อุบัติเหตุซ้ำซาก ทางออกอยู่ตรงไหน

ใกล้ถึงเทศกาลวันหยุดยาวทีไร ประเทศไทยต้องมานั่งนับศพคนเจ็บคนตายกันทุกที ล่าสุดในรายงานสถานการณ์โลกด้านความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2561 โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยสถิติว่า แต่ละปีมีคนไทยสังเวยชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก หรือเฉลี่ย 20,000 คนต่อปี

ความสูญเสียนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะผู้ที่เสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง และลูกหลาน ที่ต้องแบกรับชะตากรรมที่เหลืออยู่ หากโชคดีแค่พิกลพิการ ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่นั่นก็หมายถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาต่อเนื่องอีกมหาศาล

เมื่อหันมามองในภาพใหญ่ นี่คือความสูญเสียระดับประเทศ ทั้งงบประมาณ กำลังคน และทรัพยากรในการบริหารจัดการ คิดเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 5 แสนล้านต่อปี

ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จำเป็นต้องอาศัยนโยบายที่ชัดเจนในการแก้ไขสถานการณ์ คำถามที่ประชาชนอยากรู้คือ พรรคการเมืองที่อาสาเข้ามาเป็นรัฐบาลมีแนวนโยบายในการจัดการปัญหานี้บ้างหรือไม่ และเอาจริงเอาจังแค่ไหน

 

‘แร่ใยหิน’ มัจจุราชในฝุ่นผง บนหลังคาบ้านเรา

ปี 2553 ที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เสนอมาตรการ ‘สังคมไทยไร้แร่ใยหิน’ ต่อมาวันที่ 12 เมษายน 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกับมาตรการยกเลิกการใช้แร่ใยหินทุกชนิด โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับหน้าที่จัดทำแผนยกเลิกการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายแร่ใยหิน และผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ

แต่จนถึงปัจจุบันมาตรการทั้งหลายยังไม่บรรลุเป้าหมาย อีกทั้งสถานการณ์ดูเหมือนจะไม่ดีขึ้น เมื่อพบว่าไทยยังคงมีการนำเข้าแร่ใยหินในปริมาณสูง ล่าสุดวงการแพทย์ได้ยืนยันตัวเลขที่แท้จริงของผู้ป่วยจากโรคเหตุแร่ใยหิน และคาดว่าในอนาคตอาจมีแนวโน้มตรวจพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

เช่นนี้แล้วคณะทำงานที่เกี่ยวข้องจึงเร่งหามาตรการเพื่อเดินหน้าผลักดันให้สังคมไทยไร้แร่ใยหินอย่างแท้จริงต่อไป

เปิดผลวิจัยผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหิน 2 ปี 28 ราย

หนึ่งในคณะทำงานวิจัย ‘โครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคเหตุใยหิน’ ศ.นพ.พรชัย สิทธิศรัณย์กุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และอาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะวิจัยได้ดำเนินการศึกษาทบทวนฐานข้อมูลสุขภาพ (Health data center: HDC) ของกระทรวงสาธารณสุข ระหว่างปี 2558-2559  ตามที่มีรายงานผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหินทั้งสิ้น 385 ราย เพื่อตรวจสอบจำนวนผู้ป่วยที่แท้จริง

สิ่งที่คณะวิจัยทำคือ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล นับตั้งแต่การวินิจฉัย การลงรหัสโรค ไปจนถึงเวชระเบียน กระทั่งเมื่อพิจารณาโดยละเอียดจึงพบว่า มีผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหินจริงจำนวนทั้งสิ้น 28 ราย ประกอบด้วย ผู้ป่วยมะเร็งเยื่อเลื่อม (Mesothelioma) 26 ราย (ได้แก่ มะเร็งเยื่อหุ้มปอด 21 ราย มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง 3 ราย มะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจ 1 ราย มะเร็งที่เยื่อหุ้มอัณฑะ 1 ราย) พังผืดในปอดจากใยหิน (Pleural plaque) 1 ราย และโรคปอดแอสเบสโตสิส (Asbestosis) 1 ราย

ในจำนวนผู้ป่วยทั้ง 28 ราย ยังพบด้วยว่า ส่วนหนึ่งมีประวัติสัมผัสแร่ใยหินจากการประกอบอาชีพ ทั้งงานก่อสร้างและผลิตกระเบื้องมุงหลังคา บางรายมีประวัติสัมผัสแร่ใยหินจากสิ่งแวดล้อม โดยเกิดจากการคุมงานก่อสร้างบ้านของตนเอง

“โครงการวิจัยของเรานับเป็นการรวบรวมเคสผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหินและชำระความถูกต้องครั้งใหญ่ที่สุด เพื่อสร้างโอกาสที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและติดตามโรคเหตุแร่ใยหิน โดยเฉพาะส่วนราชการที่ดูแลด้านสาธารณสุขที่ต้องเพิ่มความรัดกุมให้มากยิ่งขึ้น” ศ.นพ.พรชัย กล่าว

การเฝ้าระวังในความหมายของ ศ.นพ.พรชัย มีทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เชิงรุกคือ ค้นหากลุ่มคนงานที่ทำงานสัมผัสแร่ใยหินเพื่อเก็บเป็นฐานข้อมูลสำหรับการเฝ้าระวังในระยะยาว โดยประสานกับสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค ในการเฝ้าระวังคนงานกลุ่มเสี่ยง ซึ่งพบว่ามีการตรวจสุขภาพเพื่อเฝ้าระวังโรคเหตุแร่ใยหินยังไม่ครบถ้วน ทั้งการตรวจสมรรถภาพปอด การตรวจภาพถ่ายรังสีทรวงอก

ขณะเดียวกัน การเฝ้าระวังเชิงรับคือ การตรวจสอบข้อมูลผู้ป่วยให้มีความชัดเจนเชื่อถือได้ ซึ่งผลการวิจัยสะท้อนว่า ขั้นตอนการลงรหัสโรคยังมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนอยู่ จึงควรมีการปรับปรุงให้ละเอียดรอบคอบมากขึ้น แพทย์ควรซักประวัติการสัมผัสแร่ใยหินให้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้น รวมถึงการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัย

“สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ จากตัวเลขผู้ป่วยทั้ง 28 รายที่เรายืนยันนี้ ที่จริงแล้วยังมีข้อมูลที่ตกหล่นอยู่อีกมาก เราเชื่อว่ายังมีการรายงานจำนวนผู้ป่วยต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะคนที่เกี่ยวข้องกับโรคเหล่านี้ส่วนหนึ่งไม่ได้รับการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาจนถึงที่สุด เช่น ในจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดก็มีผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหินรวมอยู่ในนั้นด้วย และอาจเสียชีวิตไปโดยไม่ได้รับการตรวจชิ้นเนื้อโดยละเอียด หรือไม่ได้รับการซักถามประวัติอย่างละเอียดว่าเคยทำงานเกี่ยวข้องกับแร่ใยหินหรือไม่”

ศ.นพ.พรชัย อธิบายว่า ฐานข้อมูล HDC เป็นฐานข้อมูลเฉพาะของกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น ยังไม่นับรวมถึงโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ โรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลสังกัดเอกชนต่างๆ ที่อาจไม่ได้รายงานเข้ามายังฐานข้อมูล HDC อีกทั้งข้อมูลเหล่านี้ยังเป็นการศึกษารวบรวมเฉพาะปี 2558-2559 ซึ่งถือว่ายังไม่ครอบคลุมตัวเลขผู้ป่วยทั้งหมด

“ในช่วงเวลา 2 ปี เราพบผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหิน 28 ราย แต่นั่นยังถือว่าต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เพราะหากย้อนกลับไปดูข้อมูลที่ไกลกว่านี้ เคสผู้ป่วยก็อาจเพิ่มมากกว่านี้ก็เป็นได้ เนื่องจากประเทศไทยเรานำเข้าแร่ใยหินมานานกว่า 70 ปี”

ไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของเอเชีย นำเข้าแร่ใยหินสูงสุด

ประเทศไทยมีการนำเข้าแร่ใยหินมาเป็นเวลากว่า 70 ปี โดยบริษัทเอกชนนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตวัสดุก่อสร้างต่างๆ ผลิตภัณฑ์ที่พบมากคือ กระเบื้องมุงหลังคา ฝ้าเพดาน ฉนวนกันความร้อน กระเบื้องยาง รวมถึงผ้าเบรก คลัทช์ ปริมาณการนำเข้าอาจขึ้นอยู่กับสภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังเช่นปี 2540 ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู มีการนำเข้าแร่ใยหินสูงถึงเกือบ 180,000 ตัน

ต่อมาสถิติการนำเข้าเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตก และลดลงอีกครั้งหลังสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเริ่มรณรงค์แบนแร่ใยหิน ทว่าการนำเข้าแร่ใยหินของไทยก็ยังคงมีปริมาณสูง ติดอันดับ 1-5 ของเอเชีย สวนทางกับอีก 60 กว่าประเทศทั่วโลกที่ประกาศยกเลิกการใช้แร่ใยหินแล้ว

“นับจากมีการรณรงค์ ‘สังคมไทยไร้แร่ใยหิน’ ตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2553 ประเทศไทยเริ่มมีการนำเข้าแร่ใยหินลดลง จนกระทั่งเมื่อปี 2560 เราพบว่าเริ่มมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 21.13 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ คืออยู่ที่กว่า 41,000 ตัน และจนถึงสิ้นปี 2561 คาดว่าจะมีการนำเข้าสูงถึงกว่า 40,000 ตัน ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์สุขภาพของคนไทยยังคงมีความเสี่ยง ตราบใดที่แร่ใยหินยังไม่ถูกจัดเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 และมีการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง” ศ.นพ.พรชัย

ปริมาณการนำเข้าแร่ใยหินในประเทศไทย ปี 2553-2561

อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่ส่วนแบ่งการตลาด ศ.นพ.พรชัย ระบุว่า แร่ใยหินที่นำเข้าส่วนใหญ่เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ถูกนำมาใช้ผลิตกระเบื้องมุงหลังคา แต่กระเบื้องมุงหลังคาทั้งหมดในท้องตลาด เป็นกระเบื้องที่มีแร่ใยหินอยู่เพียงไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ อาจเรียกได้ว่ามาร์เก็ตแชร์ของบริษัทที่ใช้แร่ใยหินลดลงไปมาก โดยเฉพาะในช่วงหลายปีที่มีการรณรงค์แบนแร่ใยหิน

“ปัจจัยหนึ่งเป็นเพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนไปใช้วัสดุทดแทนที่ปลอดภัยกว่าและมีคุณสมบัติทนทานไม่แพ้กัน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก คงเหลืออยู่เพียงบริษัทเดียวที่ยังนำเข้าและผลิตอยู่ เนื่องจากอาจมีการกักตุนวัตถุดิบไว้มาก หรืออาจมีหุ้นอยู่ในเหมืองแร่ใยหินในต่างประเทศก็เป็นได้”

ส่องสถานการณ์แร่ใยหินทั่วโลก

  • ปี 2560-2561 แคนาดา บราซิล ยกเลิกการใช้และการส่งออกแร่ใยหินไครโซไทล์ โดยทั้งสองประเทศเป็นผู้ที่ส่งออกแร่ใยหินรายใหญ่ของโลก และเคยคัดค้านการยกเลิกแร่ใยหิน
  • หลายประเทศในอาเซียนประกาศยกเลิกแร่ใยหินแล้ว ได้แก่ สิงคโปร์ บรูไน ขณะที่ลาวประกาศยกเลิกในปี 2563 และเวียดนามประกาศยกเลิกในปี 2566
  • ปัจจุบันเกิดเครือข่ายเรียกร้องการยกเลิกแร่ใยหินในอาเซียน (SEA-BAN) โดยความร่วมมือระหว่าง 8 ประเทศ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม มาเลเซีย และไทย
  • ประเทศที่คัดค้านการยกเลิกแร่ใยหินในขณะนี้คือ รัสเซีย โดยใช้นโยบายกดดันทางการค้าหากประเทศคู่ค้ายกเลิกนำเข้าแร่ใยหิน ส่วนประเทศที่ยังคงให้การสนับสนุนคือ คาซัคสถาน อินเดีย และจีน

เพิ่มมาตรการแบนทุกช่องทาง

หากยุทธศาสตร์สังคมไทยไร้แร่ใยหินจะบรรลุเป้าหมายได้ นอกเหนือจากการเฝ้าระวังทั้งเชิงรุกและเชิงรับ อาจต้องใช้หลายแนวทางควบคู่กัน โดยหนึ่งในข้อเสนอเชิงนโยบายของคณะวิจัย ซึ่งเป็นวิธีที่นุ่มนวลที่สุดและค่อยเป็นค่อยไปที่สุด เช่น  การปรับปรุงกลไกราคา เพื่อสนับสนุนสินค้าที่ใช้สารทดแทนแร่ใยหิน

“ถ้ารัฐบาลพร้อมที่จะแบนแร่ใยหินจริงๆ แนวทางหนึ่งที่สามารถทำได้คือ การปรับปรุงกลไกราคา โดยทำให้กระเบื้องที่ไม่มีใยหินราคาถูกลงกว่ากระเบื้องที่มีใยหิน คล้ายกับเมื่อหลายปีก่อนที่มีการรณรงค์เลิกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีสารตะกั่ว โดยรัฐทำให้กลไกราคาของน้ำมันไร้สารตะกั่วถูกกว่าน้ำมันที่มีสารตะกั่ว คนจึงค่อยๆ เปลี่ยนมาใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วในที่สุด ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ก็พยายามปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ตอบสนองน้ำมันไร้สารตะกั่วได้ สุดท้ายเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมน้ำมันที่มีสารตะกั่วก็ถูกเลิกใช้ในที่สุด” ศ.นพ.พรชัย กล่าว

นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐเองยังสามารถเริ่มต้นเป็นแบบอย่างด้วยการยกเลิกการใช้แร่ใยหินในการก่อสร้าง ต่อเติม หรือซ่อมแซมอาคาร และเลือกใช้วัสดุที่ปลอดจากแร่ใยหิน ขณะเดียวกัน ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนปฏิบัติในการรื้อถอนกระเบื้องมุงหลังคาอย่างถูกวิธี ซึ่งต้องทำด้วยความระมัดระวังมิให้ฝุ่นแร่ใยหินฟุ้งกระจาย

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. ใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อยกเลิกการนำเข้าแร่ใยหิน เพิ่มมาตรการฟ้องร้องผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายสินค้าที่มีแร่ใยหิน โดยใช้ PL Law (Product Liability Law)
  2. ส่งเสริมสนับสนุนการใช้สารทดแทนที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ โดยกำหนดให้ส่วนราชการทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น ริเริ่มเป็นแบบอย่างในการก่อสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซมอาคาร
  3. สนับสนุนการเผยแพร่ความรู้และประชาชนให้สาธารณชนทราบ โดยผ่านช่องทางสื่อในกำกับของรัฐให้มากขึ้น
  4. พัฒนาระบบเฝ้าระวังและติดตามกลุ่มเสี่ยงให้มีความเข้มข้น โดยให้ภาควิชาการเข้ามามีส่วนสนับสนุนมากขึ้น
  5. เพิ่มยุทธศาสตร์การกำหนดราคาสินค้าที่ใช้สารทดแทนแร่ใยหิน ให้มีราคาถูกกว่าสินค้าที่ใช้แร่ใยหิน
  6. เพิ่มยุทธศาสตร์การร่วมวงในกลุ่มประเทศอาเซียน ตามแนวคิด One ban, All ban.
  7. เพิ่มยุทธศาสตร์ลดความเหลื่อมล้ำ โดยให้พิจารณาว่าแรงงานกลุ่มเสี่ยงที่ป่วยด้วยโรคเหตุแร่ใยหินนั้น เป็นผลส่วนหนึ่งจากความเหลื่อมล้ำในสังคม

ภารกิจยังไม่สิ้นสุด

อันตรายจากพิษภัยของแร่ใยหินคือ ไม่สามารถมองเห็นอาการเจ็บป่วยได้ใน 1-2 วัน หรือ 1-2 เดือน ต่างจากอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทั่วไปที่สามารถมองเห็นได้ไม่ยาก เพราะผลกระทบจากแร่ใยหินอาจต้องใช้เวลากว่า 15-30 ปี จึงจะปรากฏอาการในลักษณะของโรคมะเร็งต่างๆ

ศ.นพ.พรชัย กล่าวว่า ระยะเวลาในการเกิดโรคมะเร็งจากแร่ใยหินอาจใช้เวลาฟักตัวนานถึง 15-30 ปี นั่นคือความยากของการวินิจฉัยให้เห็นถึงความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับแร่ใยหิน แต่ข้อสรุปที่ชัดเจนคือ องค์การอนามัยโลกและองค์การนานาชาติที่วิจัยเรื่องโรคมะเร็งได้สรุปไว้ชัดเจนว่า แร่ใยหินเป็นเหตุให้เกิดโรคมะเร็งจริง และเป็นข้อมูลที่พบได้จากทั่วโลก

“ในอนาคตเป็นที่คาดการณ์ได้ว่า เราจะยังพบผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลสำคัญเนื่องจากเรายังไม่สามารถแบนแร่ใยหินได้ และยังมีผลิตภัณฑ์จากแร่ใยหินออกมาอย่างเนื่อง กลุ่มคนที่เสี่ยงที่สุดก็คือคนงานในโรงงานผลิต กับกลุ่มคนที่นำมาใช้คือ ช่างก่อสร้าง ช่างตัดกระเบื้อง เจียกระเบื้อง และอีกกลุ่มคือ คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหรืออาคารที่มีการต่อเติมซ่อมแซมและใช้วัสดุจากแร่ใยหิน”

ข้อกังวลอีกประการของ ศ.นพ.พรชัย ก็คือ ท้ายที่สุดแม้ว่าไทยจะสามารถแบนแร่ใยหินได้แล้วก็ตาม แต่ในอาคารเก่ายังคงมีกระเบื้องใยหินปะปนอยู่จำนวนมหาศาล และอาจตกค้างต่อไปอีกหลายสิบปี เมื่อหมดสภาพการใช้งาน เศษวัสดุเหล่านี้อาจกลายเป็นขยะอันตรายที่ย้อนกลับมาสู่สิ่งแวดล้อมและแพร่กระจายต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีการรณรงค์เสริมสร้างความตระหนักเพื่อให้ประชาชนรับมือกับแร่ใยหินอย่างถูกวิธี โดยคณะทำงานที่เกี่ยวข้องจะยังคงเกาะติดสถานการณ์ต่อไปจนกว่าสังคมจะไร้แร่ใยหินอย่างแท้จริง

สังคมไทยยังเปื้อน ‘แร่ใยหิน’

ปี 2554 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการยกเลิกการใช้ ‘แร่ใยหิน’ ทุกชนิด ตามที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติเสนอให้พิจารณา เพื่อผลักดันให้ ‘สังคมไทยไร้แร่ใยหิน’ แต่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถยกเลิกการใช้แร่ใยหินได้อย่างเบ็ดเสร็จ การต่อสู้ยังคงยืดเยื้อต่อไปบนข้อเรียกร้องที่ว่า ต้องยกเลิกการนำเข้า ผลิต และจำหน่าย จนกว่าประเทศไทยจะปลอดจากแร่ใยหินอย่างแท้จริง

กระทั่งล่าสุด คณะทำงานในโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคเหตุใยหิน ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้ชำระฐานข้อมูลสุขภาพ (HDC) ของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีแพทย์อาชีวเวชศาสตร์ยืนยันความถูกต้องในการตรวจวินิจฉัย พร้อมระบุตัวเลขผู้ป่วยด้วยโรคเหตุใยหินทั้งสิ้น 28 ราย

เมื่อหันมาตรวจสอบข้อมูลการนำเข้าแร่ใยหินในประเทศไทย กลับพบว่าช่วงปี 2560-2561 มีการนำเข้าในปริมาณที่สูงขึ้นอย่างน่าจับตา แน่นอนว่า หากไม่สามารถหยุดยั้งการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายเสียตั้งแต่วันนี้ มหันตภัยจากแร่ใยหินก็จะยังคงอยู่ใกล้ตัวเราไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน

ครบรอบ 12 ปีการประกาศ CL : การบังคับใช้สิทธิเพื่อผลิตและนำเข้ายา

ทำความเข้าใจ การบังคับใช้สิทธิเพื่อการผลิตและนำเข้ายาของประเทศไทย

ผ่านหนังสือ ประเด็น CL

เพื่อทำความเข้าใจอดีต และ ร่วมมองไปข้างหน้า

 

หนังสือ ประเด็น CL :

  1. การใช้สิทธิตามสิทธิบัตร:นวัตกรรมและการเข้าถึงยาถ้วนหน้า (ไทย)
  2. ความเห็นและข้อเสนอแนะการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยา
  3. สิทธิ (ชีวิต) เหนือสิทธิบัตรยา : ซีแอลของคนไทย
  4. ใครว่าไทยละเมิดสิทธิบัตรยา ที่จริงเรายังไม่ได้ทำอีกหลายอย่าง (Thai)
  5. หยุด! คอมบิด ชัยชนะในการคัดค้านก่อนออกสิทธิบัตร
  6. คำอภิปรายนอกสภา เรื่อง การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา (Thai)
  7. เสียงเพื่อผู้บริโภคการใช้สิทธิกับยาที่มีสิทธิบัตรเพื่อการเข้าถึงยาจำเป็น
  8. เกมการเมืองโลกเพื่อครองอำนาจผูกขาดตลาดยา
  9. คู่มือการชมละคร นางฟ้านิรนาม

โรคเหตุใยหิน: มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง

มีข่าวดีและข่าวร้ายจะเล่าสู่กันฟัง

ข่าวดี
ตุลาคมที่ผ่านมา คณะทำงานในโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคเหตุใยหิน ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้ศึกษาข้อมูลจากฐานข้อมูลสุขภาพ (Health data center: HDC) ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระหว่างปี 2558-2559 โดยพบว่าสามารถยืนยันผู้ป่วยจากโรคเหตุใยหินได้แล้วถึง 28 ราย

แบ่งเป็น ผู้ป่วยมะเร็ง mesothelioma 26 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีประวัติการสัมผัสแร่ใยหินจากการประกอบอาชีพ 5 ราย แบ่งเป็นทำงานก่อสร้าง 4 ราย และผลิตกระเบื้องมุงหลังคา 1 ราย และมีผู้ป่วยด้วยโรคปอด asbestosis 1 ราย และ โรคปอดหนา pleural plaque 1 ราย โดยทั้งคู่มีประวัติการสัมผัสแร่ใยหินผ่านการประกอบอาชีพทั้งสิ้น

ยืนยันว่า แร่ใยหิน เป็นปัจจัยก่อโรคมะเร็งจริง!

นี่คือการชำระความถูกต้องของข้อมูลทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับ ‘แร่ใยหิน’ ครั้งใหญ่ที่สุด

ข่าวร้าย
ในปัจจุบันเนื่องจากอันตรายจากเส้นใยแอสเบสตอสมีผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์ หลายประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วได้ประกาศห้ามนำเข้า รวมถึงได้ยกเลิกการใช้แร่ใยหินร่วมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว โดยมีการใช้วัสดุทดแทน แต่สำหรับประเทศไทยยังคงมีการนำเข้าแร่ใยหินประเภทไครโซไทล์และอะไมไซท์ เพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมอยู่บ้าง แต่ก็ยังจัดเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 3 คือ ห้ามทั้งผลิตและส่งออก หากต้องการมีไว้ในครอบครองจะต้องแจ้งขออนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมก่อนนำมาใช้

ศ.นพ.ดร.พรชัย สิทธิศรัณย์กุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หนึ่งในคณะทำงานได้ยืนยันถึงแนวทางการเคลื่อนไหวว่า ยังคงสนับสนุนให้มีการแบนแร่ใยหินต่อไป สังคมไทยต้องปลอดแร่ใยหินเท่านั้น แต่เรื่องน่าเศร้ามีอยู่ว่า

“เมื่อแบนแร่ใยหินได้เมื่อไหร่ ก็จะเหลือภาระการจัดการแร่ใยหินที่เหลือค้างในประเทศไทย ทั้งในรูปวัตถุดิบที่ยังอยู่ในโรงงาน และที่ผลิตเป็นกระเบื้องอยู่ตามบ้านเรือนแล้ว อีก 20-30 ปี เมื่อมีการรื้อตึกเหล่านี้คนไทยก็เสี่ยงต่อการสัมผัสแร่ใยหินอยู่”

ในปัจจุบันไทยยังไม่มีการยกเลิกการนำเข้าแร่ใยหิน และแร่ใยหินจะยังอยู่ในสังคมเราไปอย่างน้อยๆ ก็ 30 ปี

ยาแก้แพ้ ‘ลอราทาดีน’ อาจยิ่งทำให้แพ้

หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เปลี่ยนประเภทยา ‘ลอราทาดีน’ (Loratadine) ซึ่งเป็นยาลดอาการแพ้ จากเดิมที่เป็นยาอันตราย จ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกร เป็นยาที่ไม่ใช่ยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษ ซึ่งมีผลให้ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อหาได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา ทำให้นักวิชาการและองค์กรวิชาชีพด้านเภสัชกรรมมีข้อกังวลว่า การเปลี่ยนสถานะของยาประเภทนี้อาจเป็นอันตรายต่อการใช้ยาของประชาชน

รศ.ภญ.ดร.นุศราพร เกษสมบูรณ์ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่า ก่อนหน้านี้ อย. ได้จัดรับฟังความคิดเห็น และทางสภาเภสัชกรรมได้ทำข้อคิดเห็นคัดค้านการเปลี่ยนประเภทยาดังกล่าว และเห็นว่าควรจัดให้อยู่ในกลุ่มยาอันตรายเหมือนเดิม เนื่องจากเป็นยาที่มีข้อควรระวังในการใช้ และการวินิจฉัยอาการก่อนใช้ยามีความซับซ้อนเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะวินิจฉัยเองได้

“ข้อควรระวังในการใช้ยาลอราทาดีน ไม่ควรใช้ในกลุ่มผู้ป่วยโรคตับ ไต หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร และควรระวังกรณีใช้ร่วมกับยาต้านจุลชีพบางชนิด ยาต้านเชื้อรา ยาโรคหัวใจ เนื่องจากเกิด drug interaction หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า ‘ยาตีกัน’ กล่าวคือถ้าใช้ร่วมกับยาตัวอื่นอาจส่งผลให้ยาตัวอื่นหรือตัวมันเองออกฤทธิ์ได้มากขึ้นหรือน้อยลง”

รศ.ภญ.ดร.นุศราพร กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นการวินิจฉัยว่าผู้ซื้อยาที่เป็นผู้ป่วยอยู่ในภาวะมีน้ำมูกเนื่องจากการแพ้หรือไม่ และควรใช้ยาลอราทาดีนหรือไม่นั้น การวินิจฉัยค่อนข้างมีความซับซ้อน เช่น ดูว่าจามหรือไม่ น้ำมูกใสหรือไม่ มีอาการคัน คัดจมูกหรือไม่ มีอาการมากขึ้นในช่วงกลางคืนหรือไม่ กลางคืนต้องหายใจทางปากหรือไม่ เหนื่อยง่ายหรือไม่ ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ประชาชนทั่วไปยากจะวินิจฉัยด้วยตนเองได้

รศ.ภญ.ดร.นุศราพร กล่าวทิ้งท้ายว่า แนวโน้มการเปลี่ยนประเภทยาเพื่อให้ประชาชนใช้ยาด้วยตนเองได้ง่ายขึ้น เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก แม้ว่ามาตรการนี้จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงยา ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงด้านยากับประชาชนด้วย อีกทั้งการเปลี่ยนสถานะของยายังเป็นการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทยาเจ้าของผลิตภัณฑ์ เพราะสามารถขายได้ในร้านขายยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษ หรือ ขย.2 และสามารถขออนุญาตโฆษณาทางสื่อต่างๆ ได้

“ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญว่าประเทศไทยจะมีมาตรการในการออกแบบกลไกการพิจารณาประเภทยา เพื่อที่จะคุ้มครองประชาชนให้ใช้ยาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร” อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์กล่าว

เอกสารอธิบายการใช้เกณฑ์การจัดลำดับความสำคัญของสินค้าไม่ปลอดภัย

เอกสารอธิบายการใช้เกณฑ์การจัดลำดับความสำคัญของสินค้าไม่ปลอดภัย
โดย คคส.

1. คู่มือการใช้เกณฑ์การจัดลำดับความสำคัญของสินค้าไม่ปลอดภัย


2. สไลด์: การใช้เกณฑ์การจัดลำดับความสำคัญของสินค้าไม่ปลอดภัย

 

‘ผ่อนปรน’ หรือ ‘ควบคุม’ อนาคตกัญชา ยารักษาโรค

เพื่อสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม (ป.ป.ส.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข จัดอภิปรายภายใต้ประเด็น ‘การผ่อนปรนและแนวทางการควบคุมการใช้กัญชาทางการแพทย์’ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 โดยเชิญตัวแทนที่เกี่ยวข้องมาสะสางให้เกิดความกระจ่างต่อประเด็นสำคัญสองประการ คือ ‘ผ่อนปรน’ และ ‘ควบคุม’ การใช้กัญชาทางการแพทย์ อย่างไรกันแน่ที่จะเป็นอนาคตต่อไปของ ‘กัญชา’

วิชัย ไชยมงคล

วิชัย ไชยมงคล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า ความเป็นมาของร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2557 โดยศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข (ศอ.ปส.สธ.) ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายยาเสพติด เพื่อให้มีการผ่อนปรนการนำยาเสพติดที่เป็นประโยชน์มาใช้

จากนั้นในปี 2559 ทาง UN ก็ได้ดำเนินการประชุมและแนะนำกับภาคีว่า กำหนดให้มีบทลงโทษที่เหมาะสม ทำให้มีการร่างแก้ไขประมวลกฎหมายฯ จากเดิมคือประหารชีวิต หากมีการนำเข้ายาเสพติดมาในราชอาณาจักร ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรม จึงมีการปรับร่างประมวลกฎหมายใหม่ และมีการนำร่างกฎหมายยาเสพติดที่กระจัดกระจายมาประมวลยกร่างขึ้นใหม่

“ขณะนี้กำลังอยู่ในชั้นที่สองของการพิจารณา ซึ่งมีข้อยกเว้นว่า ถ้าเป็นการเสพเพื่อการรักษาโรคสามารถทำได้ และมีการผ่อนปรนการใช้ยาเสพติดประเภท 5 ในมาตรา 57 แต่ก็ยังเน้นเรื่องการใช้เพื่อรักษาโรค นอกจากนั้นยังมีการกำหนดพื้นที่ปลูกเพื่อการทดลอง และตามปริมาณที่กำหนดเพื่อการรักษา”

นอกจากนี้ ป.ป.ส. ยังผ่อนปรนให้มีการเสพพืชกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน โดยกำหนดเป็นพื้นที่เฉพาะ เช่น ในภาคใต้ อย่างไรก็ตาม กระท่อมยังถือเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 อยู่ ซึ่งวิชัยทิ้งท้ายว่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐบาลคิดไว้ตั้งแต่สองปีก่อนการประกาศของ UN ทว่าเมื่อประเทศไทยเป็นสมาชิกหนึ่งใน UN ประเทศไทยจึงจำต้องปฏิบัติตามกรอบที่ทาง UN กำหนดไว้

นพ.โสภณ เมฆธน

ขณะที่ นพ.โสภณ เมฆธน ประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า

“เรารู้ว่ากัญชามีประโยชน์อย่างมากทางการแพทย์ แต่ถามว่ามีโทษไหม แน่นอนว่ามี ถ้ามีการใช้ในวัยรุ่นก็อาจส่งผลให้เกิดอาการทางจิต ประกอบกับนานาชาติยังกำหนดว่ากัญชาเป็นยาเสพติดอยู่ ดังนั้น อะไรที่มีทั้งประโยชน์และโทษ เราต้องปรับเพื่อให้เป็นนวัตกรรมที่มีประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งถ้าเราแบ่งเป็นสามกลุ่มก็จะชัดเจนว่า หนึ่ง-กัญชามีประโยชน์ในการรักษาโรค อีกกลุ่มหนึ่งคือเราต้องเริ่มในสัตว์ทดลองเพื่อดูว่าต้องใช้ในปริมาณเท่าไร เช่น ใช้สำหรับรักษามะเร็งอย่างเดียว แต่แน่นอนว่ามีผลข้างเคียง เพราะฉะนั้นต้องระวังวิธีการดูแล เพราะในสังคมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและคนที่คัดค้าน ซึ่งเราต้องหาทางที่เดินไปด้วยกัน

“ดังนั้นการนำไปใช้เราจึงไม่ควรเรียกว่าเป็นการปลดล็อค แต่เป็นเพียงการคลายล็อค ควรเป็นไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นการคลายล็อคทางด้านกฎหมาย แล้วจึงคลายล็อคทางด้านการแพทย์ เมื่อกฎหมายอนุญาต ก็ต้องพิจารณาต่อว่าทางการแพทย์จะนำไปใช้อย่างไร”

ทั้งนี้ นพ.โสภณ ยังกล่าวเสริมในประเด็นข้อกังวลที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ปล่อยให้ 11 บริษัท ยื่นจดสิทธิบัตรสารสกัดจากกัญชานั้น ได้ให้ฝ่ายกฎหมายไปศึกษาเพิ่มเติมอยู่ เพราะสารสกัดจากพืชนั้นไม่สามารถนำไปจดสิทธิบัตรได้

ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน

‘ปลด’ หรือ ‘ถอดถอน’

ขณะที่ ภก.อนันต์ชัย อัศวเมฆิน อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายโดยยกตัวอย่างจากต่างประเทศที่มีการผ่อนปรนในแนวทางการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ไว้ว่า ประเด็นข้อถกเถียงในวงอภิปรายไม่ได้นำไปสู่ข้อสรุป เนื่องเพราะแต่ละคนไม่ได้มีแนวคิดในภาพรวม อนันต์ชัยมองว่าการใช้เพียงข้อมูลที่มีอยู่ไม่ทำให้เห็นทุกแง่มุม อีกทั้งยังไม่ได้ตั้งคำถามให้ชัดเจนระหว่างทาง

“เราไม่ได้ต้องการปลดล็อคกัญชาและกระท่อม เราต้องการถอดกัญชาและยาเสพติดโดยไม่มีเงื่อนไข คำถามคือเราต้องการอะไรกันแน่ เราต้องการทางออกของสังคมกับความคาดหวัง ทางออกคือ เราต้องการเข้าถึงผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ใช่ไหม เราไม่ใช้ในการสันทนาการใช่ไหม ถ้าเราต้องการเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ เรากำลังจะเข้าถึงผลิตภัณฑ์กัญชา แล้วมันมาจากไหน ปลูกเองหลังบ้านหรือเปล่า ซึ่งเราต้องตัดสินใจก่อนว่าเราอยากรักษาตัวเองแบบกระท่อมเลยหรือได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ”

นอกจากนี้ ภก.อนันต์ชัย ยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่ควรจะคุยกันคือ การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ หรือ medical purpose ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดการควบคุมแผนการทดลองในที่สุด ซึ่งประเด็นการตั้งเป้าหมายการนำกัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ สำหรับในต่างประเทศได้ขึ้นตำรับเป็นยาที่สามารถนำไปผสมในอาหาร เครื่องสำอาง รวมถึงในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการ อย. กล่าวว่า กฎหมายปัจจุบันที่ใช้กันอยู่มีมาตรการในการห้ามผลิตและจำหน่ายยาเสพติดประเภท 4 และ 5 เว้นแต่รัฐมนตรีจะเห็นชอบเป็นรายๆ ขั้นตอนจริงๆ โดยรวมคือ สามารถผลิตได้ แต่เสพไม่ได้ แต่ตอนนี้มาถึงขั้นตอนที่สามารถทดลองแปรรูปในสัตว์ทดลองได้ ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งในการผลิตก็ต้องมีผู้อนุญาต

“แนวคิดที่เราเห็นตรงกันคือ จะนำมาใช้ในทางการแพทย์และการวิจัย เราค่อนข้างคาดหวังว่าร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดของ สนช. จะต่อเนื่องไปถึงการวิจัยในคลินิก ประเด็นเพิ่มเติมก็คือว่า การที่จะใช้เสพเพื่อรักษาโรค ได้มีการแก้ไขในจุดอ่อนในเรื่องของการใช้ในแพทย์แผนไทย”

ประเด็นสำคัญต่อมาคือ เรื่องของกรอบเวลา เลขาธิการ อย. ประมาณการไว้ว่า ในเดือนธันวาคม ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติด จะแล้วเสร็จ ซึ่ง อย.ได้เตรียมดำเนินการด้วยการยกร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่า พ.ร.บ.นี้จะตอบโจทย์ในหลายๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม ร่างที่เสนอ ครม. นั้น ทาง อย.เสนอให้มีคณะอนุกรรมการมาดูแลเรื่องของแพทย์แผนไทยเฉพาะเรื่องนโยบาย และเรื่องการใช้กัญชาทางการแพทย์

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์

ส่วนของกรมการแพทย์ ซึ่งอาจเป็นปลายทางของการนำกัญชาไปใช้เพื่อเป็นยารักษา ไม่ใช่ยาเสพติด นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ชี้แจงไว้ว่า การนำไปใช้ต้องมีข้อบ่งใช้ด้วยวิธีมาตรฐาน แพทย์ผู้สั่งต้องมีใบประกอบวิชาชีพ ต้องขึ้นทะเบียน ไม่ใช่ว่าทุกโรงพยาบาลในประเทศไทยจะสามารถทำได้ เพราะจะมีการติดตาม มีบันทึกการสั่งใช้ ต้องบอกข้อดีและข้อเสียกับคนไข้ รวมถึงต้องมีการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรว่าใช้เพื่อการวิจัย

“เรารู้ว่ากัญชามีสายพันธุ์และส่วนผสมของสารเคมีที่แตกต่างกัน ต้องทราบปริมาณและอัตราส่วน ผู้วิจัยหลักต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในโรคนั้น มีความพร้อมในการดูแลอาสาสมัคร ถามว่าถ้าสนใจอยากจะใช้ ตอนนี้เรากำลังเขียนให้เป็นโครงร่างวิจัยต้นแบบแล้วมาร่วมกันทำ”

นพ.สมศักดิ์กล่าวต่อว่า ในส่วนของกรมการแพทย์จะเน้นเพียงแค่สองอย่าง นั่นคือ หนึ่ง-ประโยชน์ต้องได้กับคนไข้ ไม่ใช่คนสกัด สอง-คนไข้ต้องปลอดภัย ถ้ายึดสองข้อนี้เป็นหลัก ปลายทางเรื่องการนำกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์จึงจะสามารถคุยกันต่อได้

“อยากปรับ อยากแก้ อยากเสนออะไร ผมยินดี และอีกครั้งครับ เรายินดีที่จะรับฟังความเห็นทุกภาคส่วนเพื่อให้คนได้ประโยชน์สูงสุด”

ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล

การวิจัยและผลิตสารสกัดกัญชา

หากมีการนำไปใช้ทางการแพทย์เป็นผล การนำน้ำมันกัญชาไปใช้เพื่อผลิตออกมาเป็นตัวยา จึงนำมาสู่การนำเสนอของ ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ในฐานะตัวแทนขององค์การเภสัชกรรม ได้กล่าวว่า เบื้องต้นจะมีการทำโครงการนำร่องเพื่อผลิตสารสกัดต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ขึ้นมาก่อน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนจากพืชสมุนไพรยาเสพติด สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ได้สายพันธุ์กัญชาไทยที่สมบูรณ์แข็งแรง มีปริมาณสารสำคัญที่สามารถใช้เป็นยาได้ และผลิตกัญชาเป็นยารักษาโรคที่ยาแผนปัจจุบันรักษาไม่ได้ผล

“ในขณะนี้ ต้นกัญชาที่เป็นวัตถุดิบเราไม่สามารถปลูกได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดการศึกษาวิจัย เราต้องไปรับของกลางมาจำนวนหนึ่ง ในส่วนขององค์การเอง เรามีความพร้อมในการวิจัยและพัฒนาสารสกัด และมีงานวิจัยและทีมงามเพียงพอที่จะดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ออกมาให้ผู้ป่วยและให้คุณหมอในการทดลองทางอื่น  ซึ่งในกระบวนการสกัด เรามีสถานที่เพื่อให้ได้เป็นโรงงานสารสกัดซึ่งกำลังเจรจากับ อย. และการเพาะปลูกเราจะใช้พื้นที่บริเวณดาดฟ้าอาคารดังกล่าว เพื่อให้เกิดการคัดเลือดสายพันธ์ุให้ได้สารสำคัญสูงสุด ในระดับอุตสาหกรรมต่อไป”

ภญ.นันทกาญจน์ทิ้งท้ายไว้ว่า องค์การเภสัชกรรมมีความตั้งใจที่จะมองหาพื้นที่ที่จะขยายออกไปเพื่อปลูกและทำโรงงานสารสกัดเพื่อให้สามารถรองรับกับผู้ป่วยได้เพียงพอ

ปลดล็อคกฎหมายกัญชา ซื้อ-ขาย-ใช้ได้ แต่ (ยัง) ไม่เสรี

พฤษภาคม 2561

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการศึกษากับมนุษย์ ก่อนเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา

7 ตุลาคม 2561

นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ และ นายยุทธนา ทัพเจริญ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) แถลงว่า ได้บรรจุร่างพระราชบัญญัติยาเสพติด (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการนำกัญชาไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ไว้ในวาระการประชุมของ สนช. แล้ว โดย นายสมชาย แสวงการ เลขานุการวิป สนช. กล่าวว่า “ทาง สนช. อยากจะทำให้เสร็จ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่คนไทย เพราะว่าก่อนหน้าก็ได้ประสานกับญาติผู้ป่วยเป็นมะเร็ง ก็เห็นว่ากฎหมายนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์”

2 พฤศจิกายน

นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม และประธานคณะกรรมการพิจารณาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมจะปรับปรุงอาคารขององค์การเภสัชกรรมเป็นสถานที่ปลูกและวิจัยในระบบปิด มีการวางแผนผลิตน้ำมันกัญชา 4,000 ขวด ในเดือนมกราคม 2562 เพิ่มการผลิตเป็นเดือนละ 6,000 ขวด ตั้งแต่กุมภาพันธ์-เมษายน 2562 และหลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไปจะผลิตให้ได้เดือนละ 60,000 ขวด และวางแผนผลิตเป็นอุตสาหกรรมที่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี ด้วยงบประมาณ 120 ล้านบาท แต่ยังไม่สนับสนุนให้ชาวบ้านปลูกเอง

6 พฤศจิกายน

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงว่า 13 พฤศจิกายน ครม. จะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติด (ฉบับที่ …) พ.ศ. … ก่อนส่งให้ สนช. พิจารณา โดยก่อนหน้านี้ได้มีการส่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เข้าสู่ สนช. ไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม แต่ สนช. ได้พิจารณายกร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ในการแพทย์เป็นการเฉพาะ เนื่องจากเห็นว่าการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยาเสพติด (ฉบับที่ …) พ.ศ. … อาจจะใช้เวลานานเกินไป

13 พฤศจิกายน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลที่ประชุม ครม. ว่า ครม. เห็นชอบในหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … โดยให้แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และให้ตราเป็น พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ซึ่งครอบคลุมถึงการใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ให้สามารถนำเข้าหรือส่งออกยาเสพติดประเภท 5 ได้ในกรณีที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ของทางราชการ โดยได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต
  2. เพื่อกรณียกเว้นให้มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 ไว้ในครอบครองไม่เกินจำนวนที่จำเป็นสำหรับการรักษาโรคเฉพาะ หรือสำหรับใช้ในการปฐมพยาบาลหรือกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในเรือ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่นใดที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศ
  3. เพิ่มเติมให้ใช้ยาเสพติดประเภท 5 ได้ หากกระทำเพื่อการรักษาโรค ตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบโรคศิลป์ หรือเพื่อการศึกษาวิจัย
  4. เพิ่มเติมให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มีอํานาจกำหนดเขตพื้นที่เพื่อทดลองปลูกพืชที่เป็นหรือให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ผลิตและทดสอบยาเสพติดประเภท 5 หรือกำหนดเขตพื้นที่ให้เสพหรือครอบครองยาเสพติดประเภท 5 ในปริมาณที่กำหนด โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและต้องมีมาตรการควบคุมตรวจสอบ
  5. ตัดยาเสพติดประเภท 5 ออกจากบทบัญญัติห้ามผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก และการมีไว้ในครอบครอง รวมถึงการกำหนดปริมาณยาเสพติดประเภท 5 ที่ให้สันนิษฐานว่า มีไว้เพื่อครอบครอง จำหน่ายออก โดยใช้เนื้อหาเดียวกันนี้ไปกำหนดเพิ่มเติมในมาตราอื่น

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะต้องประกาศกฎกระทรวงเพื่อมาควบคุมการใช้กัญชาอีก 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงทดลอง จากนั้นมีการทบทวนว่าจะมีการปรับเปลี่ยนต่อไปอย่างไร

14 พฤศจิกายน

เมื่อกัญชากำลังจะถูกใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ มีการเปิดเผยว่า บริษัทต่างชาติหลายรายได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรการนำสารสกัดจากกัญชาไปใช้ โดยมีบริษัท Thai Otsuka เป็นขาใหญ่ยื่นจดอย่างน้อย 8 ใบ ทำให้ภาคประชาสังคมแสดงความกังวลว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาละเลยกฎหมายหลายประการ เพราะหากบริษัทต่างชาติได้สิทธิบัตร เท่ากับว่าไทยจะไม่มีสิทธิในการทดลอง พัฒนา หรือนำไปใช้งานทางการแพทย์ได้เหมือนที่คิดไว้

โดยสรุปคือ ขณะนี้กัญชาอยู่ในสถานะถูกปลดกุญแจมือ แต่ยังติดตรวน ไม่ใช่เสรีกัญชาเหมือนที่บางคนเข้าใจ เพราะยังจำกัดการใช้เฉพาะทางการแพทย์ เฉพาะหมอและผู้ป่วย ส่วนการปลูกนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ส. และกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ให้อนุญาตเรื่องความเหมาะสมของพื้นที่ และการผลิตก็ต้องมีมาตรการควบคุมอย่างใกล้ชิด

นายพุทธิพงษ์เพิ่มเติมว่า “ไม่ได้หมายความว่าปลูกหลังบ้านก็ได้”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
bbc.com
bbc.com
khaosod.co.th
mgronline.com

ต่างชาติจดสิทธิบัตรกัญชาไทย จะเกิดอะไรขึ้น

กำลังเป็นประเด็นร้อนกรุ่นควัน กับ ‘กัญชา’ ที่กำลังจะถูกปลดล็อคให้นำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้

นับเป็นสัญญาณที่ดี เพราะรู้กันมานานแล้วว่า ในฐานะสมุนไพร กัญชาคือพืชยาชนิดหนึ่ง ที่มีคุณประโยชน์ในการบำบัดรักษาโรค บรรเทาอาการเจ็บปวด แต่สำหรับประเทศไทย ปราการสำคัญที่ทำให้กัญชาไทยยังไม่ไปต่อคือกฎหมายยาเสพติด ที่ยังมีชื่อของกัญชาอยู่ในยาเสพติดประเภทที่ 5 แม้จะมีการทดลองสารสกัดได้ แต่ตามกฎหมาย เรายังไม่สามารถนำมาทดลองกับมนุษย์เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้จริง เป็นที่มาของการผลักดันให้มีการแก้กฎหมายยาเสพติด

แต่เมื่อคนไทยเห็นประโยชน์ของกัญชา ต่างชาติก็เห็น และมีหลายบริษัทที่เตรียมเข้าถือสิทธิบัตรในการใช้ประโยชน์จากกัญชา โดยเฉพาะการนำสารสกัดจากกัญชาไปใช้ในการผลิตยา และจากข้อมูล มีรายชื่อของบริษัทต่างชาติ 11 ราย ที่ผ่านขั้นตอนการยื่นคำขอแล้ว และนี่คือภาพรวมว่า ถ้าต่างชาติถือสิทธิบัตรกัญชาไทย อะไรจะเกิดขึ้น

 

เกิดอะไรขึ้น ถ้าบริษัทต่างชาติยื่นคำขอสิทธิบัตร

แม้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะยืนยันว่า บริษัทที่เข้ามายื่นคำขอนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการจดสิทธิบัตร แต่ในทางปฏิบัติ หากท้ายที่สุดแล้ว บริษัทต่างชาติได้สิทธิบัตรในการประดิษฐ์นั้นไป เท่ากับว่าสิทธิในการผลิต ใช้ ขาย เสนอขาย และนำเข้า เป็นเวลา 20 ปีนั้นจะย้อนไปถึงวันที่ยื่นขอ

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บรรดาบริษัทที่ยื่นคำขอและผ่านขั้นตอนการตรวจสอบเบื้องต้นและได้มีการประกาศโฆษณามีสิทธิตามมาตรา 35 ทวิ ที่จะ ‘บอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษร’ กับองค์กรหรือกลุ่มนักวิจัยของไทยได้ว่า พวกเขาอยู่ในระหว่างการยื่นขอสิทธิบัตรในงานชิ้นนี้อยู่ เป็นเหตุให้ทั้งองค์การเภสัชกรรมและทีมนักวิจัยไม่สามารถทำการวิจัยหรือทดลองสารสกัดจากกัญชาที่ตรงกับการประดิษฐ์นั้นได้ เพราะหากบริษัทต่างชาติได้สิทธิในการผลิตไป เท่ากับว่าองค์กรของไทยเป็นผู้ฝ่าฝืน และต้องชำระค่าเสียหายย้อนไปถึงวันที่ยื่นคำขอ

สิทธิบัตรกัญชา

คำขอจดสิทธิบัตรไปถึงขั้นตอนไหน

ข้อมูลจากไบโอไทยระบุว่า มีการยื่นเรื่องขอจดสิทธิบัตรของบริษัทต่างชาติจากอังกฤษและญี่ปุ่นทั้งหมด 11 คำขอ ตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งผ่านขั้นตอนการยื่นคำขอ ชำระค่าธรรมเนียม อยู่ในขั้นตอนการประกาศโฆษณาและการตรวจสอบการประดิษฐ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 ไม่มายื่นตรวจสอบการประดิษฐ์ 1 คำขอ (ละทิ้งคำขอรับสิทธิบัตร)

กลุ่มที่ 2 ยังไม่ยื่นตรวจสอบการประดิษฐ์ 7 คำขอ (รอภายใน 5 ปี)

กลุ่มที่ 3  เป็นการยื่นตรวจสอบการประดิษฐ์ 3 คำขอ

 

กรมทรัพย์สินทางปัญญามีสิทธิยกคำขอได้

สำหรับข้อสงสัยที่ว่า ทำไมกรมทรัพย์สินทางปัญญาถึงรับคำขอของบริษัทต่างชาติ กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้เหตุผลว่า การยื่นคำขอรับสิทธิบัตรเป็นสิทธิที่ผู้ประดิษฐ์จะพึงดำเนินการได้ตามกฎหมายสิทธิบัตร ไม่สามารถยกเลิกคำขอได้

แต่ตามกฎหมายของประเทศไทย มีวิธียกคำขอสิทธิบัตรได้ คือ

กฎหมายสิทธิบัตร มาตรา 5 ภายใต้บังคับมาตรา 9 การประกาศขอรับสิทธิบัตรต้องเป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่ มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น และสามารถประยุกต์ได้ทางอุตสาหกรรม

กฎหมายสิทธิบัตร มาตรา 9 (1) ระบุว่า จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีอยู่ตามธรรมชาติ สัตว์พืช หรือสารสกัดจากสัตว์หรือพืช เป็นการประดิษฐ์ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ หรือไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ ดังนั้น สารสกัดกัญชา ซึ่งเป็นสารสกัดจากพืช จึงไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ตั้งแต่แรก

ยกตัวอย่างเช่น การใช้ไฟโตแคนนาบินอยด์ในการรักษามะเร็ง ซึ่งบริษัทแห่งหนึ่งได้ยื่นขอสิทธิบัตรจนมาถึงขั้นตอนการประกาศโฆษณาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2557 นั้น ขัดต่อกฎหมายมาตรา 9 (1) อย่างชัดเจน เพราะเป็น ‘สารสกัดต้นแคนนาบิส’ (cannabis plant extract)

กฎหมายสิทธิบัตร มาตรา 9 (4) การวินิจฉัย บำบัด รักษาโรคมนุษย์หรือสัตว์ เป็นการประดิษฐ์ที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร

กฎหมายสิทธิบัตร มาตรา 28 (1) ถ้าอธิบดีเห็นว่าการประดิษฐ์นั้นไม่ถูกต้องตามมาตรา 17 หรือไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 9 ให้อธิบดีสั่งยกคำขอนั้น

กฎหมายสิทธิบัตร มาตรา 30 เมื่อมีการประกาศโฆษณาแล้ว ปรากฏว่าคำขอรับสิทธิบัตรไม่ชอบด้วยมาตรา 5 มาตรา 9 มาตรา 10 มาตรา 11 หรือมาตรา 14 ให้อธิบดีสั่งยกคำขอสิทธิบัตร

กฎกระทรวง ฉบับที่ 22 (พ.ศ. 2542) ออกตามความในพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 ข้อ 6 การประดิษฐ์ที่ยื่นคำขอนั้นไม่ได้ตามมาตรา 9 ให้พนักงานหรือเจ้าหน้าที่เสนอรายงานอธิบดีเพื่อสั่งยกคำขอสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรได้

ดังนั้น เมื่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้ปฏิบัติตามนี้ ในสายตาของภาคประชาสังคมถือว่าเป็นการละเลย

บริษัทต่างชาติผู้ยื่นคำขอสิทธิบัตรสารสกัดจากกัญชา

  1. หมายเลขคำขอ 0201004306 สารสกัด CBD+THC รักษากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหาร เจ้าของ แอสตราเซเนกา เอบี / สถานะ ละทิ้งคำขอหลังประกาศโฆษณา
  2. หมายเลขคำขอ 0501005232 สารสกัด THC องค์ประกอบทางเภสัชกรรม เจ้าของ ยูโร-เซลตีเกอ เอส.เอ. / สถานะ ยื่นคำขอให้ตรวจสอบ ยื่นแก้ไขใหม่
  3. หมายเลขคำขอ 0601002456 สารสกัด THC ส่วนผสมทางเภสัชกรรม เจ้าของ ยูโร-เซลตีเกอ เอส.เอ. / สถานะ ยื่นคำขอให้ตรวจสอบ
  4. หมายเลขคำขอ 0801006631 เจ้าของ Otsuka Pharmaceutical และ GW Pharma / สถานะ ประกาศโฆษณา
  5. หมายเลขคำขอ 0901002471 สารสกัด CBD+THC รักษาเนื้องอกและมะเร็ง เจ้าของ Otsuka Pharmaceutical และ GW Pharma / สถานะ ยื่นคำขอให้ตรวจสอบ
  6. หมายเลขคำขอ 0901002472 สารสกัด CBD+THC องค์ประกอบเภสัชรักษาโรคมะเร็ง เจ้าของ Otsuka Pharmaceutical และ GW Pharma / สถานะ ประกาศโฆษณา
  7. หมายเลขคำขอ 1101003758 (PCT) สารสกัด CBD+THC โรคลมบ้าหมู อาการชัก เจ้าของ Otsuka Pharmaceutical และ GW Pharma / สถานะ ประกาศโฆษณา
  8. หมายเลขคำขอ 1201004672 (PCT) สารสกัด CBD+THC รักษามะเร็ง เจ้าของ Otsuka Pharmaceutical และ GW Pharma / สถานะ ประกาศโฆษณา
  9. หมายเลขคำขอ 120100511 (PCT) สารสกัด derivation ของ CBD รักษาโรคลมบ้าหมู เจ้าของ Otsuka Pharmaceutical และ GW Pharma / สถานะ ประกาศโฆษณา ยื่นแก้ไขคำขอ
  10. หมายเลขคำขอ 1301003751 สารสกัด CBD+ ยากลุ่ม SAEDs รักษาโรคลมชัก เจ้าของ Otsuka Pharmaceutical และ GW Pharma / สถานะ ประกาศโฆษณา
  11. หมายเลขคำขอ 1401001619 (PCT) สารสกัด CBD+CBDV องค์ประกอบทางเภสัชกรรม เจ้าของ Otsuka Pharmaceutical และ GW Pharma / สถานะ ประกาศโฆษณา

 

CBD: Cannabidiol
THC: Tetrahydrocannabinol
CBDV: Cannabidivarin
PCT: Patent Cooperation Treaty