19 ข้อเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19

1.

สถานการณ์ภาพรวมทั่วโลก วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 มียอดรวมผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมทั้งสิ้น 82,152 คน ผู้เสียชีวิต 2,799  คน และผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 32,814 คน

2.

ที่อิตาลี มีรายงานว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้นรวมเป็น 400 ราย โดยเป็นการเพิ่มขึ้นมากถึง 25 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ทำให้อิตาลีกลายเป็นจุดแพร่ระบาดหนักในยุโรป

3.

สำหรับประเทศไทย มีตัวเลขผู้ป่วยยืนยันสะสมทั้งสิ้น 40 ราย รักษาหายแล้ว 24 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 16 ราย ส่วนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสอบสวนโรคอยู่ที่ 1,798 ราย ให้กลับบ้านและติดตามอาการ 1,247 ราย ที่เหลือ 551 ราย ยังคงอยู่ที่โรงพยาบาล

4.

กระทรวงสาธารณสุขได้แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ COVID-19 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ว่ามีการตรวจพบผู้ป่วยเพิ่มอีก 3 ราย อยู่ในครอบครัวเดียวกัน รายที่ 1 เป็นชายไทย อายุ 65 ปี มีประวัติไปเที่ยวฮอกไกโด โดยปกปิดข้อมูลการเดินทาง รายที่ 2 เป็นภรรยาอายุ 62 ปี เดินทางไปเที่ยวด้วยกัน ส่วนรายที่ 3 เป็นหลานวัย 8 ขวบ ไม่ได้ไปต่างประเทศ แต่ใกล้ชิดปู่ย่าจึงติดเชื้อไปด้วย

5.

ผลจากการที่ผู้ป่วยปกปิดประวัติการเดินทางไปต่างประเทศ ทำให้บุคลากรทั้งแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลบี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ จำนวน 30 คน มีความเสี่ยงสูงจากการที่ได้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย

6.

ขณะเดียวกัน ผู้ปกครองที่โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมืองเกิดความแตกตื่นภายหลังทราบข่าวว่า ผู้ป่วยเด็กวัย 8 ขวบ ได้เข้ามาเรียนเป็นเวลา 1 วัน ทำให้ครูและนักเรียนในชั้นประมาณ 50 คน มีความเสี่ยงติดเชื้อ ทางโรงเรียนจึงมีคำสั่งปิดโรงเรียน 14 วัน ตั้งแต่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 10 มีนาคม 2563 นอกจากนี้ได้มีการขยายผลไปยังสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย ซึ่งทำงานอยู่ที่ธนาคารธนชาต สาขาดอนเมือง โดยทางธนาคารได้สั่งปิดสาขาเป็นเวลา 3 วัน เพื่อเช็ดล้างทำความสะอาด

7.

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงศึกษาธิการทำหนังสือเวียนไปยังหน่วยงานราชการและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยขอให้ครูและนักเรียนที่เดินทางกลับจาก 6 ประเทศเสี่ยง ได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ หยุดเรียนและหยุดปฏิบัติงาน เพื่อเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 14 วัน ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของกระทรวงสาธารณสุข

8.

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติเอกฉันท์ให้ออกประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็น ‘โรคติดต่ออันตราย’ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ลำดับที่ 14 เพื่อเพิ่มความสามารถในการควบคุมการระบาดของโรคมากยิ่งขึ้น ทำให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อมีอำนาจในการดำเนินการหรือออกคำสั่ง เช่น ให้ผู้ที่เข่าข้ายเฝ้าระวังมารับการตรวจและกักกันตัว กรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งปิดสถานที่ชุมนุมชนได้เป็นการชั่วคราว

9.

คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดยังได้จัดทำแผนเผชิญเหตุ COVID-19 ประกอบด้วย 6 มาตรการ ได้แก่ 1.การคัดกรองและเฝ้าระวังผู้ป่วยที่ช่องทางเข้าออกประเทศ สถานพยาบาล และในชุมชน 2.การดูแลรักษาผู้ป่วยและป้องกันการติดเชื้อ 3.การติดตามผู้สัมผัสโรค 4.การสื่อสารความเสี่ยง 5.การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย และ 6.การประสานงานและจัดการข้อมูล

10.

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า อยากขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานราชการทุกแห่ง ขอให้เลื่อนการประชุมในประเทศกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะการไปท่องเที่ยว ขอวิงวอนสายการบินหยุดโปรโมชั่นตั๋วราคาถูกเพื่อดึงดูดให้คนไปเที่ยว และขอให้คนไทยอย่าทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา หรือเห็นแก่ตั๋วเครื่องบินราคาถูก เพราะหากติดเชื้อแล้วอาจจะกลายเป็นการไปเที่ยวครั้งสุดท้าย ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขเองได้ออกประกาศห้ามบุคลากรเดินทางไปยังกลุ่มประเทศเสี่ยงโดยเด็ดขาด

11.

นอกจากนี้ มีข้อแนะนำจาก ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า หากประชาชนมีอาการเข้าข่ายสงสัยติดเชื้อ หรือมีประวัติเดินทางไปยังประเทศเสี่ยง หรือใกล้ชิดกับผู้ที่เคยเดินทางไปต่างประเทศ สามารถเข้ารับการตรวจได้ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านตามสิทธิการรักษา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

12.

มีการศึกษาที่คาดการณ์จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสนี้ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า คนติดเชื้อคนหนึ่งจะสามารถแพร่ไปให้คนอื่นได้ราว 2-6 คน

13.

จำนวนคนโดยเฉลี่ยที่ติดเชื้อจากการได้รับเชื้อจากคนที่ติดเชื้อเดิมในช่วงเวลาที่สามารถแพร่ได้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Reproduction number (R0) ถ้า R0 น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 มักจะไม่กังวลว่าจะเกิดการระบาดของโรค ดังนั้นไวรัสนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้การระบาดขยายตัวไปเรื่อยๆ หากไม่มีการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงที

14.

ไวรัสนี้น่าจะเข้าสู่เซลล์ปอดผ่านทางตัวรับที่เรียกว่า Angiotensin-converting enzyme 2 (ACE2) receptor เซลล์ปอดของคนเอเชียมีจำนวนตัวรับนี้มากกว่าคนตะวันตกผิวขาว และคนแอฟริกัน-อเมริกัน ถึง 5 เท่า นั่นอาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสนี้ของคนเอเชียที่มากกว่าคนตะวันตก

15.

ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนชนิดใดที่สามารถยับยั้งไวรัส COVID-19 ได้หายขาด นักวิจัยต่างกำลังทำงานเพื่อพัฒนาตัวยาสำหรับไวรัสชนิดนี้ เนื่องจากไวรัส COVID-19 ถือเป็นเชื้อใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบ มีโครงการที่พยายามศึกษาวิธีรักษาโรคนี้ในประเทศจีนกว่า 80 โครงการ ทั้งการใช้ยาแผนปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือก รวมถึงในประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคนี้ ก็กำลังศึกษากันอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่มีการรักษาใดที่จะใช้เป็นมาตรฐานได้

16.

องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ระบุว่าระยะเวลาฟักตัวของไวรัสนี้ โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 1-14 วัน ก่อนที่จะแสดงอาการออกมา (บางงานวิจัยระบุว่า 2-10 วัน) แต่ล่าสุดทางการท้องถิ่นของจีนเผยว่ามีความเป็นไปได้ที่เชื้อไวรัส COVID-19 อาจมีระยะฟักตัวนานถึง 27 วัน มากกว่าระยะฟักตัวเดิมที่คาดไว้เกือบ 1 เท่า

17.

ผลวิเคราะห์ไวรัส COVID-19 บางสายพันธุ์อยู่บนพื้นผิวที่อุณหภูมิห้องนานสุด 9 วัน แต่โดยเฉลี่ย มีชีวิตอยู่ได้ระหว่าง 4-5 วัน บนวัตถุหลายอย่าง อาทิ เหล็ก อลูมิเนียม ไม้ กระดาษ พลาสติก และแก้ว

18.

ผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจควรใช้หน้ากากอนามัย เพราะจะป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ราว 80 เปอร์เซ็นต์ แต่หากจะป้องกันไวรัสที่มีขนาดเล็กมากๆ ต้องใช้หน้ากากประเภท N95

19.

วิธีป้องกันที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ คือ การมีสุขอนามัยที่ดีและล้างมือสม่ำเสมอ รวมถึงพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด

 

อ้างอิง

มาตรา 12 สิทธิการตายที่เลือกได้ก่อนถึงลมหายใจสุดท้าย

ความตายคือความจริงแท้ของชีวิต ไม่มีใครหนีพ้นความตายได้ การทำความเข้าใจและเตรียมความพร้อมสำหรับความตายในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องเรียนรู้ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง และเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะขอตายอย่างสงบ ตายอย่างเป็นธรรมชาติ หรือจะขอรับการรักษาพยาบาลต่อไปเพียงเพื่อจะเหนี่ยวรั้งชีวิตจนถึงนาทีสุดท้าย

มาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อให้สิทธิประชาชนในการเลือกที่จะปฏิเสธการรักษาได้ หากการรักษานั้นไม่สามารถช่วยให้หายจากโรคหรือเป็นเพียงการยืดเวลาออกไปโดยไม่เกิดประโยชน์ กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้มาร่วม 13 ปี แต่ที่ผ่านมาประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมถึงแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุข อาจยังไม่เข้าใจความหมายและแนวปฏิบัติที่ถ่องแท้เท่าใดนัก

ด้วยเหตุนี้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่ายจึงได้จัดมหกรรม ‘สร้างสุขที่ปลายทาง’ ครั้งที่ 3 เพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง และยกระดับความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิในการเลือกตายตามธรรมชาติ ตามมาตรา 12

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์และความจำเป็นของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (palliative care) ตอนหนึ่งว่า การดูแลแบบประคับประคองเป็นแนวทางการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่นานาประเทศปฏิบัติกันโดยทั่วไป เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานน้อยที่สุด หรือที่เรียกว่าการตายดี คือการจากไปอย่างสบายและสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีความเข้าใจผิดว่าการดูแลแบบประคับประคองมักใช้กับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงคือมีเด็กที่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวนกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องการการดูแลแบบประคับประคอง ฉะนั้นสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นต่อไปก็คือ การทำให้คนทุกกลุ่มวัยเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคอง และขยายการบริการให้ครอบคลุมทุกกลุ่มโรคที่เข้าสู่ภาวะสุดท้ายของชีวิต

อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวอีกว่า ในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ขณะเดียวกัน แนวโน้มของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ในคนไทยก็เพิ่มมากขึ้น นั่นหมายความว่าอัตราการเจ็บป่วยจะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสนับสนุนแนวทางการดูแลแบบประคับประคองให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดนโยบายการดูแลแบบประคับประคองให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระบบสุขภาพ (Service Plan) รวมทั้งจะสนับสนุนให้เกิดการทำงานแบบไร้รอยต่อ โดยให้มีการประสานและส่งต่อระหว่างชุมชน หน่วยบริการปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว และสามารถสร้างสุขที่ปลายทางได้อย่างแท้จริง” นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยมี พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 ที่ให้การรับรองสิทธิของบุคคลในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียงเพื่อการยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พร้อมทั้งคุ้มครองผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขที่ได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลที่ได้ทำหนังสือแสดงไว้ โดยให้ถือว่าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดและพ้นจากความรับผิดทั้งปวง

นพ.ประทีป กล่าวว่า ทุกวันนี้การรับรู้ของประชาชนรวมถึงบุคลากรด้านสาธารณสุขในเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง และสิทธิการตายตามธรรมชาติยังมีอยู่จำกัด เนื่องจากองค์ความรู้เหล่านี้เพิ่งเริ่มมีในประเทศไทยไม่นานนัก ขณะเดียวกัน การขับเคลื่อนเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันจากทุกภาคส่วน สช. จึงได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับภาคีเครือข่ายกว่า 10 องค์กร เพื่อให้เกิดการบูรณาการ นำไปสู่การขยายผลในการทำงาน และยกระดับการรับรู้ของสังคม

“มาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการผลักดันให้นโยบายการดูแลแบบประคับประคองผู้ป่วยระยะท้ายขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยบริการหรือชุมชน ซึ่งทั้งหมดจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยในวาระสุดท้าย” นพ.ประทีป กล่าว

ทั้งนี้ รูปธรรมประการหนึ่งที่จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลแบบประคับประคองเพื่อการตายตามธรรมชาติก็คือ การทำ ‘หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต’ โดยการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ไว้ล่วงหน้า จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ญาติ และผู้ให้การรักษา ให้มีความเข้าใจตรงกันในความต้องการของผู้ป่วยเมื่อไม่มีสติสัมปชัญญะแล้ว ทำให้บุคลากรในระบบสุขภาพสามารถวางแผนการรักษาได้ อีกทั้งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่จำเป็น รวมถึงภาระงานของบุคลากรสาธารณสุข สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถศึกษาตัวอย่างการทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ได้ที่ www.thailivingwill.in.th

Deconstruct Depression: ทำไมกินยาต้านเศร้าแต่ไม่หายเศร้า ชวนมองโรคซึมเศร้าในมุมใหม่

อกหัก แฟนทิ้ง ผัวตาย ตกงาน สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ฯลฯ

สารพัดสถานการณ์อันเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นกับใครสักคนบนโลกใบใหญ่ จนทำให้ต้องเก็บความผิดหวัง ความเศร้า เครียด กดดัน เคว้งคว้าง เอาไว้ในใจ สะสมขึ้นมาจนค่อยๆ ก่อตัวเป็นภูเขาสูงหนักอึ้ง และเกิดเป็นความรู้สึกจมดิ่ง ไม่มีใครเข้าใจ มืดแปดด้าน เอาแต่ตั้งคำถามว่าทำไม ทำไม ทำไมชีวิตมันช่างห่วยเช่นนี้

ย้อนไป 4-5 ปีก่อน สถานการณ์โรคซึมเศร้าในประเทศไทยอาจไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจมากนัก โรคซึมเศร้าเป็นเรื่องไกลตัวและเข้าใจยาก แต่วันนี้ หากคุณสำรวจวงโคจรรอบชีวิตตัวเอง คุณจะพบกับเพื่อน เพื่อนของเพื่อน ญาติมิตร คนรู้จักห่างๆ หรือใครสักคนรอบตัวคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก โรคนี้ขยับใกล้ชิดเราเข้ามาทุกที

ปี 2018 ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน และมีเพียง 1 ใน 10 ที่สามารถเข้าถึงบริการการรักษา

‘Deconstruct Depression มองโรคซึมเศร้าในมุมใหม่’ วงเสวนาที่ชวนเปิดพื้นที่สำรวจทางเลือกอื่นๆ ในการรักษาโรคซึมเศร้า ช่วยเปิดตาให้เรามองกว้างขึ้น ชวนกันมาทำความเข้าใจทางเลือกใหม่ในการรักษา รองรับในความเป็นปัจเจกของมนุษย์มากขึ้น วงเสวนาถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ณ วัชรสิทธา โดยมี เอก-สมภพ แจ่มจันทร์ นักจิตวิทยาผู้เปิดศูนย์ให้คำปรึกษาภายใต้ชื่อว่า Knowing Mind บริการมิตรสหายผู้มีปัญหาด้านจิตใจมาเกือบ 3 ปี เป็นวิทยากรหลักประจำวงเสวนา

“หลายๆ ครั้งเรามักจะมีคำตอบสำเร็จรูปให้กับทุกปัญหา ไม่เว้นแม้แต่เรื่องโรคซึมเศร้าที่มีสาเหตุจากหลายมิติ หากคำว่าโรคซึมเศร้าเป็นคำที่เราใช้เรียกแทนความทุกข์ ปัจจุบันเราใช้การกิน ‘ยา’ เป็นคำตอบของการรักษาโรคซึมเศร้า จนเราหลงลืมต้นตอที่มาที่ไปของความทุกข์ที่เกิดขึ้น” สมภพชวนเปิดประเด็น

จุดมุ่งหมายของวงเสวนาในครั้งนี้คือการพาไปถอดรื้อมายาคติโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจชวนให้รู้สึกสับสน มึนงง และเกิดความสงสัย หากเราไม่ได้พูดถึงปรากฏการณ์ของโรคซึมเศร้าในเชิงการแพทย์หรือสารเคมีในสมอง แล้วมันคืออะไร?

ประวัติศาสตร์ซึมเศร้า

“โรคซึมเศร้าถือว่าเป็นโรคที่มีอายุน้อย เนื่องจากเพิ่งมีเกณฑ์วินิจฉัยอย่างเป็นระบบระเบียบได้ไม่นาน ประมาณ 40 ปีที่แล้ว” สมภพอธิบายถึงประวัติศาสตร์ของโรคซึมเศร้า

นอกจากระยะเวลาที่บ่งบอกว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่โรคเก่าแก่ ยังมีอีกหนึ่งข้อเท็จจริงที่น่ากังวล นั่นคือวิธีการวินิจฉัยที่ ‘แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย’

เมื่อพูดถึงการวินิจฉัยว่าใครป่วยไม่ป่วย เราจำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานสมการในการเกิดโรคก่อน “ในการ detect ว่าใครจะเป็นโรคหรือไม่ เรามักดูกันที่ ‘อาการ’ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ แพทย์จะสำรวจและนำอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยมากองรวมกัน แล้วเคาะออกมาเป็นข้อสรุป เพื่อกำหนดว่าอาการแบบไหนเข้าข่ายการเจ็บป่วยเป็นโรคซึมเศร้าบ้าง”

DSM (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) คือ หลักเกณฑ์ 9 ประการทางการแพทย์ที่ใช้ประเมินอาการพื้นฐานในการเกิดโรคซึมเศร้า

  1. เศร้า ท้อแท้ ซึมตลอดวัน เบื่อไม่อยากทำอะไร ในระดับที่ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาแทรกได้
  2. ขาดความสนใจสิ่งรอบข้าง เฉยชา ว่างเปล่า หมดความสนใจกับสิ่งที่เคยชอบทำ อยากอยู่เฉยๆ ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น
  3. ไม่อยากอาหารหรืออยากกินมาก และมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตัวมากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 1 เดือน
  4. หลับยาก หลับๆ ตื่นๆ นอนมากหรือนอนน้อยเกินไป
  5. เชื่องช้า ไม่มีสมาธิทำอะไร ตัดสินใจไม่ได้ ความจำถดถอย
  6. ไม่นิ่ง รู้สึกกระสับกระส่าย อยู่ไม่สุข หรือเคลื่อนไหวช้าลงจนผิดปกติ
  7. อ่อนเพลีย เหนื่อย ไม่มีแรง
  8. ตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า รู้สึกผิดต่อสิ่งที่ทำมากมายเกินแบบไม่มีเหตุมีผล
  9. มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย พยายามจะฆ่าตัวตาย ไม่อยากอยู่ต่อ

ผู้ที่ต้องสงสัยว่าอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า จะต้องมีอาการตามข้อ 1 หรือ 2 อย่างรุนแรง นานติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการในข้อ 3-9 อย่างน้อย 5 อาการ

คำถามคือ ใครเป็นผู้กำหนดเส้นแบ่งในการบอกว่าใคร ‘เป็น’ หรือ ‘ไม่เป็น’ โรคซึมเศร้า

หากคุณสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือแค่คุณเครียดจากกองงานตรงหน้า คุณสำรวจตัวเองแล้วพบว่ามีอาการทั้งหมดดังกล่าว นั่นแปลว่าคุณกำลังเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ หรือถ้าคุณมีอาการเพียง 3 ใน 9 อย่างนี้ คุณเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไหม ใครเป็นคนอนุญาตให้เราเศร้านานแค่ 2 สัปดาห์?

แน่นอนว่า DSM คือแบบประเมินที่มีประโยชน์ เพราะช่วยตรวจสอบว่าใครป่วยหรือไม่ป่วย แต่ถ้าคำวินิจฉัยทางการแพทย์นั้นละทิ้งการพิจารณาบริบทบางอย่างไป อาจทำให้ผลลัพธ์กลับหัวกลับหาง

สมภพยกตัวอย่าง ในกรณีต่างประเทศมีการแบ่งโรคซึมเศร้าเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับอ่อน ระดับปานกลาง และระดับรุนแรง

“ในเมืองนอก ถ้าคุณถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าในระดับอ่อน-ปานกลาง คุณรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา คุณเพียงไปหาคนคุย ไปออกกำลังกาย ไปทำกิจกรรม ไปเจอนักจิตบำบัด หาทางจัดการปัญหาผ่านการ consult หรือวิธีอื่นๆ สอดคล้องกับงานวิจัยที่บอกว่ายาจะทำงานได้ผลดีกว่ากับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในระดับรุนแรง

หนทางสู่การจัดการกับความเศร้า

ไม่ปฏิเสธว่า ในทางการแพทย์โรคซึมเศร้าเกิดจากสารสื่อประสาทในสมองทำงานผิดปกติ ในทัศนะของสมภพ จุดมุ่งหมายของเกณฑ์ DSM จึงโฟกัสไปยังลักษณะอาการที่แสดงออกมา โดยขาดการพิจารณาถึงแหล่งที่มา ต้นตอ และสาเหตุของอาการที่แท้จริง

การบำบัดเยียวยาโรคซึมเศร้าทางการแพทย์ในประเทศไทย กว่าร้อยละ 99 จึงกลายเป็นเรื่องของการจ่ายยา ไม่ว่าคุณจะป่วยในระดับไหนก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาในประเทศไทยมีจำนวนน้อยและกระจุกตัว

ผลลัพธ์และความเป็นไปได้จึงแบ่งออกได้เป็น 3 ทาง คือ หนึ่ง-เมื่อผู้ป่วยได้รับยาแล้วดีขึ้น สอง-เมื่อผู้ป่วยได้รับยาแล้วดีขึ้น แต่ก็กลับมาเป็นอีก สาม-เมื่อผู้ป่วยได้รับยา แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย

“ที่เป็นแบบนี้ เพราะโรคในทางจิตเวช เราไม่มีเครื่องมือตรวจวัดอาการที่แม่นยำเหมือนโรคทางกาย โรคซึมเศร้าในทางจิตเวชจึงเปรียบเสมือน common cold หรือ ‘การเป็นหวัด’ อาการของโรคหวัดมาได้จากหลายสาเหตุ เช่น พักผ่อนไม่พอ ตากฝน ติดเชื้อไวรัส เช่นเดียวกับโรคซึมเศร้ามีที่ปัจจัยหลายอย่างที่ก่อให้เกิดโรค เช่น เกิดจากความสัมพันธ์ที่พัง เครียดจากงาน โรคเดียวกันแต่สาเหตุต่างกัน” สมภพบอก

ในเมื่อมุมมองทางการแพทย์ โรคซึมเศร้าตั้งบนอยู่สมมุติฐาน ‘จิตเป็นกาย’ วิธีการรักษาจึงหวังผลทำให้อาการผิดปกตินั้น ‘ดีขึ้น’ โดยใช้วิธีกินยา แต่การสรุปเหมารวมสาเหตุของโรคเป็นหนึ่งเดียวเช่นนี้ อาจเป็นปัญหาได้ในอนาคต

“ถ้าคุณคุยกับนักจิตวิทยา นักจิตวิทยาอาจจะบอกว่าสาเหตุของโรคซึมเศร้าคือเรื่องจากปมบาดแผลในชีวิตวัยเด็ก

“ถ้าเราปักธงเชื่อว่าโรคเกิดจากสารเคมีโดยละทิ้งเรื่องจิตใจ เราก็จะกินยาตามหมอสั่งเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเชื่อว่ามันมาจากจิตใจ เราก็จะละทิ้งเรื่องร่างกาย เราจะเอาเปลี่ยนแต่วิธีคิด และบอกให้ทุกคนคิดบวก หรือถ้าเราเชื่อว่ามันเกิดจากสิ่งแวดล้อมข้างนอก เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนสถานที่ทำงาน ย้ายบ้าน เปลี่ยนคนรักไปเรื่อยๆ”

เพราะไม่มีหนทางไหน แก้ไขได้ดีที่สุด มีแต่หนทางที่เหมาะกับแต่ละบุคคลและแต่ละสถานการณ์ สมภพจึงมองว่า ยิ่งเราพิจารณามองเห็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้ามากเท่าไร จะยิ่งทำให้เรามองเห็นโอกาสในการรับมือกับโรคได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมองให้ทั่วถึงและรอบด้าน ทั่วทั้งระบบนิเวศ Biopsychosocial (ร่างกาย จิตใจ และสังคม)

ยาต้านเศร้า คือ ที่พึ่งทางใจ

ในปี 2018 วารสารการแพทย์ The Lancet ได้เผยแพร่งานวิจัยที่นำทีมโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวถึงข้อถกเถียงอันยาวนานกี่ยวกับยารักษาอาการซึมเศร้า ว่ายาเหล่านี้ทำงานได้จริงหรือไม่ โดยผลการศึกษาข้อมูลจากการทดลอง 522 ครั้ง มีผู้ร่วมทดสอบถึง 116,477 คน พบว่า ยารักษาอาการซึมเศร้า ที่ใช้กันทั่วไปจำนวน 21 ชนิด ล้วนมีประสิทธิภาพในการลดอาการซึมเศร้าเฉียบพลันได้ดีกว่ายาหลอก (placebo)

แอนเดรีย ซิปริอานี (Andrea Cipriani) หัวหน้าทีมวิจัย ยืนยันว่า “การใช้ยารักษาอาการซึมเศร้าควรถูกพิจารณาควบคู่ไปกับวิธีรักษาชนิดอื่นๆ เช่น การบำบัดทางจิตวิทยา” แสดงให้เห็นว่ายารักษาอาการซึมเศร้าไม่ใช่ตัวเลือกอันดับแรกในการรักษา เพราะแพทย์จะต้องประเมินตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคนที่แตกต่างกัน

สมภพจึงเปรียบเทียบว่า บางครั้งยารักษาอาการซึมเศร้าเป็นเสมือนน้ำมนต์ ถ้าพูดในเชิงวิทยาศาสตร์ น้ำมนต์อาจจะไม่ได้มีสารออกฤทธิ์ใดๆ ที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับร่างกายแล้วทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ที่เรากลับรู้สึกดีเป็นเพราะความเชื่อส่วนตัว

แสดงให้เห็นว่า ‘ผลลัพธ์จากการให้ยา’ ไม่เท่ากับ ‘ประสิทธิภาพของยา’ กล่าวคือ เมื่อคุณป่วย คุณกินยาแล้วรู้ดีขึ้น ถือเป็นการตอบสนองที่ไม่จำเป็นต้องมาจากตัวยาทั้งหมดเสียทีเดียว ผลสัมฤทธิ์สุดท้ายของยาต้านเศร้าอาจได้ประสิทธิผลประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ อีก 25 เปอร์เซ็นต์ คือการดีขึ้นเองตามธรรมชาติ และอีก 50 เปอร์เซ็นต์ คือการตอบสนองทางใจจากการได้รับยา

เมื่อรู้ความต้องการ อาจช่วยถอนรากความเศร้าได้

อีกมุมมองหนึ่ง สมภพชวนตั้งคำถามต่อว่า “ทำไมในผู้ป่วยบางคนที่ได้รับยาต้านซึมเศร้าอย่างต่อเนื่อง แต่กลับมีอาการวนมาเหมือนเดิม” ความไม่คงที่ดังกล่าวเป็นเพราะสุดท้ายแล้วเขายังไม่ได้เข้าไปจัดการแก้ปัญหาที่เป็นจุดตั้งต้นของโรคหรือเปล่า

“วันนี้ผมว่าเราอาจจะต้องแยกคำว่า ‘อาการดีขึ้น’ กับ ‘แก้ปัญหา’ ออกจากกันก่อน เวลาคุณไปหาหมอ หมออาจจะถามว่าคุณอาการดีขึ้นหรือยัง แต่ไม่ได้ถามว่าที่คุณทะเลาะกับพ่อเป็นอย่างไร ที่คุณเครียดเรื่องงานคลี่คลายหรือยัง

“สมมุติฐานสำหรับผมคนที่เป็นโรคซึมเศร้าคือคนที่สูญเสียอะไรบางอย่าง เขาคือคนที่มีชีวิตไม่เป็นแบบที่ตัวเองต้องการ และไม่สามารถจัดการความต้องการนั้นได้” สมภพบอก

สอดคล้องกับทฤษฎีของ ซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่อธิบายเรื่องปมความขัดแย้งในจิตใจ โดยเห็นว่า โรคซึมเศร้าเกิดจากความรู้สึกสูญเสียทั้งในเชิงรูปธรรมกับนามธรรม ทางรูปธรรมอาจหมายถึงการเลิกกับแฟน สูญเสียคนรัก งาน เพื่อน หรือโดนหลอก นามธรรมคือการที่เขารู้สึกสูญเสียตัวตนหรือคุณค่าบางอย่างในตัวเองไป ซึ่งความรู้สึกในมิตินามธรรมเป็นสิ่งที่จัดการและทำความเข้าใจได้ยากกว่า

สมภพอธิบายต่อว่า โครงสร้างพื้นฐานของการเกิดความรู้สึกของมนุษย์คือความต้องการที่มาจาก 3 ด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ซึ่งความต้องการเหล่านี้ หากเราไม่เข้าใจและจัดการได้ไม่ดีพอ สุดท้ายมันจะปรากฏออกมาเป็นอาการต่างๆ เหมือนลักษณะ 9 อย่างที่ทางการแพทย์ใช้ประเมินในการเกิดโรคซึมเศร้า

ดังนั้น ถ้าเราสวมแว่นตาแห่งการแก้ไขปัญหาจ้องมองไปที่ทางออก เราจะพบว่า การกินยาต้านซึมเศร้า อาจเป็นเพียงการแก้ไขอาการทางภายนอกของผู้ป่วยเท่านั้น เพราะลึกๆ แล้ว ความต้องการภายในจิตใจและจิตวิญญาณยังคงอยู่และยังไม่ถูกจัดการ เช่น คุณเครียด คุณป่วย เพราะคุณทำงานที่ไม่ได้ตอบความต้องการในจิตใจของคุณ คุณอยากทำงานที่ทำให้ตัวเองมีคุณค่า คุณไปพบหมอ หมอบอกว่าคุณเข้าข่ายโรคซึมเศร้า คุณได้รับยาแล้วอาการดีขึ้น คุณไม่เครียดแล้ว แต่ความต้องการของคุณไม่ได้ถูกแก้ไข

“ถ้าเราอยากเข้าใจโรค จุดแรกที่เราควรกระโดดลงไปทำความเข้าใจและจัดการกับมันคือ ความต้องการภายในที่แท้จริง” สมภพบอก

“ในทางการแพทย์ ถ้าคุณมีอาการครบตามเกณฑ์ 9 ข้อ คุณอาจเป็นโรคซึมเศร้า แต่ในความเห็นของผม สุดท้ายแล้วคุณอาจจะเป็นคนที่มีปัญหา มีความทุกข์ เพราะความต้องการของคุณยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่านั้น หน้าที่ของผมคือตั้งรับและคอยรับ ‘ฟัง’ ช่วยแงะปัญหาและแกะรอยดูว่าอันที่จริงแล้วมิตรสหายที่เดินเข้ามาพร้อมความหนักอึ้งในจิตใจมีความต้องการอย่างไร และทำให้เห็นรากของปัญหาทางจิตใจอย่างแท้จริง” สมภพทิ้งท้ายไว้

ขอบคุณภาพจาก: วัชรสิทธา • vajrasiddha

ความฉิ-หายอย่างน้อย 9 ข้อ หากไทยเข้าเป็นสมาชิก CPTPP

จับตา! วันพฤหัสที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อหารืออนุมัติให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก CPTPP หรือ Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก)

CPTPP เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ มีประเทศสมาชิก 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม เป็นการปรับโฉมจากความตกลง TPP (Trans-Pacific Partnership) หลังจากที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวออกไป ซึ่งทำให้โอกาสการเข้าถึงตลาดสหรัฐที่เป็นตลาดใหญ่ที่ไทยยังไม่มี FTA หดหายไปด้วย

แต่ก็มีหลายหน่วยงานกังวลถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP เพราะอาจจะทำให้ประเทศได้ไม่คุ้มเสีย หน่วยงานหนึ่งก็คือกระทรวงสาธารณสุข

ปี 2561 กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำ ‘รายงานผลการประเมินผลกระทบ และสิ่งที่ต้องดำเนินการ หากไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP’ เพื่อท้วงติงการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนฯ ของประเทศไทย

จากการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบโดยตลอดห่วงโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ พบว่า ความตกลงฯ มีผลกระทบต่อสุขภาพหลายมิติ

นอกประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนแล้ว สิ่งที่น่ากังวลคือ รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มีช่องโหว่ที่เอื้อให้รัฐบาลมีอำนาจทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศได้ โดยขาดการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติ และตัดการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศไทยเสียเปรียบในทุกกรณี อาทิ ผลกระทบต่อภาคการเกษตรที่ถูกต่างชาติผูกขาดเมล็ดพันธุ์ และในด้านการสาธารณสุข ไทยต้องเสียงบประมาณการจัดซื้อยาแพงขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงยา เป็นต้น

เราจะต้องเจออะไร หากประเทศไทยเข้าร่วม CPTPP

 

Modern biotechnology

ข้อกำหนดด้าน Modern biotechnology ซึ่งรวมการดัดแปรพันธุกรรม (GMO) ในสินค้าเกษตรและประมง

  • เกิดผลกระทบต่อพันธุกรรม ซึ่งยังไม่มีผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนทั้งด้านบวก-ลบ ดังนั้น จึงต้องใช้ระบบป้องกันไว้ก่อน (precautionary measure)
  • ไทยอาจจะสูญเสียจุดยืนในการผลักดันสินค้าเกษตรและอาหารตามยุทธศาสตร์ของประเทศที่ต้องการเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ เพราะยังไม่มีการกำหนดนโยบายหรือมาตรการโซนนิ่งที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
  • การใช้หลักการวิเคราะห์ความเสี่ยงและอ้างอิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ยังจำเป็นต้องพิจารณาบริบทแวดล้อมอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเด็นนั้นยังมีข้อถกเถียงในด้านหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการบริหารจัดการความเสี่ยง

 

ผลิตภัณฑ์สมุนไพร

  •  ไม่ได้ประโยชน์ด้านภาษีในการส่งออกยาสามัญ เพราะแหล่งวัตถุดิบไม่ใช่ประเทศสมาชิก CPTPP
  •  ไม่ได้ประโยชน์ด้านภาษีในการส่งออกเครื่องสำอางที่ใช้สมนุไพร น้ำมันสกัด หรือสารสกัดสมุนไพรเป็นองค์ประกอบ เนื่องจากเป็นการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมากกว่าใช้วัตถุดิบในประเทศ
  • ยาแผนไทยที่ใช้สมุนไพรไทย ไม่สามารถส่งออกได้ เพราะไม่สามารถขึ้นทะเบียนในประเทศปลายทางได้

 

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

  • มาตรการที่มุ่งคุ้มครองเรื่องการโฆษณาบนฉลากและข้อความคำเตือนด้านสุขภาพตามประกาศฉลากที่ประชาชนได้รับความคุ้มครองไว้แต่เดิม จะใช้ไม่ได้
  • การออกอนุบัญญัติข้อความ และรูปภาพคำเตือนบนฉลากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในอนาคต จะไม่สามารถบังคับใช้กับฉลากหลักได้
  • มาตรฐาน Codex CAC/GL 38-2001 เป็นมาตรฐานกำหนดฉลากอาหาร แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดไม่ใช่อาหารธรรมดาทั่วไป (no ordinary food ตามองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO)  จึงจำเป็นต้องมีข้อกำหนดการแสดงฉลากและคำเตือนให้มากกว่าฉลากอาหารทั่วไป

 

เครื่องสำอาง

  • ด้วยระบบจดแจ้งก่อนผลิต/นำเข้า จะทำให้สารต้องห้ามเข้าสู่ตลาดได้ง่ายและมากขึ้น
  • การไม่ให้ระบุเลขที่จดแจ้งบนฉลาก ลดภาระผู้ประกอบการ แต่เจ้าหน้าที่และผู้บริโภคขาดเครื่องมือที่ใช้เชื่อมโยงและอ้างอิงข้อมูลระหว่างระบบทะเบียนผลิตภัณฑ์และการนำเข้าส่งออก รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องของผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด การสืบค้นผลิตภัณฑ์จะทำได้ยาก
  • การไม่ให้ระบุเลขที่จดแจ้งบนฉลาก เป็นการลดภาระผู้ประกอบการเครื่องสำอาง แต่ผู้บริโภคขาดเครื่องมือในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดว่าผ่านการจดแจ้งจาก อย. หรือไม่ และเจ้าหน้าที่ อย.  และสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ขาดเครื่องมือที่ใช้เชื่อมโยง และอ้างอิงข้อมูลระหว่างระบบการจดแจ้งผลิตภัณฑ์  และการนำเข้า-ส่งออก รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องและการสืบค้นผลิตภัณฑ์จะทำได้ยาก
  • มีการประเมินความปลอดภัยของรายการสารที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง และวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง หรือมีการประเมินตามแต่กรณี

 

เภสัชภัณฑ์

  • ข้อบทไม่มีนิยามของคําว่า International Standards ซึ่งอาจใช้มาตรฐานของประเทศคู่ภาคีใหญ่มาอ้างอิงได้มากขึ้น หรืออาจจะมีการใช้มาตรฐานระหว่างประเทศที่ไทยไม่ได้ใช้อ้างอิงในการกำหนดกฎระเบียบ และกระบวนการตรวจสอบรับรอง เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการ
  • ใช้งบประมาณและระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับทางเทคนิค หรือมาตรฐานระหว่างประเทศรวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อภาคเอกชนต่างๆ รวมทั้งอาจจะต้องแก้ไขกฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ ให้สอดคล้องกัน

 

เครื่องมือแพทย์

  • จะมีขยะอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในกรณีที่ไม่ได้กำหนดนิยามที่ชัดเจนและครอบคลุมเพียงพอ
  • รัฐไม่สามารถให้สิทธิพิเศษในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่เป็นนวัตกรรมไทย
  • มีสินค้าใช้แล้วเข้าประเทศโดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า-ส่งออก
  • ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงระบบการขึ้นทะเบียน และการควบคุมกำกับให้เป็นไปตาม TPP (เช่น เพิ่มบุคลากร และพัฒนาระบบขึ้นทะเบียนอิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาฐานข้อมูล การอุทธรณ์) ขั้นต่ำประมาณปีละ 150 ล้านบาท

 

ทรัพย์สินทางปัญญา

ในความตกลงหุ้นส่วนฯ มาตรา 18.6 ระบุว่า สมาชิกมีสิทธิ์ที่จะกำหนดข้อยกเว้นที่สำคัญที่จะไม่ต้องปฏิบัติตามบทนี้ (ได้แก่ สถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ กรณีจำเป็นเร่งด่วนยิ่งยวด วิกฤตด้านสาธารณสุข) ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบ ดังนี้

  • ขอบเขตการใช้ CL ลดลง (ไม่มีข้อยกเว้นกรณี for public non-commercial use ซึ่งแตกต่างจาก TRIPS)
  • การใช้ CL อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องได้

ในความตกลงหุ้นส่วนฯ มาตรา 18.7 ระบุว่าสมาชิกต้องเข้าร่วมความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา 6 ฉบับ ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบ ดังนี้

  • การที่ต้องเข้าร่วมความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาหลายฉบับ โดยเฉพาะการที่ต้องเข้าร่วมกับ UPOV 1991 เพื่อการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งมีหลักการคุ้มครองแตกต่างมากจาก พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดใดเลย เนื่องจาก พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ที่เหมาะสมกับระดับเทคโนโลยีของนักวิจัยไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. อย่างครบถ้วนมากกว่า
  • การเข้าร่วม UPOV 1991 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรับปรุงสายพันธุ์ และสิทธิของผู้ปรับปรุงพันธุ์ของพืชสมุนไพร ก่อให้เกิดการผูกขาดทั้งพันธุ์ พืช ผลผลิต และผลิตภัณฑ์จากผลผลิต อาจจทำให้เกษตรกรทั่วไปที่เป็นเพียงผู้ปลูก-จำหน่ายจะต้องซื้อและแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับเจ้าของพันธุ์

 

การจัดซื้อจัดจ้าง

  • มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยา และวัสดุวิทยาศาสตร์ เครื่องมือแพทย์ในประเทศ ในด้านการแข่งขัน ซึ่งภาครัฐจะไม่สามารถสงวนสิทธิประโยชน์บางประการได้ (เพราะต้องเปิดการแข่งขันให้กับยาสามัญจากผู้จัดจำหน่ายของประเทศอื่น ในขณะที่ยาที่มีสิทธิบัตรก็มีผู้จัดจำหน่ายได้เพียงรายเดียวซึ่งเกือบทั้งหมดคือยาของบริษัทต่างชาติ)

 

จำกัดพื้นที่การกำหนดนโยบายสาธารณะ

จากข้อบทความสอดคล้องของข้อบังคับ (regulatory coherence) แม้อาจพอมีประโยชน์เป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการพัฒนากฎระเบียบที่สมเหตุสมผล แต่ผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นนั้น

  • ทำให้เกิดความสอดคล้องของกฎหมายโดยยึดวัตถุประสงค์ทางการค้าและส่งเสริมเศรษฐกิจเท่านั้น ไม่มีข้อคำนึงถึงด้านสังคม จึงไม่มีความสมดุล
  • การออกกฎ ระเบียบต่างๆ ของภาครัฐอาจถูกแทรกแซงจากองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะกฎหมายด้านสุขภาพหรือการสาธารณสุข หรือกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เช่น บริษัทบุหรี่สามารถแทรกแซงการเสนอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบของกระทรวงสาธารณสุขได้ ซึ่งขัดต่อ FCTC มาตรา 5.3 เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนสำหรับกรณีนโยบายสาธารณะสำหรับส่วนรวมซึ่งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค

 

ที่มา: ‘รายงานผลการประเมินผลกระทบ และสิ่งที่ต้องดำเนินการ หากไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP’ โดย กระทรวงสาธารณสุข

อย. เรียกคืนน้ำเกลือ KLEAN & KARE หลังพบรอยดำเปื้อนปากขวด

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีหนังสือที่ สธ 1009.5/ว 1955 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 เรื่อง ‘แจ้งเตือนภัยเร่งด่วนการเรียกเก็บยา KLEAN & KARE – NORMAL SALINE เลขทะเบียน 1A 512/56 รุ่นการผลิต 061607 คืนจากท้องตลาดโดยสมัครใจ’ ภายหลังได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลรามาธิบดีว่า พบการปนเปื้อนในภาชนะบรรจุขณะเปิดใช้งาน

ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตโดยบริษัท เอ.เอ็น.บี. ลาบอราตอรี่ (อำนวยเภสัช) จำกัด จัดเป็นยาน้ำปราศจากเชื้อ หรือน้ำเกลือสำหรับใช้ภายนอก ใส ไม่มีสี แต่เนื่องจากพบรอยดำที่บริเวณปากขวดน้ำเกลือขณะเปิดใช้ อย. จึงต้องดำเนินการจัดการปัญหาคุณภาพยาอย่างเร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคที่อาจได้รับยาดังกล่าว โดยมีการแจ้งเตือนภัยไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทราบ

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ อย. ได้ชี้แจงในเว็บไซต์ fda.moph.go.th ว่า การเรียกคืนผลิตภัณฑ์น้ำเกลือ KLEAN & KARE เป็นการเรียกคืนเฉพาะรุ่นการผลิตที่พบปัญหาเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ไม่มีการเรียกคืนรุ่นการผลิตอื่นหรือผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทแต่อย่างใด และ ณ ปัจจุบันยังไม่พบปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นกับรุ่นการผลิตอื่นหรือผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัทฯ

นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการ อย. เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์หลักของการแจ้งเวียนเพื่อให้ทราบว่าบริษัท เอ.เอ็น.บี. ลาบอราตอรี่ (อำนวยเภสัช) จำกัด ได้เรียกเก็บผลิตภัณฑ์ดังกล่าวคืนจากท้องตลาดด้วยความสมัครใจ เพื่อเป็นการเฝ้าระวังความปลอดภัยที่อาจเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับยา แม้จะยังไม่สามารถระบุได้ว่ารอยดำที่พบบริเวณปากขวดนั้นคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งบริษัทฯ จะได้ดำเนินการสืบสวนหาสาเหตุและหาแนวทางในการป้องกันปัญหามิให้เกิดซ้ำต่อไป

นพ.สุรโชค กล่าวเพิ่มเติมว่า ความบกพร่องของกระบวนการผลิตยาอาจเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อพบปัญหาคุณภาพยาของรุ่นการผลิตใด จำเป็นต้องมีมาตรการเรียกคืนโดยเร่งด่วนเพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคโดยเร็ว และปัญหาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ KLEAN & KARE – NORMAL SALINE เลขทะเบียน 1A 512/56 รุ่นการผลิต 061607 พบเพียงรุ่นการผลิตเดียว ไม่มีผลต่อกระบวนการผลิตในรุ่นการผลิตอื่นหรือผลิตภัณฑ์อื่น ในระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ อย. จะทำการตรวจสอบปัญหาที่เกิดขึ้น ณ สถานที่ผลิต หากมีข้อมูลเพิ่มเติม อย. จะแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบต่อไป

 

ไข้หวัดใหญ่​ไม่ใช่ไข้หวัด​หมู โรคประจำฤดูที่ทำชาวไต้หวันตายแล้ว 56 คน

ขณะที่ทั่วโลกยังคงตื่นตระหนกกับการระบาดจากไวรัสโคโรนากันอยู่ ฟากประเทศสหรัฐอเมริกาก็กำลังรับมือกับไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกันเองอย่างเงียบๆ ไต้หวันกำลังเผชิญกับโรคไข้หวัดใหญ่อีกสายพันธุ์หนึ่งอยู่เช่นกัน นั่นก็คือโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด A (H1N1) หรือที่ผู้คนกำลังพูดถึงกันในชื่อ ‘ไข้หวัดหมู’

สถานการณ์ในไต้หวันเริ่มเกิดการระบาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2019 ตรงกับช่วงช่วงฤดูหนาวของไต้หวัน ซึ่งเป็นฤดูที่ไข้หวัดใหญ่แพร่ระบาดเป็นประจำทุกปี (Seasonal Influenza) ในขณะนี้พบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 56 ราย อายุระหว่าง 47-97 ปี และมีคนไข้เข้ารับการรักษาตัวอยู่ประมาณ 771 คน

สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ได้สอบถามข้อเท็จจริงกับกรมควบคุมโรคไต้หวัน และได้ออกมาชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ ระบุว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อที่อาการหนักส่วนใหญ่อายุมากกว่า 65 ปี รองลงมา อายุระหว่าง 50-64 ปี นอกจากนี้ยังพบว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยเหล่านี้ ไม่ได้ฉีดวัคซีนใดๆ และมักมีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง ผู้เสียชีวิตจำนวน 11 คนจากทั้งหมด ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวหรือร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว เมื่อพวกเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ อาจทำให้โรคประจำตัวมีอาการแย่ลงจนถึงแก่ความตาย

โรคไข้หวัดหมู (Swine Flu) เคยระบาดมาแล้วในปี 2009 และมีชื่อเรียกในช่วงนั้นว่า โรคไข้หวัดหมู หรือ ไข้หวัด 2009 ต่อมาองค์การอนามัยโลกได้เปลี่ยนชื่อเรียกโรคไข้หวัดหมู เป็น โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด A (H1N1) เกิดจากการผสมผสานของไวรัสสายพันธุ์ของคน หมู และนก ไม่เป็นที่ปรากฏชัดว่า เชื้อนี้ได้เริ่มติดในคนเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไร แต่เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้นแล้ว พบว่าเป็นการแพร่กระจายและติดต่อจากคนสู่คน ไม่ได้พบในหมูทั่วไป จึงไม่ติดต่อโดยการสัมผัสหรือกินเนื้อหมู โรคนี้คือคนละโรคกับโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู หรือที่มักเรียกกันว่าโรคไข้หวัดหมูเช่นเดียวกัน ที่เคยระบาดอย่างรุนแรงในประเทศจีน กัมพูชา เวียดนาม และหลายประเทศในเอเชียเมื่อปี 2018

โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด A (H1N1) คือการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนล้า เจ็บคอ ไอ มีไข้ น้ำมูกไหล ท้องเสียหรืออาเจียน ปวดศีรษะ หอบ สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปประเทศไต้หวันในขณะนี้ สามารถป้องกันการเกิดโรคได้โดยการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ และควรฉีดวัคซีนก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ควรหมั่นล้างมือ และใส่หน้ากากอนามัยเสมอเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด

ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ระบุว่า ในไตรมาสที่แล้วทั่วโลกก็มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้เป็นอย่างมาก สหรัฐอเมริกามีประชาชนจำนวน 19 ล้านรายที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้ และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 10,000 ราย และเมื่อเปรียบเทียบการระบาดของไข้หวัดใหญ่นี้ในอเมริกาแล้ว จำนวนผู้เสียชีวิตในไต้หวันขณะนี้มีเพียง 56 ราย ซึ่งถือว่าไม่รุนแรง และขณะนี้สถานการณ์บรรเทาลงอย่างต่อเนื่อง

 

อ้างอิง

origin-www.roc-taiwan.orgsi.mahidol.ac.th

ncbi.nlm.nih.gov

who.int

 

บทเรียนจากไวรัสโคโรนา ความท้าทายของระบบสิทธิบัตรยา

ภายหลังจากทีมแพทย์โรงพยาบาลราชวิถีค้นพบแนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดยการปรับใช้ยาต้านไวรัส HIV ร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ผลจากความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ชื่อของยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (Lopinavir/Ritonavir: LPV/r) และยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) ถูกยกระดับความสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สภาเภสัชกรรม ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายนักวิชาการเพื่อการเข้าถึงยา และกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ได้สรุปบทเรียนจากการที่ประเทศไทยสามารถนำยาทั้งสามชนิดมาใช้เป็นยารักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นกรณีศึกษาครั้งสำคัญที่จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้คนไทยเข้าถึงยาจำเป็นได้

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาต่อจากนี้ก็คือ ระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่ไม่มีคุณภาพและร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่เปิดช่องโหว่ให้มีการผูกขาดยา รวมถึงความพยายามในการเจรจาเอฟทีเอฉบับต่างๆ ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน กำลังจะนำไปสู่การทำลายความมั่นคงทางยาของประเทศไทย โดยสภาเภสัชกรรมและเครือข่าย มีข้อสังเกตที่น่ากังวลเกี่ยวกับสิทธิบัตรของยาทั้งสามชนิด ดังนี้

 

ข้อมูลด้านทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ และยาโอเซลทามิเวียร์

1.

ยา LPV/r เป็นยาสูตรผสมรวมเม็ดของยาโลพินาเวียร์และยาริโทนาเวียร์ (Lopinavir/Ritonavir) ที่ประเทศไทยได้ประกาศบังคับใช้สิทธิเพื่อนำเข้าหรือผลิตยาโดยรัฐ หรือที่เรียกว่า CL (Compulsory Licensing) ตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งเป็นยาสูตรสำรองที่สองสำหรับรักษาเอชไอวี

จากมาตรการ CL ดังกล่าว ทำให้ไทยมียาคุณภาพในราคาที่ไม่แพงใช้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงแรกหลังประกาศใช้มาตรการ CL ไทยนำเข้ายานี้จากอินเดีย และในปัจจุบันองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตเองได้ จึงยิ่งทำให้ราคาลดลง จากก่อนประกาศใช้มาตรการ CL ยามีราคา 74.23 บาทต่อเม็ด ปัจจุบันมีราคาเหลือเพียง 13.21 บาทต่อเม็ด

แม้ว่าสิทธิบัตรที่จดเพื่อคุ้มครองตัวยาโลพินาเวียร์และกระบวนการในการเตรียม ได้หมดอายุไปแล้วตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันยังมีคำขอสิทธิบัตรอย่างน้อย 1 ฉบับ ที่ยื่นคำขอค้างไว้และอาจทำให้ยานี้ติดสิทธิบัตรจนถึงปี 2565 ถ้าไทยไม่ได้นำมาตรการ CL มาใช้ตั้งแต่ปี 2550 เป็นที่แน่นอนว่าราคายาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ที่เป็นยาต้นแบบที่บริษัทจดและยื่นจดสิทธิบัตรไว้ ยังจะมีราคาแพงมากจนประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ และระบบหลักประกันสุขภาพฯ อาจไม่สามารถจ่ายยานี้ให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้

2.

ยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) มีการจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกในสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (PCT) ซึ่งไทยเป็นภาคี PCT ตั้งแต่ปี 2552 แต่ไม่มีการจดสิทธิบัตรในไทย ทำให้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตได้ตั้งแต่ปี 2552 โดยเป็นยาหลักในการรักษาไข้หวัดใหญ่ ราคายาในไทยก็ถูกกว่าราคาที่องค์การสากล UNICEF จัดซื้อให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อย โดยที่ยาโอเซลทามิเวียร์ขนาด 75 มิลลิกรัม ที่องค์การเภสัชกรรมมีราคาเม็ดละ 25 บาท ส่วนราคาที่องค์การ UNICEF ซื้อได้มีราคาเม็ดละ 44.46 บาท ขณะนี้สิทธิบัตรในยาโอเซลทามิเวียร์ที่จดในสหรัฐ ส่วนใหญ่หมดอายุแล้ว

3.

ในเรื่องคุณภาพของยาและมาตรฐานการผลิตยาดังกล่าว องค์การเภสัชกรรมใช้กระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพ โดยที่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) ให้การรับรองและเป็นที่ยอมรับของสากล มาตรฐานดังกล่าวเรียกว่า WHO-Pre Qualification เราจึงมั่นใจได้ว่ายาดังกล่าวมีคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัย อีกทั้งยังสามารถจำหน่ายในราคาที่เหมาะสม ระบบหลักประกันสุขภาพทั้งสามระบบจึงสามารถจัดหายาที่มีคุณภาพและความปลอดภัยให้กับผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ โดยไม่มีปัญหาด้านงบประมาณ

 

ความท้าทายและข้อเสนอเกี่ยวกับระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการเข้าถึงยา

1.

การประกาศบังคับใช้สิทธิเพื่อผลิตหรือนำเข้ายาโดยรัฐ ตามมาตรา 51 ใน พ.ร.บ.สิทธิบัตร หรือที่เรียกว่า CL นั้น เป็นมาตรการที่สอดคล้องตามความตกลงสากลว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก ซึ่งเป็นมาตรการที่จำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาการเข้าไม่ถึงยาราคาแพง เนื่องจากการผูกขาดด้วยระบบสิทธิบัตร และให้อำนาจรัฐประกาศบังคับใช้ได้โดยไม่แสวงหากำไร

แต่กลไกนี้ตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกกำจัดทิ้ง เพราะเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำกำไรของบรรษัทยาข้ามชาติ ความพยายามที่จะขจัดมาตรการ CL เกิดขึ้นเช่นเดียวกับการขยายความคุ้มครองสิทธิบัตรให้มีอายุยาวนานมากกว่า 20 ปี การผูกขาดข้อมูลทางยา การบังคับใช้และตีความกฎหมายที่เกินเลย และการขัดขวางบริษัทยาชื่อสามัญด้วยกลไกต่างๆ โดยกระทำผ่านการเจรจาความตกลงการค้าระหว่างประเทศฉบับต่างๆ เช่น เอฟทีเอระหว่างไทยและสหภาพยุโรป และระหว่างไทยกับสหรัฐ ที่เคยเจรจาและระงับการเจรจาไปชั่วคราว รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ที่เจรจาจบไปแล้ว แต่ไทยต้องการเข้าร่วม

ความท้าทายจึงอยู่ที่การเจรจาเอฟทีเอฉบับต่างๆ ที่รัฐบาลต้องการจะรื้อฟื้นการเจรจา เช่น เอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป หรือที่แม้แต่ต้องการลงนามในความตกลงที่สรุปไปแล้วโดยที่ไม่มีส่วนร่วมในการเจรจาเลย เช่น ความตกลง CPTPP โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อการเข้าถึงยาและระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่าที่ควร ทั้งนี้ เมื่อลงนามในความตกลงเหล่านี้ไปแล้ว ไทยต้องแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่ก่อให้เกิดการผูกขาดได้ง่ายและยาวนานมากขึ้น และจำกัดหรือขจัดการนำมาตรการ CL มาใช้ ความท้าทายจึงขึ้นอยู่กับความสามารถและความตระหนักของคณะเจรจาของไทย ว่าจะสามารถเจรจาให้รักษากลไกนี้ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างในปัจจุบันหรือไม่ หรือจะถูกนำไปต่อรองแลกเปลี่ยนกับสิทธิพิเศษการค้าระยะสั้นเพื่อตัวเลขการส่งออก

ดังนั้น คณะเจรจาความตกลงการค้าจะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนและเข้มแข็ง ไม่นำเรื่องการเข้าถึงยาและระบบสาธารณสุขของประเทศไปต่อรอง

2.

จากกรณีศึกษายา LPV/r และยาโอเซลทามิเวียร์ จะเห็นได้ว่า การตรวจสอบคำขอสิทธิบัตรที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในยาหนึ่งตัว บริษัทยาไม่ได้ยื่นขอรับสิทธิบัตรเพียงฉบับเดียว แต่บริษัทจะพลิกแพลงใช้ระบบสิทธิบัตรเอื้อประโยชน์ในตนเองให้ได้มากและนานที่สุด เพื่อคงสิทธิในการผูกขาดตลาด ทั้งในการผลิต การจำหน่าย การวิจัย ไว้แต่เพียงผู้เดียวให้ได้นานที่สุด ซึ่งวิธีการแบบนี้เรียกว่า ‘สิทธิบัตรที่ยืดการผูกขาดให้ได้นานที่สุด’ หรือ Evergreening

ถ้ากรมทรัพย์สินทางปัญญามีกระบวนการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรที่ไม่ดีพอ ผลที่จะเกิดขึ้นคือ ยาสำคัญๆ จะติดสิทธิบัตรไปอย่างยาวนาน และกีดขวางยาชื่อสามัญไม่ให้เข้าสู่การแข่งขันในตลาด สุดท้าย การผูกขาดดังกล่าวจะทำให้ยามีราคาแพงมาก จนระบบหลักประกันสุขภาพของรัฐไม่สามารถจัดหาให้ผู้ป่วยเข้าถึงได้

ดังนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องพัฒนาคุณภาพการตรวจสอบสิทธิบัตรให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปฏิบัติตามคู่มือการตรวจสอบสิทธิบัตรทางเคมี

3.

แม้ว่าสนธิสัญญา PCT (Patent Cooperation Treaty) ที่ไทยได้ลงนามแล้ว จะอำนวยความสะดวกในการยื่นขอรับสิทธิบัตรในส่วนที่เกี่ยวกับการเตรียมเอกสารในการสามารถยื่นคำขอได้หลายๆ ประเทศในคราวเดียว แต่กลไกนี้ส่งผลให้ยื่นคำขอฯ ได้ง่ายขึ้นและทำให้จำนวนคำขอรับสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงภาระงานที่เจ้าหน้าที่ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะเพิ่มมากขึ้น และจะส่งเสริมให้คุณภาพในการตรวจสอบที่ด้อยศักยภาพทวีความรุนแรงมากขึ้น

ดังนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องเพิ่มศักยภาพ และต้องไม่พิจารณาจากผลการพิจารณาในต่างประเทศโดยไม่พิจารณาในรายละเอียดคำขอ แต่ควรจะพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรด้วยความรอบคอบ โดยคำนึงถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยาในประเทศและการเข้าถึงยาด้วย

อีกทั้งยังต้องทำให้ฐานข้อมูลคำขอรับสิทธิบัตรและสิทธิบัตรเข้าถึงได้ง่าย เป็นข้อมูลที่ทันสมัยตลอดเวลา ถูกต้อง และเข้าถึงได้อย่างทันท่วงที เพื่อการตรวจสอบจากสาธารณะและป้องกันและลดการผูกขาดที่ไม่เป็นธรรม

4.

พ.ร.บ.สิทธิบัตรฉบับปัจจุบันมีช่องโหว่ที่เอื้อให้เกิดการผูกขาดที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงยา เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาสิทธิบัตรมีความคลุมเครือและให้อำนาจเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจในการพิจารณา ระยะเวลาในการคัดค้านคำขอฯ สั้น ระยะเวลาที่จะเริ่มพิจารณาคำขอฯ นาน ในขณะที่การคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอฯ และมาตรการ CL ที่ยังไม่เอื้อให้มีการนำมาใช้ได้สะดวก เป็นต้น

กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร และเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านทางออนไลน์ในช่วงรัฐประหารที่ผ่านมา ภาคประชาสังคม กลุ่มผู้ป่วย และนักวิชาการได้แสดงความคิดเห็นและเสนอให้แก้ไขร่างฯ ของกรม โดยให้มีมาตรการด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงยา หรือที่เรียกว่ามาตรการยืดหยุ่นทริปส์เพื่อคุ้มครองการสาธารณสุข ให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่กรมฯ ไม่ได้นำความกังวลและข้อเสนอเหล่านั้นใส่ไว้ในร่างที่มีการแก้ไขล่าสุดก่อนยื่นให้กับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้น กรมฯ ได้เสนอแก้ไขมาตราที่เกี่ยวกับมาตรการใช้สิทธิโดยรัฐ หรือมาตรการ CL ซึ่งเป็นการกำจัดสิทธิของรัฐและก่อให้เกิดความยุ่งยากหรือความกังวลแก่ผู้กำหนดนโยบายด้านสาธารณสุข ในอันที่จะนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ โดยอนุญาตให้ผู้ทรงสิทธิ (ผู้ถือสิทธิบัตร) สามารถฟ้องร้องต่อศาลให้ยกเลิกมาตรการใช้สิทธิโดยรัฐที่หน่วยงานของรัฐประกาศใช้ไป ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวเป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศขององค์การการค้าโลก และมีวัตถุประสงค์ที่จะปกป้องสาธารณประโยชน์ของประเทศสมาชิกในเรื่องการเข้าถึงยาและสุขภาพ

ดังนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาควรนำเสนอร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่แก้ไขหลังจากผ่านสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาเปิดรับฟังความคิดเห็นก่อนจะดำเนินการต่อ และควรนำข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่เสนอไปในระหว่างการรับฟังความคิดเห็นผ่านออนไลน์ มาปรับแก้ไขในร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร เพื่อขจัดปัญหาสิทธิบัตรที่ไม่มีคุณภาพและส่งเสริมการใช้มาตรการคุ้มครองสาธารณสุขให้มากยิ่งขึ้น

5.

กลไกควบคุมราคายังไม่สามารถทำได้จริงและไม่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ปัญหายามีสิทธิบัตรของไทยอย่างหนึ่ง คือ การไม่มีกลไกควบคุมราคายาที่จริงจัง แม้จะมี พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่ประกาศให้ยาเป็นสินค้าควบคุมราคา แต่กระทรวงพาณิชย์กลับไม่มีมาตรการใดๆ ในการควบคุมราคายา ทำให้ยาที่มีสิทธิบัตรสามารถกำหนดราคายาได้อย่างตามใจชอบ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือยาต้านไวรัสเอชไอวีและยาต้านมะเร็งที่ทำให้ไทยต้องประกาศใช้มาตรการ CL

ดังนั้น กรมการค้าภายใน ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ จำเป็นต้องนำ พ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาบังคับใช้อย่างจริงจัง ให้มากไปกว่าการกำหนดให้แสดงราคาที่บรรจุภัณฑ์และให้โรงพยาบาลแจ้งราคายาให้ผู้ป่วยและญาติทราบเท่านั้น แต่ต้องดำเนินการให้ผู้ประกอบการแจ้งโครงสร้างราคายา และกำกับดูแลและควบคุมให้มีราคาที่เป็นธรรมต่อประชาชน

 

ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลกำลังระบาดในสหรัฐ มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 1 หมื่นคน

ท่ามกลางการระบาดของไวรัสโคโรนาจากประเทศจีนที่การระบาดยังไม่ยุติ เมื่อข้ามฟากไปยังสหรัฐอเมริกา โรคระบาดที่ชาวอเมริกันคุ้นเคยก็กำลังกัดกินประชากรในประเทศของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ

ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลอาจไม่ใช่โรคที่ฟังดูน่ากลัวเท่าไรนัก โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้คนกำลังหันไปให้ความสนใจไวรัสตัวใหม่อย่างโคโรนา แต่ในทุกๆ ปี โรคที่ฟังดูไม่น่ากลัวนี้ กำลังระบาดไปทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา และตัวเลขปัจจุบันก็บ่งบอกว่าฤดูกาลนี้เป็นหนึ่งในการระบาดที่เลวร้ายที่สุดในรอบทศวรรษ

ข้อมูล ระบุว่า ขณะนี้มีชาวอเมริกันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลประมาณ 19 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 10,000 คน ซึ่งยังไม่รุนแรงเท่ากับฤดูกาลในปี 2017-2018 ที่มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 45 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 61,000 คน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) ประเมินว่าในที่สุดแล้ว ฤดูกาลนี้จะมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 21 ล้านคน

เมื่อนำตัวเลขดังกล่าวมาเทียบกับไวรัสโคโรนาที่มีสัดส่วนผู้เสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อประมาณ 2.2 เปอร์เซ็นต์ ไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาลนี้มีสัดส่วนผู้เสียชีวิตประมาณ 0.095 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และยังมีอัตราการแพร่กระจายหรือค่าเฉลี่ยที่ผู้ป่วย 1 คน จะแพร่เชื้อให้คนอื่นอยู่ที่ระหว่าง 1.2-1.6 คน ในขณะที่ไวรัสโคโรนามีค่าเฉลี่ยเบื้องต้นอยู่ที่ 1.4-2.5 คน ไข้หวัดใหญ่จึงเป็นโรคที่สามารถควบคุมการแพร่เชื้อได้ง่ายกว่า

แอนโธนี เอส. ฟาวชี (Anthony S. Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อของสหรัฐ กล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ที่อเมริกากำลังเผชิญและเคยเผชิญมาแล้วเป็นปกตินั้น มีความเอาแน่เอานอนได้มากกว่าไวรัสโคโรนาที่เป็นของใหม่ แล้วพวกเขาก็สามารถยืนยันได้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะลดลงเมื่อถึงเดือนมีนาคมหรือเมษายน

เรียกได้ว่าเป็นภัยที่มาทุกปี และมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงทุกปี จนเหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับอเมริกา

แต่ในความปกติของฤดูกาลนี้ ก็ยังมีความไม่ปกติซ่อนอยู่

เมื่อกางไทม์ไลน์ดูตั้งแต่จุดเริ่มต้น ปกติแล้วฤดูกาลไข้หวัดใหญ่ที่ว่านี้ จะเริ่มเปิดตัวประมาณเดือนตุลาคม แต่ในปีที่แล้ว (2019) กลับพบผู้ติดเชื้อรายแรกๆ ในรัฐลุยเซียนาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่มีผู้ป่วยกว่า 1,200 ราย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเมืองนิวออร์ลีนส์ และผู้ป่วยจำนวนนั้นก็ถูกพบว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ทั้งๆ ที่ตามรูปแบบการระบาดของทุกปี ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A จะเป็นฝ่ายเปิดตัวก่อนเพื่อเล่นงานผู้คนในเดือนแรกๆ แล้วสายพันธุ์ B จึงจะตามมารับไม้ต่อ สานต่อการแพร่ระบาดไปจนจบฤดูกาล

นอกจากการเปิดตัวเร็วกว่าปกติจะทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เพราะยังไม่ค่อยมีใครฉีดวัคซีนป้องกันก่อนถึงฤดูกาลแล้ว ช่วงวัยของประชากรที่ติดเชื้อจนเสียชีวิตในช่วงแรกยังกลับกลายเป็นเด็กตัวน้อยๆ ต่างจากปีก่อนๆ ที่ไวรัสจะส่งผลกระทบกับผู้สูงอายุมากกว่า เพราะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B จะเป็นอันตรายกับเด็กและวัยหนุ่มสาว เนื่องจากทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน

อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ที่อเมริกาเข้าสู่การระบาดระลอกที่สอง เชื้อสายพันธุ์ A ที่ปกติจะมีความรุนแรงและทำให้มีผู้เสียชีวิตมาก กลับปรากฏตัวในรูปแบบที่เบากว่าฤดูกาลที่ผ่านๆ มา และจากรายงานของสำนักข่าว Bloomberg พบว่าวัคซีนตัวล่าสุดสามารถป้องกันเชื้อชนิดนี้ได้เต็มประสิทธิภาพ คือ 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ซึ่งหมายถึง 3 ใน 5 ของคนที่ฉีดวัคซีนจะไม่ติดเชื้อนี้

โชคไม่ดีนักที่จำนวนผู้ฉีดวัคซีนในอเมริกายังมีจำนวนไม่มากเท่าที่ควร ตัวอย่างเช่นในฤดูกาลที่แล้ว (ปี 2018-2019) มีประชากรวัยผู้ใหญ่เพียง 45 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เข้ารับการฉีดวัคซีน สารหลักจากผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักที่ว่อนอยู่ตามสื่อตอนนี้จึงเป็นความพยายามในการออกมาบอกให้ชาวอเมริกันไปฉีดวัคซีนเสีย เพราะถึงแม้ว่าผู้คนในประเทศจะคุ้นเคยกับฤดูกาลไข้หวัดใหญ่เป็นอย่างดี แต่ความคุ้นเคยนั้นก็ทำให้บางคนมองมันเป็นแค่เรื่องปกติได้เหมือนกัน

 

อ้างอิง

ย้อนอดีตโรคระบาด คนจนเป็นโรค คนรวยเขียนประวัติศาสตร์

ย้อนดูเส้นทางและนิยามของระบาดวิทยาผ่านประวัติศาสตร์ ที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ยุค
แต่ในมุมมองของนักมานุษยวิทยาการแพทย์ กลับตั้งข้อสังเกตว่า คนจนยังเป็นโรคเดิมๆ คนรวยเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์!?

 

 

สภาเภสัชฯ เตือนคนไทยแห่ซื้อยาต้าน ‘ไวรัสโคโรนา’ เสี่ยงเชื้อดื้อยา

ความหวังของคนไทยเรืองรองขึ้นมาทันที หลังจากที่โรงพยาบาลราชวิถีเปิดเผยผลการรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่มีอาการทรุดหนักจนกระทั่งมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งเป็นผลจากการปรับใช้ยาต้านไวรัส HIV ร่วมกับยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ในการรักษาผู้ป่วยรายนี้

ที่สำคัญยาทั้งหมดเป็นยาที่ผลิตได้ในประเทศไทยโดยองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ในราคาที่ระบบประกันสุขภาพสามารถรองรับได้

ท่ามกลางข่าวดี ยังมีสิ่งที่ต้องพึงระวัง เพราะหากประชาชนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เกิดความเข้าใจไม่ถูกต้อง หรือพยายามดิ้นรนซื้อหายาชนิดนี้มารับประทานเอง อาจทำให้เกิดผลร้ายเกินกว่าที่คาด

บทเรียนจากสถานการณ์โรคระบาดเป็นสิ่งที่สังคมต้องเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้สภาเภสัชกรรม ร่วมกับศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายนักวิชาการเพื่อการเข้าถึงยา และกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) จึงจัดแถลงข่าวกรณีที่ประเทศไทยสามารถรักษาผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาให้หายได้ โดยใช้ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ (lopinavir/ritonavir: LPV/r) และยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และชี้ให้เห็นสถานการณ์ในการเข้าถึงยาทั้งสองชนิดนี้ภายใต้ระบบทรัพย์สินทางปัญญา

รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวว่า เนื่องจากไวรัสโคโรนาเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่มียารักษาโดยตรง ทำให้ทีมแพทย์ เภสัชกร และบุคลากรสาธารณสุขของโรงพยาบาลราชวิถี พยายามหาแนวทางรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัสที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส HIV และยาโอเซลทามิเวียร์ ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยผลลัพธ์ในการรักษาครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นชม

“สิ่งที่สภาเภสัชกรรมกังวลก็คือ ความตื่นตระหนกหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของประชาชนที่พยายามหาซื้อยาทั้งสามตัวนี้มารับประทานเพื่อป้องกันไวรัส ซึ่งนั่นจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ทั้งที่หลายหน่วยงานพยายามรณรงค์เรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลมาโดยตลอด”

ข้อแนะนำของ รศ.ดร.ภญ.จิราพร มีอยู่ว่า หากประชาชนมีอาการไข้หรือเป็นหวัด วิธีที่ถูกต้องที่สุดคือควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิฉัยอย่างถูกต้อง แต่ไม่ควรทดลองใช้ยาด้วยตัวเองโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะการหาซื้อยาทางเว็บไซต์หรือโซเดียลมีเดียต่างๆ ซึ่งอาจถูกหลอกลวงจากผู้ไม่ประสงค์ดีได้

“ในยุคดิจิทัล อาจมีการลักลอบซื้อขายกันทางอินเทอร์เน็ต ถ้าใช้กันอย่างผิดๆ อาจมีผลต่อตับ ไต และทำให้เชื้อดื้อยาในที่สุด”

ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวเสริมว่า ยากลุ่มต้านไวรัสทั้งหมดจัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ซึ่งจะต้องจำหน่ายผ่านสถานบริการทางสาธารณสุข คือโรงพยาบาลหรือคลินิกเฉพาะเท่านั้น กฎหมายไม่อนุญาตให้มีการซื้อขายตามร้านขายยาทั่วไปได้

“ระบบควบคุมการจำหน่ายและการควบคุมราคา เป็นสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลควรต้องรีบเข้ามาดูแล อย่างที่เราเห็นชัดๆ จากกรณีขาดแคลนหน้ากากอนามัย”

 

‘สิทธิบัตร’ อุปสรรคการเข้าถึงยา

ทุกครั้งที่มีโรคระบาดใดๆ เกิดขึ้น ยาคือหัวใจสำคัญที่จะช่วยยับยั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ แต่ปัญหาในปัจจุบันคือระบบสิทธิบัตรที่อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการเข้าถึงยาของผู้ป่วย

จริงอยู่ว่าสิทธิบัตรคือกติกาสากลที่ทุกคนต้องเคารพในทรัพย์สินทางปัญญาของผู้คิดค้น แต่การวิจัยหรือคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใดๆ ก็ตาม ต้องไม่ค้ากำไรเกินควร และต้องตั้งอยู่บนความยุติธรรมทั้งแก่ผู้ใช้ยาและผู้ประดิษฐ์คิดค้น

รศ.ดร.ภญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลสิทธิบัตรของยาทั้งสามชนิด คือ ยาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ และยาโอเซลทามิเวียร์ พบว่า มีผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรอยู่หลายรายการ แต่เนื่องจากประเทศไทยได้ประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิในการนำเข้ายาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ตั้งแต่ปี 2550 ในยุคของ นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ทำให้ประเทศไทยสามารถนำเข้าและผลิตยาใช้เองได้

“การประกาศบังคับใช้สิทธิบัตรเพื่อผลิตหรือนำเข้ายาโดยรัฐ (Compulsory Licensing: CL) หรือที่เรียกว่า ‘สิทธิเหนือสิทธิบัตร’ ทำให้เรามียาตัวนี้ใช้ และองค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตเองได้ ส่งผลให้ราคายาลดลงเป็นอย่างมาก และสามารถดูแลประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพได้ทั้งสามกองทุน”

เดิมทียาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ มีราคาอยู่ที่เม็ดละ 74.23 บาท ภายหลังประกาศมาตรการซีแอลและองค์การเภสัชกรรมผลิตเอง ทำให้มีราคาลดลงเหลือเพียงเม็ดละ 13.21 บาท ส่วนยาโอเซลทามิเวียร์ องค์การ UNICEF จัดซื้อได้ในราคาเม็ดละ 44.46 บาท แต่ไทยผลิตได้ในราคาเม็ดละ 25 บาท

 

ห่วงร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร เปิดช่องผูกขาดยา

เฉลิมศักดิ์ กิตติตระกูล เจ้าหน้าที่รณรงค์การเข้าถึงยา มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังการจดสิทธิบัตรยาที่ไม่เป็นธรรม พบว่ามีคำขอสิทธิบัตรที่ไม่ควรได้รับการคุ้มครองเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการผูกขาดได้ เนื่องจาก พ.ร.บ.สิทธิบัตร มีช่องโหว่หลายประการ ทำให้ไม่สามารถจัดการปัญหาการผูกขาดให้หมดไป

“สิทธิบัตรฉบับหนึ่งอาจผูกขาดได้นานถึง 20 ปี และยาตัวหนึ่งอาจไม่ได้มีสิทธิบัตรแค่ฉบับเดียว กรณียาโลพินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ ก็ยังมีคำขอสิทธิบัตรหลายฉบับค้างอยู่ในระบบของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ถ้ารัฐบาลไทยไม่ได้ประกาศมาตรการซีแอลในครั้งนั้นจะทำให้เกิดปัญหามาก และผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาอาจไม่มีโอกาสได้ใช้ยาตัวนี้”

เฉลิมศักดิ์กล่าวว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ ขณะนี้กรมทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ระหว่างการยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร และเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์เพียง 15-30 วัน แต่น่าเสียดายที่ข้อเสนอของภาคประชาชนและนักวิชาการต่างๆ ไม่ได้ถูกนำไปพิจารณา โดยเฉพาะเงื่อนไขในการประกาศมาตรการซีแอลของรัฐจะทำได้ยากขึ้น

ผศ.ดร.ภญ.นิยดา กล่าวเสริมว่า ปัญหายาราคาแพงคือปัญหาใหญ่ของระบบยาในประเทศไทย แม้ว่า พ.ร.บ.ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 จะประกาศให้ยาเป็นสินค้าควบคุมราคา แต่กลับไม่มีกลไกที่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการควบคุมราคายา ทำให้ยาจากบริษัทต่างชาติที่ผูกขาดสิทธิบัตรสามารถคิดราคาได้ตามใจชอบ

ทางด้าน กรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) กล่าวว่า ยาหนึ่งตัวนั้นไม่ได้มีสิทธิบัตรเพียงใบเดียว โดยกลยุทธ์ของบริษัทยาขนาดใหญ่จะใช้วิธีการพยายามยืดอายุสิทธิบัตรเพื่อให้ผูกขาดได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น ระบบสิทธิบัตรที่ดีจะต้องไม่คุ้มครองสิทธิผู้จดสิทธิบัตรจนเกินเลยหรือละเมิดสิทธิของประชาชน

กรรณิการ์ระบุด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลพยายามเร่งรัดเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศอย่างน้อย 2 ฉบับ คือ FTA ไทย-สหภาพยุโรป และการเข้าร่วมภาคีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ซึ่งเนื้อหาในข้อตกลงทั้งสองฉบับจะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงยาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในการประกาศใช้มาตรการซีแอล การขยายอายุสิทธิบัตร การผูกขาดข้อมูลทางยา และการบังคับใช้กฎหมายที่เกินเลย

“เราเป็นประเทศกำลังพัฒนาเพียงไม่กี่ประเทศที่สามารถผลิตและส่งออกยาได้ เราอาจไม่ได้ใหญ่โตเท่าอินเดีย แต่อุตสาหกรรมนี้ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถ้ารัฐบาลเห็นความสำคัญในการเข้าถึงยาจากกรณีไวรัสโคโรนา รัฐก็ควรคำนึงถึงเรื่องการแก้ไขกฎหมาย การควบคุมราคายา และการควบคุมคุณภาพการออกสิทธิบัตร รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่ประเทศไทยอาจตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”