‘อยู่’ หรือ ‘หย่า’ ถ้าผ่าตัดลดน้ำหนัก

ขณะที่ตัวเลขบนตาชั่งลดลงไป การผ่าตัดลดน้ำหนักอาจทำให้คนข้างกายของคุณตัดสินใจอยู่หรือไปได้ด้วย

นักวิจัยจากสวีเดนพบว่า ภายใต้เงื่อนไขของการแต่งงานหรือมีคู่รัก การผ่าตัดรักษาโรคอ้วน (bariatric surgery) อาจทำให้เกิดการแยกทางหรือหย่าร้างได้มาก ในทางกลับกัน ถ้ายังเป็นคนโสด การผ่าตัดจะเปิดโอกาสให้ได้เริ่มความสัมพันธ์ใหม่หรือแต่งงานได้

ทั้งนี้ การผ่าตัดโรคอ้วนคือทางเลือกสุดท้ายของการลดน้ำหนัก เมื่อสุขภาพอยู่ในภาวะเสี่ยงเกินกว่าจะอดอาหารและออกกำลังกาย การผ่าตัดนี้มีเป้าหมายหลักคือ ‘ลดการกินอาหาร’ โดยแต่ละคนจะใช้เวลาฟื้นฟูหลังผ่าตัดต่างกันไป อาจนานหลายเดือนกว่าจะกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติหลังการผ่าตัด

เพอร์-อาร์เน สเวนส์สัน (Per-Arne Svensson) นักวิจัยจากสถาบันซาห์ลเกรนสกา (Sahlgrenska Academy) มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก (University of Gothenburg) ประเทศสวีเดน กล่าวว่า ทีมของเขาได้ดูข้อมูลจากกลุ่มผู้เข้าร่วมการศึกษาสองกลุ่มใหญ่ที่เลือกและไม่เลือกการผ่าตัด โดยมีผู้หญิงเข้าร่วม 70-75 เปอร์เซ็นต์ และแบ่งการศึกษาออกเป็นสองครั้ง

ครั้งแรก ทีมวิจัยได้เฝ้าดูและเปรียบเทียบผู้ป่วยโรคอ้วนที่เข้าผ่าตัด 1,958 คน และผู้ป่วยที่ไม่เข้าผ่าตัด 1,912 คน เป็นเวลาสี่ปีและพบว่า คนโสดที่เข้าผ่าตัด ได้แต่งงานหรือเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ เกือบ 21 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับคนโสดที่ไม่ผ่าตัด 11 เปอร์เซ็นต์ หกปีต่อมา คนที่ผ่าตัดมีอัตราการแต่งงานหรือการเริ่มความสัมพันธ์ครั้งใหม่เกือบ 35 เปอร์เซ็นต์ ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้ผ่าตัดมี 19 เปอร์เซ็นต์

ขณะเดียวกัน เมื่อสี่ปีผ่านไป คนที่แต่งงานแล้วและเข้าผ่าตัดมีอัตราหย่าร้างหรือแยกทาง 9 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่ควบคุมน้ำหนักเองโดยไม่ผ่าตัด มี 6 เปอร์เซ็นต์ หกปีต่อมา คนที่ผ่าตัดมีอัตราการหย่าร้างหรือแยกทางราว 17 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกกลุ่มมี 12 เปอร์เซ็นต์

การศึกษาครั้งที่สอง เปรียบเทียบผู้ป่วยที่เข้าผ่าตัด 29,234 คน พบว่ากลุ่มคนโสดที่เข้าผ่าตัด มีโอกาสแต่งงาน 35 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่แต่งงานแล้วและเข้าผ่าตัดมีโอกาสหย่าร้าง 41 เปอร์เซ็นต์

“ภายในกลุ่มที่ได้รับการผ่าตัด การเปลี่ยนแปลงสถานะความสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติที่มาพร้อมกับน้ำหนักที่ลดลงอย่างมหาศาล” ทีมผู้เขียนงานวิจัยได้รายงานลงในวารสารด้านการศัลยกรรมจากสมาคมการแพทย์อเมริกัน (JAMA Surgery)

“ในการทดสอบด้านความสัมพันธ์อีกครั้ง ผู้ป่วยรับรู้ว่าพวกเขาสามารถออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่มีความสุข และมีโอกาสเลือกที่จะเริ่มความสัมพันธ์ดีๆ ได้ใหม่หรือไม่ก็ได้” ซาเมอร์ มัททาร์ (Samer Mattar) ประธานสมาคมการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนและการแพทย์แห่งอเมริกา (American Society for Metabolic & Bariatric Surgery and Medical: ASMBS) กล่าว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดกับการศึกษาครั้งนี้

ในการทดลองเก็บข้อมูลทั้งสองครั้ง ผู้เข้าร่วมอาศัยอยู่ในสวีเดนทุกคน ทำให้ทีมผู้เขียนงานวิจัยระบุว่า “ไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ได้จะสามารถสรุปในประเทศและวัฒนธรรมอื่นๆ ได้หรือไม่” และยังไม่อาจพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า การผ่าตัดลดน้ำหนักเป็นสาเหตุหลักของความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป โดยมีข้อเสนอแนะว่า การผ่าตัดอาจมีส่วนเพิ่มความตึงเครียดในความสัมพันธ์ที่ขุ่นมัวอยู่แล้ว หรือเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ป่วยทิ้งความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นได้ง่ายขึ้น

นักวิจัยยังได้บันทึกว่า โดยภาพรวมหลังจากการผ่าตัดแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ป่วยและคู่ของตนยังมีความสัมพันธ์เหมือนเดิมหรือดีขึ้น แต่ก็มีบางขณะที่คู่ของพวกเขาเกิดรู้สึกอิจฉาหรือรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

“การผ่าตัดโรคอ้วนได้ทำให้ข้อดีข้อเสียของความสัมพันธ์ขยายตัวและชัดเจนขึ้น” มัททาร์กล่าว “ผู้ป่วยควรรับรู้ว่า การผ่าตัดจะพัฒนาสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพวกเขา รวมถึงความสามารถในการเป็นอิสระและความมั่นใจในการตัดสินใจส่วนบุคคล”

การผ่าตัดแบบนี้เป็นการรักษาโรคอ้วนที่ได้ผลชะงัดทันตาเห็น และเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2016 ศัลยแพทย์เฉพาะในอเมริกาได้ทำการผ่าตัดในลักษณะนี้ไปแล้ว 216,000 ครั้ง ทั้งการลดขนาดกระเพาะ (gastric bypass) รัดกระเพาะ (gastric banding) และการผ่าตัดแบบตัดต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (sleeve gastrostomy)

ขั้นตอนการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะยังมีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ทาง ASMBS ได้ชี้แจงว่า การผ่าตัดอาจนำไปสู่การขาดวิตามินและแร่ธาตุในระยะยาว นอกจากนี้ยังส่งผลให้ผู้รับการผ่าตัดต้องกินอาหารเสริมไปตลอดชีวิต

เอลเลียต เฟเกลแมน (Elliott Fegelman) ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของบริษัทเอธิคอน (Ethicon) บริษัทหนึ่งในเครือของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า เขาเชื่อว่าการสื่อสารที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นระหว่างหมอและผู้ป่วยโรคอ้วน เพื่อทำให้ผู้ป่วยรับทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัดได้อย่างชัดเจน รวมถึงการตัดสินใจด้วยว่า การผ่าตัดแบบใดที่เหมาะสมกับพวกเขา

“การผ่าตัดรักษาโรคอ้วนและการควบคุมการเผาผลาญเป็นการตัดสินใจที่สำคัญมาก ผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการพิจารณาและค้นหาทางเลือกของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ยิ่งเห็นผลช้าเท่าไหร่ ประโยชน์จากการผ่าตัดก็อาจได้รับผลกระทบมากขึ้น” เฟเกลแมนกล่าว


อ้างอิงข้อมูลจาก:
reuters.com
medicalnewstoday.com

งานวิจัยเผย ตื่นก่อนอยู่สบาย นอนตื่นสายตายเร็ว

ที่ผ่านมางานวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าการนอนดึกตื่นสายส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและใจ แต่ยังไม่มีงานชิ้นไหนให้หลักฐานชี้ชัดว่าผลเสียที่ว่านี้หน้าตาเป็นอย่างไร

ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วารสารวิชาการทางการแพทย์ Chronobiology International เปิดเผยข้อสรุปจากทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น (Northwestern University) และมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ (University of Surrey) ออกมายืนยันว่า มนุษย์จำพวกนอนดึกตื่นสาย (night owl) มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับปัญหาสุขภาพมากกว่า เช่น โรคหัวใจ (cardiovascular disease) โรคอ้วน (diabetes) โรคระบบทางเดินหายใจ (respiratory diseases) โรคระบบทางเดินอาหาร (gastrointestinal problems) หรือความเครียดที่ส่งผลกระทบมาสู่ร่างกาย (psychological distress) และมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่ามนุษย์นอนเร็วตื่นเช้า (morning lark)

โดยทีมวิจัยทำการติดตามและสังเกตการณ์กลุ่มตัวอย่างชาวอังกฤษอายุตั้งแต่ 38-73 ปี จำนวน 433,000 คน เป็นระยะเวลาเฉลี่ย 6.5 ปี พบว่า กลุ่มที่นอนดึกตื่นสายมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเร็วกว่ากลุ่มที่นอนเร็วตื่นเช้าถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าทั้งสองกลุ่มจะมีปัจจัยที่แตกต่างกัน เช่น อายุ น้ำหนัก สูบบุหรี่หรือไม่สูบ ดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ แม้แต่สถานะทางสังคม – อัตราความเสี่ยงของกลุ่มนอนดึกตื่นสายก็ยังสูงกว่ากลุ่มนอนเร็วตื่นเช้าอยู่ดี

ทุกคนต่างมีนาฬิกาชีวิตเป็นของตัวเอง

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์พบว่า นาฬิกาชีวิต (body clock) ช่วยควบคุมพฤติกรรมและการทำงานภายในร่างกายแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระดับฮอร์โมน ระดับอุณหภูมิหรือการเผาผลาญอาหารในแต่ละวัน รวมถึงการนอน

แต่มนุษย์เราต่างมีเวลานอนและเวลาตื่นที่ไม่ตรงกัน

บางคนนาฬิกาชีวิตก็ทำงานสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก – นอนเร็ว ตื่นเช้า

บางคนนาฬิกาชีวิตก็ทำงานไม่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก – นอนดึก ตื่นสาย

เมื่อร่างกายเราทำงานไม่ประสานสอดคล้องกับอิทธิพลจากปัจจัยธรรมชาติต่างๆ เช่น แสงสว่าง ความมืด ระดับเสียง ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและอาหารการกิน ผลกระทบที่ตามมาจึงออกมาในรูปแบบความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพในอนาคต

“มนุษย์นอนดึก-ตื่นสายพยายามฝ่าฟันใช้ชีวิตอยู่บนโลกของมนุษย์นอนเร็ว ตื่นเช้า งานที่เรียกร้องให้พวกเขาต้องตื่นเช้า แต่พวกเขาต้องการที่จะกิน จะนอนช้ากว่าคนอื่น ความไม่สอดคล้องกันดังกล่าวจึงนำมาสู่ปัญหาสุขภาพในระยะยาวตามมา” คริสเตน นุตสัน (Kristen Knutson) ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นและผู้วิจัยร่วม อธิบาย

ทำไมมนุษย์นอนดึก-ตื่นสายถึงมีปัญหาทางสุขภาพมากกว่า?

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยกล่าวว่าพวกเขายังคงหาข้อสรุปชี้ชัดไม่ได้ว่าเพราะอะไรมนุษย์นอนดึก-ตื่นสายถึงมีปัญหาสุขภาพที่มากกว่ากลุ่มตรงข้าม ซึ่งนุตสันตั้งข้อสังเกตว่า

“อาจเป็นเพราะพฤติกรรมของมนุษย์นอนดึก-ตื่นสายที่ทำให้พวกเขามีนาฬิกาชีวภาพ (biological clock) ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในระยะยาว พฤติกรรมที่ว่าอาจเป็นความเครียด การกินผิดเวลา ออกกำลังกายไม่เพียงพอ การตื่นขึ้นมากลางดึก การใช้สารเสพติด ติดแอลกฮอลล์ ซึ่งพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อร่างกายต่างๆ เหล่านี้ล้วนสัมพันธ์กับกลุ่มที่นอนดึกตื่นสาย”

เปลี่ยนได้ไหม?

แล้วหากมนุษย์นอนดึกตื่นสายอยากปรับพฤติกรรมเป็นนอนเร็วตื่นเช้าล่ะทำได้ไหม นุตสันตอบว่า “อีกครึ่งหนึ่งอาจควบคุมไม่ได้ อีกครึ่งหนึ่งคุณอาจควบคุมได้” พร้อมเสนอว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทิศทางตรงข้ามควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ความพยายามจะนอนให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 2-3 ชั่วโมงในทันทีอาจเป็นไปไม่ได้ เพราะท้ายสุดแล้วคุณจะยอมแพ้ไปเอง ถ้าอยากนอนให้เร็วขึ้น วิธีการคือคงเวลานอนไว้ให้เหมือนเดิมแต่พยายามอย่านอนดึกไปมากกว่านั้นในวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุด เพราะจะยิ่งทำให้คุณนอนดึกขึ้นกว่าเดิม รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้งานหน้าจอ (screen time) ไมว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์หรือทีวี ก่อนนอน

มัลคอล์ม ฟอน ชานท์ซ (Malcolm von Schantz) ศาสตราจารย์ด้านวัฏฏะชีวภาพ (chronobiology) จากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ หนึ่งในผู้วิจัยให้ข้อแนะนำ

หากไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวได้ การปรับเวลาการทำงานก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์นอนดึกตื่นสายนั้นดีขึ้นได้เช่นกัน

แต่ถึงที่สุดแล้ว พวกเขาคาดหวังว่างานวิจัยชิ้นนี้จะช่วยทำให้มนุษย์นอนดึก-ตื่นสายตระหนักถึงความอันตรายของพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่พวกเขาทำในตอนกลางคืนว่าส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตขนาดไหน

อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปจากงานวิจัยชิ้นนี้ยังคงมีข้อจำกัดว่าด้วยช่วงอายุที่ห่างกันเกินไปในกลุ่มตัวอย่าง และการที่กลุ่มตัวอย่างสามารถเลือกที่จะตอบแบบสอบถามด้วยตัวเองว่า พวกเขาเป็นมนุษย์นอนดึก-ตื่นสายหรือมนุษย์นอนเร็ว-ตื่นเช้า

ดังนั้น การศึกษาชิ้นถัดไปของทีมวิจัยในอนาคตจึงจะเป็นการศึกษาว่ามนุษย์นอนดึก-ตื่นสายเมื่อปรับพฤติกรรมเป็นนอนเร็วตื่นเช้าได้สำเร็จ พวกเขาจะยังคงมีความเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพอยู่หรือไม่

“เรา ทีมวิจัยจำเป็นที่จะต้องหากลยุทธ์ที่ดีและช่วยบรรเทาความเสี่ยงต่อสุขภาพ และทำให้ (มนุษย์นอนดึก-ตื่นสาย) เข้าใจว่า ทำไมพวกเขาถึงมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาสุขภาพเป็นอันดับแรก” ฟอน ชานท์ซ กล่าว

คุณเป็นมนุษย์นอนดึก-ตื่นสาย หรือมนุษย์นอนเร็ว-ตื่นเช้า? เช็คได้ที่: cet-surveys.com

ที่มา:
theconversation.com
forbes.com/

คณะผู้ประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพลงพื้นที่ต่อเนื่อง 4 ภาค 13 องค์กร

คณะผู้ประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพลงพื้นที่เพื่อประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูง ต่อเนื่อง 4 ภาค รวม 13 องค์กร ระหว่างวันที่ 1-8 เมษายน 2561 ประกอบด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 องค์กร ภาคตะวันออก 2 องค์กร ภาคกลาง 2 องค์กร และภาคตะวันตก 5 องค์กร

ทั้งนี้คณะผู้ประเมินได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การนำหลักเกณฑ์องค์กรผู้บริโภคคุณภาพไปใช้ในการทำงาน และการพัฒนาองค์กรผู้บริโภค รวมทั้งกระบวนการประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ กับองค์กรผู้บริโภคที่มารับการประเมิน เพื่อนำไปสู่การพัฒนากระบวนการสร้างความเข้มแข็งขององค์กรผู้บริโภค และกระบวนการรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพต่อไป

ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดหนองบัวลำภู

 

สมาคมผู้บริโภคขอนแก่น
สมาคมผู้บริโภคร้อยเอ็ด
และ สมาคมเครือข่ายผู้บริโภคและสร้างเสริมสุขภาวะอำเภอเมืองบุรีรัมย์
สมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคภาคตะวันออก
และ สมาคมคนพิการจันทบูร
ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดปทุมธานี
และ ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดอ่างทอง
สมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจังหวัสมุทรสงคราม, สมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตก และ สมาคมปฏิรูปสื่อภาคประชาชนจังหวัดกาญจนบุรี
ศูนย์คุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภคจังหวัดราชบุรี
และ สมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

น้ำยาทำความสะอาด ทำร้ายปอดเท่าบุหรี่หนึ่งซอง

ขณะล้างห้องน้ำ ถูพื้น ใช้สเปรย์หรือน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ เรามักได้กลิ่นอะไรบางอย่างที่ชวนแสบจมูกเสมอ ซึ่งแน่นอนว่านั่นคือสารเคมีที่ฟุ้งกระจายออกมาปะปนในอากาศ และเมื่อหายใจเข้าลึกๆ สารเหล่านี้ก็จะสะสมและค่อยๆ ทำลายปอดทีละเล็กทีละน้อย

เพื่อหาผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวของสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยเบอร์เกน (University of Bergen) ในนอร์เวย์ ติดตามผลของตัวอย่างทดลองซึ่งมีอายุเฉลี่ย 34 ปี ในสถานที่ต่างๆ 22 แห่งทั่วโลกจำนวน 6,235 คน ที่ต้องทำงานกับสเปรย์หรือน้ำยาทำความสะอาดมายาวนานเกิน 20 ปี เช่น แม่บ้าน พนักงานทำความสะอาด ผลของการศึกษาชิ้นนี้เผยแพร่ใน American Journal of Respiratory and Critical Care Medicine (AJRCCM) ของสมาคมแพทย์โรคทรวงอกสหรัฐ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

การทดสอบการทำงานของปอดในงานวิจัยชิ้นนี้ทำโดยวัดปริมาตรของอากาศที่เป่าออกมาอย่างแรงในวินาทีที่ 1 (Forced Expiratory Volume in one second: FEV1) และปริมาตรของอากาศที่เป่าออกมาจนหมดหลังหายใจเข้าอย่างเต็มที่ (Forced Vital Capacity: FVC)

ผลที่ออกมาคือ ค่า FEV1 และ FVC ของผู้ใช้สารทำความสะอาดเป็นประจำลดลงมากกว่าความเสื่อมสมรรถภาพตามอายุขัยอย่างรวดเร็วราว 3.6 และ 4.3 มิลลิลิตรต่อปี โดยเฉพาะในผู้หญิงจะมี FEV1 ที่ 3.9 และ FVC 7.1 มิลลิลิตรต่อปี สูงกว่าผู้ชายในกลุ่มทดสอบ ซึ่งความเสื่อมของปอดระดับนี้เทียบเคียงได้กับการสูบบุหรี่วันละหนึ่งซองเป็นประจำ

“ขณะที่มีข้อมูลผลกระทบระยะสั้นของสารเคมีทำความสะอาดต่อโรคหอบหืดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราไม่มีความรู้เรื่องผลระยะยาว” เซซิล สวานส์ (Cecile Svanes) ศาสตราจารย์ผู้ทำวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบอร์เกนกล่าว และแนะนำว่า ควรเปลี่ยนมาใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์และน้ำธรรมดาแทนสเปรย์หรือน้ำยาทำความสะอาด

ออยส์ไตน์ สวานส์ (Øistein Svanes) นักศึกษาในทีมบอกว่า “เมื่อคุณหายใจรับบางส่วนของสารเคมีในน้ำยาทำความสะอาดเข้าไป คือมันทำความสะอาดพื้นจริง แต่ไม่ใช่ปอดคุณนะ ซึ่งบางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่”


อ้างอิงข้อมูลจาก:
newsweek.com
atsjournals.org
forbes.com

เป็ดยาง แดนสวรรค์ของแบคทีเรีย

เป็ดยางสีเหลือง – ของเล่นสุดฮิตในอ่างอาบน้ำที่เด็กๆ เอาใส่ปากบ้าง ไม่ก็บีบน้ำพ่นใส่หน้าพี่สาวน้องชายบ้าง แต่คุณคงอยากขว้างทิ้งเมื่อรู้ว่าภายใต้ความน่ารักเหล่านั้นคือสวรรค์ของเชื้อโรคมหาศาล

นักวิจัยชาวสวิตเซอร์แลนด์และอเมริกาพบว่า มีจุลินทรีย์แหวกว่ายอยู่ภายในเป็ดยางเหล่านั้น บางครั้งพอบีบก็จะเห็นของเหลวสีคล้ำ…พุ่งออกมา จากการทดสอบพบว่า เป็ดยาง 4 ใน 5 ตัวมี ‘แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคได้’ ปะปนอยู่ด้วย

บรรดาแบคทีเรียที่พบมีสายพันธุ์ลีเจียนเนลลา (Legionella) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจ และ ซูโดโมแนส แอรูจิโนซา (Pseudomonas Aeruginosa) ที่มีส่วนทำให้เกิดการติดเชื้อในโรงพยาบาลอยู่ด้วย สำหรับการติดเชื้อในโรงพยาบาลนั้น แม้ผู้ป่วยไม่เคยมีเชื้อมาก่อน ก็จะปรากฏอาการขณะที่อยู่ในโรงพยาบาลหรือออกจากโรงพยาบาลแล้ว

การวิจัยครั้งนี้เป็นผลงานของสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางน้ำประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งสหพันธ์สวิสในซูริค (ETH Zurich) และมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ (University of Illinois) ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารด้านจุลินทรีย์และไบโอฟิล์ม N.P.J. Biofilms and Microbiomes โดยทีมนักวิจัยกล่าวว่า นี่เป็นหนึ่งในการทดสอบที่เจาะลึกที่สุด

หลังผ่านการทดสอบนาน 11 สัปดาห์ นักวิจัยได้ผ่าดูด้านในของเป็ดยางและพบว่า มีแบคทีเรียและเชื้อราเติบโตอยู่บนพื้นผิวชั้นในถึง 75 ล้านเซลล์ต่อตารางเซนติเมตร!

“นอกจากนี้ น้ำอาบที่สกปรกก็ยังเป็นโอเอซิสที่ทำให้แบคทีเรียขยายตัวได้รวดเร็วในของเล่นระหว่างอาบน้ำได้” ทีมนักวิจัยบันทึกไว้ แม้ว่าแบคทีเรียจำนวนหนึ่งจะสามารถช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กๆ แต่พวกมันก็ยังอาจนำไปสู่การติดเชื้อในตา หู และลำไส้ได้ด้วย

“หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือวัสดุที่ใช้ในการผลิต เพราะพลาสติกโพลีเมอร์ทำปฏิกิริยากับน้ำประปาและปล่อยคาร์บอนออกมาเป็นอาหารของแบคทีเรียและเชื้อรา” ลิซา นอย (Lisa Neu) นักจุลชีววิทยาและหัวหน้าทีมผู้เขียนงานวิจัย กล่าว

การวิจัยครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในงานวิจัยเกี่ยวกับของใช้ในครัวเรือน โดยได้รับเงินทุนมาจากรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยได้กล่าวว่า การใช้โพลีเมอร์คุณภาพสูงอาจช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราได้

บรรดาของเหลวในร่างกาย เช่น ปัสสาวะ เหงื่อ รวมถึงสารปนเปื้อน แม้กระทั่งสบู่ ก็ยังสามารถเพิ่มไนโตรเจนและฟอสฟอรัสซึ่งเป็นอาหารให้แบคทีเรียได้

สำหรับเป็ดยางได้กลายเป็นของเล่นยามอาบน้ำของเด็กๆ มาหลายปี ในเว็บไซต์ Amazon.com แสดงให้เห็นว่า ‘ของเล่นเด็กยามอาบน้ำ’ ติด 1 ใน 10 สินค้าขายดีเสมอ

ทั้งนี้ เป็ดยางไม่ใช่ของใช้ในบ้านชิ้นเดียวที่ถูกพบว่าเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรีย จากผลการศึกษาในเยอรมนีเมื่อปี 2017 พบว่า ฟองน้ำในครัวก็เป็นเหมือนเตียงนุ่มๆ ของเชื้อโรค แบคทีเรียมากกว่า 350 สายพันธุ์ถูกพบในฟองน้ำล้างจานสกปรก 14 ชิ้นที่มาจากครัวเรือน

“นั่นเป็นความหนาแน่นของแบคทีเรียที่คุณสามารถพบได้ในอุปกรณ์ทั่วไปของมนุษย์” มาร์คุส อีแกร์ต (Markus Egert) นักจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยฟวร์ตวานเกน (Furtwangen University) ประเทศเยอรมนีกล่าว “อาจไม่มีที่อื่นบนโลกที่มีแบคทีเรียหนาแน่นขนาดนี้”

ผลการศึกษายังพบว่า การทำความสะอาดฟองน้ำอาจทำให้แย่ลงไปอีก เพราะแบคทีเรียก่อโรคมีโอกาสที่จะอยู่รอดและเพิ่มปริมาณเชื้อโรคมากขึ้น-แม้จะเอาใส่ไมโครเวฟก็ตาม

ของใกล้ตัวอีกชิ้นที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียคือโทรศัพท์มือถือ ขณะที่งานวิจัยต่างๆ ระบุจำนวนเชื้อโรคบนโทรศัพท์มือถือแตกต่างกันไป ชาร์ลส เกอร์บา (Charles Gerba) นักจุลชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา (Arizona State University) ค้นพบในปี 2012 ว่า โทรศัพท์มือถือทั่วไปมีปริมาณแบคทีเรียสูงกว่าฝารองนั่งชักโครกถึง 10 เท่า

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์เกอร์บากล่าวว่า ยังมีของหลายอย่างในบ้านที่สกปรกยิ่งกว่าฝารองนั่งชักโครก เช่น เขียง เป็นแหล่งรวมแบคทีเรียมากกว่าฝารองนั่งถึง 200 เท่า

อ้างอิงข้อมูลจาก:

โรคหัวใจสลาย: เมื่ออกหักไม่ยักตายไม่ใช่เรื่องจริง

สังเกตไหม ฉากใน MV เพลงอกหักส่วนใหญ่ (หรือจะในชีวิตจริงก็ได้) เมื่ออีกฝ่ายขอยุติความสัมพันธ์ คนที่ถูกเท นอกจากจะเสียใจร้องไห้ราวกับโลกกำลังแตกสลาย พวกเขามักกำมือไว้ที่หน้าอกพร้อมกับใบหน้าแสนเจ็บปวด ราวกับกำลังปิดบาดแผลจากคำพูดของคนบอกเลิกที่เหมือนแทงทะลุไปถึงหัวใจพวกเขาจริงๆ

หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเขาจะรู้สึกไม่อยากทำอะไร และไม่ว่าใครพูดอะไรก็จะไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น นอกจากอยากนอนเหี่ยวเฉาอยู่ในห้องคนเดียว ปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งกับความเศร้าให้ถึงที่สุด

โรนัลด์ เอ. อเล็กซานเดอร์ (Ronald A. Alexander) นักจิตบำบัดผู้เขียนหนังสือเรื่อง Wise Mind, Open Mind: Finding Purpose and Meaning in Times of Crisis, Loss, and Change. อธิบายกับสำนักข่าว HuffPost อย่างเข้าอกเข้าใจหัวอกคนถูกทิ้งว่า อาการเหล่านี้ไม่แปลก และไม่ใช่คุณคนเดียวที่รู้สึกอย่างนั้น เพราะไม่ว่าใครที่หัวใจสลายต่างก็มีอาการเช่นนั้น

“เวลาที่คุณหัวใจสลาย มันยากมากที่จะปิดกั้นความคิดตัวเอง ชัตดาวน์และพักผ่อน ความรู้สึกหดหู่ โศกเศร้าหรือร้องไห้ถือเป็นเรื่องปกติของอาการอกหักและนั่นยังส่งผลไปถึงอาการทางร่างกายอีกด้วย” อเล็กซานเดอร์กล่าว

อกหักตายได้ไหม

แม้อกหักจะเป็นคำที่บัญญัติให้เป็นคำศัพท์ทางอารมณ์ แต่ความจริงคือ ‘อกหัก’ สัมพันธ์และก่อให้เกิดอาการทางร่างกายเช่นกัน

“มันน่าเสียดายที่อาการทางร่างกายจากการอกหักมักถูกมองข้าม” อเล็กซานเดอร์กล่าว

ระยะแรกของอาการทางร่างกายคือ อาการนอนไม่หลับ เพราะความเครียดจากอาการอกหักนั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางชีวภาพ (biological process) ที่ช่วยให้คุณรู้สึกง่วงเมื่อหมดวัน

ต่อมาคือ ความเครียดที่รุนแรง โดยอเล็กซานเดอร์อธิบายว่า ความเครียดและการเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นจังหวะหัวใจนั้นสัมพันธ์กับอาการอกหักเป็นอย่างดี

สอดคล้องกับงานของ นิกกี สแตมป์ (Nikki Stamp) ศัลยแพทย์หัวใจจากประเทศออสเตรเลียผู้เขียนหนังสือ Can you Die of a Broken Heart? ที่อธิบายกับสำนักข่าว ABC News ออสเตรเลีย ว่า อาการอกหักส่งผลให้เกิดการเพิ่มของอัตราจังหวะการเต้นหัวใจ รวมถึงความดัน ซึ่งส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เลือดมีความเข้มข้นและไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน (immune system)

อย่างไรก็ตาม อกหักอาจไม่ถึงตายหากสามารถทำใจให้เข้มแข็งและปล่อยผ่านความเศร้าให้หลุดออกจากตัวเองได้

โรคหัวใจสลาย (Broken heart syndrome)

ส่วนคนที่เสียใจอย่างหนักจนไม่อาจทำใจให้เข้มแข็ง พวกเขาบางคนอาจเข้าข่าย Broken heart syndrome หรือที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 1990 ว่า Takotsubo cardiomyopathy  (ปัจจุบันในไทยยังไม่มีการบัญญัติชื่อโรคดังกล่าวที่แน่นอน) อาการของโรคนี้คือ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ หน้ามืด แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราว

สาเหตุของ Broken heart syndrome ไม่จำเป็นต้องมาจากการสูญเสียคนรักอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงเหตุการณ์ความเครียดทางกายและอารมณ์อย่างรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการได้รับฟังข่าวร้าย การทะเลาะกันอย่างรุนแรง ความเครียดที่มีมาเป็นเวลานานหรือความผิดหวังอย่างรุนแรงซึ่งไม่อาจทำใจได้

ยิ่งไปกว่านั้น โรคดังกล่าวไม่ใช่เกิดขึ้นกันได้ง่ายๆ และไม่ใช่ทุกคนเป็นแล้วต้องจบที่การเสียชีวิต เฉพาะบางคนที่โศกเศร้าเสียใจอย่างหนักและไม่อาจทำใจได้เท่านั้น ซึ่งอาจนำมาสู่อาการคล้ายกับโรคหัวใจขาดเลือดกะทันหัน โดยสแตมป์อธิบายว่า

สิ่งที่เรารู้คือ เมื่อคนบางคนมีความเครียดจากการสูญเสียคนที่รักหรือเหตุการณ์บางอย่างที่ส่งผลให้เกิดความเครียดในชีวิตก่อให้เกิดปฏิกิริยาทั้งต่อร่างกายและจิตใจที่อาจทำให้เกิดโรคได้ และบางครั้งอาจถึงขั้นเสียชีวิต

ด้าน ฮาร์โมนี เรย์โนลด์ส (Harmony Reynolds) แพทย์โรคหัวใจ จากศูนย์แพทย์แลงโกน แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค (New York University Langone Medical Center) อธิบายกับสำนักข่าว HuffPost ว่า จากประสบการณ์การทำงานของเขานั้นเคยตรวจพบผู้ที่มาโรงพยาบาลด้วยอาการลักษณะเหมือนโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน แต่วินิจฉัยออกมาว่าเป็น Broken heart syndrome แค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

น่าสนใจขึ้นไปอีก จากการศึกษาโรคดังกล่าวมากว่า 20 ปี เรย์โนลด์สพบว่า ผู้ที่สุ่มเสี่ยงเป็น Broken heart syndrome ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่หมดลงส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทนต่อฮอร์โมนความเครียด (stress hormone) ได้น้อย

“กลุ่มอาการโรคดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างน้อยกับผู้ป่วย 6,000 รายเป็นประจำทุกปีในสหรัฐอเมริกา และมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยเป็นผู้หญิงที่หมดประจำเดือน”

ขอย้ำกันอีกครั้ง อาการของ Broken heart syndrome ไม่ใช่ว่าจะเป็นกันได้ง่ายทุกคน และทุกคนที่เป็นก็ไม่จำเป็นต้องเสียชีวิต

จัดการกับอาการหัวใจสลายอย่างไร

น่าเสียดายที่โรคดังกล่าวไม่ใช่จะรักษากันง่ายๆ และไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะทาง โดยข้อมูลจากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าการรักษามักเป็นแบบประคับประคองไปเรื่อยๆ แล้วอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-8 สัปดาห์

สำหรับคนที่รู้สึกว่าตัวเองเข้าข่าย Broken heart syndrome จินีน โรมาเนลลี (Jeanine Romanelli) แพทย์โรคหัวใจจากศูนย์แพทย์แลงเคเนา (Lankenau Medical Center) รัฐเพนซิลเวเนีย เสนอแนวทางแสนพื้นฐานในการรักษาใจตัวเองว่า

“การจัดการกับอาการดังกล่าวด้วยการทำกิจกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ดื่มเหล้าหรือกินอาหารเยอะๆ มีแต่ยิ่งทำให้หัวใจสุ่มเสี่ยงมากกว่าเดิม ดังนั้นควรที่จะหันมาทำกิจกรรมที่ช่วยจัดการกับความเครียด เช่น การนั่งสมาธิ โยคะ หลบหนีออกจากโลกโซเชียลมีเดีย พบปะเพื่อนฝูงหรืออ่านหนังสือก็ช่วยได้”

สอดคล้องกับอเล็กซานเดอร์ที่แนะนำว่า ให้โทรหาเพื่อนสนิท รับฟังคำปรึกษาหรือออกไปเดินเล่น

ลองมองดูแม่น้ำที่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะตระหนักได้เองว่า ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมได้ตลอดไป เช่นเดียวกับอาการหัวใจสลาย คุณอาจรู้สึกเศร้าโศกแต่จำไว้ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป


ที่มา:
abc.net.au
huffingtonpost.com.au
mahidol.ac.th

ดูคอนเสิร์ตบ่อย ชีวิตยิ่งยืนยาว

ถ้าเคยรู้สึกฟินสุดๆ ตอนดูคอนเสิร์ต ก็อาจได้ฟินต่อไปอีกนานหลายปี เพราะมีงานวิจัยออกมาแล้วว่า การดูคอนเสิร์ตบ่อยๆ ทำให้อายุยืนยาวขึ้นได้

ผลการวิจัยใหม่ที่ โอทู (O2) ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ไร้สายของอังกฤษ และมีสถานที่จัดคอนเสิร์ตหลายแห่งทั่วประเทศ (The O2 Arena, O2 Academy) จับมือกับ แพทริค เฟแกน (Patrick Fagan) รองศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยโกลด์สมิธ กรุงลอนดอน (Goldsmiths, University of London) ได้ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการไปดูคอนเสิร์ตเป็นประจำกับอายุที่ยืนยาวขึ้น

งานวิจัยชิ้นนี้อ้างอิงจากการทดสอบทางจิตวิทยาและจังหวะการเต้นของหัวใจภายในขอบเขตของกิจกรรมเพื่อสุขภาพหลายอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่มีผลออกมาในทิศทางเดียวกัน ว่ามีความสัมพันธ์กับ ‘ความยืนยาว’ ของอายุ

แค่ไปดูคอนเสิร์ต 20 นาทีก็ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ถึง 21 เปอร์เซ็นต์ และการไปคอนเสิร์ตอย่างน้อยสองสัปดาห์ต่อครั้งจะช่วยให้มีอัตราความสุข ความพอใจ ความมีประสิทธิภาพ และความเชื่อมั่นในตัวเองอยู่ในระดับสูงสุด มีอายุยืนขึ้นไปอีกเก้าปี

นอกจากนี้ ระหว่างการดูคอนเสิร์ตยังทำให้รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองเพิ่มขึ้นอีก 25 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มความรู้สึกใกล้ชิดกับคนอื่นๆ 25 เปอร์เซ็นต์ และจิตใจได้รับการกระตุ้น (mental stimulation) มากขึ้นถึง 75 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกโยคะและการพาสุนัขออกไปเดินเล่น การฝึกโยคะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการเดินเล่นกับสุนัขอยู่ที่ 7 เปอร์เซ็นต์

“ผลการวิจัยของเราได้แสดงให้เห็นถึงผลจากการดูดนตรีสดต่อความรู้สึกด้านสุขภาพ ความสุข และความเป็นอยู่ที่ดี โดยกุญแจสำคัญอยู่ที่ความถี่ในการเข้าร่วม” เฟแกนบอก

รายงานผลการวิจัยยังระบุว่า “2 ใน 3 หรือ 67 เปอร์เซ็นต์ของชาวอังกฤษที่ร่วมการสำรวจครั้งนี้บอกว่า ประสบการณ์ชมดนตรีสดทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขมากกว่าฟังเพลงอยู่ที่บ้าน แสดงให้เห็นว่า การแบ่งปันประสบการณ์เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้สุขภาพดีขึ้น”

นีนา บิบบี (Nina Bibby) ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของ โอทู กล่าวว่า “เราทั้งหมดต่างรู้ว่า เวลาได้เห็นวงดนตรีหรือศิลปินที่เราชื่นชมกำลังแสดงสดทำให้รู้สึกดีแค่ไหน แต่เมื่อก่อนเป็นเพียงความรู้สึกลอยๆ ตอนนี้เรามีข้อพิสูจน์แล้ว แม้หลายคนจะไม่สามารถมีประสบการณ์แบบนี้ได้บ่อยๆ แต่ลูกค้าของ โอทู ต่างก็ได้เข้าชมคอนเสิร์ตสดๆ ถึงกว่า 5,000 รายการ ใน 350 แห่งทั่วประเทศทุกปี”

ก่อนหน้านี้เคยมีผลงานที่คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิสซูรี (Missouri State University) ได้ตีพิมพ์ผลงานในวารสาร The Journal of Positive Psychology ระบุว่า ดนตรีที่สนุกสนานมันส์ๆ มีผลด้านบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อสุขภาพที่ดี

“ผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้เรา (เฟแกนและโอทู) ได้ร่วมกำหนดตารางคอนเสิร์ตเป็นรายสองสัปดาห์ ซึ่งอาจเป็นแนวทางให้ชีวิตของหลายๆ คนยืนยาวออกไปได้อีกเกือบสิบปี” เฟแกนอธิบาย

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้นำโดย โอทู บริษัทที่เป็นเจ้าของ O2 Arena สถานที่จัดคอนเสิร์ตทั่วสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่ปี 2007 โอทู มีผู้เข้าชมมาแล้วกว่า 60 ล้านคน และขายบัตรได้ 20 ล้านใบ มีสถานที่สำหรับจัดงานใหญ่ๆ 19 แห่งใน 13 เมืองทั่วสหราชอาณาจักร

ในแต่ละปีลูกค้าของ โอทู สามารถซื้อบัตรเข้าชมได้มากกว่า 5,000 การแสดงในสถานที่จัดงาน 350 แห่งทั่วประเทศ ผ่านการซื้อบัตรล่วงหน้า ในช่วงหกปีที่ผ่านมา โอทู ได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่จัดงานด้านบันเทิงที่ดีที่สุดในโลก

แม้จะเปิดใช้งานเพียงปีละ 200 วันหรือประมาณเจ็ดเดือน แต่ในปี 2007 สถานที่จัดงานของ โอทู ก็ขายบัตรได้มากกว่า 1.2 ล้านใบ ทำให้ติดอันดับสามของสถานที่จัดคอนเสิร์ตที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก รวมถึงการแสดงสำหรับครอบครัว ตามหลังก็เพียงแค่ Manchester Arena กับจำนวนยอดขายบัตรในปีเดียวกัน 1.25 ล้านใบ และ Madison Square Garden ในนิวยอร์ค ที่ขายบัตรไปได้ 1.23 ล้านใบ

นอกจากนี้ ในปี 2015 O2 Arena ยังเป็นสถานที่จัดแสดงดนตรีที่มีคิวแน่นที่สุดในโลก จากยอดการขายบัตรได้ทั้งหมดเกือบสองล้านใบ

และหลังจากที่ดนตรีได้รับการพิสูจน์ว่า มีผลอย่างน่าอัศจรรย์ต่อความสุขและการมีชีวิตอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ฤดูแห่งเทศกาลดนตรีก็กำลังใกล้เข้ามา…


อ้างอิงข้อมูลจาก:
news.o2.co.uk
independent.co.uk

‘จุลินทรีย์ในมนุษย์’ คีย์เวิร์ดสำคัญของทุกความป่วยไข้

จุลินทรีย์ในร่างกายมนุษย์ไม่ใช่แค่ทำให้เราถ่ายท้องดีขึ้น แต่คือตัวการบอกว่าสุขภาพร่างกายเราเป็นแบบไหน โรคอ้วน, การตอบรับวัคซีน HIV ในผู้หญิง, ภูมิคุ้มกันเด็ก, ภาวะออทิสซึม และความกังวล

และล่าสุดคือ จุลินทรีย์อาจถูกใช้เพื่อสร้างพัฒนาการการรักษาความป่วยไข้ทางจิตใจสมัยใหม่

“ในร่างกายมนุษย์ มีเซลล์จำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านล้านเซลล์ หากความเป็นจริงแล้วเซลล์มนุษย์เป็นเพียง 1 ใน 10 ส่วนของจำนวนเซลล์ทั้งหมดที่มีอยู่ในร่างกาย อีก 9 ส่วนที่เหลือคือจำนวนเซลล์ของจุลินทรีย์ที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย” ซึ่งจุลินทรีย์ทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายนี้ รวมเรียกว่า ไมโครไบโอต้า (microbiota)

คือคำอธิบายของ ดร.ผกากรอง วนไพศาล ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในบทความเรื่อง ไมโครไบโอต้า จุลินทรีย์ที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด

คล้ายกันกับคำอธิบายของ จอห์น ไครอัน (John Cryan) ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยา (neuropharmacologist) และผู้เชี่ยวชาญด้านไมโครไบโอม (microbiome) หรือการศึกษายีนของจุลินทรีย์ทั้งหมดในร่างกายมนุษย์ มหาวิทยาลัยคอลเลจ คอร์ค (University College Cork) กล่าวไว้ว่า

เรามักคิดว่ามนุษย์ดำรงอยู่ได้ก็เพราะเซลล์มนุษย์ (human cell) และยีน แต่จริงๆ แล้วไมโครไบโอต้าต่างหาก สำคัญที่สุด

“พัฒนาการของมนุษย์และระบบการทำงานในร่างกายทุกระบบล้วนถูกพัฒนา หรือร่วมกันพัฒนากับไมโครไบโอต้าทั้งสิ้น” ไครอันกล่าว

ไมโครไบโอต้า จุลินทรีย์ทุกชนิดในร่างกาย คืออะไร สำคัญอย่างไร?

ผู้เขียนอาจเป็นคนเดียวที่คิดว่า ชีวิตมนุษย์กับจุลินทรีย์มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรงกับ โยเกิร์ต กิมจิ ซาวเคราท์ (sauerkraut) หรือกะหล่ำปลีเปรี้ยว แกงส้ม เมนูที่นึกขึ้นได้เมื่ออยากถ่ายท้อง ซึ่งไม่ผิดนะคะ แต่ถูกต้องแค่ส่วนหนึ่ง

บทความเรื่อง The Human Microbiome: why our microbes could be key to our health (การศึกษาไมโครไบโอต้า: ทำไมจุลินทรีย์จึงดีต่อสุขภาพของเรา) อธิบายว่า จุลินทรีย์ทุกชนิดในร่างกายมนุษย์ ทั้งจุลินทรีย์ แบคทีเรีย อาร์เคีย* และไวรัส รวมเรียกว่า ไมโครไบโอต้า

จุลินทรีย์เหล่านี้พบได้ในร่างกายมนุษย์ทั้งในและนอกร่างกาย ตั้งแต่ช่องท้อง ช่องหู ช่องคลอด ระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง และอื่นๆ เมื่อรวมกันแล้วจุลินทรีย์มีจำนวนเซลล์มากกว่าเซลล์มนุษย์เสียอีก (แต่เดิมพบว่าสัดส่วนระหว่างจุลินทรีย์กับเซลล์มนุษย์ คือ 1:10 แต่งานวิจัยใหม่ ‘คาดว่า’ อยู่ที่ 3.1:1 ตัวเลขนี้นับเฉพาะจุลินทรีย์ ไม่รวมไวรัส และวิริออน (virion ไวรัสมีส่วนประกอบครบสมบูรณ์)

ความสำคัญของมันคือ มันเป็นเหตุเป็นผล เป็นพัฒนาการของร่างกายแทบทุกจังหวะของมนุษย์ ไล่ตั้งแต่…

1. อยู่ในท้องแม่

ดร.ผกากรอง ชี้ว่า “ไมโครไบโอต้าตั้งต้นที่อาศัยในร่างกายเรานั้นได้ส่งผ่านจากแม่มาสู่ทารก โดยจุลินทรีย์ที่อยู่ในระบบทางเดินทางอาหาร ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะ รวมทั้งผิวหนังของทารกได้รับจากแม่ทั้งก่อนและหลังคลอด”

ขณะที่ไครอันชี้ว่า เด็กที่คลอดด้วยวิธีธรรมชาติ จะได้ไมโครไบโอต้าตั้งต้นผ่านทางอวัยวะเพศของแม่ เรื่องนี้จริงจังขนาดที่ว่า มีงานวิจัยสองชิ้นออกมาตีโต้กัน ฝ่ายหนึ่งชี้ว่ามีทางเลือกสำหรับคุณแม่ที่ผ่าคลอด ใช้แบคทีเรียจากช่องคลอดคุณแม่ป้ายไปที่ผิวหนัง เปลือกตา แตะที่ปากเพื่อให้แบคทีเรียนั้นเข้าสู่ร่างกายของลูกได้ วิธีนี้เรียกว่า ‘vaginal seeding’ ขณะที่คุณหมออีกกลุ่มหนึ่งชี้ว่า มีหลักฐานน้อยมากยืนยันว่า vaginal seeding จะได้ผล และเตือนว่ามันอาจจะอันตรายต่อเด็กมากขึ้นไปอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่อ้างในงานวิจัยทั่วไประบุคล้ายกันว่า ‘ภูมิคุ้มกัน’ ของลูก ก็คือแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จากแม่

2. เงื่อนไขสู่ภาวะออทิสซึม ความกังวล โรคอ้วน โรคเบาหวาน การตอบรับวัคซีน HIV ในผู้หญิง

งานวิจัยสมัยใหม่จำนวนหนึ่งชี้ว่า จุลินทรีย์ในลำไส้ มีผลต่อโรคภัย ปัจจัยที่จะพัฒนาตัวโรค หรือการตอบสนองของร่างกายต่อยา เช่นการตอบสนองของผู้ป่วยมะเร็งต่อยาที่ใช้รักษา

ปัจจุบันยังเป็นที่ศึกษาและนับเป็นหัวข้อวิจัยที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เงื่อนไขและการตอบสนองของจุลินทรีย์ในลำไส้ มีผลต่อการพัฒนาโรค เช่น จากโรคเบาหวานสู่ภาวะออทิสซึม จากความกังวลใจสู่การเป็นโรคอ้วน หรือไม่

  • เฉพาะเรื่องความอ้วน ความสัมพันธ์ก็คือ จุลินทรีย์หรือแบคทีเรียในท้องมีผลต่อการผลิตแก๊ส ประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหาร ระบบภูมิคุ้มกันและการติดเชื้อ
  • เฉพาะเรื่องอารมณ์ คำอธิบายคือ จริงๆ แล้วอารมณ์เกี่ยวข้องกับหลายเรื่อง แต่ส่วนที่เกี่ยวพันกับจุลินทรีย์ในลำไส้คือ ประสาทเวกัส (vegus nerve) หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 เปรียบได้ว่าคือทางเชื่อมจากสมองสู่ร่างกาย รับความรู้สึกจากลำคอ กล่องเสียง ช่องอก และช่องท้อง รวมถึงลำไส้ด้วย

ข้อเท็จจริงเรื่องจุลินทรีย์และอารมณ์นำไปสู่การพัฒนาการรักษาทางจิตวิทยาแนวใหม่ อย่างที่ไครอัน อธิบายว่า “psychobiotic (จิตวิทยาว่าด้วยความรู้ด้านจุลินทรีย์) คือแนวคิดที่กำลังศึกษาอยู่ เป้าหมายคือการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจุลินทรีย์กับสมอง”

นอกจากนี้ยังมี งานวิจัยกับผู้หญิงแอฟริกาใต้ เรื่อง ประเภทแบคทีเรียในอวัยวะเพศหญิง ลดการตอบรับหรือตอบสนองต่อวัคซีน HIV ด้วย

แล้วเราจะดูแลจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกายเราได้อย่างไร

ก่อนจะว่าด้วยเรื่องของการทะนุถนอมแบคทีเรียในร่างกาย ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก่อนว่า ไมโครไบโอต้าที่กล่าวไปทั้งหมดมีทั้งชนิดรวมพลังกันแล้วรอด และชนิดรวมหมู่อาจทำให้คนเกือบตาย เพียงแต่วงการแพทย์ปัจจุบันเล็งเห็นความสำคัญของเจ้าจุลินทรีย์และแบคทีเรียนี้ในฐานะต้นเหตุของปัญหา และข้อดีในฐานการพัฒนาตัวยา

แต่สำหรับการใช้ชีวิตของมนุษย์ทั่วไป ไครอันยืนยันว่ามันก็คือการรักษาสมดุลอาจมีเสริมและพูดถึงเรื่อง ‘พรีไบโอติก’ (prebiotic) และโพรไบโอติก (probiotic) กล่าวพรีไบโอติกคือสารอาหารที่ลำไส้ (เซลล์มนุษย์) ย่อยไม่ได้ แต่จะถูกย่อยโดยแบคทีเรียในท้อง เช่น แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส หรือจุลินทรีย์สายพันธุ์ Bifidobacterium ด้วยการกระตุ้นการทำงานและการเจริญของจุลินทรีย์โพรไบโอติก

หรือกล่าวได้ว่า การกินโยเกิร์ต นมเปรี้ยว กิมจิ ที่มีแบคทีเรียประเภทนี้เป็นตัวเลือกที่คิดได้เร็วๆ และใกล้ตัว

ทิม สเปคเตอร์ (Tim Spector) ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาพันธุศาสตร์ (genetic epidemiology) แห่งราชวิทยาลัยแห่งลอนดอน (King’s College London) และผู้เขียน The Diet Myth: The real science behind what we eat  ให้คำแนะนำว่า

“แต่มันก็ยังไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าคุณต้องกินแต่โยเกิร์ต หรืออาหารจากกระบวนการหมักหรือดองเท่านั้นจึงจะดี แต่เป็นเรื่องจริงที่ว่าการปล่อยให้ท้องได้รับแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์พวกนี้บ้างเป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่ธรรมชาติของท้องไส้หรือการตอบสนองต่อจุลินทรีย์ในท้องแต่ละคน

“อย่างไรก็ขอให้นึกถึงอาหารที่มีไฟเบอร์ และคำนึงถึงอาหารที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารแต่ละวัน”


*อาร์เคีย คือโพรคาริโอต (prokaryote-เซลล์ไม่มีนิวเคลียส) ที่มีรูปร่างและขนาดคล้ายแบคทีเรีย ในระยะแรก นักวิทยาศาสตร์จัดให้อยู่ในกลุ่มแบคทีเรีย โดยเรียกชื่อสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ว่า ‘อาร์เคียแบคทีเรีย’ (archaea) แต่เมื่อศึกษาสมบัติต่างๆ ของเซลล์เพิ่มขึ้นพบว่าอาร์เคียมีสมบัติบางประการแตกต่างจากแบคทีเรียและมีความคล้ายกับยูคาริโอต จึงตั้งเป็นกลุ่มใหม่เรียกว่า อาร์เคีย
ที่มา:
pharmacy.mahidol.ac.th
theguardian.com
theguardian.com 2
bbc.com
biology.ipst.ac.th
www.sciencedaily.com

 

คณะผู้ประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพลงพื้นที่ประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูง 5 องค์กรภาคเหนือ

คณะผู้ประเมินฯลงพื้นทีประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพภาคเหนือ

แผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ  ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) ภายใต้ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำ “หลักเกณฑ์การพิจารณาองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ” ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการพัฒนาองค์กรและเพื่อสร้างความเข้มแข็งของการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน และมีองค์กรผู้บริโภคให้ความสนใจสมัครเพื่อขอรับรองเป็นองค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูงจำนวนมาก

ในระหว่างวันที่ 24 – 25 มีนาคม 2561 คณะผู้ประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ จึงเดินทางลงพื้นที่เพื่อประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูง ในพื้นที่ภาคเหนือ 5 องค์กรที่ขอรับการประเมินเพื่อรับรองเป็นองค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูง คือ 1) สมาคมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา จ.เชียงราย 2) มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา 3) เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ จ.ลำปาง 4) มูลนิธิพัฒนาเครือข่ายเอดส์ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ และ 5) เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์จังหวัดลำพูน ซึ่งคณะผู้ประเมินจะดำเนินการสรุปผลการประเมินและประกาศผลภายในเดือนพฤษภาคม 2561

สมาคมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา
มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ จ.ลำปาง
มูลนิธิพัฒนาเครือข่ายเอดส์ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ และ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์จังหวัดลำพูน