มาตรา 12 สิทธิการตายที่เลือกได้ก่อนถึงลมหายใจสุดท้าย

ความตายคือความจริงแท้ของชีวิต ไม่มีใครหนีพ้นความตายได้ การทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมสำหรับความตายในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องเรียนรู้ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง และเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะขอตายอย่างสงบ ตายอย่างเป็นธรรมชาติ หรือจะขอรับการรักษาพยาบาลต่อไปเพียงเพื่อจะเหนี่ยวรั้งชีวิตจนถึงนาทีสุดท้าย

มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อให้สิทธิประชาชนในการเลือกที่จะปฏิเสธการรักษาได้ หากการรักษานั้นไม่สามารถช่วยให้หายจากโรคหรือเป็นเพียงการยืดเวลาออกไปโดยไม่เกิดประโยชน์ กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้มาร่วม 13 ปี แต่ที่ผ่านมาประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมถึงแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุข อาจยังไม่เข้าใจความหมายและแนวปฏิบัติที่ถ่องแท้เท่าใดนัก

ด้วยเหตุนี้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่ายจึงได้จัดมหกรรม ‘สร้างสุขที่ปลายทาง’ ครั้งที่ 3 เพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง และยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิในการเลือกตายตามธรรมชาติ ตามมาตรา 12

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์และความจำเป็นของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (palliative care) ตอนหนึ่งว่า การดูแลแบบประคับประคองเป็นแนวทางการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่นานาประเทศปฏิบัติกันโดยทั่วไป เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานน้อยที่สุด หรือที่เรียกว่าการตายดี คือการจากไปอย่างสบายและสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีความเข้าใจผิดว่าการดูแลแบบประคับประคองมักใช้กับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงคือมีเด็กที่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวนกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องการการดูแลแบบประคับประคอง ฉะนั้นสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นต่อไปก็คือ การทำให้คนทุกกลุ่มวัยเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคอง และขยายการบริการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มโรคที่เข้าสู่ภาวะสุดท้ายของชีวิต

อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวอีกว่า ในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ขณะเดียวกัน แนวโน้มของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในคนไทยก็เพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่าอัตราการเจ็บป่วยจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสนับสนุนแนวทางการดูแลแบบประคับประคองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายการดูแลแบบประคับประคองให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระบบสุขภาพ (Service Plan) รวมทั้งจะสนับสนุนให้เกิดการทำงานแบบไร้รอยต่อ โดยให้มีการประสานและส่งต่อระหว่างชุมชน หน่วยบริการปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และสามารถสร้างสุขที่ปลายทางได้อย่างแท้จริง” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยมี พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 ที่ให้การรับรองสิทธิของบุคคลในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียงเพื่อการยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พร้อมทั้งคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขที่ได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลที่ได้ทำหนังสือแสดงไว้ โดยให้ถือว่าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดและพ้นจากความรับผิดทั้งปวง

นพ.ประทีป กล่าวว่า ทุกวันนี้การรับรู้ของประชาชนรวมถึงบุคลากรด้านสาธารณสุขในเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง และสิทธิการตายตามธรรมชาติยังมีอยู่จำกัด เนื่องจากองค์ความรู้เหล่านี้เพิ่งเริ่มมีในประเทศไทยไม่นานนัก ขณะเดียวกัน การขับเคลื่อนเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันจากทุกภาคส่วน สช. จึงได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับภาคีเครือข่ายกว่า 10 องค์กร เพื่อให้เกิดการบูรณาการ นำไปสู่การขยายผลในการทำงาน และยกระดับการรับรู้ของสังคม

“มาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการผลักดันให้นโยบายการดูแลแบบประคับประคองผู้ป่วยระยะท้ายขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยบริการหรือชุมชน ซึ่งทั้งหมดจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยในวาระสุดท้าย” นพ.ประทีป กล่าว

ทั้งนี้ รูปธรรมประการหนึ่งที่จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคองเพื่อการตายตามธรรมชาติก็คือ การทำ ‘หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต’ โดยการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ไว้ล่วงหน้า จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ญาติ และผู้ให้การรักษา ให้มีความเข้าใจตรงกันในความต้องการของผู้ป่วยเมื่อไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว ทำให้บุคลากรในระบบสุขภาพสามารถวางแผนการรักษาได้ อีกทั้งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่จำเป็น รวมถึงภาระงานของบุคลากรสาธารณสุข สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถศึกษาตัวอย่างการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ได้ที่ www.thailivingwill.in.th

Deconstruct Depression: ทำไมกินยาต้านเศร้าแต่ไม่หายเศร้า ชวนมองโรคซึมเศร้าในมุมใหม่

อกหัก แฟนทิ้ง ผัวตาย ตกงาน สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ฯลฯ

สารพัดสถานการณ์อันเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นกับใครสักคนบนโลกใบใหญ่ จนทำให้ต้องเก็บความผิดหวัง ความเศร้า เครียด กดดัน เคว้งคว้าง เอาไว้ในใจ สะสมขึ้นมาจนค่อยๆ ก่อตัวเป็นภูเขาสูงหนักอึ้ง และเกิดเป็นความรู้สึกจมดิ่ง ไม่มีใครเข้าใจ มืดแปดด้าน เอาแต่ตั้งคำถามว่าทำไม ทำไม ทำไมชีวิตมันช่างห่วยเช่นนี้

ย้อนไป 4-5 ปีก่อน สถานการณ์โรคซึมเศร้าในประเทศไทยอาจไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจมากนัก โรคซึมเศร้าเป็นเรื่องไกลตัวและเข้าใจยาก แต่วันนี้ หากคุณสำรวจวงโคจรรอบชีวิตตัวเอง คุณจะพบกับเพื่อน เพื่อนของเพื่อน ญาติมิตร คนรู้จักห่างๆ หรือใครสักคนรอบตัวคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก โรคนี้ขยับใกล้ชิดเราเข้ามาทุกที

ปี 2018 ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน และมีเพียง 1 ใน 10 ที่สามารถเข้าถึงบริการการรักษา

‘Deconstruct Depression มองโรคซึมเศร้าในมุมใหม่’ วงเสวนาที่ชวนเปิดพื้นที่สำรวจทางเลือกอื่นๆ ในการรักษาโรคซึมเศร้า ช่วยเปิดตาให้เรามองกว้างขึ้น ชวนกันมาทำความเข้าใจทางเลือกใหม่ในการรักษา รองรับในความเป็นปัจเจกของมนุษย์มากขึ้น วงเสวนาถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ณ วัชรสิทธา โดยมี เอก-สมภพ แจ่มจันทร์ นักจิตวิทยาผู้เปิดศูนย์ให้คำปรึกษาภายใต้ชื่อว่า Knowing Mind บริการมิตรสหายผู้มีปัญหาด้านจิตใจมาเกือบ 3 ปี เป็นวิทยากรหลักประจำวงเสวนา

“หลายๆ ครั้งเรามักจะมีคำตอบสำเร็จรูปให้กับทุกปัญหา ไม่เว้นแม้แต่เรื่องโรคซึมเศร้าที่มีสาเหตุจากหลายมิติ หากคำว่าโรคซึมเศร้าเป็นคำที่เราใช้เรียกแทนความทุกข์ ปัจจุบันเราใช้การกิน ‘ยา’ เป็นคำตอบของการรักษาโรคซึมเศร้า จนเราหลงลืมต้นตอที่มาที่ไปของความทุกข์ที่เกิดขึ้น” สมภพชวนเปิดประเด็น

จุดมุ่งหมายของวงเสวนาในครั้งนี้คือการพาไปถอดรื้อมายาคติโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจชวนให้รู้สึกสับสน มึนงง และเกิดความสงสัย หากเราไม่ได้พูดถึงปรากฏการณ์ของโรคซึมเศร้าในเชิงการแพทย์หรือสารเคมีในสมอง แล้วมันคืออะไร?

ประวัติศาสตร์ซึมเศร้า

“โรคซึมเศร้าถือว่าเป็นโรคที่มีอายุน้อย เนื่องจากเพิ่งมีเกณฑ์วินิจฉัยอย่างเป็นระบบระเบียบได้ไม่นาน ประมาณ 40 ปีที่แล้ว” สมภพอธิบายถึงประวัติศาสตร์ของโรคซึมเศร้า

นอกจากระยะเวลาที่บ่งบอกว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคเก่าแก่ ยังมีอีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่น่ากังวล นั่นคือวิธีการวินิจฉัยที่ ‘แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย’

เมื่อพูดถึงการวินิจฉัยว่าใครป่วยไม่ป่วย เราจำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานสมการในการเกิดโรคก่อน “ในการ detect ว่าใครจะเป็นโรคหรือไม่ เรามักดูกันที่ ‘อาการ’ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ แพทย์จะสำรวจและนำอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยมากองรวมกัน แล้วเคาะออกมาเป็นข้อสรุป เพื่อกำหนดว่าอาการแบบไหนเข้าข่ายการเจ็บป่วยเป็นโรคซึมเศร้าบ้าง”

DSM (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) คือ หลักเกณฑ์ 9 ประการทางการแพทย์ที่ใช้ประเมินอาการพื้นฐานในการเกิดโรคซึมเศร้า

  1. เศร้า ท้อแท้ ซึมตลอดวัน เบื่อไม่อยากทำอะไร ในระดับที่ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาแทรกได้
  2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง เฉยชา ว่างเปล่า หมดความสนใจกับสิ่งที่เคยชอบทำ อยากอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น
  3. ไม่อยากอาหารหรืออยากกินมาก และมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตัวมากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 1 เดือน
  4. หลับยาก หลับๆ ตื่นๆ นอนมากหรือนอนน้อยเกินไป
  5. เชื่องช้า ไม่มีสมาธิทำอะไร ตัดสินใจไม่ได้ ความจำถดถอย
  6. ไม่นิ่ง รู้สึกกระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข หรือเคลื่อนไหวช้าลงจนผิดปกติ
  7. อ่อนเพลีย เหนื่อย ไม่มีแรง
  8. ตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำมากมายเกินแบบไม่มีเหตุมีผล
  9. มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย พยายามจะฆ่าตัวตาย ไม่อยากอยู่ต่อ

ผู้ที่ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า จะต้องมีอาการตามข้อ 1 หรือ 2 อย่างรุนแรง นานติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการในข้อ 3-9 อย่างน้อย 5 อาการ

คำถามคือ ใครเป็นผู้กำหนดเส้นแบ่งในการบอกว่าใคร ‘เป็น’ หรือ ‘ไม่เป็น’ โรคซึมเศร้า

หากคุณสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือแค่คุณเครียดจากกองงานตรงหน้า คุณสำรวจตัวเองแล้วพบว่ามีอาการทั้งหมดดังกล่าว นั่นแปลว่าคุณกำลังเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ หรือถ้าคุณมีอาการเพียง 3 ใน 9 อย่างนี้ คุณเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไหม ใครเป็นคนอนุญาตให้เราเศร้านานแค่ 2 สัปดาห์?

แน่นอนว่า DSM คือแบบประเมินที่มีประโยชน์ เพราะช่วยตรวจสอบว่าใครป่วยหรือไม่ป่วย แต่ถ้าคำวินิจฉัยทางการแพทย์นั้นละทิ้งการพิจารณาบริบทบางอย่างไป อาจทำให้ผลลัพธ์กลับหัวกลับหาง

สมภพยกตัวอย่าง ในกรณีต่างประเทศมีการแบ่งโรคซึมเศร้าเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับอ่อน ระดับปานกลาง และระดับรุนแรง

“ในเมืองนอก ถ้าคุณถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าในระดับอ่อน-ปานกลาง คุณรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา คุณเพียงไปหาคนคุย ไปออกกำลังกาย ไปทำกิจกรรม ไปเจอนักจิตบำบัด หาทางจัดการปัญหาผ่านการ consult หรือวิธีอื่นๆ สอดคล้องกับงานวิจัยที่บอกว่ายาจะทำงานได้ผลดีกว่ากับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในระดับรุนแรง

หนทางสู่การจัดการกับความเศร้า

ไม่ปฏิเสธว่า ในทางการแพทย์โรคซึมเศร้าเกิดจากสารสื่อประสาทในสมองทำงานผิดปกติ ในทัศนะของสมภพ จุดมุ่งหมายของเกณฑ์ DSM จึงโฟกัสไปยังลักษณะอาการที่แสดงออกมา โดยขาดการพิจารณาถึงแหล่งที่มา ต้นตอ และสาเหตุของอาการที่แท้จริง

การบำบัดเยียวยาโรคซึมเศร้าทางการแพทย์ในประเทศไทย กว่าร้อยละ 99 จึงกลายเป็นเรื่องของการจ่ายยา ไม่ว่าคุณจะป่วยในระดับไหนก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาในประเทศไทยมีจำนวนน้อยและกระจุกตัว

ผลลัพธ์และความเป็นไปได้จึงแบ่งออกได้เป็น 3 ทาง คือ หนึ่ง-เมื่อผู้ป่วยได้รับยาแล้วดีขึ้น สอง-เมื่อผู้ป่วยได้รับยาแล้วดีขึ้น แต่ก็กลับมาเป็นอีก สาม-เมื่อผู้ป่วยได้รับยา แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย

“ที่เป็นแบบนี้ เพราะโรคในทางจิตเวช เราไม่มีเครื่องมือตรวจวัดอาการที่แม่นยำเหมือนโรคทางกาย โรคซึมเศร้าในทางจิตเวชจึงเปรียบเสมือน common cold หรือ ‘การเป็นหวัด’ อาการของโรคหวัดมาได้จากหลายสาเหตุ เช่น พักผ่อนไม่พอ ตากฝน ติดเชื้อไวรัส เช่นเดียวกับโรคซึมเศร้ามีที่ปัจจัยหลายอย่างที่ก่อให้เกิดโรค เช่น เกิดจากความสัมพันธ์ที่พัง เครียดจากงาน โรคเดียวกันแต่สาเหตุต่างกัน” สมภพบอก

ในเมื่อมุมมองทางการแพทย์ โรคซึมเศร้าตั้งบนอยู่สมมุติฐาน ‘จิตเป็นกาย’ วิธีการรักษาจึงหวังผลทำให้อาการผิดปกตินั้น ‘ดีขึ้น’ โดยใช้วิธีกินยา แต่การสรุปเหมารวมสาเหตุของโรคเป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้ อาจเป็นปัญหาได้ในอนาคต

“ถ้าคุณคุยกับนักจิตวิทยา นักจิตวิทยาอาจจะบอกว่าสาเหตุของโรคซึมเศร้าคือเรื่องจากปมบาดแผลในชีวิตวัยเด็ก

“ถ้าเราปักธงเชื่อว่าโรคเกิดจากสารเคมีโดยละทิ้งเรื่องจิตใจ เราก็จะกินยาตามหมอสั่งเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเชื่อว่ามันมาจากจิตใจ เราก็จะละทิ้งเรื่องร่างกาย เราจะเอาเปลี่ยนแต่วิธีคิด และบอกให้ทุกคนคิดบวก หรือถ้าเราเชื่อว่ามันเกิดจากสิ่งแวดล้อมข้างนอก เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนสถานที่ทำงาน ย้ายบ้าน เปลี่ยนคนรักไปเรื่อยๆ”

เพราะไม่มีหนทางไหน แก้ไขได้ดีที่สุด มีแต่หนทางที่เหมาะกับแต่ละบุคคลและแต่ละสถานการณ์ สมภพจึงมองว่า ยิ่งเราพิจารณามองเห็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้ามากเท่าไร จะยิ่งทำให้เรามองเห็นโอกาสในการรับมือกับโรคได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมองให้ทั่วถึงและรอบด้าน ทั่วทั้งระบบนิเวศ Biopsychosocial (ร่างกาย จิตใจ และสังคม)

ยาต้านเศร้า คือ ที่พึ่งทางใจ

ในปี 2018 วารสารการแพทย์ The Lancet ได้เผยแพร่งานวิจัยที่นำทีมโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวถึงข้อถกเถียงอันยาวนานกี่ยวกับยารักษาอาการซึมเศร้า ว่ายาเหล่านี้ทำงานได้จริงหรือไม่ โดยผลการศึกษาข้อมูลจากการทดลอง 522 ครั้ง มีผู้ร่วมทดสอบถึง 116,477 คน พบว่า ยารักษาอาการซึมเศร้า ที่ใช้กันทั่วไปจำนวน 21 ชนิด ล้วนมีประสิทธิภาพในการลดอาการซึมเศร้าเฉียบพลันได้ดีกว่ายาหลอก (placebo)

แอนเดรีย ซิปริอานี (Andrea Cipriani) หัวหน้าทีมวิจัย ยืนยันว่า “การใช้ยารักษาอาการซึมเศร้าควรถูกพิจารณาควบคู่ไปกับวิธีรักษาชนิดอื่นๆ เช่น การบำบัดทางจิตวิทยา” แสดงให้เห็นว่ายารักษาอาการซึมเศร้าไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกในการรักษา เพราะแพทย์จะต้องประเมินตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคนที่แตกต่างกัน

สมภพจึงเปรียบเทียบว่า บางครั้งยารักษาอาการซึมเศร้าเป็นเสมือนน้ำมนต์ ถ้าพูดในเชิงวิทยาศาสตร์ น้ำมนต์อาจจะไม่ได้มีสารออกฤทธิ์ใดๆ ที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับร่างกายแล้วทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ที่เรากลับรู้สึกดีเป็นเพราะความเชื่อส่วนตัว

แสดงให้เห็นว่า ‘ผลลัพธ์จากการให้ยา’ ไม่เท่ากับ ‘ประสิทธิภาพของยา’ กล่าวคือ เมื่อคุณป่วย คุณกินยาแล้วรู้ดีขึ้น ถือเป็นการตอบสนองที่ไม่จำเป็นต้องมาจากตัวยาทั้งหมดเสียทีเดียว ผลสัมฤทธิ์สุดท้ายของยาต้านเศร้าอาจได้ประสิทธิผลประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ อีก 25 เปอร์เซ็นต์ คือการดีขึ้นเองตามธรรมชาติ และอีก 50 เปอร์เซ็นต์ คือการตอบสนองทางใจจากการได้รับยา

เมื่อรู้ความต้องการ อาจช่วยถอนรากความเศร้าได้

อีกมุมมองหนึ่ง สมภพชวนตั้งคำถามต่อว่า “ทำไมในผู้ป่วยบางคนที่ได้รับยาต้านซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง แต่กลับมีอาการวนมาเหมือนเดิม” ความไม่คงที่ดังกล่าวเป็นเพราะสุดท้ายแล้วเขายังไม่ได้เข้าไปจัดการแก้ปัญหาที่เป็นจุดตั้งต้นของโรคหรือเปล่า

“วันนี้ผมว่าเราอาจจะต้องแยกคำว่า ‘อาการดีขึ้น’ กับ ‘แก้ปัญหา’ ออกจากกันก่อน เวลาคุณไปหาหมอ หมออาจจะถามว่าคุณอาการดีขึ้นหรือยัง แต่ไม่ได้ถามว่าที่คุณทะเลาะกับพ่อเป็นอย่างไร ที่คุณเครียดเรื่องงานคลี่คลายหรือยัง

“สมมุติฐานสำหรับผมคนที่เป็นโรคซึมเศร้าคือคนที่สูญเสียอะไรบางอย่าง เขาคือคนที่มีชีวิตไม่เป็นแบบที่ตัวเองต้องการ และไม่สามารถจัดการความต้องการนั้นได้” สมภพบอก

สอดคล้องกับทฤษฎีของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่อธิบายเรื่องปมความขัดแย้งในจิตใจ โดยเห็นว่า โรคซึมเศร้าเกิดจากความรู้สึกสูญเสียทั้งในเชิงรูปธรรมกับนามธรรม ทางรูปธรรมอาจหมายถึงการเลิกกับแฟน สูญเสียคนรัก งาน เพื่อน หรือโดนหลอก นามธรรมคือการที่เขารู้สึกสูญเสียตัวตนหรือคุณค่าบางอย่างในตัวเองไป ซึ่งความรู้สึกในมิตินามธรรมเป็นสิ่งที่จัดการและทำความเข้าใจได้ยากกว่า

สมภพอธิบายต่อว่า โครงสร้างพื้นฐานของการเกิดความรู้สึกของมนุษย์คือความต้องการที่มาจาก 3 ด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ซึ่งความต้องการเหล่านี้ หากเราไม่เข้าใจและจัดการได้ไม่ดีพอ สุดท้ายมันจะปรากฏออกมาเป็นอาการต่างๆ เหมือนลักษณะ 9 อย่างที่ทางการแพทย์ใช้ประเมินในการเกิดโรคซึมเศร้า

ดังนั้น ถ้าเราสวมแว่นตาแห่งการแก้ไขปัญหาจ้องมองไปที่ทางออก เราจะพบว่า การกินยาต้านซึมเศร้า อาจเป็นเพียงการแก้ไขอาการทางภายนอกของผู้ป่วยเท่านั้น เพราะลึกๆ แล้ว ความต้องการภายในจิตใจและจิตวิญญาณยังคงอยู่และยังไม่ถูกจัดการ เช่น คุณเครียด คุณป่วย เพราะคุณทำงานที่ไม่ได้ตอบความต้องการในจิตใจของคุณ คุณอยากทำงานที่ทำให้ตัวเองมีคุณค่า คุณไปพบหมอ หมอบอกว่าคุณเข้าข่ายโรคซึมเศร้า คุณได้รับยาแล้วอาการดีขึ้น คุณไม่เครียดแล้ว แต่ความต้องการของคุณไม่ได้ถูกแก้ไข

“ถ้าเราอยากเข้าใจโรค จุดแรกที่เราควรกระโดดลงไปทำความเข้าใจและจัดการกับมันคือ ความต้องการภายในที่แท้จริง” สมภพบอก

“ในทางการแพทย์ ถ้าคุณมีอาการครบตามเกณฑ์ 9 ข้อ คุณอาจเป็นโรคซึมเศร้า แต่ในความเห็นของผม สุดท้ายแล้วคุณอาจจะเป็นคนที่มีปัญหา มีความทุกข์ เพราะความต้องการของคุณยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่านั้น หน้าที่ของผมคือตั้งรับและคอยรับ ‘ฟัง’ ช่วยแงะปัญหาและแกะรอยดูว่าอันที่จริงแล้วมิตรสหายที่เดินเข้ามาพร้อมความหนักอึ้งในจิตใจมีความต้องการอย่างไร และทำให้เห็นรากของปัญหาทางจิตใจอย่างแท้จริง” สมภพทิ้งท้ายไว้

ขอบคุณภาพจาก: วัชรสิทธา • vajrasiddha

ความฉิ-หายอย่างน้อย 9 ข้อ หากไทยเข้าเป็นสมาชิก CPTPP

จับตา! วันพฤหัสที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อหารืออนุมัติให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก CPTPP หรือ Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก)

CPTPP เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ มีประเทศสมาชิก 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม เป็นการปรับโฉมจากความตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership) หลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกไป ซึ่งทำให้โอกาสการเข้าถึงตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดใหญ่ที่ไทยยังไม่มี FTA หดหายไปด้วย

แต่ก็มีหลายหน่วยงานกังวลถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP เพราะอาจจะทำให้ประเทศได้ไม่คุ้มเสีย หน่วยงานหนึ่งก็คือกระทรวงสาธารณสุข

ปี 2561 กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำ ‘รายงานผลการประเมินผลกระทบ และสิ่งที่ต้องดำเนินการ หากไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP’ เพื่อท้วงติงการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนฯ ของประเทศไทย

จากการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบโดยตลอดห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ พบว่า ความตกลงฯ มีผลกระทบต่อสุขภาพหลายมิติ

นอกประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนแล้ว สิ่งที่น่ากังวลคือ รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มีช่องโหว่ที่เอื้อให้รัฐบาลมีอำนาจทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศได้ โดยขาดการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ และตัดการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศไทยเสียเปรียบในทุกกรณี อาทิ ผลกระทบต่อภาคการเกษตรที่ถูกต่างชาติผูกขาดเมล็ดพันธุ์ และในด้านการสาธารณสุข ไทยต้องเสียงบประมาณการจัดซื้อยาแพงขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงยา เป็นต้น

เราจะต้องเจออะไร หากประเทศไทยเข้าร่วม CPTPP

 

Modern biotechnology

ข้อกำหนดด้าน Modern biotechnology ซึ่งรวมการดัดแปรพันธุกรรม (GMO) ในสินค้าเกษตรและประมง

  • เกิดผลกระทบต่อพันธุกรรม ซึ่งยังไม่มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนทั้งด้านบวก-ลบ ดังนั้น จึงต้องใช้ระบบป้องกันไว้ก่อน (precautionary measure)
  • ไทยอาจจะสูญเสียจุดยืนในการผลักดันสินค้าเกษตรและอาหารตามยุทธศาสตร์ของประเทศที่ต้องการเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ เพราะยังไม่มีการกำหนดนโยบายหรือมาตรการโซนนิ่งที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
  • การใช้หลักการวิเคราะห์ความเสี่ยงและอ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ยังจำเป็นต้องพิจารณาบริบทแวดล้อมอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเด็นนั้นยังมีข้อถกเถียงในด้านหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการบริหารจัดการความเสี่ยง

 

ผลิตภัณฑ์สมุนไพร

  •  ไม่ได้ประโยชน์ด้านภาษีในการส่งออกยาสามัญ เพราะแหล่งวัตถุดิบไม่ใช่ประเทศสมาชิก CPTPP
  •  ไม่ได้ประโยชน์ด้านภาษีในการส่งออกเครื่องสำอางที่ใช้สมนุไพร น้ำมันสกัด หรือสารสกัดสมุนไพรเป็นองค์ประกอบ เนื่องจากเป็นการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมากกว่าใช้วัตถุดิบในประเทศ
  • ยาแผนไทยที่ใช้สมุนไพรไทย ไม่สามารถส่งออกได้ เพราะไม่สามารถขึ้นทะเบียนในประเทศปลายทางได้

 

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  • มาตรการที่มุ่งคุ้มครองเรื่องการโฆษณาบนฉลากและข้อความคำเตือนด้านสุขภาพตามประกาศฉลากที่ประชาชนได้รับความคุ้มครองไว้แต่เดิม จะใช้ไม่ได้
  • การออกอนุบัญญัติข้อความ และรูปภาพคำเตือนบนฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในอนาคต จะไม่สามารถบังคับใช้กับฉลากหลักได้
  • มาตรฐาน Codex CAC/GL 38-2001 เป็นมาตรฐานกำหนดฉลากอาหาร แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดไม่ใช่อาหารธรรมดาทั่วไป (no ordinary food ตามองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO)  จึงจำเป็นต้องมีข้อกำหนดการแสดงฉลากและคำเตือนให้มากกว่าฉลากอาหารทั่วไป

 

เครื่องสำอาง

  • ด้วยระบบจดแจ้งก่อนผลิต/นำเข้า จะทำให้สารต้องห้ามเข้าสู่ตลาดได้ง่ายและมากขึ้น
  • การไม่ให้ระบุเลขที่จดแจ้งบนฉลาก ลดภาระผู้ประกอบการ แต่เจ้าหน้าที่และผู้บริโภคขาดเครื่องมือที่ใช้เชื่อมโยงและอ้างอิงข้อมูลระหว่างระบบทะเบียนผลิตภัณฑ์และการนำเข้าส่งออก รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องของผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด การสืบค้นผลิตภัณฑ์จะทำได้ยาก
  • การไม่ให้ระบุเลขที่จดแจ้งบนฉลาก เป็นการลดภาระผู้ประกอบการเครื่องสำอาง แต่ผู้บริโภคขาดเครื่องมือในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดว่าผ่านการจดแจ้งจาก อย. หรือไม่ และเจ้าหน้าที่ อย.  และสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ขาดเครื่องมือที่ใช้เชื่อมโยง และอ้างอิงข้อมูลระหว่างระบบการจดแจ้งผลิตภัณฑ์  และการนำเข้า-ส่งออก รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องและการสืบค้นผลิตภัณฑ์จะทำได้ยาก
  • มีการประเมินความปลอดภัยของรายการสารที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง และวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง หรือมีการประเมินตามแต่กรณี

 

เภสัชภัณฑ์

  • ข้อบทไม่มีนิยามของคําว่า International Standards ซึ่งอาจใช้มาตรฐานของประเทศคู่ภาคีใหญ่มาอ้างอิงได้มากขึ้น หรืออาจจะมีการใช้มาตรฐานระหว่างประเทศที่ไทยไม่ได้ใช้อ้างอิงในการกำหนดกฎระเบียบ และกระบวนการตรวจสอบรับรอง เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการ
  • ใช้งบประมาณและระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับทางเทคนิค หรือมาตรฐานระหว่างประเทศรวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อภาคเอกชนต่างๆ รวมทั้งอาจจะต้องแก้ไขกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ให้สอดคล้องกัน

 

เครื่องมือแพทย์

  • จะมีขยะอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในกรณีที่ไม่ได้กำหนดนิยามที่ชัดเจนและครอบคลุมเพียงพอ
  • รัฐไม่สามารถให้สิทธิพิเศษในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่เป็นนวัตกรรมไทย
  • มีสินค้าใช้แล้วเข้าประเทศโดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า-ส่งออก
  • ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบการขึ้นทะเบียน และการควบคุมกำกับให้เป็นไปตาม TPP (เช่น เพิ่มบุคลากร และพัฒนาระบบขึ้นทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาฐานข้อมูล การอุทธรณ์) ขั้นต่ำประมาณปีละ 150 ล้านบาท

 

ทรัพย์สินทางปัญญา

ในความตกลงหุ้นส่วนฯ มาตรา 18.6 ระบุว่า สมาชิกมีสิทธิ์ที่จะกำหนดข้อยกเว้นที่สำคัญที่จะไม่ต้องปฏิบัติตามบทนี้ (ได้แก่ สถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ กรณีจำเป็นเร่งด่วนยิ่งยวด วิกฤตด้านสาธารณสุข) ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบ ดังนี้

  • ขอบเขตการใช้ CL ลดลง (ไม่มีข้อยกเว้นกรณี for public non-commercial use ซึ่งแตกต่างจาก TRIPS)
  • การใช้ CL อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องได้

ในความตกลงหุ้นส่วนฯ มาตรา 18.7 ระบุว่าสมาชิกต้องเข้าร่วมความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา 6 ฉบับ ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบ ดังนี้

  • การที่ต้องเข้าร่วมความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาหลายฉบับ โดยเฉพาะการที่ต้องเข้าร่วมกับ UPOV 1991 เพื่อการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งมีหลักการคุ้มครองแตกต่างมากจาก พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดใดเลย เนื่องจาก พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ที่เหมาะสมกับระดับเทคโนโลยีของนักวิจัยไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. อย่างครบถ้วนมากกว่า
  • การเข้าร่วม UPOV 1991 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรับปรุงสายพันธุ์ และสิทธิของผู้ปรับปรุงพันธุ์ของพืชสมุนไพร ก่อให้เกิดการผูกขาดทั้งพันธุ์ พืช ผลผลิต และผลิตภัณฑ์จากผลผลิต อาจจทำให้เกษตรกรทั่วไปที่เป็นเพียงผู้ปลูก-จำหน่ายจะต้องซื้อและแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับเจ้าของพันธุ์

 

การจัดซื้อจัดจ้าง

  • มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยา และวัสดุวิทยาศาสตร์ เครื่องมือแพทย์ในประเทศ ในด้านการแข่งขัน ซึ่งภาครัฐจะไม่สามารถสงวนสิทธิประโยชน์บางประการได้ (เพราะต้องเปิดการแข่งขันให้กับยาสามัญจากผู้จัดจำหน่ายของประเทศอื่น ในขณะที่ยาที่มีสิทธิบัตรก็มีผู้จัดจำหน่ายได้เพียงรายเดียวซึ่งเกือบทั้งหมดคือยาของบริษัทต่างชาติ)

 

จำกัดพื้นที่การกำหนดนโยบายสาธารณะ

จากข้อบทความสอดคล้องของข้อบังคับ (regulatory coherence) แม้อาจพอมีประโยชน์เป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการพัฒนากฎระเบียบที่สมเหตุสมผล แต่ผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นนั้น

  • ทำให้เกิดความสอดคล้องของกฎหมายโดยยึดวัตถุประสงค์ทางการค้าและส่งเสริมเศรษฐกิจเท่านั้น ไม่มีข้อคำนึงถึงด้านสังคม จึงไม่มีความสมดุล
  • การออกกฎ ระเบียบต่างๆ ของภาครัฐอาจถูกแทรกแซงจากองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะกฎหมายด้านสุขภาพหรือการสาธารณสุข หรือกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เช่น บริษัทบุหรี่สามารถแทรกแซงการเสนอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบของกระทรวงสาธารณสุขได้ ซึ่งขัดต่อ FCTC มาตรา 5.3 เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนสำหรับกรณีนโยบายสาธารณะสำหรับส่วนรวมซึ่งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค

 

ที่มา: ‘รายงานผลการประเมินผลกระทบ และสิ่งที่ต้องดำเนินการ หากไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP’ โดย กระทรวงสาธารณสุข

อย. เรียกคืนน้ำเกลือ KLEAN & KARE หลังพบรอยดำเปื้อนปากขวด

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีหนังสือที่ สธ 1009.5/ว 1955 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 เรื่อง ‘แจ้งเตือนภัยเร่งด่วนการเรียกเก็บยา KLEAN & KARE – NORMAL SALINE เลขทะเบียน 1A 512/56 รุ่นการผลิต 061607 คืนจากท้องตลาดโดยสมัครใจ’ ภายหลังได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลรามาธิบดีว่า พบการปนเปื้อนในภาชนะบรรจุขณะเปิดใช้งาน

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตโดยบริษัท เอ.เอ็น.บี. ลาบอราตอรี่ (อำนวยเภสัช) จำกัด จัดเป็นยาน้ำปราศจากเชื้อ หรือน้ำเกลือสำหรับใช้ภายนอก ใส ไม่มีสี แต่เนื่องจากพบรอยดำที่บริเวณปากขวดน้ำเกลือขณะเปิดใช้ อย. จึงต้องดำเนินการจัดการปัญหาคุณภาพยาอย่างเร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคที่อาจได้รับยาดังกล่าว โดยมีการแจ้งเตือนภัยไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทราบ

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ อย. ได้ชี้แจงในเว็บไซต์ fda.moph.go.th ว่า การเรียกคืนผลิตภัณฑ์น้ำเกลือ KLEAN & KARE เป็นการเรียกคืนเฉพาะรุ่นการผลิตที่พบปัญหาเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ไม่มีการเรียกคืนรุ่นการผลิตอื่นหรือผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทแต่อย่างใด และ ณ ปัจจุบันยังไม่พบปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นกับรุ่นการผลิตอื่นหรือผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทฯ

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์หลักของการแจ้งเวียนเพื่อให้ทราบว่าบริษัท เอ.เอ็น.บี. ลาบอราตอรี่ (อำนวยเภสัช) จำกัด ได้เรียกเก็บผลิตภัณฑ์ดังกล่าวคืนจากท้องตลาดด้วยความสมัครใจ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังความปลอดภัยที่อาจเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับยา แม้จะยังไม่สามารถระบุได้ว่ารอยดำที่พบบริเวณปากขวดนั้นคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งบริษัทฯ จะได้ดำเนินการสืบสวนหาสาเหตุและหาแนวทางในการป้องกันปัญหามิให้เกิดซ้ำต่อไป

นพ.สุรโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า ความบกพร่องของกระบวนการผลิตยาอาจเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อพบปัญหาคุณภาพยาของรุ่นการผลิตใด จำเป็นต้องมีมาตรการเรียกคืนโดยเร่งด่วนเพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคโดยเร็ว และปัญหาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ KLEAN & KARE – NORMAL SALINE เลขทะเบียน 1A 512/56 รุ่นการผลิต 061607 พบเพียงรุ่นการผลิตเดียว ไม่มีผลต่อกระบวนการผลิตในรุ่นการผลิตอื่นหรือผลิตภัณฑ์อื่น ในระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ อย. จะทำการตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้น ณ สถานที่ผลิต หากมีข้อมูลเพิ่มเติม อย. จะแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบต่อไป

 

ไข้หวัดใหญ่​ไม่ใช่ไข้หวัด​หมู โรคประจำฤดูที่ทำชาวไต้หวันตายแล้ว 56 คน

ขณะที่ทั่วโลกยังคงตื่นตระหนกกับการระบาดจากไวรัสโคโรนากันอยู่ ฟากประเทศสหรัฐอเมริกาก็กำลังรับมือกับไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกันเองอย่างเงียบๆ ไต้หวันกำลังเผชิญกับโรคไข้หวัดใหญ่อีกสายพันธุ์หนึ่งอยู่เช่นกัน นั่นก็คือโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด A (H1N1) หรือที่ผู้คนกำลังพูดถึงกันในชื่อ ‘ไข้หวัดหมู’

สถานการณ์ในไต้หวันเริ่มเกิดการระบาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2019 ตรงกับช่วงช่วงฤดูหนาวของไต้หวัน ซึ่งเป็นฤดูที่ไข้หวัดใหญ่แพร่ระบาดเป็นประจำทุกปี (Seasonal Influenza) ในขณะนี้พบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 56 ราย อายุระหว่าง 47-97 ปี และมีคนไข้เข้ารับการรักษาตัวอยู่ประมาณ 771 คน

สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ได้สอบถามข้อเท็จจริงกับกรมควบคุมโรคไต้หวัน และได้ออกมาชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ ระบุว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อที่อาการหนักส่วนใหญ่อายุมากกว่า 65 ปี รองลงมา อายุระหว่าง 50-64 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยเหล่านี้ ไม่ได้ฉีดวัคซีนใดๆ และมักมีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง ผู้เสียชีวิตจำนวน 11 คนจากทั้งหมด ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวหรือร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อพวกเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ อาจทำให้โรคประจำตัวมีอาการแย่ลงจนถึงแก่ความตาย

โรคไข้หวัดหมู (Swine Flu) เคยระบาดมาแล้วในปี 2009 และมีชื่อเรียกในช่วงนั้นว่า โรคไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัด 2009 ต่อมาองค์การอนามัยโลกได้เปลี่ยนชื่อเรียกโรคไข้หวัดหมู เป็น โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด A (H1N1) เกิดจากการผสมผสานของไวรัสสายพันธุ์ของคน หมู และนก ไม่เป็นที่ปรากฏชัดว่า เชื้อนี้ได้เริ่มติดในคนเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้นแล้ว พบว่าเป็นการแพร่กระจายและติดต่อจากคนสู่คน ไม่ได้พบในหมูทั่วไป จึงไม่ติดต่อโดยการสัมผัสหรือกินเนื้อหมู โรคนี้คือคนละโรคกับโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู หรือที่มักเรียกกันว่าโรคไข้หวัดหมูเช่นเดียวกัน ที่เคยระบาดอย่างรุนแรงในประเทศจีน กัมพูชา เวียดนาม และหลายประเทศในเอเชียเมื่อปี 2018

โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด A (H1N1) คือการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนล้า เจ็บคอ ไอ มีไข้ น้ำมูกไหล ท้องเสียหรืออาเจียน ปวดศีรษะ หอบ สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปประเทศไต้หวันในขณะนี้ สามารถป้องกันการเกิดโรคได้โดยการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และควรฉีดวัคซีนก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ควรหมั่นล้างมือ และใส่หน้ากากอนามัยเสมอเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด

ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ระบุว่า ในไตรมาสที่แล้วทั่วโลกก็มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้เป็นอย่างมาก สหรัฐอเมริกามีประชาชนจำนวน 19 ล้านรายที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้ และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 10,000 ราย และเมื่อเปรียบเทียบการระบาดของไข้หวัดใหญ่นี้ในอเมริกาแล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตในไต้หวันขณะนี้มีเพียง 56 ราย ซึ่งถือว่าไม่รุนแรง และขณะนี้สถานการณ์บรรเทาลงอย่างต่อเนื่อง

 

อ้างอิง

origin-www.roc-taiwan.orgsi.mahidol.ac.th

ncbi.nlm.nih.gov

who.int

 

บทเรียนจากไวรัสโคโรนา ความท้าทายของระบบสิทธิบัตรยา

ภายหลังจากทีมแพทย์โรงพยาบาลราชวิถีค้นพบแนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยการปรับใช้ยาต้านไวรัส HIV ร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ผลจากความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ชื่อของยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (Lopinavir/Ritonavir: LPV/r) และยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ถูกยกระดับความสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สภาเภสัชกรรม ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายนักวิชาการเพื่อการเข้าถึงยา และกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ได้สรุปบทเรียนจากการที่ประเทศไทยสามารถนำยาทั้งสามชนิดมาใช้เป็นยารักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นกรณีศึกษาครั้งสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้คนไทยเข้าถึงยาจำเป็นได้

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาต่อจากนี้ก็คือ ระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่มีคุณภาพและร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่เปิดช่องโหว่ให้มีการผูกขาดยา รวมถึงความพยายามในการเจรจาเอฟทีเอฉบับต่างๆ ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน กำลังจะนำไปสู่การทำลายความมั่นคงทางยาของประเทศไทย โดยสภาเภสัชกรรมและเครือข่าย มีข้อสังเกตที่น่ากังวลเกี่ยวกับสิทธิบัตรของยาทั้งสามชนิด ดังนี้

 

ข้อมูลด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ และยาโอเซลทามิเวียร์

1.

ยา LPV/r เป็นยาสูตรผสมรวมเม็ดของยาโลพินาเวียร์และยาริโทนาเวียร์ (Lopinavir/Ritonavir) ที่ประเทศไทยได้ประกาศบังคับใช้สิทธิเพื่อนำเข้าหรือผลิตยาโดยรัฐ หรือที่เรียกว่า CL (Compulsory Licensing) ตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งเป็นยาสูตรสำรองที่สองสำหรับรักษาเอชไอวี

จากมาตรการ CL ดังกล่าว ทำให้ไทยมียาคุณภาพในราคาที่ไม่แพงใช้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรกหลังประกาศใช้มาตรการ CL ไทยนำเข้ายานี้จากอินเดีย และในปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตเองได้ จึงยิ่งทำให้ราคาลดลง จากก่อนประกาศใช้มาตรการ CL ยามีราคา 74.23 บาทต่อเม็ด ปัจจุบันมีราคาเหลือเพียง 13.21 บาทต่อเม็ด

แม้ว่าสิทธิบัตรที่จดเพื่อคุ้มครองตัวยาโลพินาเวียร์และกระบวนการในการเตรียม ได้หมดอายุไปแล้วตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันยังมีคำขอสิทธิบัตรอย่างน้อย 1 ฉบับ ที่ยื่นคำขอค้างไว้และอาจทำให้ยานี้ติดสิทธิบัตรจนถึงปี 2565 ถ้าไทยไม่ได้นำมาตรการ CL มาใช้ตั้งแต่ปี 2550 เป็นที่แน่นอนว่าราคายาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ที่เป็นยาต้นแบบที่บริษัทจดและยื่นจดสิทธิบัตรไว้ ยังจะมีราคาแพงมากจนประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ และระบบหลักประกันสุขภาพฯ อาจไม่สามารถจ่ายยานี้ให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้

2.

ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) มีการจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกในสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (PCT) ซึ่งไทยเป็นภาคี PCT ตั้งแต่ปี 2552 แต่ไม่มีการจดสิทธิบัตรในไทย ทำให้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตได้ตั้งแต่ปี 2552 โดยเป็นยาหลักในการรักษาไข้หวัดใหญ่ ราคายาในไทยก็ถูกกว่าราคาที่องค์การสากล UNICEF จัดซื้อให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อย โดยที่ยาโอเซลทามิเวียร์ขนาด 75 มิลลิกรัม ที่องค์การเภสัชกรรมมีราคาเม็ดละ 25 บาท ส่วนราคาที่องค์การ UNICEF ซื้อได้มีราคาเม็ดละ 44.46 บาท ขณะนี้สิทธิบัตรในยาโอเซลทามิเวียร์ที่จดในสหรัฐ ส่วนใหญ่หมดอายุแล้ว

3.

ในเรื่องคุณภาพของยาและมาตรฐานการผลิตยาดังกล่าว องค์การเภสัชกรรมใช้กระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพ โดยที่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ให้การรับรองและเป็นที่ยอมรับของสากล มาตรฐานดังกล่าวเรียกว่า WHO-Pre Qualification เราจึงมั่นใจได้ว่ายาดังกล่าวมีคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัย อีกทั้งยังสามารถจำหน่ายในราคาที่เหมาะสม ระบบหลักประกันสุขภาพทั้งสามระบบจึงสามารถจัดหายาที่มีคุณภาพและความปลอดภัยให้กับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ โดยไม่มีปัญหาด้านงบประมาณ

 

ความท้าทายและข้อเสนอเกี่ยวกับระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการเข้าถึงยา

1.

การประกาศบังคับใช้สิทธิเพื่อผลิตหรือนำเข้ายาโดยรัฐ ตามมาตรา 51 ใน พ.ร.บ.สิทธิบัตร หรือที่เรียกว่า CL นั้น เป็นมาตรการที่สอดคล้องตามความตกลงสากลว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก ซึ่งเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าไม่ถึงยาราคาแพง เนื่องจากการผูกขาดด้วยระบบสิทธิบัตร และให้อำนาจรัฐประกาศบังคับใช้ได้โดยไม่แสวงหากำไร

แต่กลไกนี้ตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกกำจัดทิ้ง เพราะเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำกำไรของบรรษัทยาข้ามชาติ ความพยายามที่จะขจัดมาตรการ CL เกิดขึ้นเช่นเดียวกับการขยายความคุ้มครองสิทธิบัตรให้มีอายุยาวนานมากกว่า 20 ปี การผูกขาดข้อมูลทางยา การบังคับใช้และตีความกฎหมายที่เกินเลย และการขัดขวางบริษัทยาชื่อสามัญด้วยกลไกต่างๆ โดยกระทำผ่านการเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศฉบับต่างๆ เช่น เอฟทีเอระหว่างไทยและสหภาพยุโรป และระหว่างไทยกับสหรัฐ ที่เคยเจรจาและระงับการเจรจาไปชั่วคราว รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ที่เจรจาจบไปแล้ว แต่ไทยต้องการเข้าร่วม

ความท้าทายจึงอยู่ที่การเจรจาเอฟทีเอฉบับต่างๆ ที่รัฐบาลต้องการจะรื้อฟื้นการเจรจา เช่น เอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป หรือที่แม้แต่ต้องการลงนามในความตกลงที่สรุปไปแล้วโดยที่ไม่มีส่วนร่วมในการเจรจาเลย เช่น ความตกลง CPTPP โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงยาและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่าที่ควร ทั้งนี้ เมื่อลงนามในความตกลงเหล่านี้ไปแล้ว ไทยต้องแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่ก่อให้เกิดการผูกขาดได้ง่ายและยาวนานมากขึ้น และจำกัดหรือขจัดการนำมาตรการ CL มาใช้ ความท้าทายจึงขึ้นอยู่กับความสามารถและความตระหนักของคณะเจรจาของไทย ว่าจะสามารถเจรจาให้รักษากลไกนี้ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างในปัจจุบันหรือไม่ หรือจะถูกนำไปต่อรองแลกเปลี่ยนกับสิทธิพิเศษการค้าระยะสั้นเพื่อตัวเลขการส่งออก

ดังนั้น คณะเจรจาความตกลงการค้าจะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนและเข้มแข็ง ไม่นำเรื่องการเข้าถึงยาและระบบสาธารณสุขของประเทศไปต่อรอง

2.

จากกรณีศึกษายา LPV/r และยาโอเซลทามิเวียร์ จะเห็นได้ว่า การตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในยาหนึ่งตัว บริษัทยาไม่ได้ยื่นขอรับสิทธิบัตรเพียงฉบับเดียว แต่บริษัทจะพลิกแพลงใช้ระบบสิทธิบัตรเอื้อประโยชน์ในตนเองให้ได้มากและนานที่สุด เพื่อคงสิทธิในการผูกขาดตลาด ทั้งในการผลิต การจำหน่าย การวิจัย ไว้แต่เพียงผู้เดียวให้ได้นานที่สุด ซึ่งวิธีการแบบนี้เรียกว่า ‘สิทธิบัตรที่ยืดการผูกขาดให้ได้นานที่สุด’ หรือ Evergreening

ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญามีกระบวนการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรที่ไม่ดีพอ ผลที่จะเกิดขึ้นคือ ยาสำคัญๆ จะติดสิทธิบัตรไปอย่างยาวนาน และกีดขวางยาชื่อสามัญไม่ให้เข้าสู่การแข่งขันในตลาด สุดท้าย การผูกขาดดังกล่าวจะทำให้ยามีราคาแพงมาก จนระบบหลักประกันสุขภาพของรัฐไม่สามารถจัดหาให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้

ดังนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องพัฒนาคุณภาพการตรวจสอบสิทธิบัตรให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปฏิบัติตามคู่มือการตรวจสอบสิทธิบัตรทางเคมี

3.

แม้ว่าสนธิสัญญา PCT (Patent Cooperation Treaty) ที่ไทยได้ลงนามแล้ว จะอำนวยความสะดวกในการยื่นขอรับสิทธิบัตรในส่วนที่เกี่ยวกับการเตรียมเอกสารในการสามารถยื่นคำขอได้หลายๆ ประเทศในคราวเดียว แต่กลไกนี้ส่งผลให้ยื่นคำขอฯ ได้ง่ายขึ้นและทำให้จำนวนคำขอรับสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงภาระงานที่เจ้าหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะเพิ่มมากขึ้น และจะส่งเสริมให้คุณภาพในการตรวจสอบที่ด้อยศักยภาพทวีความรุนแรงมากขึ้น

ดังนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องเพิ่มศักยภาพ และต้องไม่พิจารณาจากผลการพิจารณาในต่างประเทศโดยไม่พิจารณาในรายละเอียดคำขอ แต่ควรจะพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรด้วยความรอบคอบ โดยคำนึงถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศและการเข้าถึงยาด้วย

อีกทั้งยังต้องทำให้ฐานข้อมูลคำขอรับสิทธิบัตรและสิทธิบัตรเข้าถึงได้ง่าย เป็นข้อมูลที่ทันสมัยตลอดเวลา ถูกต้อง และเข้าถึงได้อย่างทันท่วงที เพื่อการตรวจสอบจากสาธารณะและป้องกันและลดการผูกขาดที่ไม่เป็นธรรม

4.

พ.ร.บ.สิทธิบัตรฉบับปัจจุบันมีช่องโหว่ที่เอื้อให้เกิดการผูกขาดที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงยา เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสิทธิบัตรมีความคลุมเครือและให้อำนาจเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจในการพิจารณา ระยะเวลาในการคัดค้านคำขอฯ สั้น ระยะเวลาที่จะเริ่มพิจารณาคำขอฯ นาน ในขณะที่การคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอฯ และมาตรการ CL ที่ยังไม่เอื้อให้มีการนำมาใช้ได้สะดวก เป็นต้น

กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร และเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางออนไลน์ในช่วงรัฐประหารที่ผ่านมา ภาคประชาสังคม กลุ่มผู้ป่วย และนักวิชาการได้แสดงความคิดเห็นและเสนอให้แก้ไขร่างฯ ของกรม โดยให้มีมาตรการด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงยา หรือที่เรียกว่ามาตรการยืดหยุ่นทริปส์เพื่อคุ้มครองการสาธารณสุข ให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่กรมฯ ไม่ได้นำความกังวลและข้อเสนอเหล่านั้นใส่ไว้ในร่างที่มีการแก้ไขล่าสุดก่อนยื่นให้กับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้น กรมฯ ได้เสนอแก้ไขมาตราที่เกี่ยวกับมาตรการใช้สิทธิโดยรัฐ หรือมาตรการ CL ซึ่งเป็นการกำจัดสิทธิของรัฐและก่อให้เกิดความยุ่งยากหรือความกังวลแก่ผู้กำหนดนโยบายด้านสาธารณสุข ในอันที่จะนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ โดยอนุญาตให้ผู้ทรงสิทธิ (ผู้ถือสิทธิบัตร) สามารถฟ้องร้องต่อศาลให้ยกเลิกมาตรการใช้สิทธิโดยรัฐที่หน่วยงานของรัฐประกาศใช้ไป ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวเป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศขององค์การการค้าโลก และมีวัตถุประสงค์ที่จะปกป้องสาธารณประโยชน์ของประเทศสมาชิกในเรื่องการเข้าถึงยาและสุขภาพ

ดังนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาควรนำเสนอร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่แก้ไขหลังจากผ่านสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาเปิดรับฟังความคิดเห็นก่อนจะดำเนินการต่อ และควรนำข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่เสนอไปในระหว่างการรับฟังความคิดเห็นผ่านออนไลน์ มาปรับแก้ไขในร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร เพื่อขจัดปัญหาสิทธิบัตรที่ไม่มีคุณภาพและส่งเสริมการใช้มาตรการคุ้มครองสาธารณสุขให้มากยิ่งขึ้น

5.

กลไกควบคุมราคายังไม่สามารถทำได้จริงและไม่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ปัญหายามีสิทธิบัตรของไทยอย่างหนึ่ง คือ การไม่มีกลไกควบคุมราคายาที่จริงจัง แม้จะมี พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่ประกาศให้ยาเป็นสินค้าควบคุมราคา แต่กระทรวงพาณิชย์กลับไม่มีมาตรการใดๆ ในการควบคุมราคายา ทำให้ยาที่มีสิทธิบัตรสามารถกำหนดราคายาได้อย่างตามใจชอบ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือยาต้านไวรัสเอชไอวีและยาต้านมะเร็งที่ทำให้ไทยต้องประกาศใช้มาตรการ CL

ดังนั้น กรมการค้าภายใน ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ จำเป็นต้องนำ พ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาบังคับใช้อย่างจริงจัง ให้มากไปกว่าการกำหนดให้แสดงราคาที่บรรจุภัณฑ์และให้โรงพยาบาลแจ้งราคายาให้ผู้ป่วยและญาติทราบเท่านั้น แต่ต้องดำเนินการให้ผู้ประกอบการแจ้งโครงสร้างราคายา และกำกับดูแลและควบคุมให้มีราคาที่เป็นธรรมต่อประชาชน

 

ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลกำลังระบาดในสหรัฐ มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 1 หมื่นคน

ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนาจากประเทศจีนที่การระบาดยังไม่ยุติ เมื่อข้ามฟากไปยังสหรัฐอเมริกา โรคระบาดที่ชาวอเมริกันคุ้นเคยก็กำลังกัดกินประชากรในประเทศของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ

ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอาจไม่ใช่โรคที่ฟังดูน่ากลัวเท่าไรนัก โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้คนกำลังหันไปให้ความสนใจไวรัสตัวใหม่อย่างโคโรนา แต่ในทุกๆ ปี โรคที่ฟังดูไม่น่ากลัวนี้ กำลังระบาดไปทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา และตัวเลขปัจจุบันก็บ่งบอกว่าฤดูกาลนี้เป็นหนึ่งในการระบาดที่เลวร้ายที่สุดในรอบทศวรรษ

ข้อมูล ระบุว่า ขณะนี้มีชาวอเมริกันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลประมาณ 19 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 10,000 คน ซึ่งยังไม่รุนแรงเท่ากับฤดูกาลในปี 2017-2018 ที่มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 45 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 61,000 คน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) ประเมินว่าในที่สุดแล้ว ฤดูกาลนี้จะมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 21 ล้านคน

เมื่อนำตัวเลขดังกล่าวมาเทียบกับไวรัสโคโรนาที่มีสัดส่วนผู้เสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อประมาณ 2.2 เปอร์เซ็นต์ ไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาลนี้มีสัดส่วนผู้เสียชีวิตประมาณ 0.095 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และยังมีอัตราการแพร่กระจายหรือค่าเฉลี่ยที่ผู้ป่วย 1 คน จะแพร่เชื้อให้คนอื่นอยู่ที่ระหว่าง 1.2-1.6 คน ในขณะที่ไวรัสโคโรนามีค่าเฉลี่ยเบื้องต้นอยู่ที่ 1.4-2.5 คน ไข้หวัดใหญ่จึงเป็นโรคที่สามารถควบคุมการแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า

แอนโธนี เอส. ฟาวชี (Anthony S. Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อของสหรัฐ กล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ที่อเมริกากำลังเผชิญและเคยเผชิญมาแล้วเป็นปกตินั้น มีความเอาแน่เอานอนได้มากกว่าไวรัสโคโรนาที่เป็นของใหม่ แล้วพวกเขาก็สามารถยืนยันได้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะลดลงเมื่อถึงเดือนมีนาคมหรือเมษายน

เรียกได้ว่าเป็นภัยที่มาทุกปี และมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงทุกปี จนเหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับอเมริกา

แต่ในความปกติของฤดูกาลนี้ ก็ยังมีความไม่ปกติซ่อนอยู่

เมื่อกางไทม์ไลน์ดูตั้งแต่จุดเริ่มต้น ปกติแล้วฤดูกาลไข้หวัดใหญ่ที่ว่านี้ จะเริ่มเปิดตัวประมาณเดือนตุลาคม แต่ในปีที่แล้ว (2019) กลับพบผู้ติดเชื้อรายแรกๆ ในรัฐลุยเซียนาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่มีผู้ป่วยกว่า 1,200 ราย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเมืองนิวออร์ลีนส์ และผู้ป่วยจำนวนนั้นก็ถูกพบว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ทั้งๆ ที่ตามรูปแบบการระบาดของทุกปี ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะเป็นฝ่ายเปิดตัวก่อนเพื่อเล่นงานผู้คนในเดือนแรกๆ แล้วสายพันธุ์ B จึงจะตามมารับไม้ต่อ สานต่อการแพร่ระบาดไปจนจบฤดูกาล

นอกจากการเปิดตัวเร็วกว่าปกติจะทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เพราะยังไม่ค่อยมีใครฉีดวัคซีนป้องกันก่อนถึงฤดูกาลแล้ว ช่วงวัยของประชากรที่ติดเชื้อจนเสียชีวิตในช่วงแรกยังกลับกลายเป็นเด็กตัวน้อยๆ ต่างจากปีก่อนๆ ที่ไวรัสจะส่งผลกระทบกับผู้สูงอายุมากกว่า เพราะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะเป็นอันตรายกับเด็กและวัยหนุ่มสาว เนื่องจากทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน

อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ที่อเมริกาเข้าสู่การระบาดระลอกที่สอง เชื้อสายพันธุ์ A ที่ปกติจะมีความรุนแรงและทำให้มีผู้เสียชีวิตมาก กลับปรากฏตัวในรูปแบบที่เบากว่าฤดูกาลที่ผ่านๆ มา และจากรายงานของสำนักข่าว Bloomberg พบว่าวัคซีนตัวล่าสุดสามารถป้องกันเชื้อชนิดนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ คือ 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ซึ่งหมายถึง 3 ใน 5 ของคนที่ฉีดวัคซีนจะไม่ติดเชื้อนี้

โชคไม่ดีนักที่จำนวนผู้ฉีดวัคซีนในอเมริกายังมีจำนวนไม่มากเท่าที่ควร ตัวอย่างเช่นในฤดูกาลที่แล้ว (ปี 2018-2019) มีประชากรวัยผู้ใหญ่เพียง 45 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เข้ารับการฉีดวัคซีน สารหลักจากผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักที่ว่อนอยู่ตามสื่อตอนนี้จึงเป็นความพยายามในการออกมาบอกให้ชาวอเมริกันไปฉีดวัคซีนเสีย เพราะถึงแม้ว่าผู้คนในประเทศจะคุ้นเคยกับฤดูกาลไข้หวัดใหญ่เป็นอย่างดี แต่ความคุ้นเคยนั้นก็ทำให้บางคนมองมันเป็นแค่เรื่องปกติได้เหมือนกัน

 

อ้างอิง

ย้อนอดีตโรคระบาด คนจนเป็นโรค คนรวยเขียนประวัติศาสตร์

ย้อนดูเส้นทางและนิยามของระบาดวิทยาผ่านประวัติศาสตร์ ที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ยุค
แต่ในมุมมองของนักมานุษยวิทยาการแพทย์ กลับตั้งข้อสังเกตว่า คนจนยังเป็นโรคเดิมๆ คนรวยเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์!?

 

 

สภาเภสัชฯ เตือนคนไทยแห่ซื้อยาต้าน ‘ไวรัสโคโรนา’ เสี่ยงเชื้อดื้อยา

ความหวังของคนไทยเรืองรองขึ้นมาทันที หลังจากที่โรงพยาบาลราชวิถีเปิดเผยผลการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่มีอาการทรุดหนักจนกระทั่งมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งเป็นผลจากการปรับใช้ยาต้านไวรัส HIV ร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ในการรักษาผู้ป่วยรายนี้

ที่สำคัญยาทั้งหมดเป็นยาที่ผลิตได้ในประเทศไทยโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ในราคาที่ระบบประกันสุขภาพสามารถรองรับได้

ท่ามกลางข่าวดี ยังมีสิ่งที่ต้องพึงระวัง เพราะหากประชาชนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เกิดความเข้าใจไม่ถูกต้อง หรือพยายามดิ้นรนซื้อหายาชนิดนี้มารับประทานเอง อาจทำให้เกิดผลร้ายเกินกว่าที่คาด

บทเรียนจากสถานการณ์โรคระบาดเป็นสิ่งที่สังคมต้องเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้สภาเภสัชกรรม ร่วมกับศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายนักวิชาการเพื่อการเข้าถึงยา และกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) จึงจัดแถลงข่าวกรณีที่ประเทศไทยสามารถรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาให้หายได้ โดยใช้ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (lopinavir/ritonavir: LPV/r) และยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และชี้ให้เห็นสถานการณ์ในการเข้าถึงยาทั้งสองชนิดนี้ภายใต้ระบบทรัพย์สินทางปัญญา

รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวว่า เนื่องจากไวรัสโคโรนาเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่มียารักษาโดยตรง ทำให้ทีมแพทย์ เภสัชกร และบุคลากรสาธารณสุขของโรงพยาบาลราชวิถี พยายามหาแนวทางรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัสที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส HIV และยาโอเซลทามิเวียร์ ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยผลลัพธ์ในการรักษาครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นชม

“สิ่งที่สภาเภสัชกรรมกังวลก็คือ ความตื่นตระหนกหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของประชาชนที่พยายามหาซื้อยาทั้งสามตัวนี้มารับประทานเพื่อป้องกันไวรัส ซึ่งนั่นจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ทั้งที่หลายหน่วยงานพยายามรณรงค์เรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลมาโดยตลอด”

ข้อแนะนำของ รศ.ดร.ภญ.จิราพร มีอยู่ว่า หากประชาชนมีอาการไข้หรือเป็นหวัด วิธีที่ถูกต้องที่สุดคือควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิฉัยอย่างถูกต้อง แต่ไม่ควรทดลองใช้ยาด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะการหาซื้อยาทางเว็บไซต์หรือโซเดียลมีเดียต่างๆ ซึ่งอาจถูกหลอกลวงจากผู้ไม่ประสงค์ดีได้

“ในยุคดิจิทัล อาจมีการลักลอบซื้อขายกันทางอินเทอร์เน็ต ถ้าใช้กันอย่างผิดๆ อาจมีผลต่อตับ ไต และทำให้เชื้อดื้อยาในที่สุด”

ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวเสริมว่า ยากลุ่มต้านไวรัสทั้งหมดจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ซึ่งจะต้องจำหน่ายผ่านสถานบริการทางสาธารณสุข คือโรงพยาบาลหรือคลินิกเฉพาะเท่านั้น กฎหมายไม่อนุญาตให้มีการซื้อขายตามร้านขายยาทั่วไปได้

“ระบบควบคุมการจำหน่ายและการควบคุมราคา เป็นสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลควรต้องรีบเข้ามาดูแล อย่างที่เราเห็นชัดๆ จากกรณีขาดแคลนหน้ากากอนามัย”

 

‘สิทธิบัตร’ อุปสรรคการเข้าถึงยา

ทุกครั้งที่มีโรคระบาดใดๆ เกิดขึ้น ยาคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยยับยั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ แต่ปัญหาในปัจจุบันคือระบบสิทธิบัตรที่อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการเข้าถึงยาของผู้ป่วย

จริงอยู่ว่าสิทธิบัตรคือกติกาสากลที่ทุกคนต้องเคารพในทรัพย์สินทางปัญญาของผู้คิดค้น แต่การวิจัยหรือคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใดๆ ก็ตาม ต้องไม่ค้ากำไรเกินควร และต้องตั้งอยู่บนความยุติธรรมทั้งแก่ผู้ใช้ยาและผู้ประดิษฐ์คิดค้น

รศ.ดร.ภญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลสิทธิบัตรของยาทั้งสามชนิด คือ ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ และยาโอเซลทามิเวียร์ พบว่า มีผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรอยู่หลายรายการ แต่เนื่องจากประเทศไทยได้ประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิในการนำเข้ายาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ตั้งแต่ปี 2550 ในยุคของ นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ทำให้ประเทศไทยสามารถนำเข้าและผลิตยาใช้เองได้

“การประกาศบังคับใช้สิทธิบัตรเพื่อผลิตหรือนำเข้ายาโดยรัฐ (Compulsory Licensing: CL) หรือที่เรียกว่า ‘สิทธิเหนือสิทธิบัตร’ ทำให้เรามียาตัวนี้ใช้ และองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตเองได้ ส่งผลให้ราคายาลดลงเป็นอย่างมาก และสามารถดูแลประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพได้ทั้งสามกองทุน”

เดิมทียาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ มีราคาอยู่ที่เม็ดละ 74.23 บาท ภายหลังประกาศมาตรการซีแอลและองค์การเภสัชกรรมผลิตเอง ทำให้มีราคาลดลงเหลือเพียงเม็ดละ 13.21 บาท ส่วนยาโอเซลทามิเวียร์ องค์การ UNICEF จัดซื้อได้ในราคาเม็ดละ 44.46 บาท แต่ไทยผลิตได้ในราคาเม็ดละ 25 บาท

 

ห่วงร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร เปิดช่องผูกขาดยา

เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล เจ้าหน้าที่รณรงค์การเข้าถึงยา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังการจดสิทธิบัตรยาที่ไม่เป็นธรรม พบว่ามีคำขอสิทธิบัตรที่ไม่ควรได้รับการคุ้มครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการผูกขาดได้ เนื่องจาก พ.ร.บ.สิทธิบัตร มีช่องโหว่หลายประการ ทำให้ไม่สามารถจัดการปัญหาการผูกขาดให้หมดไป

“สิทธิบัตรฉบับหนึ่งอาจผูกขาดได้นานถึง 20 ปี และยาตัวหนึ่งอาจไม่ได้มีสิทธิบัตรแค่ฉบับเดียว กรณียาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ก็ยังมีคำขอสิทธิบัตรหลายฉบับค้างอยู่ในระบบของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถ้ารัฐบาลไทยไม่ได้ประกาศมาตรการซีแอลในครั้งนั้นจะทำให้เกิดปัญหามาก และผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาอาจไม่มีโอกาสได้ใช้ยาตัวนี้”

เฉลิมศักดิ์กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ ขณะนี้กรมทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ระหว่างการยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร และเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์เพียง 15-30 วัน แต่น่าเสียดายที่ข้อเสนอของภาคประชาชนและนักวิชาการต่างๆ ไม่ได้ถูกนำไปพิจารณา โดยเฉพาะเงื่อนไขในการประกาศมาตรการซีแอลของรัฐจะทำได้ยากขึ้น

ผศ.ดร.ภญ.นิยดา กล่าวเสริมว่า ปัญหายาราคาแพงคือปัญหาใหญ่ของระบบยาในประเทศไทย แม้ว่า พ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 จะประกาศให้ยาเป็นสินค้าควบคุมราคา แต่กลับไม่มีกลไกที่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการควบคุมราคายา ทำให้ยาจากบริษัทต่างชาติที่ผูกขาดสิทธิบัตรสามารถคิดราคาได้ตามใจชอบ

ทางด้าน กรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) กล่าวว่า ยาหนึ่งตัวนั้นไม่ได้มีสิทธิบัตรเพียงใบเดียว โดยกลยุทธ์ของบริษัทยาขนาดใหญ่จะใช้วิธีการพยายามยืดอายุสิทธิบัตรเพื่อให้ผูกขาดได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น ระบบสิทธิบัตรที่ดีจะต้องไม่คุ้มครองสิทธิผู้จดสิทธิบัตรจนเกินเลยหรือละเมิดสิทธิของประชาชน

กรรณิการ์ระบุด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามเร่งรัดเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ FTA ไทย-สหภาพยุโรป และการเข้าร่วมภาคีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ซึ่งเนื้อหาในข้อตกลงทั้งสองฉบับจะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงยาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในการประกาศใช้มาตรการซีแอล การขยายอายุสิทธิบัตร การผูกขาดข้อมูลทางยา และการบังคับใช้กฎหมายที่เกินเลย

“เราเป็นประเทศกำลังพัฒนาเพียงไม่กี่ประเทศที่สามารถผลิตและส่งออกยาได้ เราอาจไม่ได้ใหญ่โตเท่าอินเดีย แต่อุตสาหกรรมนี้ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถ้ารัฐบาลเห็นความสำคัญในการเข้าถึงยาจากกรณีไวรัสโคโรนา รัฐก็ควรคำนึงถึงเรื่องการแก้ไขกฎหมาย การควบคุมราคายา และการควบคุมคุณภาพการออกสิทธิบัตร รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ประเทศไทยอาจตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”

‘คนเลือดบวก’ มีเพศสัมพันธ์แบบสดได้จริงหรือ?

จากกระแสสังคมที่แรงเกินต้าน กรณี #พีทเลือดบวก ประกาศเตรียมเปิดคอร์สสอนวิธีการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่สวมถุงยางอนามัยอย่างไร โดยไม่ให้ติดเชื้อ HIV กลายเป็นประเด็นร้อนและสร้างความฮือฮาทันที หลายคนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว รวมถึงพยาบาลหญิงรายหนึ่งที่ออกมาโต้แย้งถึงคำเคลมที่ #พีทเลือดบวก ใช้การันตีนั้นเป็นเรื่องที่ขัดกับชุดความรู้ในตำราเรียนอย่างรุนแรง

อภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย ไขข้อสงสัยในสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ว่า “จริงๆ แล้วคนมีเลือดบวกสามารถมีเพศสัมพันธ์แบบสดได้จริงหรือไม่?”

 

Q: ผู้ติดเชื้อ HIV ควรมีพฤติกรรมทางเพศแบบไหน

A: ขออธิบายก่อนว่าการมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัยคือหน้าที่ของทุกคน ไม่ว่าคุณจะมีหรือไม่มีเชื้อ HIV ทุกคน ‘ควร’ จะต้องป้องกันตัวเอง เพื่อให้ไม่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงในการรับเชื้อที่มาพร้อมเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นโรคหนองใน (gonorrhea) ติดเชื้อ HPV โรคหูดหงอนไก่ (condyloma acuminata) โรคเริมที่อวัยวะเพศ (genital herpes) โรคซิฟิลิส (syphilis) ฯลฯ รวมถึงการท้องไม่พร้อมอีกด้วย

เมื่อแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มคนที่ไม่ติดเชื้อ HIV 2. กลุ่มคนที่มีเชื้อ HIV

หากคนกลุ่มแรกได้รับเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคู่ตัวเองโดยไม่ได้ป้องกัน คำถามคือ พวกเขาเหล่านี้เห็นความเสี่ยงของตัวเองไหม ถ้าเขาเห็นความเสี่ยงของตัวเอง เขาจะลดความเสี่ยงตรงนี้ได้อย่างไร และจะทำได้โดยวิธีไหน เพื่อให้เขารู้จักประเมินความเสี่ยงของตัวเองและไม่กลายเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่

ส่วนคนกลุ่มถัดไป ปัจจุบันประเทศไทยเราพบผู้ที่ติดเชื้อ HIV อยู่ในระบบเกือบ 400,000 คน ที่ได้รับยาต้านอย่างต่อเนื่อง คำถามสำคัญคือ หากคนในกลุ่มนี้มีเพศสัมพันธ์เขาควรต้องป้องกันไหม คำตอบคือทุกคนต้องป้องกันครับ ถึงแม้คนในกลุ่มนี้จะมีภาวะ viral load หรือปริมาณไวรัสในเลือดต่ำ แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่ติดเชื้อ แถมการไม่ป้องกันก็เสี่ยงการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ด้วย เช่น หนองใน ซิฟิลิส หูดหงอนไก่

ดังนั้นสรุปได้ว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ ก็ต้องมีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัยเหมือนกัน

Q: กรณีพีทเลือดบวกออกมาแอคชั่นแบบนี้ พอจะอธิบายเจตนารมณ์ของเขาได้ไหม

A: น้องเขาอาจจะเป็นคนที่ศึกษาข้อมูลเยอะ แต่จุดอ่อนคือการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน เขาพูดในส่วนที่เขาเชื่อ และเอาแค่ตอกย้ำในประเด็น self-stigma หรือตราบาปจากตนเอง จากการดูพฤติกรรมของเขา เราคิดว่าเขาอาจจะคิดว่า ‘เรื่องเอดส์เป็นเรื่องของผู้ติดเชื้อเท่านั้น คนที่ไม่ติดเชื้อไม่มีวันเข้าใจหรอก’ แต่ผมในฐานะผู้ติดเชื้อและอยู่กับมันมา 20 ปี มีบางอย่างที่เราก็แอบห่วง เพราะคนที่เขาคิดต่างหรือยังไม่เข้าใจ สังคมเราควรมีพื้นที่ในการถกเถียง พูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ใช่ใครคิดต่างกับตัวเองแล้วไปตำหนิ ตัดสิน ด่าทอกันด้วยความรุนแรงจนเกิดเป็นวิวาทะ ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจจะไม่มีใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้เลย

Q: เรื่องนี้จะมีผลต่อการรณรงค์ให้ความรู้ด้านสาธารณสุขอย่างไรบ้าง 

A: เราเชื่อว่าหน้าที่ของหน่วยงาน หน้าที่ของภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านเอดส์และเพศ กระทรวงสาธารณสุข นักวิชาการ รวมถึงคนทำงานด้านนี้ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือการทำงานให้ข้อมูล สื่อสารข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน แล้วสื่อสารออกมาให้คนที่รับสารคิดและตัดสินใจด้วยตัวเองว่า เรื่องไหนเป็น ‘ข้อเท็จจริง’ เรื่องไหนเป็น ‘ทัศนคติ’