420 HIGHLAND : กัญชา ≠ อาชญากรรม

กัญชา = ยาเสพติด คือมายาคติที่ฝังหัวคนไทยมาเกือบชั่วอายุคน
แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป มนุษย์มีความรู้มากขึ้น หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ค้นพบว่า
กัญชาไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหาเสมอไป เพียงแต่เหรียญอีกด้านของมันยังไม่เคยถูกพลิกขึ้นมา
พิจารณาด้วยใจที่ปราศจากอคติต่างหาก

เสียงเพรียกของหนุ่มสาวชาว ‘กัญชาชน’ พยายามบอกสิ่งนี้กับสังคมไทย ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่ง
มายาคติในโลกเก่าที่ตัดสินทุกอย่างเป็นแค่สีขาวกับสีดำ จะต้องถูกทลายลง

เลือกดื่มน้ำผลไม้ ก็เสี่ยงตายเพราะความหวาน

ไม่ว่าจะเลือกน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลมดับกระหาย ก็มีโอกาสผลักร่างกายให้เสียชีวิตไวขึ้นได้พอๆ กัน โดยผลการศึกษาล่าสุดที่เผยแพร่ในวารสาร JAMA Network Open ระบุว่า การดื่มน้ำผลไม้มากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ตั้งแต่ 9-42 เปอร์เซ็นต์

แม้แต่น้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ กระทั่งน้ำส้มที่อ้างว่าเป็นน้ำส้มธรรมชาติ ก็มีน้ำตาลพอๆ กับน้ำอัดลมและเครื่องดื่มผสมน้ำตาลชนิดอื่นๆ

“ควรมีการจำกัดเครื่องดื่มรสหวานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้” จีน เอ. เวลช์ (Jean A. Welsh) บอก เธอเป็นผู้ร่วมเขียนผลการศึกษาและผู้ช่วยศาสตราจารย์ในภาควิชากุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอมอรี (Emory University) รัฐแอตแลนตา

ตอนนี้ 7 เมืองในอเมริกา รวมถึงนิวยอร์ค และล่าสุดฟิลาเดลเฟีย ได้เริ่มเรียกเก็บภาษีเครื่องดื่มรสหวานจากน้ำตาล โดยตั้งเป้าเพื่อลดการบริโภคความหวาน กฎหมายเหล่านี้กำลังเน้นย้ำข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มรสหวานต่างๆ ล้วนมีส่วนต่อโรคอ้วนในเด็กและโรคเบาหวานในผู้ใหญ่ทั้งสิ้น

น้ำผลไม้เสี่ยงเท่าน้ำอัดลม

ผลการศึกษาใหม่ได้ให้นิยาม ‘เครื่องดื่มรสหวาน’ ว่าเป็นทั้งเครื่องดื่มดับกระหายที่เติมน้ำตาล เช่น น้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มรสผลไม้ เช่นเดียวกับน้ำผลไม้ธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่เติมน้ำตาล

แล้วน้ำผลไม้ถูกจัดรวมอยู่กับน้ำอัดลมได้อย่างไร

“การวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า การบริโภคน้ำตาลสูงจากน้ำอัดลมและน้ำผลไม้ เชื่อมโยงกับหลายปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด” เวลช์อธิบาย โดยโรคอ้วน เบาหวาน และไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่เพิ่มขึ้นล้วนอยู่ในกลุ่มปัจจัยเสี่ยงที่โยงกับการกินน้ำตาลมากไป “ด้วยการศึกษาเพียงไม่กี่ครั้งก็เห็นแล้วว่าการกินแบบนี้นำไปสู่การเสียชีวิตได้”

เพื่อหาทางออกให้ปัญหา เธอและทีมงานได้ดึงข้อมูลมาจากผลการศึกษาด้านสาเหตุของความแตกต่างทางภูมิศาสตร์และเชื้อชาติในโรคหลอดเลือดสมอง โดยทำความเข้าใจสาเหตุที่ชาวแอฟริกัน-อเมริกันเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวมากกว่าเชื้อชาติอื่น และสาเหตุที่ชาวตะวันออกเฉียงใต้มีอาการเส้นเลือดอุดตันมากกว่าในพื้นที่อื่นของอเมริกา

จากการศึกษาผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ เวลช์และทีมงานได้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ใหญ่อายุ 45 ปีขึ้นไป 13,440 คน ผลคือเกือบ 71 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน โดยเป็นผู้ชายไปเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์

การศึกษายังเปิดเผยว่า คนที่บริโภคแคลอรีจากน้ำหวานวันละ 10 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป เสี่ยงเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากถึง 44 เปอร์เซ็นต์ และเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากสาเหตุต่างๆ 14 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าคนที่รับแคลอรีจากเครื่องดื่มรสหวานน้อยกว่าวันละ 5 เปอร์เซ็นต์

การดื่มน้ำผลไม้วันละ 12 ออนซ์ (354 มล.) ยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ สูงกว่า 24 เปอร์เซ็นต์ และการดื่มน้ำหวานในปริมาณเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยง 11 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบความสัมพันธ์ที่ตรงกันระหว่างเครื่องดื่มรสหวานและการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ

“สำหรับผลต่อน้ำรสหวานและน้ำผลไม้แต่ละชนิด เราจำเป็นต้องชัดเจนว่า ความเสี่ยงที่นำเสนอออกไปนั้นสัมพันธ์กับการบริโภคขั้นต่ำสุดของแต่ละคนในปัจจุบันจริงๆ” เวลช์อธิบาย

เธอไม่แปลกใจกับการค้นพบนี้ โดยบอกว่า “จำนวนกลไกทางชีววิทยาชี้ให้เห็นว่าน้ำหวานยิ่งทำให้ร่างกายต่อต้านอินซูลิน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ขณะที่การบริโภคน้ำตาลฟรุคโตสอาจกระตุ้นฮอร์โมนที่เร่งให้รอบเอวขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน”

ดื่มน้ำผลไม้แค่ไหนดี

“การศึกษานี้เป็นหนึ่งในครั้งแรกๆ ที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องดื่มรสหวานต่างๆ รวมถึงน้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร” มาร์ทา กวาช-เฟอร์เร (Marta Guasch-Ferré) นักวิจัยจากภาควิชาโภชนวิทยา วิทยาลัยสาธารณสุขฮาร์วาร์ด ทีเอช ชาน (Harvard T.H. Chan School of Public Health) และ แฟรงค์ บี. ฮู (Frank B. Hu) ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ จากวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด ก็ได้ตีพิมพ์บทความใหม่คู่ไปกับผลการศึกษาดังกล่าว

กวาช-เฟอร์เรและฮู ซึ่งไม่เกี่ยวกับการวิจัยนี้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผลที่ได้ยังมีข้อจำกัด เพราะมีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยมาก การวิเคราะห์ดังกล่าวจึงถือว่ายังไม่แข็งแรงพอ ต้องอาศัยเวลาและผู้เข้าร่วมจำนวนมากจึงจะทำให้สัญญาณความเสี่ยงเหล่านั้นแข็งแรงขึ้น แถมผู้เข้าร่วมแต่ละคนบันทึกการดื่มน้ำหวานแค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และอ้างอิงจากการรายงานด้วยตนเองซึ่งไม่น่าเชื่อถือเพียงพอ

“แม้ว่าน้ำผลไม้อาจไม่อันตรายเท่าเครื่องดื่มรสหวาน แต่การบริโภคเครื่องดื่มจำพวกนี้ควรผ่านการกลั่นกรองในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนที่อยากคุมน้ำหนัก” ทั้งสองเขียนไว้

สถาบันกุมารเวชศาสตร์และแนวทางการบริโภคของชาวอเมริกัน (American Academy of Pediatrics and the Dietary Guidelines for Americans) แนะนำไว้ว่า เด็กอายุระหว่าง 1-6 ปีต้องมีการจำกัดการดื่มน้ำผลไม้ไว้แค่วันละ 6 ออนซ์ ขณะที่เด็กอายุ 7 ปีขึ้นไป วัยรุ่น และผู้ใหญ่ควรจำกัดไว้ที่วันละ 8 ออนซ์

“คงต้องทำวิจัยเพิ่มเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงที่ชัดเจนขึ้น” กวาช-เฟอร์เรและฮู บอก

เมื่อคิดถึงปริมาณน้ำตาลที่บริโภคในแต่ละวัน คงต้องพิจารณาทั้งน้ำผลไม้และน้ำหวานต่างๆ โดยระหว่างเครื่องดื่มสองชนิด เวลช์ให้น้ำหนักไปทางน้ำผลไม้มากกว่าเล็กน้อย

“จากข้อความที่ระบุว่ามีวิตามินและแร่ธาตุที่พบบ่อยบนฉลาก น้ำผลไม้อาจสร้างผลกระทบในแบบที่ไม่เห็นในน้ำอัดลมและเครื่องดื่มรสหวานประเภทอื่น”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
edition.cnn.com

 

รู้ไหมว่าข้างเบเกิล ชา และกาแฟของคุณมียาฆ่าแมลง

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ของร้านกาแฟยอดนิยมของผู้คนทั่วโลก เมื่อผู้บริโภคพบสารปนเปื้อนจากยาฆ่าแมลงในอาหารจาก Starbucks ส่งผลให้ Starbucks ถูกศาลสั่งฟ้องถึง 2 คดีด้วยกัน คำฟ้องร้องของศาลออกมาในวันอังคารที่ 21 พฤษภาคม ลูกค้า Starbucks กว่า 10 ราย อ้างว่า พวกเขาพบสารกำจัดแมลงที่ใช้ในทางการเกษตรหลังจากซื้อเครื่องดื่มและสินค้าของ Starbucks ในหลายๆ เมือง ซึ่งเหตุนี้เกิดขึ้นนานมากกว่า 3 ปี

คดีแรก ว่าด้วยความปลอดภัยในการประกอบอาหาร ลูกค้า Starbucks จำนวนหนึ่งในนครนิวยอร์ค พบกับสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหารของพวกเขา สาเหตุเกิดจากแผ่นกันแมลงยี่ห้อ Hot Shot No-Pest Strips แม้ประโยชน์ใช้สอยของมันมีมหาศาล แต่กลับเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างคาดไม่ถึง

สารพิษที่เป็นอันตรายถึงชีวิตชื่อ ไดคลอร์วอส (Dichlorvos) ซึ่งใช้ในทางการเกษตรในกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต (organophosphate) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของแผ่นดักแมลง Hot Shot ผลิตโดยบริษัท Spectrum Brands เป็นอุปกรณ์ที่หาซื้อได้ทั่วไปและใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั้งในบ้านและในสวน แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าแผ่นดักแมลงตัวเก่งได้แพร่กระจายสารพิษในอาหารและเครื่องดื่มในร้าน Starbucks เป็นระยะเวลานานหลายปี จนกระทั่งมีผู้ร้องเรียนปรากฎตัวขึ้นมา

ในสำนวนของศาล สารไดคลอร์วอสเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการสูญเสียการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจติดขัด มีอาการคลื่นไส้อาเจียน และกล้ามเนื้อบางส่วนเป็นอัมพาต

แล้วไม่มีใครเอะใจหรือสนใจเลยหรือ?

มีอดีตพนักงาน Starbucks เคยแจ้งเรื่องความอันตรายของการใช้อุปกรณ์กำจัดแมลงชนิดนนี้ในร้านต่อทางสาขา แต่ก็ไม่เกิดการปรับเปลี่ยนเจ้าอุปกรณ์ดักและกำจัดแมลงชนิดนี้เลย ไม่เพียงแต่อดีตลูกจ้างของ Starbucks แม้แต่บริษัทกำจัดปลวกที่คอยดูแลร้านก็ได้เตือนให้ Starbucks ระวังถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ แต่บทสรุปกลับจบลงที่ความเงียบ Starbucks เองก็ปกปิดเรื่องในเอาไว้และไม่ได้เปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบและยังคงใช้เจ้าแผ่นดักแมลงนี้ต่อมา

ขณะที่ข้อกล่าวหาที่ 2 ที่ทาง Starbucks ได้รับมาจากศาลในแมนฮัตตัน เพราะนอกจากการปล่อยให้มีสารพิษปนเปื้อนในอาหารแล้ว Starbucks ยังไล่พนักงานที่เตือนเรื่องความอันตรายของแผ่นดักแมลงออกจากงานทันที ไล่พนักงานออกก็ยังไม่จบความอลวน Starbucks ยังไปยกเลิกสัญญากับบริษัทกำจัดแมลงที่เตือน Starbucks ในเรื่องนี้อีกด้วย

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
nbcnews.com

 

แม้จะอ้วน แต่เดินเร็วกว่า ก็อายุยืนยาวได้

การเคลื่อนไหวให้ผลบวกต่อร่างกายมากกว่านั่งอยู่เฉยๆ แน่นอนว่าการเผาผลาญพลังงานเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุขภาพดี ตอนนี้มีงานวิจัยสำรวจลงลึกกว่านั้น โดยพบว่า แค่ ‘การเดิน’ ช้าหรือเร็ว ก็อาจส่งผลให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวต่างกัน

งานที่เผยแพร่ใน Mayo Clinic Proceedings สรุปว่า ผู้ที่เดินอย่างกระฉับกระเฉงมีอายุคาดเฉลี่ย (life expectancy – อายุโดยเฉลี่ยของประชากรที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่) ยืนยาวกว่า และอายุคาดเฉลี่ยนี้ยังมีอัตราคงที่ แม้จะเป็นคนอ้วน ไขมันสูง น้ำหนักเกิน และค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) มากกว่ามาตรฐาน จนอาจตั้งสมมุติฐานต่อไปได้ว่า ความฟิตทางร่างกายเป็นตัวชี้วัดการมีสุขภาพที่ดีได้ดีกว่า BMI

งานศึกษาชิ้นนี้นำโดย National Institute for Health Research (NIHR) จากศูนย์วิจัยทางชีวเวชศาสตร์เลสเตอร์ (Leicester Biomedical Research Centre) เป็นงานชิ้นแรกที่จับคู่ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วของการเดินอย่างกระฉับกระเฉงว่าส่งผลต่ออายุคาดเฉลี่ยโดยไม่ต้องคำนึงถึงเกณฑ์น้ำหนักตัว

ทีมนักวิจัยใช้ข้อมูลพันธุกรรมจาก UK Biobank ของประชากร 474,919 คน ใช้เวลาเก็บข้อมูลตั้งแต่ 13 มีนาคม 2006 – 31 มกราคม 2016 โดยอายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมทำการวิจัยคือ 58.2 ปี ทุกคนมีค่า BMI เฉลี่ย 26.7 เปอร์เซ็นต์ ไขมันสูง อยู่ในข่ายน้ำหนักเกินมาตรฐาน – หรือจัดว่าเป็นคนอ้วน

ผลออกมาพบว่า ผู้เข้าร่วมทำการวิจัยที่ยืนยันว่าตัวเองเดินด้วยความเร็วกระฉับกระเฉงมีอายุคาดเฉลี่ยสูงในทุกระดับ BMI ผู้ชายอยู่ที่ 85.2-86.8 ปี และ 86.7-87.8 ปี สำหรับผู้หญิง ขณะที่คนเดินช้า มี BMI น้อยกว่า 20 และน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ จะมีอายุคาดเฉลี่ยต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ คือ 72.4 ในผู้หญิง และ 64.8 ในผู้ชาย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วนับว่าเป็นตัวเลขที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ทอม เยตส์ (Tom Yates) ศาสตราจารย์ด้านการเคลื่อนไหว จากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ (University of Leicester) กล่าวว่า “การค้นพบของเราช่วยให้เห็นข้อเปรียบเทียบระหว่างความฟิตของร่างกายและน้ำหนักตัวที่จะส่งผลต่ออายุคาดเฉลี่ยในแต่ละบุคคล หรือพูดอีกอย่างคือ การค้นพบนี้แนะนำว่า บางทีความแข็งแรงทางร่างกายอาจจะเป็นตัวชี้วัดอายุคาดเฉลี่ยของมนุษย์ที่ดีกว่า BMI ก็ได้ และนั่นจะกระตุ้นให้ทุกคนหันมาเดินและเคลื่อนไหวร่างกายกันอย่างกระฉับกระเฉงว่องไวเพื่อยืดอายุขัยของตัวเองออกไป

“การศึกษาจากหลายประเทศแสดงให้เห็นความเสี่ยงของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนว่ามีอัตราเสียชีวิตน้อยถ้าร่างกายฟิตมากพอ” และ “งานศึกษาส่วนใหญ่รายงานถึงข้อดีของความฟิตที่สัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงการเสียชีวิต เช่น ร่างกายที่แข็งแรงสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ 20 เปอร์เซ็นต์”

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังต้องทำงานต่อเนื่องเพื่อหาข้อสรุปว่า ความเสี่ยงของกลุ่มคนที่มีค่า BMI ต่ำกว่ามาตรฐานและเดินช้า ยังสามารถยืดอายุคาดเฉลี่ยของพวกเขาได้โดยเพิ่มความฟิตทางกายของตนเองได้หรือไม่

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
newsweek.com

สารเคมีในครีมกันแดด ทาเพียงครั้งเดียวก็ซึมเข้ากระแสเลือดได้

องค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration: FDA) ของสหรัฐอเมริกา พบว่า สารเคมีที่ใช้ทั่วไปในครีมกันแดดหลายชนิดสามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดของคนได้จนเกินระดับที่ปลอดภัย แม้ว่าจะใช้เพียงแค่วันเดียว

สอดคล้องกับบทความในวารสารการแพทย์ JAMA (The Journal of the American Medical Association) ที่ระบุว่า ความเข้มข้นของสารเคมีบางอย่างในเลือดจะเพิ่มขึ้น หากใช้ครีมกันแดดติดต่อกันประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง และจะตกค้างอยู่ภายในร่างกายเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

สารเคมีดังกล่าวคือ อโวเบนโซน (Avobenzone) ออกซิเบนโซน (Oxybenzone) อีคัมซูล (Ecamsule) และ ออคโตคริลีน (Octocrylene) ซึ่งสารทั้ง 4 เหล่านี้ล้วนอยู่ในบัญชีรายชื่อของ FDA ที่ยังไม่ถูกพิจารณาว่าเป็น ‘สารที่ปลอดภัย’

โดย FDA ทำการทดลองจากอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีจำนวน 24 คน แต่ละคนจะได้รับการสุ่มใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของอโวเบนโซน, ออกซิเบนโซน หรือออคโตคริลีน แตกต่างกันไป โดยอาสาสมัครจะต้องทาครีมกันแดดลงทั่วผิวหนัง คิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย 4 ครั้งต่อวัน หลังจากนั้นภายใน 7 วัน ทางทีมวิจัยจึงทำการทดสอบโดยการตรวจเลือด

ผลพบว่า อาสาสมัคร 5 ใน 6 คน ที่ใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของอีคัมซูล มีระดับของสารอีคัมซูลในเลือดสูงหลังจากทาครีมกันแดดวันแรก ส่วนอาสาสมัครคนที่เหลือที่ทดลองโดยใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารอื่น ทุกคนมีระดับออกซิเบนโซนอยู่ในกระแสเลือดสูงหลังจากการใช้วันแรก

สำหรับทางออก ในสหภาพยุโรปได้กำหนดให้ใช้สารกันแดดชนิดใหม่แทนการใช้สารออกซิเบนโซน แต่ผลิตภัณฑ์นั้นยังไม่ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย จึงยังไม่ถูกอนุมัติโดย FDA ดังนั้นจึงพบว่า ยังมีการใช้ออกซิเบนโซนอยู่มากในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา

ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องปกติที่ผิวหนังมนุษย์จะดูดซึมสารต่างๆ เข้าไป ดังนั้นสิ่งที่ผู้ผลิตควรตระหนักคือการตรวจสอบว่าสารเคมีเหล่านี้ส่งผลเสียต่อร่างกายหรือไม่ โดยเฉพาะในครีมกันแดด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวหนังของเราจากรังสีต่างๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
https://amp.cnn.com/cnn/2019/05/06/health/sunscreen-bloodstream-fda-study/index.html

 

ตรวจพันธุกรรมเสี่ยงโรคอ้วน จำเป็นหรือสูญเปล่า

เมื่อผลการทดสอบพันธุกรรมเพื่อดูแนวโน้มโรคอ้วนจาก เซการ์ คาธีเรซาน (Sekar Kathiresan) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและนักพันธุศาสตร์จากสถาบันบรอด (Broad Institute) กับทีมงาน ได้เผยแพร่ผ่านวารสาร Cell กระแสโต้กลับของนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็เกิดขึ้นทันที

คำถามหลักไม่ได้อยู่ที่การ ‘ใช้ได้จริง’ แต่อยู่ที่ว่า มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะเจาะเข้าไปในคลังข้อมูลพันธุกรรม ในเมื่อไม่มีวิธีที่ชัดเจนสำหรับการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้

ปัจจุบัน ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันราว 40 เปอร์เซ็นต์เป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักเกินมากขึ้น ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา พฤติกรรมของมนุษย์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเอื้อให้นำไปสู่สภาพที่โรคอ้วนขยายตัวแพร่หลาย

แม้โรคบางโรคมีสาเหตุมาจากความผิดเพี้ยนของยีนตัวใดตัวหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุของโรคทั่วไป รวมถึงโรคอ้วน ขณะเดียวกันยีนอีกหลายพันตัวกลับมีบทบาทเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนแทน

คาธีเรซานและทีมงานได้ทดลองหาความแตกต่างทางพันธุกรรมและดูผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ที่การระบุรูปแบบทางพันธุกรรมที่สร้างความเสี่ยงต่อโรคอ้วนให้ผู้คนมากที่สุด

“ข้อมูลด้านพันธุกรรมนี้จะสามารถอธิบายถึงเหตุผลที่บางคนตัวใหญ่โตมาก และสาเหตุที่พวกเขาต้องเจอปัญหากับการลดน้ำหนัก” เขาบอก

 

งานวิจัยเก็บคะแนนความเสี่ยงโรคอ้วน

ทีมของเขาระบุ DNA ที่เข้าข่ายได้มากกว่า 2 ล้านชนิด แม้จะพบว่าตัวแปรส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ลึกๆ เขาคิดว่าความสัมพันธ์ต้องซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ในการเปลี่ยนแปลงหลายพันครั้งมีส่วนเล็กน้อยต่อความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคอ้วน

แม้จะไม่มียีนตัวใดตัวหนึ่งที่สร้างความเสี่ยงได้มากนัก แต่เขาบอกว่าผลโดยรวมจากคะแนนความเสี่ยงของยีนหลายตัวที่เรียกว่า Polygenic Risk Score ยังคงมีประโยชน์อยู่ โดยกลุ่มคนที่มีคะแนนสูงสุดมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรงได้มากกว่า (มีดัชนีมวลกายหรือ BMI มากกว่า 40) ทั้งนี้ ในกลุ่มคนที่มีคะแนนพันธุกรรมสูงสุดมีคนเป็นโรคอ้วน 43 เปอร์เซ็นต์

แต่คะแนนกับผลที่ได้ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบพอ เช่น 17 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีคะแนนสูงสุดก็ยังคงมีน้ำหนักตัวปกติ

“ผลกระทบทางพันธุศาสตร์เริ่มต้นขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่ช่วงอายุประมาณ 3 ขวบ นั่นทำให้เราเองก็ประหลาดใจเช่นกัน” คาธีเรซานบอกว่า ยิ่งป้องกันตั้งแต่เด็กก็ยิ่งสำเร็จได้เร็วขึ้น

มีการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ซับซ้อนจำนวนมากอยู่เบื้องหลังการศึกษานี้ โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 300,000 คน แต่ข้อสรุปกว้างๆ ที่ออกมากลับไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะนักวิทยาศาสตร์ต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่า ปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมมีส่วนสำคัญต่อโรคอ้วน และการศึกษาอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นว่า เด็กที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงสูงที่จะโตมาอ้วนในวัยผู้ใหญ่ด้วย

เซซิล แจนส์เซนส์ (Cecile Janssens) นักระบาดวิทยาและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเอมอรี (Emory University) ไม่ได้ใส่ใจถึงกลยุทธ์การเพิ่มความเสี่ยงเล็กๆ จากตัวแปรทางพันธุกรรมหลายล้านตัวเพื่อสร้างคะแนนความเสี่ยงสะสม

“พูดตรงๆ เราไม่รู้เลยว่าตัวแปรเหล่านี้สำคัญหรือเปล่า” เธอตอบคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของการศึกษาในทำนองนี้ “มันก็ไม่ค่อยจะตอบคำถามที่เกี่ยวข้องจากมุมมองทางชีววิทยาเท่าไหร่ รวมถึงคำถามที่เกี่ยวข้องจากมุมมองทางด้านการรักษาด้วย”

การวิเคราะห์ประเภทนี้ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลของยีนตัวที่มีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วน จึงไม่อาจนำไปใช้เพื่อทำความเข้าใจความสำคัญทางชีววิทยาได้ หากโรคอ้วนเป็นโรคหายาก การทดสอบแบบนี้อาจมีประโยชน์ต่อกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง แต่เมื่อมันกำลังกระทบชาวอเมริกัน 40 เปอร์เซ็นต์ ความพยายามในการป้องกันโรคจึงควรรวมทุกคนเข้าไปด้วย

แจนเซนส์เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ค้านวิธีใช้ยีนเป็นศูนย์กลางของโรคต่างๆ พวกเขาผิดหวังที่เห็นเม็ดเงินจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในงานพันธุศาสตร์แนวนี้ มากกว่าจะพยายามเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมที่นำไปสู่โรคต่างๆ เช่น โรคอ้วน

โรคอ้วน

ยีนหรือชะตากรรม?

อีวาน เบอร์นีย์ (Ewan Birney) หัวหน้าสถาบันชีวสารสนเทศศาสตร์ยุโรป (European Bioinformatics Institute) ได้เฝ้าดูประเด็นนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเห็นด้วยว่าโรคอ้วนไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีสำหรับการวิเคราะห์ประเภทนี้

“งานวิจัยต้องทำให้ได้มากกว่าแค่แสดงความสัมพันธ์ทางสถิติที่แข็งแกร่ง แต่ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถใช้มัน ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถใช้สิ่งนั้นเพื่อแทรกแซงโรคนั้นๆ ได้”

เบอร์นีย์ยังคิดว่าการทำฐานข้อมูลครั้งนี้มีมากเกินไป การศึกษานี้ยึดข้อมูลจากธนาคารชีวภาพของสหราชอาณาจักรและตัวอย่างของอเมริกา ซึ่งเป็นแค่คนกลุ่มน้อย อาจใช้เป็นตัวแทนทางเชื้อชาติไม่ได้

อาลี ทอร์คามานี (Ali Torkamani) หัวหน้าฝ่ายข้อมูลพันธุกรรมที่สถาบันวิจัยสคริปส์ (The Scripps Research Institute) บอกว่า หากมีการสำรวจยีนอย่างรอบคอบ แทนที่จะใช้เป็นแค่คะแนนความเสี่ยงเชิงนามธรรม อาจทำให้ระบุตัวแปรทางพันธุกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้จริงๆ

ขณะที่ยีนมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน แต่การแพร่ระบาดของโรคไปไกลกว่าแค่กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น

“ก็แค่ความน่าจะเป็น เหมือนเวลาคุณโยนเหรียญขึ้นไป มันก็ตกลงมาได้ผลทั้งหัวและก้อย” เขาบอก “เพราะคะแนนความเสี่ยงสูงไม่ใช่ชะตากรรมที่บอกว่าคุณ ‘ต้อง’ เป็นโรคอ้วน”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
npr.org

 

วิถีแบบอเมริกันชนกับผลเสียของการ ‘นั่งนาน’ จนรากงอก

นั่งนานจนรากงอก – หลายคนคงเคยโดนข้อหานี้กันบ้าง แต่อเมริกากำลังโดนหนักกว่าที่เคยเพราะจากผลการศึกษาล่าสุดที่บอกว่าชาวอเมริกันใช้เวลาไปกับการนั่งมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แถมนั่งนานไปกับการใช้เวลาดูโทรทัศน์กับเล่นโทรศัพท์มือถือ

งานวิจัยที่เผยแพร่ใน Journal of the American Medical Association ระบุว่า คนอเมริกันทุกกลุ่มอายุใช้เวลานั่งนานขึ้นอีกวันละหนึ่งชั่วโมงในช่วงระหว่างปี 2007-2016 โดยกลุ่มวัยรุ่นนั่งนานกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเพิ่มขึ้นจาก 7 ชั่วโมงเป็นวันละ 8.2 ชั่วโมง ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นจากวันละ 5 ชั่วโมงไปเป็นวันละ 6.4 ชั่วโมง

ดร.หยิน เฉา (Yin Cao) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์ (Washington University in St. Louis) ผู้เขียนผลการศึกษาชิ้นนี้ บอกว่า สิ่งที่น่ากังวลอย่างมากคือความเสี่ยงด้านสุขภาพที่จะมาพร้อมกับเวลานั่งแช่ของทุกกลุ่มอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ออฟฟิศซินโดรม

ทีวี+สมาร์ทโฟน: เหตุผลของการนั่งแช่

จากผลการวิจัย คนอเมริกันใช้เวลานั่งดูโทรทัศน์หรือวิดีโอวันละ 3 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น

“อย่างไรก็ตาม โทรทัศน์ไม่ได้อยู่เบื้องหลังตัวเลขชั่วโมงการนั่งที่เพิ่มขึ้น” ดร.เฉาบอก เพราะช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ใช้ไปกับการดูโทรทัศน์นั้นคงที่มาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกัน ผู้คนนั่งกันนานขึ้นเพราะง่วนอยู่กับการคลิกเมาส์คอมพิวเตอร์มากกว่า

“เมื่อดูจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่นอกเหนือจากเวลาเรียนหรือทำงาน เราจะเห็นว่าปริมาณเวลาของทุกกลุ่มอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ในปี 2016 เด็กๆ 56 เปอร์เซ็นต์ใช้เวลา 1 ชั่วโมงหรือมากกว่าไปกับการนั่งหน้าคอมนอกเวลาเรียน เทียบกับปี 2001 ที่มี 43 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเลขของกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มจาก 53 เปอร์เซ็นต์เป็น 57 เปอร์เซ็นต์

ทีมวิจัยบอกว่า นิสัยการนั่งนานๆ มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากเวลาที่ใช้ไปกับคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน แม้บางเวลาจะใช้ไปกับการดูโทรทัศน์หรือวิดีโอ แต่ช่วงเวลานั่งที่เพิ่มขึ้นจะเป็นช่วงที่ใช้ไปกับโซเชียลมีเดียและโต้ตอบกับเพื่อนผ่านข้อความและวิดีโอแชทมากกว่า ซึ่งนั่งทำกันเป็นส่วนใหญ่

สำหรับการศึกษานี้ ทีมวิจัยของ ดร.เฉาได้วิเคราะห์ผลจากผู้เข้าร่วม 51,000 คนในการสำรวจภาวะสุขภาพและโภชนาการระดับชาติโดยการตรวจร่างกาย (National Health and Nutrition Examination Survey) โดยบันทึกเวลาที่ใช้ไปกับการนั่งตามความแตกต่างตามเพศ เชื้อชาติ น้ำหนัก จำนวนครั้งการเคลื่อนไหวร่างกาย และพบว่านิสัยนั่งแช่จะสอดคล้องกันในระยะยาว

ตอนเด็กติดนั่งแช่อย่างไร โตมาก็ยังเป็นอย่างนั้น

 

ถึงออกกำลังกายเวลาเท่ากันก็ชดเชยไม่ได้

เมื่อไม่ได้ขยับร่างกายมากนัก โรคภัยไข้เจ็บก็ตามมาเป็นโขยง ตั้งแต่ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งการใช้เวลากับเครื่องเล่นในยิมครึ่งชั่วโมงก็ไม่สามารถชดเชยเวลาที่คุณใช้ดูซีรีส์หรือเล่นเฟซบุ๊คครึ่งชั่วโมงได้

แต่ก็แน่ล่ะ…ยิ่งขยับร่างกายยิ่งลดความเสี่ยง แต่งานวิจัยชิ้นนี้ก็ได้แนะนำว่า การออกกำลังกายหรือขยับร่างกายจะได้ผลช่วยลดความเสี่ยงเหล่านั้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นคนที่กระฉับกระเฉงอยู่แล้ว หรือเป็นกลุ่มคนที่เดินเร็วอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์หรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงและเคลื่อนไหวพอๆ กัน

“แต่คนอเมริกันยังไม่เคลื่อนไหวร่างกายถึงระดับนั้นสักเท่าไหร่”

คนอเมริกันส่วนใหญ่จึงกำลังเสี่ยงตายอยู่กับนิสัยการนั่งของตัวเอง

แต่ก็มีสัญญาณเชิงบวกบางอย่าง โดยงานวิจัยเปิดเผยว่า จากปี 2001-2016 ช่วงเวลา 2 ชั่วโมงขึ้นไปที่บรรดาเด็กเล็กอายุระหว่าง 5 ถึง 11 ปีใช้ดูทีวีและวิดีโอลดลงเล็กน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผิวขาว บ่งบอกว่าพ่อแม่คอยกระตุ้นให้เด็กๆ มีกิจกรรมมากขึ้นและใช้เวลาบนโซฟาน้อยลง  

ข้อมูลเหล่านี้ยังชี้ให้เห็นประโยชน์โดยตรงต่อบางกลุ่มเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มชายแอฟริกัน-อเมริกันทุกวัยที่มีน้ำหนักเกินและกลุ่มคนที่ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง พบว่าใช้เวลาดูโทรทัศน์และวิดีโอมากกว่ากลุ่มผู้หญิง ชาวอเมริกันผิวขาว คนที่มีค่าดัชนีมวลกายปกติ และกลุ่มคนที่ออกกำลังกายมากกว่า

อาจดูเป็นปัญหาเล็กๆ แค่นิสัยการนั่ง แต่จริงๆ ผลการศึกษานี้กำลังเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับระบบ ไม่ว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสิ่งแวดล้อม การศึกษาที่โรงเรียน หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย แม้เหล่านี้จะเป็นคำถามที่ยาก แต่จากข้อมูลที่ได้มา มันถึงเวลาที่เราต้องมาร่วมกันคิดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า “แต่คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีกว่าจะแก้ปัญหานี้ได้”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com

 

เจ็บป่วยโรคตา ปรึกษาครูเพลงลูกทุ่งดีมั้ย?

หากคุณเป็นโรคตา

ตามัว แสบตา น้ำตาไหล ต้อเนื้อ ต้อลม ต้อกระจก ต้อหิน วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม สารพัดบลาๆๆ …ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมช่วยท่านได้

ห๊ะ! อะไรนะ?

ข้อความข้างต้นคือ โฆษณาอาหารเสริมรักษาดวงตา อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง

โปรดทราบว่า ทั้ง อย. และราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุชัด ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆ พิสูจน์ได้ว่า ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจะสามารถรักษาโรคตาได้

*คำเตือน: หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคตา โปรดปรึกษาจักษุแพทย์ใกล้บ้าน ดีกว่าไปถามครูเพลงลูกทุ่ง

เพราะผองเพื่อนที่ดีที่สุดของพวกเรา คือ เหล่าสัตว์เลี้ยง

ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายขนปุย หนูตะเภาตัวจ้อย ปลาสวยงามที่ว่ายไปมาในบ่อของมัน ม้า หรือแม้แต่จิ้งหรีด ต่างก็มีพลังมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความธรรมดานั้น สัตว์เลี้ยงเหล่านี้สามารถช่วยเหลือมนุษย์อย่างเราที่กำลังเผชิญหน้ากับความเครียดและสภาวะอารมณ์อันบูดบึ้งได้อย่างมหัศจรรย์

ขณะเดียวกันสัตว์ที่เลี้ยงกันโดยทั่วไปอย่าง หมาและแมว ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ พวกมันทำให้เราเห็นว่าการเลี้ยงสัตว์ภายในบ้านช่วยลดความวิตกกังวลและความเครียดลงได้

มีสัตว์อยู่หลายชนิดที่ถูกนำมาเลี้ยงเพื่อการนี้ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลและโรงเรียน เพื่อสอนและฝึกให้พวกมันช่วยเหลือเหล่าเด็กๆ ที่จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

มหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่งได้ตั้งสถาบันขึ้นมาเพื่อศึกษาปรากฏการณ์ของการนำสัตว์มาเป็นผู้ช่วยเหลือแก่เพื่อนมนุษย์นี้ ไม่ว่าจะเป็น สถานบัน Tufts Institute for Human-Animal Interaction และ Center for the Human-Animal Bond at Purdue University ขณะเดียวกัน เราก็มีสัตว์เลี้ยงในโรงพยาบาลที่ถูกใช้ในฐานะผู้รักษาและเยียวยาผู้ป่วย ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลเด็กในรัฐเท็กซัส โรงพยาบาลเด็กของจอห์น ฮอปกินส์ ได้นำเอาสัตว์มาฝึกเป็นผู้ช่วยและบำบัดเหล่าผู้ป่วย

สัตว์เลี้ยง

สุขภาพ (จิต) ที่ดีขึ้นจากการเลี้ยงสัตว์

การมีสัตว์เลี้ยงในครอบครัวจะช่วยสอนเด็กๆ ให้มีความรับผิดชอบ มีทักษะการเข้าสังคม รวมถึงการใช้เวลาว่างกับสัตว์เลี้ยงนั้นยังช่วยลดความเครียดและทำให้มีจิตใจที่สงบอีกด้วย ครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเปล่าเปลี่ยวของสมาชิกภายในบ้าน แต่ยังช่วยให้ลูกๆ ของพวกเขานิ่งพอในการจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิต

มีงานวิจัยออกมาว่า เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำ ความดันเลือดต่ำ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจที่ต่ำกว่าคนกลุ่มที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ และสัตว์เลี้ยงจะทำให้เกิดสถานการณ์ เช่น การพาพวกมันออกไปเดินเล่น จนทำให้เกิดการเข้าสังคมที่มากขึ้นในหมู่เจ้าของสัตว์เลี้ยง

 

สัตว์เลี้ยงลดความเครียดจริงไหม

มีข้อสงสัยมากมายว่า สัตว์เลี้ยงเพื่อนรักของเราเหล่านี้ช่วยลดความเครียดได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ได้! ได้อย่างแน่อน พวกมันช่วยลดความเครียดในหมู่ผู้เลี้ยง แม้ว่าเราไม่จำเป็นต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ในการอธิบายว่าลูกหมาตัวน้อยที่นอนขดตัวในบ้านมีส่วนช่วยสร้างกำลังใจและความรู้ดีๆ ให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือการเฝ้ามองตู้ปลาสวยงามจะช่วยให้เราได้พักสายตาและจัดการกับระยะโฟกัสของเราหรือไม่ แต่ก็มีการศึกษาออกมาว่า การช่วยดูแลจิตใจของมนุษย์จากเหล่าสัตว์เลี้ยง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

ในประเด็น pet therapy หรือ ‘การบำบัดโรคโดยสัตว์’ พบว่า คนที่ไม่ได้ชื่นชอบสัตว์ เมื่อมีโอกาสได้เลี้ยงสัตว์หรือเล่นกับพวกมันกลับทำให้มีความเครียดลดลง อีกการศึกษาพบว่าเด็กๆ ที่พยายามทำความเข้าใจสุนัขก็มีความเครียดลดลงเช่นกัน

สัตว์เลี้ยง

เหล่าสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุดในการลดความเครียด

เป็นที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางว่าสัตว์เลี้ยงที่ช่วยลดความเครียดได้ดีที่สุดคือ หมาและแมว แต่ถ้าคุณและครอบครัวของคุณเป็นภูมิแพ้ หรืออาจจะไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับให้หมาและแมวของคุณอาศัยแล้วล่ะก็ ให้เลือกสัตว์ที่ใช้พื้นที่เล็กๆ ที่สามารถอาศัยอยู่ในกรงได้ เช่น หนูตะเภา หนูแฮมสเตอร์ หรือนกที่สามารถร้องเพลงให้กับสมาชิกในครอบครัวฟังได้ แม้แต่เต่าหรือจิ้งหรีดก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับปล่อยให้เหล่าสัตว์เลี้ยงออกมายึดครองพื้นที่ในบ้าน

อ้อ! กระต่ายก็เป็นอีกชอยส์ที่ไม่ควรลืม ถ้าฝึกพวกมันให้ขับถ่ายอย่างเป็นที่ได้ ก็ไม่มีปัญหา

ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องเลือกสัตว์เลี้ยงแล้ว

การที่เราจะหาสัตว์มาเลี้ยงในบ้าน อาจจะต้องใช้เวลาเตรียมตัวในหลายๆ เรื่อง เพราะมันเกี่ยวพันกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ บางอย่างที่ต้องทำความเข้าใจและใส่ใจ เช่น ใครเป็นคนรับหน้าที่ดูแลหลักในครอบครัว หรือถ้ามีสัตว์มาเพิ่มจะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบได้อย่างไรบ้าง จะกลายเป็นเครียดเพิ่มมากขึ้นหรือเปล่าถ้าให้เด็กรับผิดชอบมากขึ้น

นอกจากนี้ยังควรคิดอย่างระมัดระวัง เช่น ต้องพาสัตว์เลี้ยงเดินเล่นบ่อยแค่ไหน และการเดินเล่นที่ว่าจะทำให้ตารางในครอบครัวเปลี่ยนไปอย่างไร และเด็กๆ จะต้องโตพอที่จะเข้าใจความรับผิดชอบต่ออีกหนึ่งชีวิต มันไม่ใช่เพียงการคาดหวังให้นำสัตว์มาเลี้ยงเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยเหลือและรักษาระดับทางอารมณ์ของเราเพียงอย่างเดียว แต่พวกมันคือความรักและความเข้าใจ ที่เราจะต้องรับผิดชอบอย่างบิดพลิ้วไม่ได้

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
discoverbrillia.com

ฮั่นแน่! ไม่ชอบสวมหมวกกันน็อคหรือป่าว

‘สงกรานต์’ วันหยุดยาวแห่งการเฉลิมฉลองพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัว
แต่เทศกาลแห่งความสุข มักกลายเป็นเทศกาลแห่งความเศร้า
ผู้คนเดินทางกลับบ้านเกิด กลายเป็นต้องกลับบ้านเก่า
ตายจริง-เจ็บจริง กันทุกปี
ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ยังคงมีความเสี่ยงสูงสุด
และ ‘หมวกกันน็อค’ คือสิ่งที่ถูกละเลยอยู่เสมอ
การใช้ชีวิตอย่างมี ‘สติ’ เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยทุเลาความสูญเสีย

 

  • แต่ละปีไทยต้องสูญเสียงบประมาณจากอุบัติเหตุทางถนน 300,000-400,000 ล้านบาท
  • กระทรวงสาธารณสุขต้องใช้งบประมาณถึง 1 ใน 3 ในการดูแลผู้บาดเจ็บและพิการ

 

ย้อนสถิติอุบัติเหตุ 5 ปี สงกรานต์อันตราย
ปี
จำนวน (ครั้ง)
บาดเจ็บ (คน)
เสียชีวิต (คน)
25572,9923,225326
25583,3733,559364
25593,4473,656442
25603,6953,850354
25613,7243,897418