แจกเน็ตฟรีสู้ภัย COVID-19 ความหวังดีที่เสียประโยชน์ของ กสทช.

ดูเหมือนว่ามาตรการแจกอินเทอร์เน็ตฟรีของ กสทช. จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 และยังเป็นการสนับสนุนนโยบาย ‘ทำงานที่บ้าน-เรียนที่บ้าน’ ให้สะดวกมากยิ่งขึ้น แต่เอาเข้าจริงแล้วหากมองให้ลึกลงไปกลับพบว่า มาตรการนี้ได้ไม่คุ้มเสีย หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นความหวังดีที่เปล่าประโยชน์ เพราะผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงคือบริษัทมือถือค่ายต่างๆ ที่จะได้รับเงินอุดหนุนแบบเหมาจ่ายไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มิใช่ประชาชนโดยทั่วไปแต่อย่างใด

สืบเนื่องจากที่ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน กทปส.) ได้อนุมัติการอุดหนุนค่าบริการอินเทอร์เน็ตให้แก่ประชาชน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยจะเพิ่มปริมาณอินเทอร์เน็ตฟรีแก่ประชาชนที่จดทะเบียนซิมมือถือในนามบุคคลธรรมดา ให้สามารถใช้งานโมบายอินเตอร์เน็ตฟรี 10 GB เป็นระยะเวลา 30 วัน ส่วนผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตบ้านก็จะได้รับการปรับเพิ่มความเร็วเป็น 100 Mbps ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนขอใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 10-30 เมษายนนี้ โดยสามารถใช้งานได้ 30 วันหลังจากกดรับสิทธิ์

แม้มาตรการนี้มีเจตนาที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนและผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านโทรคมนาคมและส่งเสริมการทำงานที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ต แต่ก็เกิดคำถามตามมาว่าวิธีการดังกล่าวเป็นการเอื้อผลประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมหรือไม่ ส่วนประชาชนก็อาจมีเพียงบางกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ในลักษณะผลพลอยได้เท่านั้น

 

คำถามคาใจ กสทช. เอื้อรายได้ให้ค่ายมือถือ?

รศ.รุจน์ โกมลบุตร กรรมการด้านสื่อและโทรคมนาคม องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.)  กล่าวว่า แนวคิดของ กสทช. ที่จะช่วยเหลือผู้บริโภคเป็นเรื่องที่ดี แต่มาตรการที่เลือกใช้อาจไม่เหมาะสม เนื่องจากมิใช่ว่าผู้บริโภคทุกรายจะจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตปริมาณมาก มาตรการดังกล่าวจึงอาจตอบโจทย์บางกลุ่มคนที่มีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลานี้เท่านั้น ในขณะที่ผู้ใช้บริการทั่วไปอาจไม่ได้ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์เทียมๆ กล่าวคือ ได้กดรับสิทธิ์ แต่ไม่มีการใช้งานหรือได้ใช้งานไม่เต็มจำนวน โดยที่ กสทช. กลับต้องอุดหนุนในลักษณะเหมาจ่ายให้กับบริษัท เท่ากับผู้ประกอบการได้ผลประโยชน์แบบเต็มที่และหลายต่อ ทั้งขายบริการได้มากขึ้น และได้รับเงินเกินกว่าที่ให้บริการจริง เป็นต้น

“การเพิ่มปริมาณอินเทอร์เน็ตไม่ได้ช่วยผู้บริโภคทั่วไปในภาวะยากลำบากนี้ หรือแม้แต่ผู้ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตในปริมาณมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้แพ็กเกจที่ให้ปริมาณอินเทอร์เน็ตต่อเดือนเพียงพออยู่ก่อนแล้ว มาตรการของ กสทช. จึงเหมือนการช่วยผู้ประกอบการขายของ โดยเสนอของชนิดเดียวใส่มือประชาชนทุกคน พร้อมกับบอกว่ารับฟรีๆ ซึ่งตามพฤติกรรมคนทั่วไปก็ย่อมจะรับมาโดยไม่ได้คำนึงถึงว่ามีความต้องการใช้ของนั้นจริงไหม หรือรับมาแล้วจะต้องใช้เต็มที่หรือไม่

“จริงๆ แล้วของนี้ไม่ใช่ได้มาฟรี ถึงแม้ประชาชนหรือผู้บริโภคไม่ต้องจ่ายเงินโดยตรง แต่ กสทช. จะเอาเงินกองทุนฯ มาอุดหนุนให้ผู้ประกอบการ ซึ่งปกติเงินกองทุนนี้มีไว้เพื่อให้บริการโทรคมนาคมแก่พื้นที่ห่างไกลหรือผู้ขาดโอกาส จึงเท่ากับว่าสังคมต้องเสียโอกาสในส่วนนั้นไป ที่สำคัญดูเหมือนว่า กสทช. ก็ต้องจ่ายตามจำนวนคนที่กดรับสิทธิ์ตามตัวเลขที่ผู้ประกอบการแจ้ง ซึ่งยากที่จะตรวจสอบความถูกต้อง ซ้ำยังไม่ใช่ส่วนของต้นทุนจริงอีกด้วย

“นอกจากนี้ การที่ กสทช. กำหนดจำกัดระยะเวลาการใช้อินเทอร์เน็ตไว้เพียง 30 วัน ก็ไม่แน่ว่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ว่าโรคระบาดนี้จะคลี่คลายภายใน 30 วันหรือไม่ และเสมือนเป็นการเร่งรัดการใช้บริการโดยไม่จำเป็น จึงมีคำถามว่า เหตุใด กสทช. จึงเลือกมาตรการที่ไม่ตรงไปตรงมาเช่นนี้”

รศ.รุจน์ ระบุด้วยว่า ในส่วนของการปรับเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตบ้านเป็น 100 Mbps ก็เป็นมาตรการที่ชวนตั้งคำถามเช่นกัน เนื่องจากประชาชนที่ยากลำบากของประเทศไม่ใช่ผู้ที่เข้าถึงบริการดังกล่าวอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ประจำที่ส่วนใหญ่ก็ใช้แพ็กเกจที่กำหนดความเร็วไว้มากกว่า 100 Mbps ในขณะที่ถ้าเป็นบริการแบบ ADSL/VDSL/Copper ต่อให้ปรับความเร็วสูงสุดก็ทำได้ไม่ถึง 100 Mbps

 

ลดค่าบริการดีกว่าแจกเน็ตฟรี

สำหรับข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการที่ควรจะเป็น นายโสภณ  หนูรัตน์ นักวิชาการด้านกฎหมาย คอบช. กล่าวว่า กสทช. มีทางเลือกในเรื่องของมาตรการที่จะตอบสนองต่อแนวความคิดที่ดีได้หลายแนวทางด้วยกัน ซึ่งเป็นมาตรการที่ให้ประโยชน์กับผู้บริโภคโดยตรงและทั่วถึง เช่น การลดค่าบริการให้กับผู้บริโภคทุกราย ซึ่งอาจใช้วิธีการหักลบค่าใช้จ่ายให้ผู้บริโภคต่อเดือนเท่ากันทุกคน เช่น 50 บาท หรือลดเป็นสัดส่วน เช่น ร้อยละ 30 ของค่าบริการ โดย กสทช. ก็ชดเชยให้ผู้ประกอบการไปตามรายได้ที่ลดลง หรือดีกว่านั้นก็อาจชดเชยตามต้นทุนค่าบริการในส่วนรายได้ของบริษัทที่ขาดหาย หรือแม้กระทั่งอาจชดเชยเพียงครึ่งเดียว เพราะในต่างประเทศก็มีกรณีที่ผู้ให้บริการให้การช่วยเหลือผู้บริโภคโดยตรง โดยที่ภาครัฐไม่ต้องอุดหนุนชดเชยคืนให้ ซึ่งวิธีการเช่นนี้จะตรงไปตรงมามากกว่า และผู้บริโภคทุกรายได้รับประโยชน์แน่นอน ส่วนกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติม ก็สามารถนำเงินส่วนที่ลดนี้ไปซื้อบริการเพิ่มได้

อย่างไรก็ตาม หาก กสทช. ยืนยันจะเดินหน้ามาตรการเดิม คือการเพิ่มปริมาณอินเทอร์เน็ตให้ประชาชน ทาง คอบช. มีข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการที่ควรดำเนินการควบคู่ไปด้วย ได้แก่

1) กสทช. ควรกำหนดให้ค่ายมือถือต่างๆ ยกสิทธิ์การใช้งานตามแพ็กเกจปกติที่เหลือในช่วงเดือนที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคให้ผู้บริโภคสามารถใช้ได้ในเดือนถัดไป เนื่องจากโดยทั่วไปผู้บริโภคมักใช้งานไม่เต็มโปรโมชั่นปกติของตนเองอยู่แล้ว และยังอาจจะกดรับสิทธิ์เพิ่มเติมด้วย ทำให้ค่ายมือถือได้เงินฟรีเพิ่มขึ้นในส่วนแพ็กเกจเดิม

2) กสทช. ควรอุดหนุนเงินให้ผู้ให้บริการตามปริมาณอินเทอร์เน็ตที่ผู้บริโภคซึ่งกดรับสิทธิ์ใช้จริงเท่านั้น ไม่ใช่เพียงมีผู้บริโภคกดรับสิทธิ์แล้ว บริษัทก็ได้เงินไปฟรีๆ หรือมิเช่นนั้นก็ต้องกำหนดให้ค่ายมือถือยอมทบอินเทอร์เน็ตส่วนที่เหลือจาก 10 GB นั้นไปใช้งานต่อได้เรื่อยๆ จนกว่าจะใช้ครบเต็มจำนวน

3) เมื่อปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะเน็ตช้าหรือไม่เสถียร ดังนั้น กสทช. จะต้องกำกับดูแลคุณภาพสัญญาณและการให้บริการในพื้นที่ต่างๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเข้มข้นขึ้นด้วย

นอกจากนั้นยังควรมีการกำหนดมาตรการเสริมอื่นๆ สำหรับกลุ่มเฉพาะ เช่น สนับสนุนผู้ให้บริการตอบสนองกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มในปริมาณมาก เช่น กลุ่มนักศึกษา-อาจารย์ ด้วยการออกแพ็กเกจเฉพาะในราคาพิเศษ ขยายวันใช้งานให้แก่ผู้ใช้บริการมือถือระบบเติมเงินออกไป จนกว่าสภาวะโรคระบาดจะยุติ เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้อาจประสบปัญหาความลำบากหรือมีอุปสรรคในการเติมเงินเข้าระบบ

“อยากขอให้ กสทช. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พิจารณาข้อเสนอทั้งหลายด้วย เพื่อที่ความตั้งใจดีจะได้ส่งผลดีจริงๆ ต่อผู้บริโภค” นายโสภณกล่าวทิ้งท้าย

เมื่อความเครียดคือโรคระบาด: จัดการจิตใจในภาวะ COVID-19

ในวันที่มาตรการของรัฐกำหนดให้ประชาชนงดออกนอกบ้านเริ่มเข้มข้นขึ้น

ในวันที่ไลน์หมู่บ้านแจ้งเตือนให้ระวังพื้นที่เสี่ยง

ในวันที่กรุ๊ปแชทครอบครัวพากันแชร์ข้อมูลการป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสแบบรัวๆ

ในวันนี้ต้องยอมรับว่าการระบาดของโคโรนาไวรัส ทำให้ผู้คนปั่นปวนทั้งกายและใจไม่มากก็น้อย

แม้เราจะยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่คนจิตอ่อนหลงเชื่อข้อมูลข่าวปลอมในกลุ่มแชท แต่เชื่อว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาบางคนอาจจะมีอาการจิตตกโดยไม่รู้ตัว หลังจากเสพข่าวสารแบบนาทีต่อนาที บางคนจึงอาจได้รับความกระทบกระเทือนต่อความรู้สึก จนเกิดเป็นความเครียดสะสม เพราะต้องปรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างหนัก

แน่นอนว่ามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ แต่การกักตัวอยู่ในบ้านนานๆ ไม่ได้ออกไปไหน อาจทำให้ชีวิตเริ่มรู้สึกเหี่ยวเฉาและไม่สนุกเหมือนเก่า

คุยกับ เอก-สมภพ แจ่มจันทร์ นักจิตวิทยาผู้เปิดศูนย์ให้คำปรึกษาภายใต้ชื่อว่า ‘Knowing Mind’ บริการมิตรสหายผู้มีปัญหาด้านจิตใจมาเกือบ 3 ปี โดยเฉพาะการจัดการภาวะต่างๆ ภายในจิตใจ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งถือเป็นโรคใหม่ที่โลกใบนี้ยังไม่เคยเจอมาก่อน

หากประเมินสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบันตามมุมมองนักจิตวิทยาเป็นอย่างไรบ้าง

อย่างที่ทราบกันดีว่าโรคนี้เริ่มแพร่ระบาดเข้ามาสักพักแล้ว แน่นอนว่ามันมีผลกระทบอย่างมากต่อหลายๆ ด้าน รวมถึงด้านจิตใจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมากที่สุดควบคู่กันมาอย่างแยกไม่ขาดคือความกังวล

เราเริ่มรู้สึกกังวลเพราะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจน ไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าการระบาดครั้งนี้จะไปสิ้นสุดลงตรงไหน เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล ลามไปถึงอาการแพนิค (panic) เพราะธรรมชาติของอาการนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเราปะทะกับภาวะที่ไม่มั่นคง แม้เราจะตกอยู่ในการระบาดของเชื้อโรคเหมือนกันก็ตาม แต่ความกังวลหรืออาการแพนิคที่ว่านั้นอาจจะเกิดขึ้นไม่เหมือนกันและมีความเข้มข้นที่ต่างกันไป

ระดับความกังวลของแต่คน จะต้องพิจารณาควบคู่กับปัจจัยและมิติอื่นๆ ในชีวิต เช่น คุณอาจรู้สึกกังวลมากๆ เกี่ยวกับโรคระบาด ขณะเดียวกันก็เกี่ยวพันถึงเรื่องเศรษฐกิจและเงินในกระเป๋า บางคนอาจเกี่ยวพันกับงาน เกรงว่าจะถูกลดเงินเดือน ถูกเลิกจ้าง บางคนยังกระทบกับความสัมพันธ์ เพราะต้องกักตัว แยกห่างจากคนรัก ติดต่อสื่อสารกันยากขึ้น หรือแม้ความกังวลที่ส่งผลกระทบระหว่างคนใกล้ชิด ด้วยความที่ต้องระแวงระวังกันมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบในมิติใดก็ตาม ทุกคนล้วนได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น มากน้อยต่างกันไปตามแต่ละบุคคล

ลองยกตัวอย่างผลกระทบจากความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง 

อย่างที่บอกไป ไม่ว่าใครก็ตามในสถานการณ์นี้ล้วนกังวลใจเหมือนกันทั้งนั้น เพราะเป็นสภาวะที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ ผมยกตัวอย่างความกังวลไว้ดังนี้

ประชาชนทั่วไป: อาจจะกำลังกังวลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าโรคนี้จะยุติการระบาดตอนไหน ทำให้กังวลถึงปัญหาปากท้องและการใช้ชีวิตต่อ

แพทย์: ต้องยอมรับว่ากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์มีบทบาทสำคัญ พวกเขาทำงานหนักมาก ต้องทำงานบนความหวังของทุกคน จนเกิดเป็นความกดดันและกังวลเรื่องการรักษา

ผู้ติดเชื้อหรือบุคคลกลุ่มเสี่ยง: นอกจากความกังวลแล้ว คนกลุ่มนี้มักมีความกลัว ความเครียด หงุดหงิดใจ ไม่พอใจ ว่าทำไมต้องเป็นเขาที่ป่วย นอกจากความโกรธที่เกิดขึ้นแล้ว อาจจะเกิดเป็นความรู้สึกผิดบาป ผู้ป่วยบางคนคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุการแพร่เชื้อและสร้างความเดือดร้อน ซึ่งในจุดนี้อาจจะทำให้เกิดความเศร้า ความเสียใจ หรือความสิ้นหวังก็ได้

ท่ามกลาง COVID-19 มีทั้งข่าวจริงข่าวปลอมสะพัดไปหมด ประเด็นนี้ยิ่งทำให้คนวิตกกังวลมากขึ้นไหม

ตามธรรมชาติมนุษย์เชื่อมโยงกับข้อมูลอยู่แล้ว ยิ่งเรารับรู้ข้อมูลที่น่ากลัว อันตราย ความกลัวก็จะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ การเสพข่าวจึงมีผลกระทบโดยตรงมากๆ ฉะนั้นเราควรคัดกรองแหล่งข้อมูล เลือกเสพข่าวมากขึ้น ยิ่งในปัจจุบันข้อมูลข่าวสารมีเยอะมาก หลายช่องทาง ข้อมูลไหลไปอย่างเร็ว เราอาจจะตั้งธงกับตัวเองง่ายๆ ว่าเราจะเสพข่าวเพื่อติดตามสถานการณ์ก็พอ เพื่อป้องกันภาวะความเครียดที่ค่อยๆ สะสมโดยไม่รู้ตัว

พอทุกคนเครียดมากๆ ตระหนกมากๆ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมเปราะบาง จนทุกคนพร้อมจะสาด hate speech ใส่กันตลอดเวลาไหม อธิบายทางจิตวิทยาได้อย่างไร

ในประเด็น hate speech เป็นเรื่องที่เข้าใจได้นะครับ เมื่อเราประเมินว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่มันอันตราย มันคุกคามเรา เราไม่ปลอดภัย เราจะเกิดพฤติกรรมบางอย่างเพื่อตอบสนองสิ่งนั้น ซึ่งพฤติกรรมที่ว่ามันเป็นไปได้หลายอย่าง บางคนอ่านข่าวแล้วกังวล รีบกักตุนอาหาร บางคนอ่านข่าวแล้วรู้สึกทนไม่ไหว ต้องการระบายความโกรธออกมา โดยเลือกพิมพ์ข้อความด่าใครสักคนในสเตตัสเฟซบุ๊ค

ปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนพฤติกรรมมนุษย์ที่พยายามจะ handle กับสถานการณ์ตรงหน้า แต่คำถามคือ ปฏิกิริยานั้นตอบโจทย์การคลี่คลายความกังวลของเราได้จริงหรือ?

ผมไม่ได้มองว่าการระบายอารมณ์โกรธเป็นเรื่องที่ผิดหรือถูก ถ้าเราโกรธ เราระบายได้ แต่อาจจะต้องประเมินควบคู่ไปด้วยว่า เมื่อเราด่าแล้วมันช่วยให้เราจัดการกับความหงุดหงิดใจได้ดีขึ้นหรือไม่ หรือจะยิ่งเพิ่มความโกรธให้ตัวเองรู้สึกหนักหนาไปกว่าเดิม

การด่าเป็นเรื่องพื้นฐาน เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์เมื่อรู้สึกไม่พอใจ เอาง่ายๆ การด่าก็คือวิธีการหนึ่งที่ใช้จัดการความรู้สึก บางคนด่าแล้วมันโล่ง มันหลุด รู้สึกได้แสดงความเห็นของตัวเองออกมา บางคนด่าแล้วเครียดกว่าเดิม เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องของใคร มันเป็นเรื่องของตัวคุณที่จะตอบตัวเองได้ว่า คุณสบายใจไหมเมื่อได้ด่า

ท่ามกลางความเครียดและวิตกกังวล เมื่อเราค้นพบช่องทางการระบายอารมณ์ของตัวเองแล้ว ถือว่าเดินถูกทางแล้วหรือไม่

เดินถูกทางไหม ผมไม่รู้ แต่จะทำให้เราเห็นทางเลือกในการจัดการตัวเองมากขึ้น

ถ้าสมมุติคุณตอบตัวเองได้ว่า คุณกำลังกังวลเรื่องงาน เพราะคุณถูกบริษัทเลิกจ้างงาน คุณกังวลว่าเราจะเอาเงินจากไหนมาใช้ เราจะไปหางานอื่นทำได้อย่างไร แล้วก็ค่อยๆ จัดการตัวเองไปทีละขั้นตอน มีสติในการหาช่องทางทำงานใหม่ ซึ่งไม่มีใครบอกได้หรอกว่าทางเลือกไหนจะจัดการได้ดีที่สุด แต่อย่างน้อยเราจะไม่จมอยู่กับความกังวลจนทำอะไรไม่ได้

COVID-19 ทำให้ผู้คนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเยอะมาก เช่น work from home, การกักตัวอยู่ที่บ้าน ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนฉับพลัน จะส่งผลกระทบใดในเชิงพฤติกรรมหรือไม่

ความคุ้นชินจะทำให้มนุษย์ปลอดภัย เป็นความรู้สึกตามธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าเมื่อมนุษย์อยู่กับอะไรก็ตามนานๆ เขาจะรู้สึกโอเค ถ้าเรามีวงจรชีวิตที่ตื่นเช้าไปทำงาน ตกเย็นกลับบ้าน เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราย่อมไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ความเครียดก็เกิดขึ้นทันที

เมื่อเราไม่คุ้นชินกับสถานการณ์ตรงหน้า ก็เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่เราต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ สังคมใหม่ แต่ถ้าถามว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่อยากขอให้เข้าใจว่า ‘ความรู้สึกแย่ๆ ความรู้สึกไม่โอเคที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มันเป็นเรื่องปกติ’ เราจำเป็นต้องให้เวลากับตัวเอง อย่าบีบคั้นตัวเองให้รู้สึกดี ขนาดผมที่เริ่มทำงานที่บ้านย่างเข้าวันที่ 3-4 แล้ว ก็ยังไม่โอเค ผมยังไม่ชินเลย

COVID-19 ส่งผลกระทบอะไรต่องานของนักจิตวิทยาบ้าง

ผมทำงานในศูนย์บริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและส่งเสริมสุขภาวะ มีเคสที่เข้ามาปรึกษาเพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกังวลกับสถานการณ์โรคระบาดมากเกินไป ในกรณีนี้ผมจะช่วยเขาคุยต่อว่า ความกังวลของเขาคืออะไรกันแน่ เพื่อหาความต้องการที่แท้จริง

สถานการณ์ใหม่ที่เข้ามาคุกคามชีวิตเราครั้งนี้ มันคุกคามเราในเรื่องอะไร ในแง่หนึ่งความกังวลที่เกิดขึ้นก็สะท้อนถึงสิ่งที่เราให้คุณค่าเหมือนกันนะ เช่น กังวลว่าตัวเองและพ่อแม่จะติดเชื้อ กังวลว่าจะถูกลดเงินเดือน ตกงาน หรือถูกเลิกจ้าง ตัวอย่างเช่น ผมกังวลถึงเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน เพราะคนที่จะเข้ามารับบริการคำปรึกษา เขาเดินทางมาไม่ได้ ผมต้องคุยผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งไม่ค่อยโอเค ไม่เหมือนกับการเจอหน้ากัน การสื่อสารของผมและเขาก็หายไป

มาตรการ Social Distancing ในมุมมองเชิงจิตวิทยาเป็นอย่างไร

มันค่อนข้างส่งผลสะเทือนมากๆ มาตรการนี้เป็นมาตรการที่ดีในการป้องกันโรค แต่ก็มีงานวิจัยหลายๆ แห่งยืนยันเหมือนกันว่า social distancing มีผลกระทบหลายๆ อย่างต่อจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์เกิดมาเป็นสัตว์สังคม เราเกิดมาต้องการปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง บางคนอาจจะบอกว่า ฉันเป็น introvert แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนต้องการความสัมพันธ์ในชีวิตจริงมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ดังนั้นเมื่อเราปฏิบัติตามมาตรการนี้แล้ว ผมอยากให้เราไม่ลืมมิติในเรื่องความสัมพันธ์ไป

หากให้ประเมินสุขภาพจิตของคนไทยในภาวะ COVID-19 เป็นอย่างไรบ้าง

ผมมองในภาพกว้างๆ อาจจะพูดได้ไม่ชัดว่าหนักไหม แต่ระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นพอสมควร  เพราะ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อทุกคนในวงกว้างอย่างทั่วถึงทุกแวดวง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ต่อให้คุณอยู่ในเมือง อยู่ในชนบท คุณจะอยู่ในฐานะทางเศรษฐกิจแบบใดก็ตาม คุณได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้หมด แต่มากน้อยแตกต่างกันไป

บางคนที่มีต้นทุนมากก็อาจจะจัดการปัญหาได้ดีกว่า คุณอาจจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน แต่ยังมีเงินสั่งอาหารมากิน ไม่ต้องออกไปไหนก็จัดการได้ทุกอย่าง แต่บางคนที่เขาไม่มี เขาอาศัยอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ การเก็บตัวอยู่ในห้องมืดๆ ก็อยู่ได้ยากกว่า ข้อจำกัดที่ว่านี้มันนำไปสู่มิติเรื่องจิตใจได้เหมือนกัน

ผมคิดว่าเราควรคำนึงถึงมาตรการในการดูแลช่วยเหลือให้สอดคล้องกับคนแต่ละกลุ่ม ตอนนี้ทุกคนกังวลเหมือนกัน ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร อยู่ในฐานะใด แต่ความสามารถในการรับมือกับความกังวลนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับต้นทุนที่แต่ละคนมี

ถ้าต้องอยู่กับภาวะนี้ในระยะยาว แย่สุดอาจนานถึงสิ้นปี เราจะอยู่กันอย่างไร

(หัวเราะ) เอาจริงๆ ให้ผมตอบว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ผมยังตอบไม่ได้เลย ตอนนี้ทุกแวดวงต่างได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด เศรษฐกิจ การแพทย์ เราไม่รู้หรอกว่าเขาประเมินอนาคตได้ถูกต้องหรือไม่ เราต้องยอมรับก่อนว่าสถานการณ์โรคระบาดนี้เป็นเรื่องที่ใหม่มาก แม้เราเคยเจอภาวะการแพร่ระบาดของโรคอื่นมาก่อน แต่ครั้งนี้มันคือโรคสมัยใหม่ เราไม่รู้ว่าการแพร่ระบาดครั้งนี้จะจบลงตรงไหน แต่ผมว่าอย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เราพอจะทำได้คือ การกลับมาอยู่กับวันนี้ วันนี้มีปัญหาอะไรที่เราจัดการได้ก่อน

สำหรับบางคนอาจเคยมีชีวิตที่ดี แล้วต้องมากักตัวอยู่ในบ้าน แต่พอสถานการณ์แย่ลงก็เหมือนถูกบีบ เกิดเป็นภาวะเครียด อึดอัด เริ่มรู้สึกไม่ไหว เราอาจจะต้องระบุให้ชัดว่าสิ่งที่เราไม่พอใจคืออะไร ยิ่งระบุให้ชัดมากเท่าไร เราจะมีทางรับมือกับปัญหามากขึ้นเท่านั้น ถ้าบอกว่าเราไม่โอเคกับการอยู่บ้านในช่วงกักตัว นั่นเป็นเพราะเรารำคาญญาติ ที่บ้านมีคนอยู่เยอะจนเราไม่มีสมาธิในการทำงาน ถ้าเรายิ่งหารายละเอียดของความกังวลได้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร เราอาจจะหาทางเลือกในการจัดการได้ตรงจุดมากขึ้น แต่ความกังวลที่เป็นนามธรรมกว้างๆ ลอยอยู่ในอากาศ มันจัดการยากและยิ่งบั่นทอน ทำให้คุณรู้สึก overwhelmed การที่คุณมองทุกอย่างไม่ดีไปเสียหมด นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่อันตราย ถ้าคุณพอจะแยกแยะและค่อยๆ คลี่คลายปัญหาไปทีละเรื่อง ผมเชื่อว่าคุณน่าจะรับมือกับความเครียดวิตกกังวลนี้ได้มากกว่า

ปัญหาสุขภาพจิตหรือสุขภาวะด้านจิตใจ ถูกมองเห็นมากน้อยอย่างไรในสถานการณ์ปัจจุบัน

ผมว่าเริ่มมีความพยายามที่จะพูดถึงเรื่องนี้มากขึ้นบ้าง ในแง่หนึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะมาตรการที่ออกมาส่วนใหญ่เน้นไปที่สุขภาพร่างกาย การดูแลสุขภาพ การใช้ชีวิต การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นหลัก เช่น ใช้เจลล้างมือ สวมใส่หน้ากากอนามัย ส่วนเรื่องจิตใจอาจจะมีพื้นที่น้อยกว่าอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เท่าที่ผ่านมาผมก็ติดตามในมิตินี้พอสมควร ในกรณีต่างประเทศก็เริ่มมีการพูดถึงประเด็นปัญหานี้กันบ้างแล้ว

สำหรับประเทศไทยในระยะต่อไป ผมคิดว่าเราต้องกลับมาพูดถึงประเด็นจิตใจมากขึ้น หน่วยงานต่างๆ สมาคมจิตแพทย์ กรมสุขภาพจิต เริ่มออกมาพูดถึงแง่มุมทางสุขภาพจิตบ้างแล้ว แต่แน่นอนหากเทียบกันในภาพรวม เวลาเราดูข่าวตามสื่อหลัก เรามักจะพบแต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกายมากกว่ามิติด้านจิตใจ

ตอนนี้เราอยูกับสถานการณ์มาระยะหนึ่งแล้ว หลายๆ คนอาจกำลังต้องการเครื่องมือแก้ปัญหา เขาอยากรู้ว่าเมื่อเขาเครียดขึ้นมาต้องทำอย่างไร หรือแม้กระทั่งเขาจะสามารถสังเกตตัวเองได้ด้วยวิธีไหน จะปรับพฤติกรรมตัวเองได้อย่างไร ผมว่าวันนี้เรายังมีพื้นที่ตรงนี้น้อยไป แต่โชคดีที่เราเริ่มมองเห็นความพยายาม ไม่ว่าจะจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเองก็ตาม

ยืนยันได้ไหมว่า การดูแลสุขภาพจิตสำคัญไม่แพ้การดูแลสุขภาพกาย

สำหรับประเด็นนี้ ผมมองว่า ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เริ่มรู้สึกไม่โอเคจากข้างใน คุณคือผู้ได้รับผลกระทบเลยทันที ถึงแม้คุณจะไม่ได้ติดเชื้อไวรัสก็ตาม นั่นหมายความว่าถ้าคุณดูแลสุขภาพจิตของตัวเองไม่ได้ ต่อให้วันนี้คุณสบายดี คุณไม่ป่วยเป็น COVID-19 แต่คุณจะป่วยเป็นโรคแพนิค เครียด กังวล กลัว รู้สึกแย่ทันที

ต่อให้คุณบอกว่าโชคดีที่ไม่ติดเชื้อไวรัส แต่ถ้าคุณเครียดมากๆ แพนิคมากๆ นั่นหมายความว่าคุณได้รับผลกระทบที่เลวร้ายไปแล้วเรียบร้อย โดยที่คุณยังกังวลว่าคุณจะติดไวรัสหรือเปล่า คุณจะตกงานไหม คุณจะมีเงินไหม เพราะคุณละเลยที่จะดูแลและจัดการจิตใจของคุณไปแล้ว

ผมจึงอยากให้ทุกคนกลับมาตระหนักในตัวเอง ทบทวนดูว่าวันนี้คุณโอเคดีอยู่ไหม โดยที่ไม่ต้องพยายามหาคำตอบของวันพรุ่งนี้ ณ วันนี้ วันที่เรายังไม่เป็นโรค เราเครียดไหม ถ้าเราเครียด เรารีบจัดการตัวเองให้ดีขึ้นดีกว่าไหม

ทุกวันนี้นอกจากที่เราจะแพร่เชื้อไวรัสระหว่างกันและกันแล้ว เรายังแพร่ความเครียด แพร่ความกังวลใส่กันไปเรียบร้อยแล้ว อาการแพนิคจึงไม่ต่างจากโรคระบาด ฉะนั้นโจทย์สำคัญของวันนี้คือ เราจะลดการระบาดของอาการเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง นอกจากดูแลใจของตัวเองให้ดีแล้ว คุณต้องดูแลคนที่อยู่ใกล้ตัวด้วย

ต้องบอกก่อนว่าการที่ผมพูดไปเช่นนี้ มันอาจจะดูโลกสวยสำหรับใครบางคน ผมไม่ได้บอกว่าเราจะไม่แคร์การระบาดของโลก คุณกังวลได้ คิดมากกับมันได้ แต่ในส่วนอื่นๆ ของชีวิต คุณก็ต้องห้ามละเลย ชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่อง COVID-19 ชีวิตของคุณยังมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องยินดีและมีความสุขกับมัน ไม่ละเลย ถ้าเจอปัญหาก็จัดการ ส่วนไหนที่มีความสุขได้ก็จงมีความสุข

เราจะมีวิธีดูแลจิตใจอย่างไร ในวันที่เราต่างมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว

ก่อนจะพูดถึงหลักการ ผมขอพูดถึงข้อพึงระวังก่อน ผมว่าทุกเรื่องราวในโลกใบนี้ โดยเฉพาะหลัก How to ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะทำได้ ถ้าคุณทำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คุณไม่ต้องรู้สึกแย่ที่ตัวเองทำไม่ได้

How to ทุกอย่างที่เราเห็น อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน มันอาจจะเป็นแค่หลักการเบื้องต้น ถ้าเราทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าเราผิด ดังนั้นสิ่งที่ผมจะแนะนำจึงเป็นหลักเบื้องต้นจริงๆ นั่นคือ การชวนทุกคนกลับมาทบทวนตัวเอง และตั้งสติกับสถานการณ์นี้ให้มากที่สุด

อันดับแรกอาจเป็นเรื่องการยอมรับและถามตัวเองว่าเราโอเคดีอยู่ไหม ถ้าเรามุ่งกระโจนไปหาวิธีการจัดการเลย เราอาจจะแก้ได้ไม่ตรงจุด เช่น คุณกำลังกังวลใช่ไหม งั้นคุณจัดการตัวเองแบบนี้สิ หนึ่ง สอง สาม สี่ … ความกังวลก็มีหลายหน้าตา ความกังวลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าคุณกำลังเครียด กำลังแพนิค คุณอาจจะลองหากระดาษสักแผ่น เขียนความกังวลที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ เขียนความคิดของเราออกมาเป็นข้อๆ เช่น ฉันกังวลว่าจะตกงาน ฉันกังวลว่าจะไม่เงิน ไม่มีเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ไม่มีเงินให้พ่อแม่ ฉันกังวัลว่าตัวเองจะติดเชื้อ กลัวตาย ฉันกังวลว่าพ่อแม่จะติดเชื้อ เขียนความกังวลที่เป็นนามธรรม ระบุมันออกมาให้ชัด แล้วเราจะเจอหนทางแก้ไขแต่ละข้อที่ชัดเจน

เมื่อสำรวจความรู้สึกของตัวเองแล้ว ขั้นตอนต่อมาเพื่อเอาตัวให้รอดจากความหวาดกลัวโรค เราอาจจะต้องกลับไปตั้งคำถามว่า อะไรคือข้อเท็จจริงในความกังวลของเรา เช่น ฉันกังวลว่าตัวเองจะติดเชื้อ ซึ่งถึงแม้เราจะไม่เคยไปไหน กักตัวอยู่กับบ้าน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็หนีความวิตกนี้ไปไม่ได้ ฉะนั้นเราควรหาข้อเท็จจริงเพื่อมาคลี่คลายให้เบาลง เช่น เราไปในพื้นที่เสี่ยงมาหรือเปล่า เราคลุกคลีกับผู้ที่เสี่ยงไหม ถ้าไม่ เราก็ควรจะหลีกหนีความเครียดนั้นดีกว่าไหม

สิ่งที่ผมพูดมันไม่ใช่ How to สำเร็จรูป ผมไม่ได้บอกว่าถ้าคุณเครียดจากปัญหาโรคระบาด ให้คุณไปออกกำลังกาย ไปพักผ่อน กินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งผมก็โอเคกับวิธีการเหล่านี้ ถ้าคุณสบายใจที่จะทำก็ทำได้เลย แต่ในแง่หนึ่งการจัดการแบบนี้สุดท้ายอาจเป็นการจัดการเพียงแค่ภายนอก เพราะต้นตอภายในจิตใจยังอยู่ และมันก็ไม่มีวิธีปลอบโยนที่เป็นสิ่งสำเร็จรูป หัวใจสำคัญก็คือการค่อยๆ ทบทวน และนี่อาจจะเป็นโอกาสอย่างหนึ่งที่โรคระบาดเปิดพื้นที่ให้เราเข้าใจภายในตัวเองมากขึ้นก็เป็นได้

ท้ายที่สุดปรากฏการณ์โรคระบาดครั้งนี้สะท้อนให้มนุษย์กลับมามองเห็นอะไรในตัวเองบ้าง

มนุษย์ก็คือมนุษย์นะครับ เมื่อมนุษย์เจอสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ เราย่อมกลัวและเกิดความกังวล เรียกได้ว่านี่คือความรู้สึกพื้นฐานของการเป็นมนุษย์เลยก็ว่าได้ เราไม่ผิดที่จะแพนิคนะครับ ถ้าเราไม่กังวลต่างหากคือเรื่องที่แปลก

ความกังวลที่ไหลอยู่ในตัวมนุษย์มันมีประโยชน์ ตั้งแต่อดีตถ้ามนุษย์ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ เราอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ตายก่อนที่เรายังไม่สืบเผ่าพันธุ์

ดังนั้นสถานการณ์ COVID-19 ที่เรากำลังเจอ มันคือภาพสะท้อนที่โคตรจะปกติ แต่เราจะทำอย่างไรให้ความกังวลนี้เป็นแค่สัญญาณเตือนให้มนุษย์อย่างเราจัดการหรือแก้ไขปัญหาต่อ ทำให้เรารู้จักป้องกันตัวเอง รักษาชีวิตของตัวเองมากกว่าที่จะปล่อยให้ความกังวลนั้นเป็นปัญหาในตัวมันเอง เพราะผมเชื่อว่าหลายคนเลือกปล่อยให้ความกังวลเป็นปัญหาในชีวิต ทั้งที่ชีวิตจริงไม่ได้มีปัญหา

และท้ายที่สุดเมื่อสถานการณ์นี้จบลง เราอาจจะประเมินบางอย่างได้ในมุมที่กว้างขึ้น ว่าแท้ที่จริงแล้วภาวะสุขภาพจิตของคุณเป็นอย่างไรบ้าง คุณพร้อมแค่ไหน แล้วในอนาคตหากมีโรคระบาดใหม่เข้ามาหรือมีสถานการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ เข้ามา เราจะพร้อมรับมือกับมันไหม มันน่าจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องให้การศึกษาและข้อมูล รวมถึงให้ทักษะการจัดการจิตใจให้ติดตัวมนุษย์รุ่นต่อไป

จบจากโรคนี้ (ซึ่งไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร) ผมหวังว่าเรื่องความเครียด แพนิค และภาวะจิตใจ จะเป็นเรื่องที่ทุกคนหยิบมาพูดกันมากขึ้น

เช็คสภาพจิต รับมือ COVID-19

กว่า 3 เดือนแล้วที่คนทั่วโลกต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดหวั่นจากสถานการณ์ COVID-19 ด้วยความที่เชื้อไวรัสตัวร้ายไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จนไม่อาจไว้ใจใครได้แม้กระทั่งคนใกล้ชิด ทั้งยังต้องเผชิญกับข่าวลือต่างๆ นานาที่ร้ายกาจไม่น้อยไปกว่าโรคระบาด จนเกิดเป็นความตื่นตระหนก สั่งสมเป็นความเครียด วิตกกังวล และอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาวได้

ข้อมูลหนังสือ The Coronavirus Prevention Handbook: 101 Science Based Tips that Could Save Your Life หรือ คู่มือป้องกันไวรัสโคโรนา ได้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสถานการณ์โรคติดต่ออุบัติใหม่ เขียนโดยคณะทำงานด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่รับมือกับการระบาดในเมืองอู่ฮั่น มีข้อแนะนำในการเตรียมความพร้อมทางใจและการดูแลสภาพจิตของตนเอง เพื่อก้าวผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน

Social Distance: รักษาระยะห่างระหว่างเรา

วิกฤตการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยกำลังเสี่ยงต่อภาวะแพร่ระบาดระยะที่ 3

หนึ่งในมาตรการที่ถูกหยิบขึ้นมาแก้ปัญหาเฉาะหน้าคือ ‘Social Distance’ เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม งดกิน ดื่ม เที่ยวในสถานที่ชุมนุมชน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Social Distance ถูกพูดถึง ในอดีตหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐเคยงัดมาตรการนี้ออกมาใช้แก้ปัญหาไข้หวัดใหญ่ 1918 แต่ก็สายเกินการณ์ ทำให้มีผู้สังเวยชีวิตไปถึง 4,500 คน

ประเทศไทยในปี 2020 หากไม่ปฏิบัติตามมาตรการ Social Distance โดยเคร่งครัด ฉากทัศน์ที่เลวร้ายสุดคาดว่า ตัวเลขผู้ป่วยอาจพุ่งทะยานถึง 16.7 ล้านคน ภายในปี 2563 หรือ 60% ของจำนวนประชากร

นั่นหมายถึง ภาวะแพร่ระบาดระยะที่ 3 ที่ลุกลามเป็นวงกว้าง และไม่อาจสืบหาต้นตอของการแพร่เชื้อได้

นับจากนี้คุณอาจกินอาหาร GMO เข้าไปโดยไม่รู้ตัว

เวลานี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตรียมผลักดันร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. … เรื่องการแสดงฉลากอาหารที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม หรือ GMO โดยจะอนุญาตให้อาหารที่มีส่วนประกอบของ GMO ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องติดฉลาก

ผลจากการดำเนินการของ อย. ทำให้คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) เกิดข้อกังวลว่า หากมีการออกประกาศเช่นนี้เท่ากับเป็นการปิดบังข้อมูลแก่ผู้บริโภค อันเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภคที่จะได้รับข้อมูลการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัย

คอบช. มีความเห็นต่อร่างประกาศฯ นี้ว่า อาหารทุกชนิดจำเป็นต้องระบุที่ฉลากว่า เป็นอาหารที่มีส่วนผสมของพืชหรือสัตว์ดัดแปรพันธุกรรมโดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีส่วนผสมกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ผู้บริโภคในการประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อ ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ผู้บริโภคย่อมมีสิทธิรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตนบริโภค

ทั้งนี้ คอบช. เห็นว่าร่างประกาศฯ นี้ถือเป็นการกระทำผิดหลักการของกฎหมาย และเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ เป็นการทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า

สุภาพร ถิ่นวัฒนากูล ประธาน คอบช. กล่าวว่า การทำร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการแสดงฉลาก GMO จะต้องนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลง แต่ร่างประกาศที่ออกมา แม้จะครอบคลุมทั้งพืชและสัตว์ GMO ทุกชนิด แต่กลับระบุให้รายงานเฉพาะที่มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 5 ขึ้นไปเท่านั้น ทำให้ส่วนประกอบของ GMO ที่ผู้ประกอบการจงใจใส่ลงไปในสูตรน้อยกว่าร้อยละ 5 ได้รับการยกเว้นไม่ต้องแสดงในฉลาก จนทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดคิดว่าไม่มีส่วนผสมของ GMO และไม่สามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่ปลอด GMO ได้จริง

“สิทธิของผู้บริโภคที่จะได้รับข่าวสาร รวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการโฆษณาหรือการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัยแก่ผู้บริโภค รวมถึงสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอย่างถูกต้องและเพียงพอที่จะไม่หลงผิดในการซื้อสินค้าหรือรับบริการโดยไม่เป็นธรรม”

ความหมายก็คืออาหารทุกชนิด ได้แก่ พืช สัตว์ จุลินทรีย์ และวัตถุเจือปนอาหาร ที่มีการตัดต่อ ตัดแต่ง ดัดแปร หรือเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมหรือผสมผสานสารพันธุกรรมใหม่จากวิธีการใช้เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ และใช้บริโภคเป็นอาหาร ต้องระบุที่ฉลากให้ชัดเจนว่ามีส่วนผสมของ GMO โดยไม่มีข้อแม้ว่ากี่เปอร์เซ็นต์

“ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่แสดงฉลาก GMO โดยสมัครใจหลายราย แต่ต่อไปจะไม่ต้องแสดงเลย” ประธาน คอบช. กล่าว

นอกจากนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคเกี่ยวกับฉลาก GMO ชี้ชัดว่าผู้บริโภคต้องการให้มีการแสดงข้อความบนฉลากด้วยตัวอักษรหนาและอ่านได้ชัดเจน สีของตัวอักษรตัดกับสีพื้นของฉลาก มีขนาดสัมพันธ์กับขนาดของพื้นที่ฉลาก และต้องแสดงสัญลักษณ์เป็นรูปสามเหลี่ยม พื้นสีเหลือง ตัวอักษรสีดำ โดยมีข้อความว่า ‘GMO’ บนฉลาก ไม่ใช่เป็นแค่ความสมัครใจของผู้ผลิตเท่านั้น

ประธาน คอบช. เน้นย้ำด้วยว่า ถึงแม้ว่าจะเลยกำหนดระยะเวลาการรับฟังความเห็นต่อ (ร่าง) ประกาศฯ ฉบับนี้ไปแล้ว แต่ทาง คอบช. และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญต่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งผู้บริโภคต้องมีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลที่แท้จริงในการบริโภคอาหาร

“อย. เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ต้องรับฟังและพิจารณาปรับแก้ไขเพื่อรักษาประโยชน์ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ไม่ใช่ห่วงผู้ประกอบการเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันห้องทดลองสามารถตรวจสอบได้หมดหากมีการใช้พืชสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม โดย คอบช. และเครือข่ายจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดทุกระยะ”

ถอดบทเรียนโครงการต้นแบบการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย โดย กลไก พชอ.

คคส.ได้ริเริ่ม ชุดโครงการต้นแบบการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย โดยกลไกคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.)โดยสนับสนุนทุนให้แก่ภาคีเครือข่ายประมาณ 40 พื้นที่ ให้ดำเนินโครงการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัยที่ขับเคลื่อนงานโดยกลไกคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ซึ่งเป็นกลไกที่มีศักยภาพในการพัฒนาสุขภาวะระดับชุมชน มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 15 เดือน โดยสิ้นสุดลงในเดือนมกราคม 2563

เพื่อให้ชุดโครงการที่มีสถานะเป็น “ต้นแบบ” ของการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคผ่านกลไก พชอ. นี้เกิดคุณค่าในการขยายผลไปสู่พื้นที่อื่น ๆ สมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ คคส. จึงเห็นควรให้มีการจัดกระบวนการถอดบทเรียนการดำเนินงานจากพื้นที่ปฏิบัติการ และนำความรู้ที่ได้ไปเรียบเรียงให้อยู่ในรูปของคู่มือเชิงปฏิบัติการ เพื่อเผยแพร่สู่ผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคผ่านกลไก พชอ. ในพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป

ในการจัดกิจกรรมถอดบทเรียนโครงการต้นแบบการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย โดยกลไกคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2563  ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 45 คน จาก 27 โครงการ ได้รับเกียรติจาก น.ส.อภิญญา ตันทวีวงศ์ นายยุทธดนัย สีดาหล้า และ ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร เป็นวิทยากรกระบวนการตลอดการประชุม

ผลจากการประชุมนำไปสู่โครงร่างคู่มือเชิงปฏิบัติการการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคผ่านกลไก พชอ. ในพื้นที่ จากนั้นจะดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึก ใน 4 พื้นที่ต่อไป

ผู้เข้าร่วมกระบวนการถอดบทเรียนโครงการต้นแบบการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย โดยกลไก พชอ.
อภิญญา ตันทวีวงศ์

 

ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร

องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคคุณภาพ จังหวัดศรีสะเกษ

คคส.ร่วมกับ สำนักงาน​สาธารณสุข​จังหวัด​ศรีสะเกษ​ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการคณะทำงานจัดตั้งองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคคุณภาพจังหวัด​ศรีสะเกษ​ ​เพื่อเตรียมความพร้อมทีมพี่เลี้ยง และแกนนำองค์กรผู้บริโภคเพื่อพัฒนาศักยภาพ​องค์กร​ผู้บริโภคในพื้นที่​ทั้ง​ 22​ อำเภอ โดยผู้เข้าร่วมจำนวน​ 150  คน​ ซึ่งประกอบด้วย​ แกนนำองค์กรผู้บริโภค จาก 40 องค์กร เภสัชกรโรงพยาบาล​ สำนักสาธารณสุข​อำเภอ​ เจ้าหน้าที่​รพ.สต.

ทั้งนี้ได้รับเกียรติ​จาก​ นพ.ทนง วีระแสง รองนายแพทย์​สาธารณสุข​จังหวัด​ศรีสะเกษ ​เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม​ จากนั้น​ รศ.ดร.ภญ.วรร​ณา​ ศรีวิริยานุภาพ​ ​แล บรรยาย​เรื่อง​ การตรวจสอบเอกสารองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ และ ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร และ ภก.บรรเจิด เดชาศิลปชัยกุล ร่วมเป็นวิทยากรฝึกปฏิบัติการตรวจเอกสารจริงเพื่อประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ

ประชุมเชิงปฏิบัติการคณะทำงานจัดตั้งองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคคุณภาพจังหวัดศรีสะเกษ
นพ.ทนง วีระแสง รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ

นำเสนอผลการจัดการความรู้ หลักสูตร นคบส.รุ่น ๖

คคส. ร่วมกับวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) สภาเภสัชกรรม จัดประชุมนำเสนอผลงานจัดการความรู้หลักสูตรการฝึกอบรมเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วยคณาจารย์วิทยาลัยฯ และผู้รับการอบรมฯ รวม ๓๐ คน

การประชุมนำเสนอผลงานจัดการความรู้ครั้งนี้ เป็นการนำเสนอผลงาน จำนวน ๑๗ เรื่อง ประกอบด้วย การนำเสนอวิชาความชำนาญด้านนโยบายและการบริหารระบบยาเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๓ เรื่อง และการนำเสนอวิชาความชำนาญทางระบาดเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๑๔ เรื่อง ซึ่งคณาจารย์วิทยาลัยฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงผลงานจัดการความรู้เพื่อให้ผลงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น

คณาจารย์ และ ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร นคบส.รุ่น ๖
คณาจารย์ และผู้เข้ารับการอบรม หลักสูตร นคบส.รุ่น ๖

สรุปบทเรียนการเรียนรู้ นจพบ. รุ่นที่ 4

คคส. ร่วมกับมูลนิธิเภสัชชนบท จัดการนำเสนอผลงานและสรุปบทเรียนการเรียนรู้โครงการอบรมหลักสูตรพัฒนาผู้นำการจัดการเพื่อผู้บริโภค (นจพบ) รุ่น ๔  ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓  ณ ห้องเลอเบลแอร์ โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต ดอนเมือง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหลักสูตร เพื่อพัฒนาและเสริมศักยภาพบุคคลซึ่งเป็นแกนนำในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพให้มีความรู้ทั้งด้านวิชาการและการปฏิบัติ

การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วยภาคีเครือข่ายภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคประชาชน จาก ๔ ภูมิภาค ๒๙ คน และได้รับเกียรติจาก ภก.ภาณุโชติ ทองยัง กรรมการมูลนิธิเภสัชชนบท และประธานหลักสูตร เป็นวิทยากรตลอดการอบรม

ผลจากประชุม ผู้เข้าร่วมได้ถอดบทเรียนการดำเนินโครงการในประเด็น (๑) รูปแบบการดำเนินโครงการ (๒) ปัจจัยสำเร็จ หรืออุปสรรคในการดำเนินโครงการ (๓) นวัตกรรม พื้นที่ต้นแบบ (๔) สิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดหลักสูตรอบรม และข้อเสนอแนะในการพัฒนาหลักสูตรในรุ่นต่อไป

ผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตร นจพบ.รุ่น ๔
ภก.ภาณุโชติ ทองยัง ประธานหลักสูตรฯ
รศ.ดร.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ ผู้จัดการแผนงาน คคส.

ในแต่ละวัน เราควรล้างมือเวลาไหน

การล้างมือด้วยสบู่ป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ได้จริงหรือ? – คือคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งท่ามกลางสถานการณ์โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก

ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าคนรู้หรือไม่รู้ แต่ปัญหาคือเมื่อรู้แล้วลงมือทำอย่างเคร่งครัดหรือไม่ต่างหาก

ที่จริงแล้วการล้างมือบ่อยๆ เป็นหนึ่งในมาตรการที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ รวมถึงโคโรนาไวรัส หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกล้วนให้คำแนะนำตรงกันว่า การล้างมือด้วยสบู่เป็นหนึ่งในวิธีป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุดเพียงแค่ 20 วินาทีเท่านั้นเอง

Infographic ชิ้นนี้เป็นการย้ำเตือนให้เกิดความตระหนัก และหากนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตรก็จะมีส่วนช่วยตัดวงจรการแพร่ระบาดของเชื้อโรคลงได้