
วันที่ 19 พ.ค. 2560
ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่ จัดการอบรมโครงการขับเคลื่อนเครือข่ายวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคระดับจังหวัดแพร่ ณโรงแรมแพร่นครา จังหวัดแพร่ โดยมีเจ้าหน้าที่ รพ.สต. รพช. สสอ. สสจ. และอสม.ตำบลละ 2 คน รวมทั้งสิ้น 338 คน ใน 8 อำเภอโดยมีนายแพทย์ทศเทพ บุญทอง นายแพทย์สสจ.แพร่ เป็นประธานเปิดงาน



มีการบรรยายอันตรายของผลิตภัณฑ์สุขภาพ การจัดการสุขภาพด้วยหน้าต่างแจ้งเตือนภัย และการใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย 4 ชุด ได้แก่สารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง และสารเสตียรอยด์)
ภาคฝึกปฏิบัติแยกกลุ่มอสม.ฝึกปฏิบัติการใช้ชุดทดสอบ(มี อสม.นักวิทย์ชุมชน สอน.แม่จั๊วะ เป็นครูพี่เลี้ยง) กลุ่มจนท.สธ.ใช้ฐานข้อมูลจากหน้าต่างเตือนภัยสุขภาพ และการจัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนภัยฯในพื้นที่
รวมทั้งมีการลงทะเบียนใช้หน้าต่างแจ้งเตือนภัยถึง 113หน่วยงาน(ร้อยละ94.9)
การประเมินผลความรู้ก่อน-หลังการอบรมผ่านแบบประเมินonline พบว่าก่อนการอบรมมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ที่ร้อยละ 73.33(ตอบแบบประเมิน302คน) หลังการอบรมพบว่ามีค่าเฉลี่ยคะแนนเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 86.67(ตอบแบบประเมิน315คน)
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่ ได้สื่อสารและแลกเปลี่ยนประเด็นปัญหาเครื่องสำอางปลอมเลขจดแจ้งและผสมสารห้ามใช้ รวมทั้งการจัดการปัญหายาน้ำแผนโบราณปนปลอมสารเสตียรอยด์เช่นตราเทพธิดา, ตราพิกุลทอง โดยเครือข่ายสสจ. สสอ. รพช. รวมกับชุมชน และตรวจด้วยชุดทดสอบให้ชาวบ้านได้เห็นและแก้ไขปัญหาร่วมกัน

วันที่ 25 พ.ค. 2560
ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน จัดการอบรมโครงการขับเคลื่อนเครือข่ายวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคระดับจังหวัดน่าน ณโรงแรมเทวราช จ.น่าน โดยมีเจ้าหน้าที่ รพ.สต. รพช. สสอ. สสจ. และอสม.ตำบลละ 2 คน รวมทั้งสิ้น 424 คน โดยมีนายแพทย์นิพนธ์ พัฒนกิจเรือง นายแพทย์สสจ.น่าน เป็นประธานเปิดงาน และผอ.วิชัย ปราสาททอง ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่1/1เชียงราย กล่าวรายงานโครงการ และมอบชุดทดสอบให้แก่นายแพทย์สสจ.น่าน
มีการบรรยายอันตรายของผลิตภัณฑ์สุขภาพ การจัดการสุขภาพด้วยหน้าต่างแจ้งเตือนภัย และการใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย 4 ชุด ได้แก่สารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง และสารเสตียรอยด์)
ภาคฝึกปฏิบัติแยกกลุ่มอสม.ฝึกปฏิบัติการใช้ชุดทดสอบ(มี อสม.นักวิทย์ชุมชน สอน.สถาน อ.นาน้อย เป็นครูพี่เลี้ยง) กลุ่มจนท.สธ.ใช้ฐานข้อมูลจากหน้าต่างเตือนภัยสุขภาพ และการจัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนภัยฯในพื้นที่
รวมทั้งมีการลงทะเบียนใช้หน้าต่างแจ้งเตือนภัยถึง 130 หน่วยงาน
การประเมินผลความรู้ก่อน-หลังการอบรมผ่านแบบประเมินonlineพบว่าก่อนการอบรมมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ที่ร้อยละ 73.33 (ตอบแบบประเมิน333คน) หลังการอบรมพบว่ามีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 93.33 (ตอบแบบประเมิน 326คน)
นอกจากนี้ยังมีการเเลกเปลี่ยนเรียนรู้จากอสม.ดีเด่นด้านคบส.ระดับภาค อสม.จุฑาทิพย์ วิไชยยา ต.เมืองจัง อ.ภูเพียง มาเล่าประสบการณ์ในการดำเนินงานคบส.โดยมีจุดเด่นในการขับเคลื่อนงานร่วมกับภาคีเครือข่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในทีมคบส.ร่วมตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยด้วย และ อสม.นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน อสม.สุธารส ทาเสน จาก สอน.สถาน อ.นาน้อย มาเเลกเปลี่ยนการทำงานคบส.ในการเฝ้าระวังสินค้าในชุมชน รวมถึงการค้นหาผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ปลอมปนสารเสตียรอยด์ในพื้นที่ รวมทั้งการขยาย อสม.นักวิทย์ ไปยัง อย.น้อย.นักวิทย์ด้วย

นพ วันชัย เหล่าเสถียรกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ บรรยายในการ อบรมโครงการขับเคลื่อนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเชี่ยวชาญงานคุ้มครองผู้บริโภคสู่นักวิทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค วันที่ 24 พฤษภาคม 2560 ณ ห้องศรีลำดวนหนึ่ง โรงแรมศรีลำดวน จังหวัดศรีสะเกษ จัดโดย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 อุบลราชธานี และศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนี้
” การที่จะให้ประชาชนทุกคนรู้ปัญหาจากสินค้าต่างๆ ไม่สามารถทำได้ จึงต้องการตัวแทนมาช่วย ทั้งอาหารที่ขายในโรงเรียน รถพุ่มพวง ตลาดนัด
รถเร่ หลายรายแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ โทรไปตามเบอร์ก็ไม่มีจริง
อสม จึงเป็นตัวแทนสำคัญที่สื่อสารกับชุมชน หมู่บ้าน ในเรื่องภัยสุขภาพ
เรื่องการบริโภค ให้ชุมชนตระหนัก
เอาปัญหาไปพูดคุยกับชุมชน ต้อง
สื่อสารหาคนมาร่วมงาน ทำคนเดียวจะเหนื่อย อาหารที่มาขายใน รร
อย น้อย เจอ บอกครูให้แก้ปัญหา
อสม รู้ปัญหาจากชุดทดสอบ
ถ้าฉลากปลอม ไม่มีแหล่งผลิต
เราไปบอกคนขายเองอาจไม่ดี
บอก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต
เราจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้าเอง

หากมึรถขายของไม่ดี ช่วยกันส่งข่าวบอกกัน การจะทำให้คนในชุมชนสุขภาพดี ต้องบอกท้องถิ่น ท้องถิ่นจะได้รู้และเข้าไปดูแล
อสม รู้เรื่องในชุมชนเป็นอย่างดี
ทราบจำนวนเด็ก จำนวน ผู้ป่วยติดเตียง เรามีหน้าที่สื่อสารเรื่องชุมชน
เป็นตัวแทนที่แท้จริงของชุมชน
การคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้เราเท่าทันเพื่อความปลอดภัย เป็นหูเป็นตาเพื่อเพื่อนบ้าน เป็นสื่อ เฝ้าระวังสิ่งไม่ดีไม่มีคุณภาพ บอกเตือนภัยสุขภาพ
ทั้งอาหารปลอม ยาปลอม
เทคโนโลยีก็สำคัญ เอาโทรศัพท์มาช่วยถ่ายรูปรถเร่ขายของไม่ดี มาสื่อสารไลน์ถึงกัน
เดี๋ยวนี้หลอกกันมาก อ้างว่ายานี้อาหารเสริมนี้ทรักษาคนหายคนเดียว ก็เอามาโฆษณา กินยานี้ ราคาขวดละ ๑๒๐๐ บาทแล้วหาย เป็นไปได้อย่างไร อสม ต้องมาช่วยกันเตือนพี่น้องในขุมขน
อสม จึงมีบทบาทเมื่อมีภัย สงสัยว่าไม่ปลอดภัย มีบทบาทเฝ้าระวัง สื่อสาร
ประสานเชื่อมโยงเครือข่าย แก้ปัญหาร่วมกันดำเนินการให้สำเร็จ
โดยสรุป อสม เป็นเครือข่ายที่สำคัญในชุมชนอยู่ใกล้ชิดกับชุมชน สามารถเฝ้าระวังปัญหาในชุมชนได้ดี เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็จะป้องกันชุมชน ทำให้เกิดความยั่งยืนในการคุ้มครองผู้บริโภค”
คคส. เปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ การเขียนข่าว บทความและการเขียนข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ เพื่อติดอาวุธด้านความรู้ให้กับเครือข่ายรู้หลักการเขียนข่าวในรูปแบบต่างๆ โดยมีมือาชีพวงการข่าวมาเป็นวิทยากรให้ความรู้
คณะทำงาน แผนงานพัฒนาวิชาการและกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) จัดโครงการ อบรมเชิงปฏิบัติการ “การเขียนข่าว บทความ และการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์” ขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพด้านการนำเสนอข่าวสารให้กับเครือข่าย คคส. ให้เกิดประสิทธิภาพในสื่อสารไปยังผู้รับข่าวสาร สร้างการตระหนักรู้ให้กับประชาชน ผู้บริโภครู้เท่าทันสินค้าและบริการที่ไม่ปลอดภัยต่อระบบสุขภาพ รวมถึงนำเสนอการทำงานของเครือข่ายต่างๆ ที่มีบทบาทในการคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าไม่ปลอดภัย เป็นการสานพลังเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค
ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามพันธกิจของ คคส. คือ จุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลัง ผู้บริโภค และองค์กรผู้บริโภคทุกภาคส่วน ให้มีขีดความสามารถ และพัฒนาระบบคุ้มครองผู้บริโภค ที่เอื้อต่อสุขภาวะ

ซึ่งการอบรมครั้งนี้มีวิทยากรที่อยู่ในวงการข่าวอย่าง คุณนิธินันท์ ยอแสงรัตน์ นักข่าวและบรรณาธิการสื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษกว่า 30 ปี อาทิ บก.เครือเนชั่น, คอลัมนิสต์มติชนออนไลน์, ประชาไท, Media Inside Out ฯลฯ เป็นวิทยากรให้ความรู้ด้านวิธีการเขียนข่าวในรูปแบบต่าง ๆ และ มีทีมWeb Programmer บริษัท สื่อดลใจ จำกัด เป็นวิทยากรให้ความรู้ ถึงวิธีการนำข้อมูล รูปภาพ และข่าวที่เขียนเรียบร้อยแล้วลงในเวปไซต์
การอบรมครั้งนี้จัดขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน 2560 ที่ โรงแรมอมารี ตอนเมือง

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 สุราษฎร์ธานี ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนอง ภายใต้การสนับสนุนของ คคส. จุฬาฯ ร่วมจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการขับเคลื่อนเครือข่ายวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคระดับจังหวัด” ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 ณ ห้องเรืองราษฎร์ โรงแรมทินิดี อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เพื่อให้เกิดเครือข่ายงานคุ้มครองผู้บริโภคครอบคลุมทุกตำบลในทุกอำเภอของจังหวัดระนอง โดยเน้นสร้างทีมบุคลากรที่สำคัญ คือ ทีม อสม.นักวิทย์ฯ และเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงในศูนย์เฝ้าระวังฯ ที่จัดตั้งขึ้น ณ รพ.สต. จำนวน 46 แห่งผ่านแกนนำ อสม.นักวิทย์ฯ ประจำตำบลจำนวน 92 คน โดยมีสำนักงานสาธารณสุขอำเภอทั้ง 5 อำเภอ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นจุดเชื่อมประสานของเครือข่าย

เจ้าหน้าที่ทีมพี่เลี้ยงทั้ง รพ.สต. และ สสอ. ให้ความสนใจ โดยการสมัครเข้าใช้งานหน้าต่างเตือนภัยเป็นศูนย์เฝ้าระวังฯ ครบทุกแห่ง 100 % นับเป็นนิมิตรหมายอันดีในการขับเคลื่อนงาน อีกทั้ง แกนนำ อสม.นักวิทย์ฯ หน้าใหม่ไฟแรงยังตั้งใจฝึกการใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นเพื่อตรวจหาสารอันตรายในยาสมุนไพรและเครื่องสำอางที่ได้เก็บตัวอย่างมาล่วงหน้าจากชุมชนของตนเอง เมื่อเห็นผลว่าชุมชนมีเครื่องสำอางหรือยาที่ปนเปื้อนสารอันตราย ก็เกิดความตระหนักของการจัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนภัย อสม.และพี่เลี้ยงจึงได้ประเมินศักยภาพของชุมชนตนเอง เพื่อวางแผนต่อยอดพัฒนาสู่การเป็นต้นแบบงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยกตัวอย่าง เช่น สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองระนอง จะดำเนินงานเสริมความเข้มแข็งให้ทีม อสม.นักวิทย์ และศูนย์แจ้งเตือนภัยประจำตำบล คาดหวังทุก รพ.สต. ในเขตเทศบาล จำนวน 7 ตำบล 10 รพ.สต. พัฒนาตนเองจนได้ป้ายศูนย์เฝ้าระวัง รับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเตือนภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อให้เป็นต้นแบบของอำเภออีกด้วย

ทั้งนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 สุราษฎร์ธานี จะเร่งจัดอบรมให้ครบทั้ง 4 จังหวัด ภายในเดือนพฤษภาคม 2560 เพื่อขยายทีม อสม.นักวิทย์ฯ ชุมชน และศูนย์เฝ้าระวังให้ครอบคลุมทุกพื้นที่โดยจะจัดอบรมครั้งต่อไปในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2560
รายงานโดย เภสัชกรพงษ์ธร ทองบุญ เภสัชชำนาญการ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 สุราษฎร์ธานี

หนึ่ง ใช้ข้อมูลวิจัยการจัดลำดับสินค้าไม่ปลอดภัย สอง เก็บสถิติเปรียบเทียบสามปียาที่มีเสตียรอยด์ในชุมชน สาม ใช้ไลน์กลุ่มสื่อสาร อสม นักวิทย์เฝ้าระวังชุมชน สี่ ส่งยาตรวจยืนยันที่ศูนย์วิทย์และนำลงหน้าต่างเตือนภัย ห้า นำผู้ป่วยจากยามาเป็นกรณีศึกษาชี้อันตรายให้ชุมชนตระหนัก
ในการอบรมเพื่อขับเคลื่อนเครือข่าย อสม นักวิทย์ชุมชนคุ้มครองผู้บริโภค จังหวัดลำพูน รุ่นที่ ๑ เขตอำเภอเมืองลำพูน อำเภอแม่ทา อำเภอบ้านธิ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ทึ่ ศูนย์ประชุมโชควัฒนา สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ลำพูน
ตำบลป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน

นายสันติพงษ์ กันทะวารี นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ
สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ ป่าซาง ได้พูดถึงเรื่องดีๆในการขับเคลื่อน อสม นักวิทย์ชุมชนคุ้มครองผู้บริโภคที่ควรนำมาสื่อสารต่อ
(1) คุณสันติพงษ์ กันทะวารี นักวิชาการส่ธารณสุขชำนาญการ ได้กล่าวนำการบรรยายโดยอ้างอิงผลจากงานวิจัย ของ คคส ที่การจัดลำดับสินค้าไม่ปลอดภัยภาคเหนือ พบว่า เครื่องสำอางผสมสารต้องห้าม และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปนเปื้อนเสตียรอยด์เป็นปัญหาที่จัดในลำดับสำคัญ
(2) คุณสันติพงษ์ได้เก็บสถิติจากการเก็บตัวอย่างสินค้ามาตรวจพบเสตียรอยด์ ในระยะสองปีแรก ต่อมาในปีสุดท้ายไม่พบ ภาพรวมสามปีรวมปีที่ไม่มีเสตียรอยด์ด้วย อยู่ที่ร้อยละสามสิบ ทำให้เห็นได้ว่าการดำเนินการมีผลดีปัญหาลดลง
(3) มีนวตกรรมการใช้ไลน์ มาสื่อสารข้อมูล การสร้างเครือข่ายการสื่อสารภัยยาอันตรายในชุมชน โดยมีไลน์กลุ่ม อสม นักวิทย์คุ้มครอง ของ สอน ที่พร้อมป้องกันชุมชนจากรถเร่ขายยาอันตรายและการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพและยาในรูปแบบต่างๆ
(4) มีการพบยาสมุนไพรชนิดต่างๆที่ตรวจแล้วพบสารเสตียรอยด์ และยืนยันโดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เขต ๑ เชียงใหม่โดยได้แสดงภาพระบุชื่อและนำลงในหน้สต่างเตือนภัย ทำให้ อสม ในชุมชนได้รับทราบโดยดูจากสมาร์ทโฟนและเครือข่ายหน้าต่างเตือนภัยทั่วประเทศก็ได้รู้ด้วย
(5) มีการนำผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยจากสารเสตียรอยด์ในชุมชน โดยเฉพาะอาการที่เกิดจากยา เช่น ขาบวม หน้าบวม หลังเป็นโหนก มีโรคไต และอื่นๆ มาเป็นกรณีตัวอย่างพิษภัยของยาเสตียรอยด์ ทำให้ชาวบ้านเห็นรูปธรรมจากของจริงและตื่นตัวจากอันตรายและมาร่วมกันแก้ปัญหาในชุมชน

จากการฟังบรรยายน่าจะทำให้มั่นใจได้ว่าการขับเคลื่อนเครือข่าย อสม นักวิทย์ชุมชนคุ้มครองผู้บริโภค จังหวัดลำพูน จะมีความเข้มแข็งและป้องกันภัยสินค้าอันตรายได้อย่างยั่งยืน
รายงานโดย ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย