โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความว่า “Social Distancing!” และประกาศเรื่องการประชุมที่ทำเนียบขาว แบบ Social Distancing
ขณะที่ ทิม คุก ซีอีโอแห่งค่าย Apple ระบุในแถลงการณ์เรื่องการปิด Apple Store ทั่วโลก ว่าในสถานการณ์ที่โรคยังระบาดหนักอยู่ สิ่งที่ทำแล้วได้ผลในการลดการแพร่ระบาดของไวรัสคือ การไม่ให้มีคนมาอยู่รวมกันจำนวนมาก รวมทั้งให้คนอยู่ในระยะห่างกัน
Social Distance หรือ ‘ระยะห่างทางสังคม’ และ Personal Distance หรือ ‘ระยะห่างระหว่างบุคคล’ เป็นหลักจิตวิทยาที่ถูกนำมาใช้เป็นมาตรการทางสาธารณสุข มีความสำคัญมากในการลดการแพร่ระบาดของโรคระบาดในปัจจุบัน
การรวมกันของคนหมู่มากเป็นแหล่งของการกระจายโรคอย่างรวดเร็ว (super spread) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ หรือ Center for Disease Control and Prevention กล่าวว่า ไวรัส COVID-19 สามารถแพร่ระบาดระหว่างคนที่อยู่ใกล้ชิดกันในระยะ 6 ฟุต หรือในระยะ 2 เมตร
“เขียนตอนนี้ได้เลยค่ะ แต่บอกความประสงค์เราให้ญาติๆ รู้ไว้ด้วยก็ดีค่ะ” พญ.ภาวินีให้คำตอบ ซึ่งถ้าเราลองเสิร์ชกูเกิลเราจะเจอกับตัวอย่างแบบฟอร์มการเขียน living will มากมายให้เราหยิบมาเป็นตัวอย่าง
คนไทยเขียนหนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้าหรือ living will กันเยอะไหม?
สุดท้ายแล้วเราจะเห็นถึงการทำงานว่าจริงๆ แล้วการรักษาแบบประคับประคอง คือการทำตามความต้องการของผู้ป่วยมากที่สุด เพลงที่จะฟัง รูปที่เลือกในงานศพ ลิปสติกที่จะทา เมื่อมนุษย์คนหนึ่งทำตามความต้องการตัวเองทุกอย่าง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาจากไปจะถูกเรียกว่า Good Death
“หมอไม่เอาธรรมะนะบอกก่อน (หัวเราะ)” พญ.วนิดากล่าว
เติมไฟให้คนรุ่นหลัง
“มันเป็นงานที่เพิ่มพลังนะ ถ้าเรามีเวลามากพอในการรักษา มันจะเป็นการตายที่เรียกว่า Good Death เพราะเราได้ทำตามความต้องการทุกอย่างของผู้ป่วยจนครบแล้ว ทำให้คนที่อยู่มีความรู้สึกว่าตัวเองได้ทำอะไรบางอย่างให้กับคนที่จากไปอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แล้วพลังตรงนั้นเขาก็ได้รับไปเพราะว่าเขาทำดีที่สุด และความรู้สึกนั้นก็ย้อนกลับมาที่เราด้วย” พญ.วนิดากล่าว
มาถึงตรงนี้ศาสตราจารย์แสวงได้ย้ำอีกรอบว่า ประเทศไทยขณะนี้ไม่มีปัญหาเรื่องกฎหมายในการทำตาม living will ของผู้ป่วย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหามากกว่าคือ แนวทางปฏิบัติในการรักษาแบบประคับประคองสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย (paliative care) เพราะหากโรงพยาบาลใดไม่มีแผนกดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายหรือหน่วยการรักษาแบบประคับประคอง โรงพยาบาลนั้นจะไม่สามารถทำตาม living will ของผู้ป่วยได้เลย เพราะไม่มีบุคลากรเข้ามาดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายต่อ ซึ่งในไทยมีโรงพยาบาลอีกหลายแห่งที่ยังไม่มีการจัดตั้งหน่วย paliative care
ผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องเข้าถึง Paliative Care
แพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขา paliative care เขต 2 กล่าวเสริมถึงกระบวนการทำงานของทีม paliative care โดยอธิบายถึงคำว่า hospice ไว้ว่าคือพื้นที่ส่วนหนึ่งที่โรงพยาบาลจัดไว้สำหรับการรักษาแบบ Paliative Care ให้กับผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยส่วนมากมักเป็นพื้นที่สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีญาติรับกลับไปดูแล หรือผู้ป่วยที่มาเตรียมความพร้อมก่อนกลับบ้าน
การดำเนินการรักษาแบบ paliative care คือ เมื่อใดที่ผู้ป่วยต้องการการรักษาแบบ paliative หรือเขียนหนังสือ living will ไว้แล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคู่กันไปคือการทำ advance care pain (แผนการดูแลล่วงหน้า) ที่แพทย์และผู้ป่วยพูดคุยและจัดทำร่วมกัน เพื่อเป็นแนวทางการรักษาตลอดระยะสุดท้ายของผู้ป่วย และหลังจากนั้นจะบันทึกไว้ในระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล ซึ่งจะแสดงให้บุคลากรทางการแพทย์รับทราบต่อไปว่าผู้ป่วยรายนี้มีการวางแผนชีวิตไว้อย่างไร และมีกระบวนการที่ต้องทำต่อไปอย่างไรบ้าง
เหตุที่การรักษาแบบ paliative care ยังไม่แพร่หลายในไทยมากนัก พญ.ภาวิณี มองว่า แพทย์ไทยในปัจจุบันจำเป็นอย่างมากที่ต้องพัฒนาทักษะด้าน paliative care และยังมีอุปสรรคในเรื่องทัศนคติและค่านิยมแบบเดิมๆ ที่เป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะแพทย์ที่ถูกฝึกฝนด้าน paliative care มา ส่วนมากก็เป็นได้เพียงแพทย์พาร์ทไทม์เท่านั้น
ประเด็นเรื่องทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์กับข้อกังวลด้านกฎหมายและการฟ้องร้อง ศาสตราจารย์แสวงได้เสนอทางออกว่า ควรมีการจัดตั้งกรรมการจริยธรรมขึ้นในแต่ละโรงพยาบาล เพื่อที่แพทย์จะได้มั่นใจในการใส่หรือถอดเครื่องช่วยหายใจ และมาช่วยอยู่ตรงกลางระหว่างญาติที่ต้องการให้รักษาต่อ และแพทย์ที่ต้องทำตาม living will ของผู้ป่วย
เช่นเดียวกับสุรสาที่ได้กล่าวเสริมว่า ไม่ใช่แค่การตั้งคณะกรรมการจริยธรรมอย่างเดียว แต่อยากให้โรงพยาบาลมีห้องให้คำปรึกษาสำหรับญาติและผู้ป่วย โดยไม่ต้องรอให้แพทย์เจ้าของไข้อนุญาติ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้การรักษาพยาบาลแบบ paliative care เป็นที่ยอมรับมากขึ้น