จับผิดภาพและคำในโฆษณาอาหาร

“กาแฟลดความอ้วน เห็นผลทันตาใน 1 สัปดาห์”

“ผิวขาวใส ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ”

“หมดกังวลกับไขมันและน้ำหนักส่วนเกิน”

“เครื่องดื่มสมุนไพรจีน เพิ่มความมั่นใจให้ท่านชาย”

ฯลฯ

หากสังเกตให้ดี โฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารที่แพร่หลายอยู่รอบตัวเราทุกวันนี้ ปัญหาที่พบมากคือโฆษณาที่โอ้อวดเกินจริง การบรรยายสรรพคุณที่เหลือเชื่อ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ บ้างอวดอ้างว่าสามารถบำบัดรักษาโรคได้ จนเลยเส้นของคำว่า ‘อาหาร’ ไปสู่พรมแดนของ ‘ยา’

คำว่า ‘ผลิตภัณฑ์อาหาร’ ตามนิยามของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีความหมายครอบคลุมถึงอาหารในภาชนะบรรจุปิดสนิท ผลิตภัณฑ์นม อาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก กาแฟ เครื่องดื่ม อาหารกระป๋อง อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารเสริม (ตามกฎหมายคือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) ฯลฯ

เมื่อพลิกดูกฎหมาย พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 40 ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหาร อันเป็นเท็จหรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร”

ถ้อยคำที่ใช้ในการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารมีหลักเกณฑ์สำคัญว่า ต้องไม่ทำให้เข้าใจผิด ไม่เป็นเท็จ หรือเกินจริง อย่างเช่น

  • สามารถบำบัด บรรเทา รักษา ป้องกันโรค
  • ลดความอ้วน กำจัดไขมันส่วนเกิน ช่วยให้รูปร่างดี
  • บำรุงสมอง ทำให้ฉลาด ความจำดี
  • บำรุงผิว ทำให้ผิวดี ขาว เนียน กระชับ เปล่งปลั่ง
  • บำรุงหรือเสริมสมรรถภาพทางเพศ

และในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 309) พ.ศ. 2550 เรื่อง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ฉบับที่ 2) ระบุด้วยว่า การโฆษณาอาหารต้องแสดงข้อความที่ชัดเจนว่า “ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค”

นอกจากนี้ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การโฆษณาอาหาร ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 ระบุชัดว่า “ห้ามนำบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข หรือทำให้เข้าใจว่าเป็นบุคลากรดังกล่าวมาแนะนำ รับรอง หรือเป็นผู้แสดงแบบ”

ดูซีรีส์ยันเช้า แถมฟรีโรค Computer Vision Syndrome

อาการติดซีรีส์ อินจนไม่หลับไม่นอน ดูตั้งแต่ค่ำยันเช้า นอนเมื่อไหร่ก็ได้แต่ซีรีส์ต้องจบ เป็นส่วนหนึ่งในพฤติกรรมของคนจำนวนมากในยุคนี้

“ก็แหม…พอดูจบหนึ่งตอน มันก็อดไม่ได้ที่ต้องลุ้นตอนต่อไปนี่หน่า”

ไม่ว่าซีรีส์สัญชาติใดก็ตาม ไทย จีน เกาหลี ฝรั่ง รวมถึงละคร ภาพยนตร์ หรือรายการเกมโชว์ ทั้งหมดสามารถเข้าถึงได้ง่ายเพียงคลิกเดียว ผ่านอวัยวะชิ้นที่ 33 อย่างมือถือ แทบเล็ต โน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์ แต่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือที่สร้างความบันเทิงได้อย่างยอดเยี่ยม หากคุณใช้งานมันอย่างพอเหมาะพอควร

เพราะดวงตาไม่ได้เป็นแค่หน้าต่างของหัวใจ

ความอึดอัดเริ่มต้นทำงานขึ้นทันที เพียงแค่ลองหลับตาจินตนาการว่ากำลังอยู่ในโลกมืดๆ มองไม่เห็นสิ่งใด การดำเนินชีวิตในแต่ละวันคงเป็นเรื่องแสนลำบาก

ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่า ‘ดวงตา’ เป็นอวัยวะที่สำคัญมากแค่ไหน แต่ทำไมหลายคนถึงยอมแพ้ ปล่อยให้เทคโนโลยีเข้าครอบงำ

หลักฐานสำคัญที่ทำให้เราต้องหันกลับมาทบทวนและดูแลดวงตา คือ สัดส่วนโรคเกี่ยวกับดวงตาที่มาจากการใช้สายตาเพ่งมองหน้าจอมากเกินไป มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อ้างอิงจากจำนวนผู้ป่วยโรคตาจากความผิดปกติของสายตาและการเพ่งมอง ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) เฉพาะในปี 2560 มีมากถึง 3,844 ราย

ถึงแม้โรคนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตาอย่างเฉียบพลัน แต่ถ้ายังปล่อยปละละเลย สะสมเป็นเวลานานเข้า อาจทำให้เกิดความไม่สบายตาและส่งผลให้เกิดปัญหาสายตาตามมาได้เช่นกัน ไม่ว่าจะปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า สายตาสั้นในเด็ก หรือผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น อาการปวดหัว ปวดหลัง และเมื่อยคอ

รศ.นพ.อนุชิต ปุญญทลังค์ จักษุแพทย์และประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย อธิบายถึงลักษณะกายภาพในการใช้ดวงตาของมนุษย์ตั้งแต่อดีต กิจกรรมที่ต้องใช้งานดวงตาหนักๆ นานๆ พบว่ามีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นคือ ‘การอ่านหนังสือ’

โดยธรรมชาติการอ่านหนังสือจะใช้สายตาในลักษณะของการไล่อ่านจากซ้ายไปขวาอย่างเป็นระบบและเนิบช้า เพราะไม่มีอะไรเคลื่อนไหวและคอยพุ่งขึ้นพุ่งลง นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่ไม่เรียกร้องให้ต้องใช้สายตาหนักเกินไป ต่างจากการใช้โทรศัพท์มือถือที่เรามักรูดขึ้นรูดลงอยู่ตลอด แถมยังมีลำแสงทิ่มเข้ามาที่ดวงตาตรงๆ

อาจสรุปได้ว่า กิจกรรมการอ่านหนังสือจะใช้สายตาน้อยกว่าและเบากว่า ไม่เข้มข้นและรุนแรงเหมือนกับการเพ่งสายตาดูจอสี่เหลี่ยม อีกทั้งสัดส่วนของการขยับกล้ามเนื้อตาขึ้น-ลง ซ้าย-ขวา หรือการซูมเข้า-ซูมออก ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการใช้อุปกรณ์ไฮเทค

ยิ่งไปกว่านั้นหากใครที่ชอบนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือหรือใช้คอมพิวเตอร์ทำงานในห้องแอร์เย็นๆ หรือสถานที่ที่มีลมเป่าเข้าหน้าแรงๆ จะยิ่งส่งผลให้ตาแห้ง และอาการที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความรู้สึกปวดตา แสบตา คันตา

ยิ่งถ้าบางคนที่ชอบเล่นมือถือในระยะใกล้ ชอบนั่งชิดติดขอบจอคอมพิวเตอร์ พฤติกรรมเหล่านี้จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการใช้งานดวงตาที่หนักหน่วงขึ้นเช่นกัน เพราะเมื่อเวลามนุษย์มองวัตถุในระยะใกล้ กล้ามเนื้อตาจะต้องทำงานหนัก ยิ่งวัตถุอยู่ใกล้มากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งต้องเพ่งสายตาเยอะขึ้นเท่านั้น ตามกฎธรรมชาติของร่างกายที่มีคำอธิบายทางการแพทย์ว่า หากเรามองวัตถุในระยะใกล้ กล้ามเนื้อตาจะกดเข้าหากัน ขณะเดียวกันรูม่านตาก็จะหดตัว กล้ามเนื้อภายในจะบีบให้เลนส์เปราะ ส่งผลให้ดวงตาต้องเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา

คล้ายกับคนยกถังน้ำหนักๆ สักครึ่งชั่วโมง ถามว่าเราเมื่อยแขนไหม? – ก็เมื่อยสิ

ดวงตาก็เช่นกัน เพราะข้างในดวงตาประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อหลัก 3 มัด ที่ช่วยในการมองเห็น กล้ามเนื้อแต่ละมัดมีลักษณะเล็กๆ บางๆ ถ้าคุณใช้งานดวงตานานเกินไป เพ่งจอคอมฯ จ้องจอมือถือทั้งวัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนยืนแบกถังน้ำจนเมื่อยแขน แขนสั่น แขนล้า

เพียงแต่อาการปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัว สามารถทุเลาลงได้หากใช้ครีมแก้ปวดต่างๆ ทาเพื่อลดอาการอักเสบ บรรเทาอาการปวด แต่กลับกันเราไม่สามารถควักดวงตาของเราออกมาทาครีมแก้ปวดได้ ทางเดียวที่เราจะทำได้ คือ การพักสายตา ปล่อยให้ดวงตารีแลกซ์ ผ่อนคลาย เหมือนกับการเหยียดแขนขา เพื่อไล่อาการปวดเมื่อยให้ออกไปนั่นเอง

‘Computer Vision Syndrome’ โรคจากจอสี่เหลี่ยม

หลายคนสงสัยว่า หลังจากใช้สายตาติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำอย่างไรจึงจะบรรเทาอาการปวดตา วิธีง่ายๆ ก็คือ

  • ถ้ารู้สึกปวดตา ให้ประคบร้อน เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว
  • ถ้ารู้สึกคันตา ให้ประคบเย็น เพื่อให้เส้นเลือดหดตัว
  • หยุดพัก หากิจกรรมอย่างอื่นทำ เพื่อเป็นการพักสายตา

ถ้าวันไหนมีงานด่วนขึ้นมาจริงๆ เช่น ต้องส่งต้นฉบับให้ทันตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ต้องใช้สายตาอย่างหนักโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง อาจสะสมให้เกิดโรคสายตาของคนทำงานยุคใหม่ หรือในวงการแพทย์เรียกว่า ‘Computer Vision Syndrome’ ได้

ผลกระทบของโรคนี้ แม้ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นเป็นต้อลม ต้อหิน หรือต้อกระจก แต่ผู้ป่วยจะมีอาการตาเกร็ง ตาล้า แสบตา ตาแห้ง บางคนมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้ายทอย ปวดไมเกรน เนื่องจากเส้นประสาทจำนวนมากบริเวณรอบดวงตาจะเชื่อมต่อถึงกันและกันทั่วทั้งศีรษะ

หรือในบางรายหากใช้สายตาหนักมากเกินไป อาจพบว่า ตามีอาการเป็นตะคริว เพราะกล้ามเนื้อดวงตาหดเกร็งเป็นเวลานานๆ ไม่สามารถคลี่คลายได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้เกิดอาการตาพร่า ตามัว มองภาพไม่ชัด และส่งผลให้มองในระยะไกลไม่เห็นในที่สุด

 

แล้วทางออกของเรื่องนี้คืออะไร

แม้ไม่ได้มีหลักฐานงานวิจัยบอกอย่างจริงจังว่า คนเราไม่ควรเล่นโทรศัพท์เป็นเวลานานเท่าไร หรือไม่ควรเล่นคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องกันนานแค่ไหน

แต่ถ้ายึดตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ ควรใช้สายตานานติดต่อกันไม่เกิน 30-40 นาที จากนั้นต้องพักสายตาโดยการหลับตา มองไปที่ไกลๆ ลุกขึ้นเดินไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อให้กล้ามเนื้อตาได้มีเวลาคลายตัวลงบ้าง

บางคนอาจเลือกใช้วิธีแก้แบบทางลัด โดยไปซื้อแว่นตาที่ช่วยตัดแสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์มาใส่ แต่นั่นก็อาจเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ ทางที่ดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน คือ ควบคุมเวลาการใช้สายตาของตัวเองให้ได้ รวมถึงปรับลดแสงจ้าที่หน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้หรี่ลง เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยบรรเทาและถนอมสายตาได้ในระดับหนึ่งแล้ว

ข้อแนะนำสุดท้าย สำหรับผู้ที่รักการอ่านหนังสือและเล่นมือถือ ควรใช้งานดวงตาในสภาพแวดล้อมที่มีแสงพอเหมาะ อย่าให้มืดเกินไปหรือสว่างเกินไป เพราะขณะที่บรรยากาศโดยรอบมืด ม่านตาจะขยาย และถ้าเราอ่านหรือจ้องมือถือในระยะใกล้ๆ ม่านตาจะหดตัว ดังนั้น การที่ม่านตาเดี๋ยวก็หด เดี๋ยวก็ขยาย กล้ามเนื้อตาจะต้องทำงานอย่างหนัก

ยิ่งบางคนที่ชอบนอนตะแคงดูซีรีส์หรือไถหน้าจอเฟซบุ๊คด้วยมือเดียว ซึ่งเป็นท่าที่ไม่เหมาะสมในการใช้ดวงตา จะยิ่งส่งผลให้ดวงตาทำงานหนักเพียงข้างเดียว เมื่อลุกขึ้นยืน หรือขยับตัวเร็วๆ อาจทำให้เกิดอาการตามืดชั่วคราวได้ เพราะจอตาสองข้างปรับแสงไม่เท่ากัน

ดวงตาอาจไม่ได้เป็นเพียงหน้าต่างของหัวใจอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ดวงตายังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยมนุษย์ขับเคลื่อนและดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้ง่ายขึ้น

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควรหมั่นถนอมดวงตาของเราไว้ เพื่อจะได้สนุกกับการดูซีรีส์ไปนานๆ

ข้อมูล:

โรคตาติดจอ 

ฟันเหล็กเด็กแนว เติมช่องว่างความมั่นใจ

สมัยก่อนโน้น ใครที่ถูกพ่อแม่บังคับให้ไปจัดฟันหรือดัดฟัน มักถูกเพื่อนล้อ ‘ฟันเหล็ก’ ให้อับอายไปทั่วโรงเรียน

สมัยนี้ การใส่เหล็กดัดฟันสีสันสดใส กลับกลายเป็นเทรนด์น่ารักเก๋ไก๋ในสายตาของวัยรุ่น

ทุกวันนี้การจัดฟันจึงข้ามเส้นไปยังพรมแดนของแฟชั่น ความสวยความงาม และช่วยเติมเต็มความมั่นใจ มิใช่แค่จัดฟันเพื่อสุขภาพช่องปากเพียงอย่างเดียว

ปัญหาอยู่ที่ว่า การเข้าถึงบริการทันกรรมที่ถูกต้องตามหลักวิชาชีพ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ใครจะเข้าถึงได้ ด้วยข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

เด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยจึงหันไปพึ่งพาหมอฟันเถื่อนและอุปกรณ์จัดฟันแบบเถื่อนๆ ที่ซื้อหาได้ง่ายในโลกอินเทอร์เน็ต

 

นิยามใหม่กัญชา-กระท่อม “พืชยา” ไม่ใช่ยาเสพติด

พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และในวันที่ 21 พฤษภาคม 2562 จะครบกำหนดกรอบเวลา 90 วันในการแจ้งลงทะเบียนสำหรับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้กัญชารักษาโรคและผู้ที่มีกัญชาในครอบครอง พ้นจากนี้แล้วถือเป็นอันสิ้นสุดระยะเวลาของการนิรโทษ

พ.ร.บ.ยาเสพติด ฉบับนี้ จึงเป็นเพียงการ ‘คลายล็อค’ มิใช่การ ‘ปลดล็อค’ อย่างที่หลายคนเข้าใจ อีกทั้งยังติดเงื่อนปมทางกฎหมายที่จัดให้กัญชาอยู่ในบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 และยังมีบทลงโทษที่รุนแรง

ในเวทีจุฬาฯ เสวนา ครั้งที่ 19 เรื่อง ‘กัญชา เพื่อเยียวยาสุขภาพ?’ นักวิชาการและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้เตรียมที่จะเสนอร่าง พ.ร.บ.พืชยา กัญชา กระท่อม (ฉบับประชาชน) เป้าหมายในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เพื่อจะแยกกัญชาและกระท่อมออกจาก พ.ร.บ.ยาเสพติด และ พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท

หากสามารถกำหนดนิยามใหม่ของคำว่า ‘พืชยา’ ขึ้นมาได้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้อย่างเต็มรูปแบบ และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้จริง

 

ดารา-เน็ตไอดอล มายาภาพในสินค้าลวงโลก

กระบวนการทางกฎหมายในการเอาผิดเหล่าดารา-เน็ตไอดอล ฐานโฆษณาชวนเชื่อผลิตภัณฑ์ในเครือ ‘เมจิกสกิน’ กินเวลายืดเยื้อยาวนานข้ามปี

ความคืบหน้าล่าสุด ตำรวจออกหมายเรียกบรรดานักแสดง 13 ราย ภายในวันที่ 11-13 มิถุนายนนี้ เพื่อแจ้งข้อหาจากการรีวิวผลิตภัณฑ์เถื่อน โดยก่อนหน้านี้ได้มีการส่งตัวผู้ต้องหาบางส่วนฟ้องศาลไปแล้ว บางส่วนอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ และยังเหลือดาราที่คาดว่าจะเข้าข่ายความผิดอีก 24 คน

หากไม่นับคดีเมจิกสกินที่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความเกือบ 1,000 ราย กับมูลค่าความเสียหายเกือบ 300 ล้านบาท และมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวข้องอีกนับร้อยชีวิต ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามอีกสารพัดชนิดที่เป็นภัยต่อผู้บริโภคก็ยังคงมีให้เห็นเกลื่อนกลาดทั้งในสังคมออนไลน์และออฟไลน์ โดยที่กระบวนการทางกฎหมายยังเข้าไม่ถึง

WAY ชวนฟัง เภสัชกรภาณุโชติ ทองยัง ประธานชมรมเภสัชชนบท กับข้อสังเกตเกี่ยวกับขบวนการ ‘มายาโฆษณาบันเทิง’ ที่พัวพันอยู่ในวงการธุรกิจหลอกลวง ท่ามกลางระบบตรวจสอบควบคุมที่ยังมีรูรั่ว

อะโวคาโด เซเลบริตีระดับ A List ในโลกอาหาร

รู้หรือไม่ว่าโลกของอาหารก็มีเซเลบริตีเหมือนกัน ผักและผลไม้บางชนิดกลายเป็นซุป’ตาร์ระดับ A list ผักผลไม้บางชนิดเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนและอาหารการกินของพวกเขา พวกมันเข้าไปควบคุมพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของคนมากมาย และรวมถึงมีอิทธิพลในฐานะพืชเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

เราคงจะเคยได้ยินชื่อของ ‘อะโวคาโด’ ทำไมผลอะโวคาโดถึงได้ก้าวมายืนในระดับแนวหน้าของโลกอาหาร ขณะที่แครอทหรือผักกาดกลับไม่สามารถเฉิดฉายบนพรมแดงแถมยังเป็นผักผลไม้ปลายแถวในสายตาของคนทั่วไป คำตอบของเรื่องนี้ซับซ้อนและไม่ง่ายที่จะเกิดขึ้นได้

นี่คือเรื่องเล่าของอะโวคาโดพิชิตโลก

อะโวคาโดพิชิตโลกได้อย่างไร? หลายคนคงอยากจะรู้คำตอบ ว่าทำไมอะโวคาโดกลายเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในหมู่มนุษย์มิลเลนเนียล มันมีคำตอบจากมิติของคุณค่าในตัวเองของอะโวคาโด และการถูกเพิ่มมูลค่าทางการตลาด

เราจะพบอะโวคาโดได้ทั่วไปในร้าน bistro หรือร้านข้าวแกงแบบฝรั่ง ที่เน้นความรวดเร็วในการรับประทาน เป็นที่นิยมในหมู่มนุษย์มิลเลนเนียล ภายในร้านเน้นขายเมนูที่ง่ายไม่ซับซ้อน มีบรรยากาศและพิธีรีตองน้อยกว่าร้านอาหารภัตตาคาร เมนูที่มีอะโวคาโดเป็นส่วนประกอบได้รับความนิยมและมีราคาสูงลิ่ว

แต่ผลอะโวคาโดกลับมีพลังในการจัดการกับความหิวของมนุษย์มิลเลนเนียลได้เป็นอย่างดี การยอมรับให้มีอะโวคาโดอยู่ในจานของแต่ละมื้อ กลายเป็นว่าอะโวคาโดคืออาหารที่มนุษย์มิลเลเนียลต้องพบเจอในทุกวัน และไม่ใช่แค่เป็นอาหาร ผลอะโวคาโดยังมีอิทธิพลในวงการต่างๆ ในฐานะผลไม้ทำเงินให้หลายร้านและหลายบริษัทอีกด้วย

CEO ขององค์กรอะโวคาโดในวอชิงตัน ดีซี. ได้พูดถึงอะโวคาโดไว้ว่า ผลอะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ขายได้ง่าย อร่อย และเต็มไปด้วยสารอาหาร อะโวคาโด สามารถใช้แทนเนื้อสัตว์ และเป็นที่นิยมในหมู่ของ ‘ชาววีแกน’ (vegan) นี่เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่ทำให้อะโวคาโดฮิตในคนทุกกลุ่ม

ผลอะโวคาโดประกอบด้วยวิตามินทั้งหมด 20 ชนิดและแร่ธาตุอย่าง โพแทสเซียมที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันความดันโลหิต ลูทีนที่เป็นประโยชน์ต่อดวงตา และโฟเลตที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

นอกจากนี้อะโวคาโดยังเป็นแหล่งกำเนิดวิตามินบี ที่ช่วยให้เราต่อสู้กับโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และยังช่วยให้วิตามินซีและอี ร่วมถึงสารเคมีจากธรรมชาติบางตัวที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง อะโวคาโดมีระดับน้ำตาลต่ำ แถมยังเต็มไปด้วยไฟเบอร์ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มอย่างยาวนาน คนจึงนิยมรับประทานเพื่อควบคุมน้ำหนัก นี่คือมิติด้านคุณค่าในตัวเองของอะโวคาโด ที่ทำให้มันโดดเด่นเหนือใคร กลายเป็นขวัญใจของคนรักสุขภาพ

แต่ถ้าเป็นมิติของการถูกเพิ่มคุณค่าแล้วล่ะก็ น่าสนใจทีเดียว อะโวคาโดไม่ได้โด่งดังหรือมีซีนแค่ในร้านอาหารเท่านั้น เพราะในฐานะพืชเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลในชีวิตประจำวันและการใช้ชีวิตของคนทั่วไป บริษัทเดินรถไฟชื่อดังจากสหราชอาณาจักร อย่างบริษัท Virgin Train ได้อาศัยความนิยมของอะโวคาโดเพื่อเพิ่มยอดขายของบริษัท โดยมีการออกโปรโมชั่นที่เรียกกันว่า #Avocard หากผู้โดยสารที่มีอายุอยู่ระหว่าง 26-30 ปี นำผลอะโวคาโดมาแสดงที่สถานี จะได้รับส่วนลดในการซื้อตั๋วรถไฟทันที

แม้ว่ามนุษย์ได้นำผลอะโวคาโดมาทำอาหารเป็นระยะเวลานานหลายพันปีแล้ว แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ปรากฏการณ์ที่มนุษย์มิลเลนเนียลเป็นผู้บริโภคผลอะโวคาโดเป็นจำนวนมากกว่าคนกลุ่มอื่นเป็นความจริงและเป็นเรื่องใหม่ และเป็นครั้งแรกที่ผู้คนที่มีอายุอยู่ระหว่าง 20-30 ปี มีความต้องการดื่มกินผลอะโวคาโดในจำนวนพุ่งขึ้นสูงมากที่สุด ตามรายงานจาก International Trade Centre องค์กรการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ทั่วโลกมีมูลค่าของการนำเข้าผลอะโวคาโดสูงถึง 4,820 ล้านดอลลาร์ ในปี 2016

ความโด่งดังของอะโวคาโดไล่ลุกลามไปถึงวงการการแพทย์ ศัลยกรรมพลาสติกในลอนดอน ปี 2017 มีการรักษาคนไข้ที่บาดเจ็บจากการหั่นผักผลไม้จำนวนมาก ทำให้สต๊าฟของโรงพยาบาลเรียกอาการบาดเจ็บเช่นนี้ว่าเป็น ‘การบาดเจ็บแบบ avocado hand’ เพื่อเป็นการเปรียบเทียบว่าคนถูกมีดบาดจากอะโวคาโดเป็นจำนวนมาก จนนำมาตั้งชื่ออาการที่ถูกมีดบาดว่า avocado hand

เราจะเห็นว่า มีหลายเหตุการณ์ หลายสถานที่ และหลายที่มา ที่ทำให้อะโวคาโดกลายเป็นผลไม้ที่อยู่ในกระแสและถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง แต่ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่ความนิยมของผลอะโวคาโดพุ่งสูงมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภค และเหตุผลที่สำคัญนั้นคือ

“เมื่อราชาอะโวคาโดได้เสด็จมาถึงจานอาหารของพวกท่านแล้ว ท่านจะไม่ให้เกียรติพระองค์ด้วยการถ่ายรูปพระองค์ลงอินสตาแกรมเลยหรือ?… ”

ใช่แล้ว โซเชียลมีเดียและอินสตาแกรมนี่เอง ที่ทำให้อะโวคาโดกลายเป็นผลไม้ระดับซุป’ตาร์ที่เฉิดฉายไปทั่วโลก เมื่ออะโวคาโดปรากฏบนเฟรมรูปภาพอาหารของเหล่าเซเลบริตีชื่อดังทั้งหลาย ใครๆ ก็อยากจะกินอาหารอย่างเซเลบเขากินกัน ใครๆ ก็อยากจะถ่ายรูปอาหารสวยๆ ลงแอคเคาท์ส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งก็ทำให้มูลค่าของอะโวคาโดเพิ่มสูงขึ้น สูงขึ้น และสูงขึ้น จนทำให้ผลอะโวโดกลายเป็นอาหารเศรษฐกิจในที่สุด

อะโวคาโดได้เดินทางไปสร้างความนิยมไปทั่วโลก ในตลาดอะโวคาโดปรากฏตัวพร้อมกับอุปสงค์หรือความต้องการของผู้บริโภคที่สูงมากทั้งในอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย รวมถึงประเทศจีน ชาวจีนให้ความสนใจกับผลไม้ชนิดนี้อย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากการโพสอินสตาแกรมของเซเลบริตี เช่น คิม คาร์เดเชียน (Kim Kardashian) และลายสักรูปอะโวคาโดของไมลีย์ ไซรัส (Miley Cyrus) ที่แขนของเธอ

นอกจากอะโวคาโดแล้ว ผักผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่เดินทางบนถนนสายซุป’ตาร์แบบเดียวกันกับอะโวคาโด ไม่ว่าจะเป็นอาหารตระกูลซูเปอร์ฟู้ด อย่าง อาซาอิเบอร์รี (acai berry) เมล็ดเซีย (chia seed) หรือแม้แต่เคล (kale) ผักใบเขียวที่ดูธรรมดาๆ ก็โด่งดังขึ้นมาด้วยสองปัจจัย จากคุณค่าในตัวเองและการเพิ่มมูลค่าทางการตลาด

ขณะที่อะโวคาโดคือราชันย์แห่งผลไม้ เคลก็เป็นราชันย์แห่งผัก เคลกลายมาเป็นที่ต้องการในหมู่คนทั่วไปอย่างมาก ครั้งหนึ่งอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐ ได้สาธิตวิธีการปั่นเคลสมูธตี แค่นั้นก็ทำให้เคลเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

เราจะเห็นได้ว่า อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย การตลาด หรือแม้แต่การบริโภคของเหล่าเซเลบริตี ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลและส่งผลต่อความคิดของผู้คน และเข้าไปกำกับและเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจตลอดจนวิถีชีวิตของผู้คน เพราะโลกมันซับซ้อนขึ้น การดื่มสมูธตีอะโวคาโดเป็นอาหาร หรือมีชิ้นส่วนของอะโวคาโดสไลซ์วางอยู่ข้างจานอาหารเช้า อาจจะไม่ใช่เหตุผลง่ายๆ เพียงเพราะเราอยากกิน แต่มันอาจจะมาจากหลายเหตุผลที่ต้องกินมันอย่างที่เล่าไปข้างต้น

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
bbc.com
fruitnet.com
webmd.com

 

แม่น้ำปนเปื้อนยาปฏิชีวนะ ต้นเหตุวิกฤติดื้อยาแพร่กระจาย

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยยอร์ค (University of York) ในอังกฤษ ได้ทำการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำใน 72 ประเทศ และพบว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของตัวอย่างที่เก็บมานั้นปนเปื้อนยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา เช่น บังคลาเทศ ปากีสถาน เคนยา กานา และไนจีเรีย ที่มีการปนเปื้อนอยู่เกินระดับปลอดภัย

ระดับปลอดภัยที่ว่านี้คือ 20,000-32,000 นาโนกรัมต่อลิตร ขึ้นอยู่กับชนิดของยา กรณีที่แย่ที่สุดคือบังคลาเทศ ที่พบยา Metronidazole ซึ่งใช้รักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียบนผิวหนัง ทางเดินหายใจ และช่องคลอด เกินระดับปลอดภัยถึง 300 เท่า

ทีมวิจัยตั้งต้นมองหายาปฏิชีวนะที่ใช้กันทั่วไป 14 ชนิด ที่พบบ่อยมากถึง 43 เปอร์เซ็นต์คือ Trimethoprim ซึ่งใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ปอดอักเสบ การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และยังพบอีกว่า Ciprofloxacin ยารักษาการติดเชื้อที่ผิวหนัง กระดูก และข้อต่อ และระบบทางเดินหายใจ อยู่เกินระดับปลอดภัยถึง 51 แห่ง

ข้อมูลที่ถูกเก็บจาก 711 จุดจากพื้นที่ในแม่น้ำสายสำคัญของโลก ทั้งเจ้าพระยา ดานูบ แม่น้ำโขง แซน เธมส์ ไทเบอร์ และไทกริส พบว่า จุดอันตรายมักอยู่ใกล้โรงบำบัดน้ำเสียหรือบริเวณกองขยะ รวมถึงอยู่ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางการเมือง จนไม่มีใครเข้าไปจัดการ

การค้นพบที่จะนำเสนอในการประชุมประจำปีของ Society of Environmental Toxicology and Chemistry ที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ แสดงให้เห็นว่า ปัญหายาปฏิชีวนะที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำเกินกว่าระดับปลอดภัย มักพบในประเทศกำลังพัฒนา ข้อมูลจากยุโรป อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ แสดงให้เห็นว่าการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะในแม่น้ำเป็นปัญหาระดับโลก

จอห์น วิลกินสัน (John Wilkinson) จากภาควิชาสิ่งแวดล้อมและภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยยอร์ค กล่าวว่า “ส่วนสำคัญของงานชิ้นนี้คือการเริ่มต้นตอบคำถามว่า ‘แล้วไงเหรอ’ หรือมากว่านั้นคือ ‘การปนเปื้อนที่ว่านี้มันเสี่ยงต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจริงหรือเปล่า’ ”

 

วิกฤติระดับโลก

เดือนที่ผ่านมา สหประชาชาติเรียกการดื้อยาปฏิชีวนะว่าเป็น ‘วิกฤติระดับโลก’ ภาวะดื้อยานี้เป็นสาเหตุของการสูญเสียชีวิตทั่วโลกราว 700,000 รายต่อปี ซึ่งรวมถึง 230,000 รายที่เสียชีวิตจากวัณโรคดื้อยาหลายชนิด (multidrug-resistant tuberculosis: MDRTB) อ้างอิงจากรายงานการดื้อยาต้านจุลชีพของ Interagency Coordination Group (IACG) ขององค์การสหประชาชาติ และหากไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง ทีมผู้จัดทำรายงานประมาณคร่าวๆ ว่า ภายในปี 2030 จะมีผู้เสียชีวิตจากภาวะดื้อยาถึงปีละ 10 ล้านคน

อลิสแตร์ บอกซอลล์ (Alistair Boxall) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยยอร์ค เรียกการค้นพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำครั้งนี้ว่าทำให้ “ตาสว่างและน่าหนักใจ” เพราะมันกำลังบอกว่าการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะในแม่น้ำอาจเป็น “ผู้สนับสนุนที่สำคัญ” ที่จะนำไปสู่ภาวะดื้อยาต้านจุลชีพ

เพื่อเป็นการสู้กับภาวะดังกล่าว บอกซอลล์กล่าวว่า มันจำเป็นมากที่จะต้องลงทุนกับระบบสาธารณูปโภคด้านการกำจัดขยะและระบบบำบัดน้ำเสีย ใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเคลียร์พื้นที่ที่มีการปนเปื้อน

“การแก้ปัญหานี้กำลังเป็นการท้าทายระดับงานช้างทีเดียว”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
cnn.com

 

มือปราบหมอฟันเถื่อน

รับแจ้งเบาะแส ประสานงาน ตรวจสอบข้อมูล ก่อนเป็นกระบอกเสียง ส่งต่อเรื่องร้องเรียนจากประชาชนให้ไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

คือ ภารกิจหลักของเพจเฟซบุ๊คชื่อดุดัน ‘มือปราบหมอฟันเถื่อน’

คุยกับ ทันตแพทย์ประพัฒน์ ศานติวงษ์การ หรือ หมอหมี หนึ่งในผู้ดูแลเพจที่วันนี้เขาไม่ได้มาปราบผี แต่มาปราบหมอฟันเถื่อน..

การออกกำลังกายทำให้เรามีความสุขมากกว่ามีเงิน

  • นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา และ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด อังกฤษ มีข้อพิสูจน์ว่าการออกกำลังกายนั้นสำคัญและมีผลต่อสุขภาพจิตมากกว่าสถานะทางเศรษฐกิจ
  • นักวิทยาศาสตร์พบว่า ขณะที่เรากำลังออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ มีแนวโน้มจะ ‘รู้สึกแย่’ ราวๆ ปีละเพียง 18 วัน ขณะที่คนไม่ได้ออกกำลังกายจะรู้สึกแย่อย่างน้อย 35 วันใน 1 ปี
  • ทีมวิจัยยังพบด้วยว่า ชนิดกีฬาที่มีการแข่งเป็นทีม (involve socialize) เป็นผลดีต่อสุขภาพจิตมากกว่ากีฬาชนิดอื่นๆ

 

ไม่ต้องอธิบายกันแล้วว่าการออกกำลังกายมีผลดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ แต่ถ้าเราสามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้จริงๆ ว่า การออกกำลังกายสำคัญต่อสุขภาพใจ ยิ่งกว่าสถานะทางเศรษฐกิจ ก็น่าจะดีและชัดเจนมากยิ่งขึ้น

อ้างอิงจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเยล สหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด อังกฤษ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet เนื้อหาส่วนหนึ่งอธิบายว่า กระบวนการการทดลองครั้งนี้ นักวิจัยเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมของการมีกิจกรรมทางร่างกาย และสภาพจิตของชาวอเมริกันกว่า 1.2 ล้านคน

โดยแต่ละคนต้องตอบคำถามต่างๆ เหล่านี้ เช่น ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านคุณรู้สึกไม่ดีบ่อยแค่ไหน มีความเครียด ซึมเศร้า หรือปัญหาทางอารมณ์อื่นๆ อย่างไร

รวมถึงคำถามเรื่องรายได้ การออกกิจกรรมทางร่างกาย โดยมีกิจกรรมทางกายให้เลือกถึง 75 ชนิด ตั้งแต่ ตัดหญ้า เลี้ยงเด็ก ทำงานบ้าน ไปจนถึงยกน้ำหนัก ปั่นจักรยาน และวิ่ง

 

คนที่มีกิจกรรมทางกายบ่อยๆ มีแนวโน้มมีความสุข

นักวิทยาศาสตร์พบว่า กลุ่มคนที่มีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ มีแนวโน้มจะรู้สึกแย่ราวๆ ปีละเพียง 18 วัน ขณะที่คนไม่ได้ออกกำลังกายจะรู้สึกแย่อย่างน้อย 35 วันใน 1 ปี

นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังพบด้วยว่า คนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะมี ‘ความรู้สึกดี’ มากพอๆ กับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่หาเงินได้อย่างต่ำปีละ 25,000 ดอลลาร์

นั่นหมายความว่า สำหรับคนไม่ได้ออกกำลังกาย คุณต้องหาเงินให้ได้มากกว่าเดิม เพื่อสร้างความสุขให้เท่ากับที่กีฬาหรือการออกกำลังกายมอบให้คุณ

 

การออกกำลังกายที่มากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิต

แน่นอน การออกกำลังกายเป็นสิ่งดี แต่มากแค่ไหนถึงเรียกว่ามากเกินไป

“ความสัมพันธ์กันระหว่างช่วงเวลาการออกกำลังกายและแบกรับความกดดันทางจิตใจ มีลักษณะเป็นรูปตัว U” อดัม เชคราวด์ (Adam Chekroud) จากมหาวิทยาลัยเยล ให้สัมภาษณ์กับสื่อเยอรมัน Die Welt

ถ้าดูจากค่าเฉลี่ยจากกราฟตัว U ของ All exercises หมายความว่า คนที่ออกกำลังกายเฉลี่ยเดือนละ 30 วันมีขีดความสามารถในการแบกรับความกดดันทางใจได้เท่าๆ กับ คนที่ออกกำลังกายเฉลี่ยเดือนละ 2-4 วัน

ฉะนั้นเดินทางสายกลาง ออกกำลังกายพอประมาณ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

งานวิจัยพบว่า การออกกำลังกายครั้งละ 30-60 นาที จำนวน 3-5 วัน/ครั้ง ต่อสัปดาห์ เป็นเรื่องในอุดมคติของทุกคน หรือแปลง่ายๆ ว่า เอาเข้าจริงมันทำได้ยากมาก

อย่างไรก็ตาม มันก็มีผลข้างเคียง สุขภาพจิตของนักออกกำลังกายแต่ละคนที่ออกกำลังกายมากกว่า3-5 ชั่วโมง/วัน จะแย่มากกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ทีมวิจัยฯ ยังพบด้วยว่า กีฬาที่รวมทีมและเล่นกับคนอื่น ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตมากกว่าการเล่นกีฬาเดี่ยวๆ ชนิดอื่น

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
weforum.org

 

420 HIGHLAND : กัญชา ≠ อาชญากรรม

กัญชา = ยาเสพติด คือมายาคติที่ฝังหัวคนไทยมาเกือบชั่วอายุคน
แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป มนุษย์มีความรู้มากขึ้น หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ค้นพบว่า
กัญชาไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายอย่างที่ถูกกล่าวหาเสมอไป เพียงแต่เหรียญอีกด้านของมันยังไม่เคยถูกพลิกขึ้นมา
พิจารณาด้วยใจที่ปราศจากอคติต่างหาก

เสียงเพรียกของหนุ่มสาวชาว ‘กัญชาชน’ พยายามบอกสิ่งนี้กับสังคมไทย ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่ง
มายาคติในโลกเก่าที่ตัดสินทุกอย่างเป็นแค่สีขาวกับสีดำ จะต้องถูกทลายลง