กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อบรม อสม นักวิทย์ชุมชนคุ้มครองผู้บริโภค ใช้ Kahoot ในสมาร์ทโฟนประเมินความรู้ หนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพิ่มประสิทธิภาพงาน

การอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนที่กำลังดำเนินการอยู่ ในเดือน พค และ มิย 2560 นี้ โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผ่านทางศูนย์วิทยาศาสตร์การ เขตต่างๆทั่วประเทศ สำนักงานสาธารณสุขสุขจังหวัดกว่า 20 จังหวัดร่วมกับ ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส) คณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือสสส. ในการนี้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์หลายเขตเช่น ศูนย์วิทย์ เขต1 เชียงใหม่ และศูนย์วิทย์ เขต 1/1 เชียงราย และ ศูนย์วิทย์ฯเขต 9 นครราชสีมา ได้นำโปรแกรม Kahoot มาใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ ทั้งก่อนและหลังการอบรม โดยมีข้อคำถาม 15 ข้อเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ เรื่องหน้าต่างเตือนภัย การใช้ชุดทดสอบสารสเตียรอยด์ การใช้ชุดทดสอบปรอท ไฮโดรควิโนน และกรดวิตามินเอที่ผสมมาในเครื่องสำอางอย่างไม่ถูกต้อง พิษภัยของสารสเตียรอยด์ที่ปนมาในยาสมุนไพร สารปรอท ไฮโรควิโนนและกรดวิตามินเอที่ปนเปื้อน มาในเครื่องสำอาง บทบาทของ อสม ในการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคโดยใช้ความรู้และเทคโนโลยีจากวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ทำให้การประเมินผลการเรียนรู้ก่อนและหลังการอบรมทั้งรายบุคคลและในภาพรวม ทำได้รวดเร็ว ผู้จัดกระชุม สามารถให้ อสม ตอบคำถามไปพร้อมกัน และสามารถเฉลยคำตอบและให้ความรู้ได้ตามข้อคำถาม นำไปสู่ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ในการปฏิบัติ ทำให้ อสม สามารถปรับปรุงตนเองในการทดสอบหลังการอบรม

การอบรมโดยทั่วไปมักจะขาดการประเมินผลการอบรม เพื่อทราบว่า ผู้เรียนได้รับความรู้ก่อนและหลังการอบรมมากน้อยเพียงใด หลักการที่เรียกว่า OLE หรือ Objective (วัตถุประสงค์) Learning (การเรียนรู้) และ Evaluation (การประเมินผล) จึงไม่ครบถ้วน โปรแกรม Kahoot ออกแบบให้สามารถตอบคำถามเพื่อการประเมินผลภายหลังการอบรม

การใช้โปรแกรม Kahoot สามารถให้ อสม ตอบคำถามผ่านในโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และเปิดเข้าสู่โปรแกรมออนไลน์โดยมีการให้รหัสไปเพื่อให้ทุกคนเข้าไปในโปรแกรมซึ่งสามารถทำได้ในเวลาไม่นานนัก

การดำเนินการในหลายจังหวัดพบว่าอาสาสมัครสาธารณสุขนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนสามารถดำเนินการได้ถึง 8 ใน 10 คน ส่วนคนที่ใช้โปรแกรมไม่ได้ หรือไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ก็สามารถให้ทำแบบทดสอบในกระดาษได้ อย่างไรก็ตามพบว่ายังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับ Wifi (ไวฟาย) ที่หลายพื้นที่ยังไม่มีคลื่นที่แรงพอสำหรับผู้เข้าประชุม โดยเฉพาะในการประชุมที่มีจำนวนผู้เข้ารับการอบรมเป็นจำนวนมาก หรือในพื้นที่ปิด

ดังนั้นหากผู้จัดอบรมจะเตรียมการใช้วิธีประเมินผลจากสมาร์ทโฟนโดยให้เข้าสู่ระบบออนไลน์จำเป็นต้องสำรวจห้องประชุมและเตรียมการให้พร้อมเกี่ยวกับ Wifi (ไวฟาย) ที่จะรองรับการดำเนินการออนไลน์ ก่อนที่จะใช้โปรแกรม Kahoot ในการอบรม ผู้ที่สนใจการใช้โปรแกรม Kahoot สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก อินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ในการอบรมที่ใช้โปรแกรม Kahoot ได้นั้นต้องขอขอบคุณศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เขตต่างๆที่ริเริ่มมีการพัฒนาการประเมินผลโดยการนำโปรแกรมนี้มาใช้ ถือได้ว่า การดำเนินการนี้เป็นการตอบสนองนโยบายที่ให้นำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ในการดำเนินงาน หรือนโยบายไทยแลนด์ 4.0

รายงานโดยศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพคณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภค อย เขต 6 รุกงานเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ

วันที่ 30-31พค.2560 กองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในภูมิภาคและท้องถิ่น (เขต6) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับสำนักงานเขตสุขภาพที่ 6 จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการประสานเครือข่ายศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ เขตสุขภาพที่6โดยมี นายแพทย์ ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 6 เป็นประธานในพิธีเปิด กล่าวรายงานโดย โดย ภญ.ดร.ณธิป วิมุตติโกศล มีผู้เข้าร่วมประชุม รวม 90 คน ประกอบด้วย เภสัชกรจาก สสจ. ,รพศ. ,รพท., รพช.และ เทศบาลเมืองพัทยา ได้รับเกียรติจากนายแพทย์อภิชาติ รอดสม สาธารณสุขนิเทศก์เขตสุขภาพที่6 และ ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ภก วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร รองอธิบดี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รศ ดร ภก วิทยา กุลสมบูรณ์ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภญ ดร สุภาพร ปิติพร รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และ ภญ วิมล สุวรรณเกษาวงษ์
ผู้เชี่ยวชาญ พิเศษด้านมาตรฐานยา อย ทั้งนี้เครือข่ายเภสัชกรในเขต6 และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มีแผนการดำเนินงานร่วมกัน ในการประสานเครือข่ายเพื่อดำเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และ แนวทางการพัฒนางานการเฝ้าระวังความปลอดภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพต่อไป

ปิดท้ายอย่างสวยงาม “โครงการขับเคลื่อนเครือข่ายวิทยาศาสตร์การแพทย์ฯ” ด้วยทีม อสม. นักวิทย์ฯ เมืองคอน

 

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 สุราษฎร์ธานี ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช ภายใต้การสนับสนุนของ คคส. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการขับเคลื่อนเครือข่ายวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคระดับจังหวัด” ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ณ ห้องบงกชรัตน์ 1-2 โรงแรมทวินโลตัส อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้เกิดเครือข่ายงานคุ้มครองผู้บริโภคระดับตำบลครอบคลุมทุกอำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเป้าหมายเน้นสร้างทีมบุคลากรที่สำคัญ ได้แก่ แกนนำ อสม.นักวิทย์ฯ ประจำตำบลๆ ละ 2 คน  และเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงในศูนย์เฝ้าระวังฯ ที่จัดตั้งขึ้น ณ รพ.สต. โดยในเบื้องต้นนำร่อง จำนวน 100 แห่ง กระจายในทุกอำเภอ โดยมีสำนักงานสาธารณสุขอำเภอทั้ง 23 อำเภอ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นจุดเชื่อมประสานของเครือข่าย

การจัดอบรมได้รับเกียรติจากนายแพทย์บัญชา ค้าของ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นประธาน ทำให้เจ้าหน้าที่ทีมพี่เลี้ยงทั้ง รพ.สต. สสอ. และ อสม. ได้รับนโยบายเพื่อขับเคลื่อนนครศรีธรรมราชสู่ต้นแบบงานด้านสาธารณสุข (PP & P Excellence) การอบรมเน้นการทำความเข้าใจการจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวัง
รับเรื่องร้องเรียน และแจ้งเตือนภัยระดับตำบล โดยเริ่มต้นจากสมัครเข้าใช้งานในหน้าต่างเตือนภัย (www.tumdee.org/alert) และมีทีมงานซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่งาน คบส. ของ รพ.สต. และแกนนำ อสม.นักวิทย์ฯ ซึ่งได้รับการฝึกฝนในเรื่องการตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ยาสมุนไพร อาหาร เครื่องสำอาง ผ่านหน้าต่างเตือนภัยและการใช้ชุดทดสอบเบื้องต้น เพื่อนำความรู้ไปใช้งานในชุมชนของตนเอง เมื่อเห็นผลว่าชุมชนมีเครื่องสำอางหรือยาที่ปนเปื้อนสารอันตราย ก็เกิดความตระหนักของการจัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนภัย และวางแผนต่อยอดแก้ไขปัญหาพัฒนาสู่ต้นแบบงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยกตัวอย่าง เช่น  รพ.สต.โมคลาน อ.ท่าศาลา มีการสำรวจผลิตภัณฑ์สุขภาพ และพบว่ามีปัญหาพบการการใช้ยาสมุนไพรผสมสเตียรอยด์ แกนนำ อสม. ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่ จึงได้จัดทำโครงการจิตอาสาโมคลาน เพื่อให้ค้นหาสาเหตุ ที่มา และให้ความรู้แก่คนในชุมชน ให้ตระหนักถึงพิษภัยของผลิตภัณฑ์ที่อันตรายผสมยาสเตียรอยด์ ไม่หลงเชื่อโฆษณาที่โอ้อวดเกินจริง เป็นต้น นอกจากนี้ ในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชยังมีการรวมกลุ่มสื่อสารงานกันในกลุ่มไลน์ อสม.นักวิทย์ เมืองคอน และมีเครือข่ายศูนย์แจ้งเตือนภัย 201 แห่ง เป็นระดับตำบล 133 แห่ง และเป็นระดับอำเภอและจังหวัดรวม 68 แห่ง

ทั้งนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 สุราษฎร์ธานี ได้จัดอบรมขับเคลื่อนเครือข่ายฯ ครบทั้ง 4 จังหวัดแล้ว ซึ่งกิจกรรมต่อไปจะต้องติดตาม ประเมินผลการขยายเครือข่าย อสม.นักวิทย์ฯ ในระดับหมู่บ้าน และการจัดตั้งทีมงาน อสม.นักวิทย์ฯ ในศูนย์แจ้งเตือนภัย ณ รพ.สต. เพื่อให้เกิดชุมชนต้นแบบด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค กระตุ้นให้หน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบได้สมัครเข้าเป็นเครือข่ายศูนย์เฝ้าระวังฯ มุ่งหวังให้ครบร้อยละ 100 ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560

ลำปาง เสริมพลัง อสม นักวิทย์ชุมชนคุ้มครองผู้บริโภค อบรมสามรุ่นสามวัน ทั้งจังหวัด ๓๕๒ คน

 

ที่ลำปาง โรงแรมเอเชีย ลำปาง โฮเต็ล กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงใหม่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปางและ ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ จัดประชุมขับเคลื่อนงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน สามรุ่นในวันที่ ๓๑ พค ๑ มิย ๒ มิย รวม ๓๕๒ คน

โดยมี ภก ไพรัตน์ หริณวรรณ เภสัชกรชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บรืโภคและเภสัชสาธารณสุข กล่าวรายงาน และ มีการกล่าวเปิดการประชุมโดย นายแพทย์วรินทร์เทพย์ เชื้อสำราญ รองนายแพทย์ใหญ่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ได้กล่าวย้ำ ถึงความสำคัญของการใช้วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคและบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขนักวิทยาศาสตร์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยกล่าวว่า
” ปัจจุบันงานด้านสาธารณสุขครอบคลุมสี่ด้าน คือ รักษาโรค ส่งเสริมและป้องกัน ฟื้นฟูสุขภาพ และคุ้มครองผู้บริโภค การคุ้มครองผู้บริโภคคือการปกป้องให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ หรือได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารต้องห้าม หรือ ผลิตไม่ได้
ตามกฏหมายหมดไป หรือมีน้อยที่สุดปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ต่างๆมากมายทั้งที่จดทะเบียน และไม่ได้จดทะเบียน มีการขายด้วยวิธีการต่างๆ ใช้การส่งเสริมการขายทั้งขายตรง ขายทางโทรศัพท์ และ ขายออนไลน์ กระจายทั่วไป เกิดปัญหา การกระจายของผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่มากมาย การควบคุมโดยอาศัยภาครัฐไม่สามารถทำได้ทั่วถึง จึงต้องทำให้ประชาชนผู้บริโภค รู้จักเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์โดยดูข้อมูลในเบื้องต้นจากเอกสารและฉลากที่มากับสินค้า ไม่หลงตามโฆษณา การประชุมอบรมในวันนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ อาสาสมัครสาธารณสุขนักวิทย์ชุมชนระมัดระวังตนเอง ครอบครัว คนรอบข้างและ ถ่ายทอดความรู้เพื่อให้เกิดการป้องกันภัยในชุมชน จึงขอให้ อสม นักวิทย์ชุมชนร่วมกันในการปกป้องประชาชนให้ปลอดภัยจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย”

ในการอบรมทั้งสามวันมีการใข้โปรแกม Kahoot ประเมินผลการเรียนรู้ก่อนและหลังการอบรมในฐานความรู้สี่ฐาน ประกอบด้วย การใช้หน้าต่างเตือนภัย การทดสอบสเตียรอยด์ในยาและสมุนไพร การทดสอบสารปลอมปนในเครื่องสำอาง การอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ยา อาหารและเครื่องสำอาง ผู้เข้าอบรมได้รับความรู้ มีความสุขสนุกสนาน และเชื่อมั่นว่าสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้
ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

รายงานโดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บรืโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง

ประชุมจัดระบบเฝ้าระวังการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ตาม ร่าง พรบ ควบคุมการตลาดอาหารฯ

วันที่ ๑ มิถุนายนนี้ ที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ท กรมอนามัย ร่วมกับ ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ และศูนย์นมแม่ฯจัดประชุมเตรียมความพร้อมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวางแผนพัฒนาระบบเฝ้าระวัง และควบคุมการตลาดนมผงสำหรับทารกและเด็กเล็ก

การประชุมฯ กล่าวเปิดโดย นพ ธงชัย เลิศรัตนพงษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย
ดังนี้ “การประชุมครั้งนี้ เป็นการเตรียมการตามเนื้อหาสาระ ร่าง พระราชบัญญัติการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก พศ ๒๕๖๐ โดย ผู้เข้าประชุม ประกอบด้วย สสจ ทั้งฝ่ายส่งเสริมสุขภาพและกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค และ
โรงพยาบาลศูนย์และทั่วไปโดย ฝ่ายส่งเสริมสุขภาพ รวม ๒๕๐ คนวัตถุประสงค์ เป็นการออกแบบระบบและการเฝ้าระวัง เพื่อทำให้กฎหมายที่ประเทศไทยพยายามจนเกิดผลบรรลุผล ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุด คือ เพิ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเด็ก

นพ ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล
อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ได้บรรยาย เรื่อง ความคาดหวัง โดยกล่าวว่า มีสี่ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
(๑) นโยบายของรัฐ ที่ครอบคลุมการลาคลอด สวัสดิการ และ กฎหมายนมแม่

(๒) ระบบสุขภาพและบุคลากร
หมอเด็ก หมอสูติ พยาบาลที่ดูแลการคลอดการส่งเสริม

(๓) การสื่อสาร
มีความสำคัญมาก รวมถึงภาคประชาสังคมและประชาชนที่สนับสนุน

(๔) องค์การระหว่างประเทศ
มีการอ้างเรื่องการกีดกันการค้า
อุตสาหกรรมนมผง

อุตสาหกรรมนมผงขยายตัวพัฒนามาเกือบร้อยปี การขยายตัวของอุตสาหกรรมทำให้การขายนมผงเฟื่องฟู มีการศึกษาพบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมผงนมขวดมีอัตราตายสูงกว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถึงหกเท่า

มีการขายนมจากแม่กัมพูชาไปอเมริกา เพื่อให้เด็กอเมริกากิน

มีการใส่สาร เช่น MFGM ที่บอกว่าให้ผลดีต่อเด็ก

ครอบครัวฐานะปานกลาง มีค่าใช้จ่ายในการให้นมผงสูงกว่านมแม่ 15 เท่า

ตลาดนมแม่เกิดจากการสร้างขึ้นโดยภาคธุรกิจ ทำการตลาดขึ้นมาให้ขายของได้ มีการทำสูตรนมผงว่าเป็นอาหารดีของทารก

องค์การอนามัยโลกสนับสนุนการเกิดกฎหมายควบคุมการตลาดนมผง ทั้งนี้ อเมริกาใต้ อินเดีย อาฟริกา ตื่นตัวมาก่อน ในเอเชีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ดำเนินการก่อนไทย ไทยมีอัตราเลี้งลูกด้วยนมแม่ต่ำสุดในอาเซียน. การมีเพียงโคดนมแม่ไม่เกิดผล จึงต้องมีกฎหมายนี้ ในประเทศไทย มีการละเมิดกฎหมายในรูปแบบต่างๆมาก การมีกฎหมายจึงมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพสังคมไทย

นอกจากนี้ได้มีการอภิปรายแนวทางการดำเนินการตามกฎหมาย และ
หาแนวทางร่วมกันในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและกำกับดูแลการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กต่อไป

รายงานโดย
รายงานโดย ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ ป่าซาง จังหวัดลำพูน มุ่งมั่นติวเข้มต่อยอดนักวิทย์ชุมชน

วันที่ 30 พ.ค.60 ที่อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ (สอน.) ป่าซาง โดยการนำของผู้อำนวยการ สอน. คุณจันทร์ศรี มูลวงศ์ ร่วมกับ ชมรมคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพตำบลป่าซาง อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน จัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคตำบลป่าซาง เพื่อเป็นการสานต่อโครงการขับเคลื่อนเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพจังหวัดลำพูน โดยการจัดอบรมความรู้เรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพและอาหารปลอดภัย รวมทั้งการฝึกปฏิบัติใช้ชุดทดสอบหาสารห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์สุขภาพ ให้แก่ อสม. 70 คน ทุกหมู่บ้านในเขตตำบลป่าซาง โดยมุ่งหวังที่จะขยายเครือข่ายการเฝ้าระวังด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน มากยิ่งขึ้น มีเทศบาลตำบลป่าซางเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณในการจัดอบรม วิทยากรจาก สอน.ป่าซาง โรงพยาบาลป่าซาง และนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบปัญหาการบริโภคที่ผู้เข้ารับการอบรมนำเสนอ เช่น การใช้เครื่องสำอางที่มีสารห้ามใช้ ยาลูกกลอนแก้ปวดพบสารสเตียรอยด์ อาหารเสริมลดความอ้วน ซึ่ง สอน.มีโครงการ R2R เพื่อจะนำยาสมุนไพรมาใช้ทดแทน

รายงานโดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน

เตือนภัยมะเร็งปอดจากใยหิน โครงการ “หละปูนฮ่วมใจ๋ ไร้แร่ใยหิน” ขับเคลื่อนต่อเนื่อง


วันที่ 30 พ.ค.60 เทศบาลตำบลริมปิง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน จัดอบรมกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอันตรายจากการใช้วัสดุที่ปนเปื้อนแร่ใยหิน ตามโครงการรณรงค์ “ฮิมปิงฮ่วมใจ๋ ไร้แร่ใยหิน” โดยการสนับสนุนของชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขตำบลริมปิง ขอรับงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลริมปิง จัดอบรมสล่า (ช่างก่อสร้าง) ผู้รับเหมา ร้านขายวัสดุก่อสร้าง อสม. และคณะกรรมการกองทุนสุขภาพตำบลริมปิง จากทุกหมู่บ้าน จำนวน 50 คน ในหัวข้อ 1) พิษภัยของแร่ใยหินกับการเจ็บป่วย 2) มาตรการป้องกันอันตรายจากสินค้าที่มีแร่ใยหิน และ 3) ความร่วมมือของชุมชนท้องถิ่นในการป้องกันอันตรายจากสินค้าที่มีแร่ใยหิน
โดยมีท่านเอนก มหาเกียรติคุณ นายกเทศมนตรี ตำบลริมปิง เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม และนายธวัชชัย กันทะวันนา ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้บริหารจัดการอบรมครั้งนี้
วิทยากร ได้แก่ นพ.โภคิน นายแพทย์ด้านเวชศาสตร์ชุมชน กลุ่มงานอาชีวเวชกรรม โรงพยาบาลลำพูน และ ภก.จิระ วิภาสวงศ์ เภสัชกรเชี่ยวชาญ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการรณรงค์แก้ไขปัญหาจากแร่ใยหินในจังหวัดลำพูน

ผู้เข้ารับการอบรมมีความสนใจและตื่นตัวต่อความรู้ที่ได้รับเป็นอย่างยิ่ง มีการซักถามและให้ความเห็นต่อมาตรการที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาต่อไป

รายงานโดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน

“อสม. นักวิทย์ฯ เมืองคนดี สุราษฎร์ธานี”  รวมพลังเต็มที่ขับเคลื่อนงานต้านภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพอันตราย

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 สุราษฎร์ธานี ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใต้การสนับสนุนของ คคส. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ “โครงการขับเคลื่อนเครือข่ายวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชนเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคระดับจังหวัด” จำนวน 2 รุ่น ในวันที่ 22-23 พฤษภาคม 2560 ณ ห้องออคิด โรงแรมนิภาการ์เด้น อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อให้เกิดเครือข่ายงานคุ้มครองผู้บริโภคครอบคลุมทุกตำบลทุกอำเภอของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเป้าหมายเน้นสร้างทีมบุคลากรนำร่องที่สำคัญ ประมาณ 520 คน ได้แก่ แกนนำ อสม.นักวิทย์ฯ ประจำตำบลๆ ละ 2 คน และเจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงในศูนย์เฝ้าระวังฯ ที่จัดตั้งขึ้น ณ รพ.สต. จำนวน 167 แห่ง โดยมีสำนักงานสาธารณสุขอำเภอทั้ง 19 อำเภอ และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเป็นจุดเชื่อมประสานของเครือข่าย

การจัดอบรมได้รับเกียรติจากนายแพทย์ขจรศักดิ์ แก้วจรัส นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นประธาน ทำให้เจ้าหน้าที่ทีมพี่เลี้ยงทั้ง รพ.สต. สสอ. และ อสม. ได้รับนโยบายเพื่อขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขและงานคุ้มครองผู้บริโภคสู่ยุค Thailand 4.0 โดยการสมัครเข้าใช้งานหน้าต่างเตือนภัยเป็นศูนย์เฝ้าระวังฯ 135 แห่ง (80%) ส่วนแกนนำ อสม.นักวิทย์ฯ ยังตั้งใจฝึกการใช้งานฐานข้อมูลหน้าต่างเตือนภัย (www.tumdee.org/alert)  และการใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นเพื่อตรวจหาสารอันตรายในยาสมุนไพรและเครื่องสำอางที่ได้เก็บตัวอย่างมาล่วงหน้าจากชุมชนของตนเอง เมื่อเห็นผลว่าชุมชนมีเครื่องสำอางหรือยาที่ปนเปื้อนสารอันตราย ก็เกิดความตระหนักของการจัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนภัย อสม.และพี่เลี้ยงจึงได้ประเมินศักยภาพของชุมชนตนเอง เพื่อวางแผนต่อยอดพัฒนาสู่ต้นแบบงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยกตัวอย่าง เช่น สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองบ้านตาขุน จะเสริมความเข้มแข็งให้ทีม อสม.นักวิทย์ และศูนย์แจ้งเตือนภัยประจำตำบล โดยเริ่มที่ รพ.สต.บ้านพรุไทย มีการรณรงค์ให้ความรู้ผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาจำหน่ายในร้านชำ ผ่านโครงการ “ร้านชำคุณภาพ 5 ดี 5 ดาว” และมีการประเมินโดยเจ้าหน้าที่ รพ.สต. สสอ. เภสัชกรโรงพยาบาล และตรวจผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยโดยทีม อสม.นักวิทย์ฯ

ทั้งนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 11 สุราษฎร์ธานี จะเร่งจัดอบรมให้ครบทั้ง 4 จังหวัด ภายในเดือนพฤษภาคม 2560  เพื่อขยายทีม อสม.นักวิทย์ฯ ชุมชน และศูนย์เฝ้าระวังให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยจะจัดอบรมครั้งต่อไปในพื้นที่จังหวัดชุมพร ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2560

“ผักเคียงน้ำชุบ” อาหารใต้ให้คุณค่าโภชนาการ ทั้ง ลูกฉิ่ง ผักชีล้อม ใบมันปู

อาหารใต้ ในร้านอาหาร ร้านข้าวแกง
จะจัดให้มี น้ำชุบ หรือ น้ำพริกกะปิ ที่กินด้วยกับข้าวเพิ่มรสชาดเสริมรสกับข้าวอื่น มักให้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือ จะมีผักให้ด้วย เป็นการเสริมรสชาดเคียงอาหาร เช่น
ลูกฉิ่ง (ช่วยการทำงานระบบทางเดินอาหาร) ผักชีล้อม (เจริญอาหาร ช่วยย่อย) ใบมันปู (เบตาแคโรธีน วิตามินเอ มีเส้ยใย) นอกเหนือจาก ถั่วฝักยาว
แตงกวา และอื่นๆ นี่คือการเสริมทั้งคุณค่าทางโภชนาการและรสชาดคู่ขนานกันไป เป็นการกินดีอยู่ดีตามวิถีชาวบ้าน จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเสียเงินซื้ออาหารเสริมยาวิเศษหลอกเรา

เตือน”วิตามินแท่งชนิดสูบ” ไร้ประโยชน์ สร้างค่านิยมให้วัยรุ่นสูบบุหรี่ ไม่ดีต่อปอด โฆษณาเกินจริงละเมิดกฎหมาย

ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ชี้  “วิตามินแท่งชนิดสูบ” เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการสร้างค่านิยมให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมที่จะสูบบุหรี่ โดยเป็นการเริ่มจากพฤติกรรมที่คล้ายกัน การอ้างว่าได้วิตามินเพื่อความสวยงามนั้นเป็นไปได้ยากเพราะร่างกายจะได้รับวิตามินจากการดูดซึมในระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก มีเฉพาะวิตามินเอที่ได้รับจากแสงแดด การได้วิตามินจากการสูบจึงไม่มีเหตุผลทางวิชาการมาสนับสนุน และการได้รับควันที่ไม่ใช่อากาศบริสุทธิ์จากออกซิเจนก็อาจเป็นโทษ ที่สำคัญคือ เป็นการโฆษณาเกินจริงละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค และอาจถูกตีความว่าผิดข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคควรเร่งพิจารณาบังคับใช้กฎหมายเพื่อดูแลพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคในเรื่องสิทธิด้านความปลอดภัยและสิทธิในการ ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นธรรม ตามสาระในรัฐธรรมนูญ พศ ๒๕๖๐ ในมาตรา ๖๑