • กระทรวงสาธารณสุขต้องใช้งบประมาณถึง 1 ใน 3 ในการดูแลผู้บาดเจ็บและพิการ

 

ย้อนสถิติอุบัติเหตุ 5 ปี สงกรานต์อันตราย
ปี
จำนวน (ครั้ง)
บาดเจ็บ (คน)
เสียชีวิต (คน)
25572,9923,225326
25583,3733,559364
25593,4473,656442
25603,6953,850354
25613,7243,897418

 

ชีวิตยังเครียดไม่พอใช่ไหม? ในอาหารก็มีตัวการเพิ่มความเครียด

ผู้คนทั่วๆ ไปมักกล่าวอ้างว่า การกินช่วยระบายความเครียดได้ แต่หากกินไม่ถูกต้อง อาจต้องพบกับความเครียดที่ทำให้ต้องกุมขมับแทน เมื่องานวิจัยพบว่า วัตถุเจือปนอาหารมีผลกระทบต่อแบคทีเรียในลำไส้ และยังทำให้เกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

อาหารมากมายบนโลกใบนี้ประกอบด้วยวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) ที่เรียกว่า ‘อีมัลซิไฟเออร์’ (emulsifier) อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด อีมัลซิไฟเออร์คือวัตถุเจือปนที่เติมเข้าไปเพื่อให้ส่วนประกอบในอาหารสามารถรวมตัวกันได้ เช่น น้ำกับน้ำมัน โดยปกติแล้ว น้ำกับน้ำมันจะมีเนื้อสารคนละประเภท เราจะเห็นว่าน้ำมันมักลอยตัวและอยู่เหนือน้ำ แต่หากอยากให้ทั้งคู่ผสมกันเป็นเนื้อเดียว เราสามารถเติมอีมัลซิไฟเออร์ลงไป เพื่อให้น้ำกับน้ำมันประสานรวมกันได้ และอาหารที่เกิดจากอีมัลซิไฟเออร์นี่เองที่จะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางพฤติกรรมและทางความคิด

ปกติแล้ววัตถุเจือปนอาหารหลายชนิดคือสิ่งที่น่ากังวลอยู่แล้ว ในวงการอุตสาหกรรมใช้สารเคมีเหล่านี้เพื่อสร้างเนื้อสัมผัสของอาหารชนิดใหม่ขึ้นมา อีมัลซิไฟเออร์พบได้ทั่วไปในอาหารประเภทขนมปัง ช็อกโกแลต มาการีน เนื้อแปรรูป เนย แยม และอีกหลายอย่าง ทำให้มีโอกาสอย่างมากที่อีมัลซิไฟเออร์จะส่งผลต่อร่างกายของเราจากการบริโภคเป็นประจำ

ในการศึกษาประเด็น ‘อีมัลซิไฟเออร์’ ก่อนหน้านี้พบว่า อีมัลซิไฟเออร์สามารถเปลี่ยนแปลงไมโครไบโอม (microbiome) ของหนูได้ และสิ่งที่เรียกว่าไมโครไบโอมก็คือจีโนมของจุลินทรีย์ในร่างกายทั้งหมด ซึ่งมีผลโดยตรงกับอารมณ์และความรู้สึก รวมถึงน้ำหนักตัว พูดง่ายๆ ก็คือ อีมัลซิไฟเออร์ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนและสภาวะเผาผลาญผิดปกติ จนกลายเป็นอ้วนลงพุงนั่นเอง

เรื่องที่กล่าวไปข้างต้นเป็นการศึกษาในหนูเท่านั้น แต่เมื่อลองสำรวจการศึกษาเรื่องอีมัลซิไฟเออร์ในคนแล้วจะพบว่า อีมัลซิไฟเออร์ส่งผลกระทบต่อแบคทีเรียในลำไส้โดยตรง ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ได้ โดยปัจจุบันมีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยรัฐจอร์เจีย (Georgia State University) ในแอตแลนตา ได้ทำการศึกษาสารอีมัลซิไฟเออร์สองชนิด คือ Carboxymethyl Cellulose (CMC) และ Polysorbate 80 (P80) พบว่ามันอาจกระทบต่อสุขภาพจิตของเราได้

ว่าด้วยเรื่องลำไส้ อารมณ์ และความคิด

ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยที่พูดเรื่องสุขภาพของลำไส้แล้วเปลี่ยนมาพูดถึงสุขภาพทางจิต แต่นักวิทยาศาสตร์อธิบายถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ระหว่างลำไส้และสมองเอาไว้ จากการศึกษาที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า สุขภาพของลำไส้และระดับแบคทีเรียในช่องท้องมีผลต่อระดับอารมณ์และความรู้สึกของคน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมาจากการศึกษาในการรักษาหนูด้วยจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส สายพันธุ์ Rhamnosus (Lactobacillus rhamnosus) ซึ่งจัดอยู่ในหมวดแบคทีเรียดี ที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับของสมอง ลดความเครียดและพฤติกรรมไม่พึงประสงค์

ในทางตรงกันข้าม หากหนูมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพลำไส้หรือระดับแบคทีเรียในลำไส้ไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลต่อระดับความเครียด โดยทีมที่ทำการศึกษาได้นำเอา CMC และ P80 ผสมลงไปในน้ำดื่มของหนูทดลองเป็นระยะเวลากว่า 12 สัปดาห์ จากนั้นประเมินพฤติกรรม จนพบว่าพฤติกรรมของพวกมันเปลี่ยนไป ไมโครไบโอมก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

นอกจากนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันตามเพศของหนู โดยเราจะเห็นพฤติกรรมความเครียดพุ่งสูงขึ้นในหนูตัวผู้ จนหนีถอยออกจากสังคมของมัน

ผู้ช่วยวิจัยร่วมอย่าง ศาสตราจารย์เกียร์ท เดอ ฟรีส์ (Geert de Vries) อธิบายว่า “พวกเราพยายามที่จะตอบคำถามว่า สารอีมัลซิไฟเออร์ได้ทำปฏิกิริยาอะไรกับสมองจนทำให้เกิดความเปลี่ยนทางพฤติกรรมไหม และคำตอบที่ได้คือ ทำ”

ผู้ร่วมวิจัย เบนัวต์ ชาสเสนจ์ (Benoit Chassaing) กล่าวว่า “ตอนนี้เรากำลังทำการตรวจหาการทำงานว่าอาหารที่มีอีมัลซิไฟอร์ชนิดไหนที่ส่งผลต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ เช่นเดียวกับหาความสัมพันธ์ของสิ่งที่ค้นพบกับมนุษย์”

ผลกระทบที่เกิดจากอีมัลซิไฟเออร์

ผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นแล้วว่า วัตถุเจือปนอาหารประเภทอีมัลซิไฟเออร์นั้นมีปฏิกิริยาโดยตรงกับแบคทีเรียในลำไส้  อย่างไรก็ตาม อีมัลซิไฟเออร์นั้นส่งผลกระทบต่ออารมณ์อย่างไร รุนแรงขนาดไหน ก็ยังไม่เป็นที่สรุปแน่ชัด แต่มีอยู่หลายทฤษฎีมารองรับ หนึ่งในนั้นคือคำอธิบายที่ว่า “อาการบวมที่เกิดจากสารอีมัลซิไฟเออร์ ทำให้เกิดผลกระทบบริเวณเนื้อเยื่อ และส่งผลต่อระบบประสาทเวกัส ซึ่งเป็นทางผ่านของอาการและข้อมูลต่างๆ ของร่างกายไปยังสมอง” ศาสตราจารย์เกียร์ท เดอ ฟรีส์ อธิบายถึงการทำงานของมัน

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาวะอารมณ์ ความวิตกกังวลเพิ่มสูงขึ้นในสังคมตะวันตก เช่นเดียวกับการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งทางทีมวิจัยตั้งข้อสงสัยว่า วัตถุเจือปนอาหารอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นได้

 

อ้างอิงข้อมูลจาก: medicalnewstoday.com

 

Esketamine: ยาต้านเศร้าหน้าใหม่ในขวดสเปรย์พ่นจมูก

นอกจากยาต้านเศร้าแบบกินแล้ว องค์การอาหารและยาสหรัฐ (The Food and Drug Administration: FDA) เพิ่งรับรองตัวยา Esketamine ยาต้านเศร้าแบบใหม่ใส่ขวดเป็นสเปรย์พ่นจมูกสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชนิดรักษายากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นๆ

ปี 2017 อเมริกามีคนพยายามฆ่าตัวตาย 1.4 ล้านคน และมี 47,173 คนที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสำเร็จ ข่าวการรับรองตัวยานี้ทำให้ทั้งจิตแพทย์และผู้ป่วยทั่วอเมริกาเริ่มมีหวังกันมากขึ้น เพราะวิธีรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถเยียวยาผู้ป่วยซึมเศร้าชนิดรักษายากกว่า 5 ล้านคนในอเมริกา ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความเสี่ยงของผลกระทบร้ายแรง และ ‘ความเป็นไปได้ในการนำยาไปใช้ในทางที่ผิด’ FDA จึงประกาศว่าต้องควบคุมการใช้ยาอย่างเข้มงวด

เจฟฟรีย์ ลีเบอร์แมน (Jeffrey Lieberman) จิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) สำทับว่า นี่เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ แต่ก็ย้ำว่ายังไม่รู้ข้อมูลของผลในระยะยาวเกี่ยวกับยาตัวนี้มากนัก “แพทย์จึงต้องใช้ยาอย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุด”

Esketamine

โปรดอ่านคำเตือนบนฉลากทุกครั้ง

หนึ่งในข้อได้เปรียบสำคัญของสเปรย์พ่นจมูกคือช่วงเวลาออกฤทธิ์เร็วกว่ายากิน ช่วยหยุดความคิดฆ่าตัวตายได้เร็วขึ้น ขณะที่ยาแบบดั้งเดิมมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันและอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเริ่มออกฤทธิ์

แต่ใช่ว่ายาตัวนี้จะใช้ได้ทั่วไป จากเงื่อนไขการอนุมัติของ FDA ระบุว่า Esketamine ต้องได้รับการควบคุมดูแลภายใต้มุมมองทางการแพทย์ สามารถใช้ได้แค่ในสำนักงานแพทย์หรือคลินิกที่ได้รับการรับรองเท่านั้นและต้องใช้ร่วมกับยาต้านเศร้าชนิดกินด้วย

ตัวยา Esketamine ที่เพิ่งได้รับอนุมัติภายใต้ชื่อฉลาก Spravato เป็นของ Janssen Pharmaceuticals ในเครือของบริษัท Johnson & Johnson มีคำเตือนอยู่ในกรอบสีดำ ซึ่งเป็นคำเตือนด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุดจาก FDA โดยเตือนว่าอาจมีผลต่อการกดประสาท มีปัญหาด้านสมาธิ และอาจส่งผลต่อความคิดทำร้ายหรือฆ่าตัวตายได้

ทิฟฟานี ฟาร์คิโอเน (Tiffany Farchione) จากศูนย์วิจัยและพัฒนายาของ FDA บอกว่า “สามารถใช้ยาผ่านระบบการกระจายยาอย่างจำกัด ต้องได้รับการดูแลในสถานที่ที่ผ่านการรับรอง และผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถตรวจสอบผู้ป่วยได้”

ผู้รับยาต้องได้รับการตรวจสอบอย่างน้อยสองชั่วโมงหลังใช้สเปรย์แต่ละครั้ง คนทั่วไปจะนำสเปรย์กลับบ้านเองไม่ได้ และต้องลงชื่อยืนยันว่าจะไม่ขับรถหรือใช้เครื่องจักรกลหนักเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังรับยา

แต่ความกังวลต่อยาตัวนี้ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะความซับซ้อนยิ่งกว่าคือมันมีส่วนประกอบของ ยาเค หรือ เคตามีน (Ketamine) ยาเสพติดยอดนิยมช่วงปี 1990-2000 ในชื่อ Special K

ลี ฮอฟเฟอร์ (Lee Hoffer) นักมานุษยวิทยาการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ (Case Western Reserve University) ที่ศึกษาการเสพติดและการใช้ยาผิดกฎหมาย บอกว่า เคตามีนทำให้เกิดอาการประสาทหลอน มีทัศนวิสัยที่แคบลงเรื่อยๆ ส่งผลต่อบุคลิกแตกแยก ทำให้ผู้เสพไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัว

ถึงอย่างนั้น ฮอฟเฟอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาของ FDA ก็บอกว่า ไม่กังวลเท่าไหร่ เพราะมาตรการความปลอดภัยในการใช้ยา ต่างจากใบสั่งยาที่สามารถนำกลับบ้านและอาจถูกนำไปใช้ผิดๆ ได้

“มีความเสี่ยงที่เกี่ยวโยงกับตัวยา แต่ผมคิดว่าประโยชน์ที่จะได้รับมีน้ำหนักมากกว่า”

Esketamine

การทดสอบตัวยาและราคาที่ต้องจ่าย

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 คณะที่ปรึกษา FDA ลงคะแนนเสียง 14 ต่อ 2 เพื่อแนะนำให้รับรองยาตัวนี้ แม้ว่าหลักฐานบ่งชี้จะยังไม่แน่ชัดเท่ากับยาต้านเศร้าตัวอื่นๆ

ยาต้านเศร้าทั่วไปจะได้รับอนุมัติบนฐานของการทดลองในระยะสั้นที่ได้ผลเป็นบวกสองครั้ง แต่มีการทดลองใช้เพียงแค่ครั้งเดียวสำหรับ Esketamine

สเปรย์ต้านเศร้าตัวนี้ได้รับการประเมินจากการทดลองแบบสุ่มระยะสั้นสามครั้งเป็นเวลาสี่สัปดาห์ และทดลองในระยะที่ยาวกว่าหนึ่งครั้ง โดยวัตถุประสงค์ของการทดลองระยะยาวคือทดสอบ ‘การคงอยู่ของผลที่เกิดขึ้น’ เท่านั้น

การทดลองระยะยาวครั้งที่สองถูกถอดออกจากการศึกษา และ FDA ชี้แจงว่า มิติด้านจิตเวชของผลิตภัณฑ์ไม่เคยถูกนำมาพิจารณาในการศึกษาในฐานะหลักฐานปฐมภูมิเพื่อขอรับรองตัวยา

คิม วิทแช็ค (Kim Witczak) ตัวแทนผู้บริโภคในคณะที่ปรึกษาผู้ลงคะแนนค้านการรับรองได้เขียนไว้ที่ madinamerica.com ซึ่งเป็นบล็อกของเธอ ถึงความกังวลต่อการชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยกับ “ผลการทดสอบอย่างจำกัดที่ออกมาในเชิงบวกอย่างมาก”

“ความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของฉันอยู่ดี และฉันไม่รู้สึกว่าผู้ผลิตจะคิดแบบเดียวกัน เพราะดูเหมือนเขาจะเร่งให้สเปรย์พ่นจมูก Esketamine ออกตลาดเร็วๆ”

ราคายาตัวนี้จะอยู่ที่ 590-885 ดอลลาร์ต่อระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับซึ่งจะแตกต่างกันระหว่างผู้ป่วย ในช่วงเดือนแรกของการบำบัด ราคาอาจขึ้นไปถึง 4,720-6,785 ดอลลาร์ หลังจากเดือนแรก การคงสภาพการรักษาอาจทำให้ราคาอยู่ที่ 2,360-3,540 ดอลลาร์

เดวิด ฮัฟ (David Hough) หัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนา Esketamine ของ Janssen กล่าวว่า ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาสัปดาห์ละสองครั้งภายในหนึ่งเดือน ร่วมกับการรักษาด้วยยาชนิดกิน

“ส่วนระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องใช้ยา ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่รักษาและตัวผู้ป่วยเอง”

อ้างอิงข้อมูลจาก:
sciencealert.com
medicalnewstoday.com

ความจริงขมๆ ในผักหวานๆ

สังคมไทยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่การกินผักและผลไม้เพื่อสุขภาพอาจทำร้ายสุขภาพ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-Pan ทำการสุ่มตรวจสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักและผลไม้ ประจำปี 2562 ไม่ว่าจะกวางตุ้ง คะน้า กะเพรา พริก กะหล่ำ ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง องุ่น มะละกอ ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีตกค้าง สารพิษตกค้างในผักและผลไม้เหล่านี้เป็นสารดูดซึม (Systemic) ซึ่งล้างไม่ออก

ไม่ว่าจะพลิกแพลงเมนูเพื่อกระจายความหลากหลายให้อาหารแต่ละมื้อ กะเพราหมูสับ คะน้าหมูกรอบ แกงผักกาดแบบทางเหนือ จับฉ่ายใส่สารพัดผัก น้ำพริกกะปิกับผักลวกเยอะๆ ก็หนีไม่พ้นสารพิษตกค้าง นอกจากวิมินและเกลือแร่ที่ได้จากผักและผลไม้ เรายังอาจได้ Carbendazim, Methamidophos, Carbofuran, Methomyl และสารอื่นๆ อีกกว่า 150 ชนิด

ไม่ว่าจะซื้อจากตลาดที่ขอนแก่น เชียงใหม่ ยโสธร โลตัส บิ๊กซี ท็อป แมคโค ก็ล้วนแต่มีสารพิษตกค้างในผักและผลไม้

เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และเราจะไปออกไปจากจุดนี้ได้อย่างไร

 

 

เข้าใจวัยรุ่น เข้าใจโรคซึมเศร้า

แรปเปอร์กับจิตแพทย์ ดูเหมือนจะอยู่ในโลกคนละใบ แต่สิ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดถึงคือเรื่องเดียวกัน โรคเดียวกัน -​ ซึมเศร้า

’36 MAN’ แรปเปอร์หนุ่มจากเชียงใหม่ แต่งเพลงที่ชื่อ SOS จากประสบการณ์ตรงที่น้องสาวของเขาต้องเผชิญกับภาวะของโรคนี้

อีกคนคือ ‘นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์’ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กลั่นความรู้ทางวิชาการในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เพื่อจะบอกว่าบนโลกใบนี้ยังมีใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังพวกเขาอยู่

และเหตุการณ์ฆ่าตัวตายต่อเนื่อง ไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ติดตามฟังผลงานเพลงของ ’36 MAN’ ทั้ง 2 บทเพลงที่ว่าด้วยโรคซึมเศร้าและการให้กำลังใจผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้ที่นี่

 

ทิศทางการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค : พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค

 

สไลด์นำเสนอ เรื่อง “ทิศทางการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค : พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค”

โดย  รศ.ภก.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์  ผู้อำนวยการสำนักงานแผนงานสนับสนุนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งชาติระดับโลก ภายใต้กองทุนศตวรรษที่ 2 (C2F) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในการประชุมสมัชชาผู้บริโภคสากล ประจำปี  2562 “Better Digital World” วันที่ 14  มีนาคม 2562 ณ ห้องประชุม Hydrangea 2-3 ชั้น 6 อาคารแกรนด์ คอนเวนชั่น โรงแรมที เค  พาเลซ กรุงเทพมหานคร

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

  1. มพบ. จัดเสวนา “ทิศทางการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค” แนะหน่วยงานและองค์กรผู้บริโภค เตรียมพร้อมสำหรับการจัดตั้งสภาองค์กรฯ
  2. บันทึกประชุมสมัชชาผู้บริโภคสากล ประจำปี  2562