3 ปีผ่านไป ‘ตู้กดน้ำหยอดเหรียญ’ ยังไม่น่าไว้ใจ

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ราว 3 ปีที่แล้ว มีผลการสำรวจข้อมูลของตู้น้ำดื่มแบบหยอดเหรียญทั้วพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ปี 2558-2559 โดยศูนย์สิทธิผู้บริโภค กรุงเทพมหานคร พบว่า ร้อยละ 95 หรือ 1,600 กว่าตัวอย่าง เป็นตู้น้ำดื่มที่ไม่มีการขออนุญาตประกอบกิจการที่ถูกต้อง หรืออาจเรียกได้ว่า ‘ตู้น้ำดื่มเถื่อน’  

มาวันนี้ 4 กันยายน 2562 ศูนย์สิทธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับนักวิชาการอิสระ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) จึงติดตามความคืบหน้าอีกครั้ง พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้ประกอบการตู้กดน้ำดื่มแบบหยอดเหรียญทั่วกรุงเทพฯ เข้าจดทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตให้ถูกกฎหมาย และย้ำด้วยว่ากรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ต้องเร่งกวดขัน เพื่อปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคให้มีน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัยต่อสุขอนามัย 

สำลี ศรีระพุก อาสาสมัครศูนย์สิทธิเพื่อผู้บริโภค เขตยานนาวา กล่าวว่า จากการสำรวจร่วมกับนักวิชาการอิสระ มูลนิธิผู้บริโภค เมื่อปี 2559 พบว่า ตู้กดน้ำดื่มประมาณร้อยละ 95 ทั่วกรุงเทพฯ ‘ไม่ผ่านมาตรฐาน’ และไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงร้องเรียนจากผู้ประกอบการตู้กดน้ำดื่มว่าค่าธรรมเนียมใบอนุญาตแพงเกินไป

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2560 เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค กทม. ได้รวมตัวกันยื่นหนังสือต่อผู้ว่าฯ กทม. ให้บรรจุเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน ภายหลังผู้ว่าฯ กทม. จึงมีคำสั่งด่วนให้ทุกสำนักงานเขตดำเนินการสำรวจข้อมูลตู้น้ำดื่มในพื้นที่ พร้อมทั้งเชิญผู้ประกอบการเข้ามาขออนุญาตประกอบกิจการให้ถูกต้อง รวมทั้งดำเนินการสำรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้นอีกด้วย

กระทั่งวันที่ 3 พฤษภาคม 2562 มีประกาศข้อบัญญัติ กทม. เรื่อง ค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินกิจการตามกฎหมายว่าด้วยสาธารณสุข พ.ศ. 2561 ลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อลดอุปสรรคในการขออนุญาต โดยลดค่าธรรมเนียมจากเดิม 2,000 บาทต่อปี ให้เหลือเพียง 500 บาทต่อปี ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ประกอบการประเมินแล้วว่าจ่ายได้ ส่วนค่าธรรมเนียมตู้ถัดไปจะจัดเก็บเพิ่มตู้ละ 20 บาท แต่รวมแล้วต้องจ่ายไม่เกิน 15,000 บาท

ปราณี อุ่นแอบ ตัวแทนศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตคลองสามวา กล่าวว่า อยากสอบถามไปยัง กทม. ว่าที่ผ่านมาได้มีการประชาสัมพันธ์เรื่องการลดค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการรายเก่าทราบหรือไม่ และจะมีมาตรการลงโทษผู้ประกอบการที่ไม่ขอใบอนุญาตหรือไม่ควบคุมคุณภาพน้ำดื่มอย่างไร จะมีการจัดการตู้น้ำชำรุด ทั้งตู้ที่ยังใช้งานอยู่และเลิกใช้แล้วอย่างไร รวมทั้งขอเรียกร้องให้ กทม. เปิดเผยรายชื่อผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนอนุญาตอย่างถูกต้องในแต่ละเขต นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ผู้ประกอบการตู้กดน้ำดื่มเปิดเผยข้อมูลการตรวจสอบคุณภาพน้ำและวันที่เปลี่ยนไส้กรองด้วย 

“อยากถามผู้ประกอบการว่ามีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ มีการเปลี่ยนไส้กรองหรือไม่ อย่างไร มีการเปิดเผยข้อมูลวันที่เปลี่ยนไส้กรองบ้างหรือไม่ เพราะเราในนามศูนย์สิทธิผู้บริโภคมีความห่วงใยว่าเมื่อ กทม. ลดค่าธรรมเนียมให้แล้ว ผู้ประกอบการจะยังรับผิดชอบคุณภาพของน้ำดื่มอย่างต่อเนื่องไหม โดยศูนย์สิทธิเพื่อผู้บริโภคยินดีสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน” ฐิตินัดดา รักกู้ชัย ตัวแทนศูนย์สิทธิเพื่อผู้บริโภค เขตบางกอกน้อย กล่าวเสริม 

 

ข้อมูลอ้างอิง: 

https://consumerthai.org

https://www.thaihealth.or.th

 

ประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง “กฎหมายใหม่ คุ้มครองผู้บริโภค หรือไม่ อย่างไร”

แผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย สภาเภสัชกรรม จัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง “กฎหมายใหม่ คุ้มครองผู้บริโภค หรือไม่ อย่างไร” ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ ห้องยุคลธร โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวน ๖๐ คน ประกอบด้วย วิทยากร และเภสัชกรด้านคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรบรรยายและแลกเปลี่ยนเรื่องกฎหมายใหม่ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคดังนี้

ภก.วินิต อัศวกิจวีรี  อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ อย. และภก.วราวุธ เสริมสินสิริ  ผู้อำนวยการกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร อย.เรื่อง พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.๒๕๖๒ : การเปลี่ยนผ่านจาก “ยา” “อาหาร” ไปเป็น “ผลิตภัณฑ์สมุนไพร” ข้อดีและข้อด้อยที่ส่งผลกระทบต่อระบบยาและอาหาร ต่อการคุ้มครองผู้บริโภค และ การควบคุมก่อนและหลังผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาด

ภก.วินิต อัศวกิจวีรี  อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ เรื่อง พระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๖๒ : สาระใหม่ที่แตกต่างจากฎหมายปัจจุบัน ข้อดีของกฎหมายใหม่ และผลกระทบจากพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.๒๕๖๒

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรื่อง พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคพ.ศ.๒๕๖๒ :ความสำคัญ บทบาทและภารกิจ ของสภาองค์กรผู้บริโภค และความท้าทายในการจัดตั้งสภาองค์กรผู้บริโภค

นายโสภณ  หนูรัตน์ นักวิชาการกฎหมาย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรื่อง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ๔ ) พ.ศ. ๒๕๖๒ : ข้อดีและข้อด้อย และกลไกจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย ในกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค

ภญ.ดร.ศิริรัตน์ ตันปิชาติ  นายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชน และ ภก.ธนพัฒน์ เลาวหุตานนท์    สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง พระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.๒๕๖๒ : ร้านยาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และการขยายผลในพื้นที่อื่นๆ

ผศ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี  ผู้จัดการแผนงาน กพย. ภญ.ขนิษฐา ตันติศิรินทร์  ผู้อำนวยการกองวัตถุเสพติด และ ภญ.ดร.ผกากรอง ขวัญข้าว โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เรื่อง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒: กัญชา กฎหมายเปิดเสรีกัญชาระดับใด และตัวอย่างเภสัชกรที่ดำเนินการเกี่ยวกับกัญชา

ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการนำเสนอของวิทยากรได้ดังนี้

  1. พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.๒๕๖๒ โดย ภก.วินิต อัศวกิจวีรี
  2. พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.๒๕๖๒ โดย ภก.วราวุธ เสริมสินสิริ
  3. พระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๖๒ โดย ภก.วินิต อัศวกิจวีรี
  4. พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภคพ.ศ.๒๕๖๒ โดย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง
  5. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ๔ ) พ.ศ. ๒๕๖๒ โดย นายโสภณ หนูรัตน์
  6. พระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.๒๕๖๒ โดย ภญ.ดร.ศิริรัตน์ ตันปิชาติ
  7. พระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.๒๕๖๒ โดย ภก.ธนพัฒน์ เลาวหุตานนท์
  8. พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒: กัญชา โดย ผศ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี
  9. พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒: กัญชา โดย ภญ.ดร.ผกากรอง ขวัญข้าว

ดื่มฉี่ดีจริงหรือ?

เทรนด์ดื่มฉี่เพื่อสุขภาพ กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในระดับ ‘Talk of the town’ และกลายเป็นกระแสสังคมที่สร้างความสับสนแบบสุดๆ

ก่อนที่คำถามและข้อสงสัยต่างๆ นานาจะเลื่อนไหลไป WAY ชวนคุยกับ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาพูดถึงข้อเท็จจริงว่าด้วยเรื่องฉี่ๆ เพื่อถอดรื้อมายาคติระหว่างการดื่มฉี่ตามความเชื่อทางศาสนา ศาสตร์ของแพทย์ทางเลือก และการรักษาโรคแบบ placebo (การใช้ยาหลอกในทางการแพทย์)

หากมองด้วยสายตานักวิชาการ ยังมีคำอธิบายถึงข้อเสียมหาศาลที่มากกว่าประโยชน์ที่จับต้องได้จากหลักฐานและงานวิจัยเชิงประจักษ์

*คำเตือน – การดื่มฉี่เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการดื่ม

ขอ 10,000 รายชื่อ หนุน พ.ร.บ.พืชยา กัญชา กระท่อม ฉบับประชาชน

เครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาสังคม เสนอร่าง พ.ร.บ.พืชยา กัญชา กระท่อม ฉบับประชาชน เพื่อสนับสนุนให้ผู้ป่วย แพทย์แผนไทย และแพทย์พื้นบ้าน สามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้เต็มที่ พร้อมทั้งเสนอให้ถอดกัญชา กระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 โดยให้มีสถานะเป็น ‘พืชยา’ ที่ได้รับการควบคุมเฉพาะ และหลังจากนี้ทางเครือข่ายจะรณรงค์ให้ประชาชนร่วมลงชื่อสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.พืชยาฯ ให้ได้ครบ 10,000 รายชื่อ ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เพื่อนำเสนอต่อรัฐสภาให้พิจารณาประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป

ในเวทีแถลงข่าว ‘ร่าง พ.ร.บ.พืชยา กัญชา กระท่อม ฉบับประชาชน’ จัดโดย มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (กพย.) และมูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2562 ได้นำเสนอหลักการและเหตุผลที่ต้องผลักดันร่าง พ.ร.บ.พืชยาฯ เนื่องจากกฎหมายเดิมที่บังคับใช้อยู่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการพัฒนาของวงการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ

ไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการบริหารศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาและข้อจำกัดของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 (และฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562) แม้จะคลายล็อคกัญชาและกระท่อมให้สามารถนำมาศึกษาวิจัยและใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ แต่ก็ยังคงกำหนดนิยามเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ซึ่งไม่สอดคล้องกับลักษณะของกัญชา กระท่อม ในฐานะที่เป็นพืชยา อีกทั้งยังมีบทลงโทษทางอาญาที่ค่อนข้างรุนแรง

นอกจากนี้ การขออนุญาตผลิต (ปลูก) ทั้งกัญชาและกระท่อมยังมีความเข้มงวดมากเกินไป แม้ว่าจะเป็นการปลูกเพื่อใช้ในทางการแพทย์หรือรักษาผู้ป่วย ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ‘คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ’

“พืชกระท่อมไม่ถือเป็นยาเสพติดตามกฎหมายยาเสพติดระหว่างประเทศคือ อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยสารเสพติด ค.ศ. 1961 (Single Convention on Narcotic Drugs, 1961) และพืชกระท่อมมีผลกระทบต่อผู้เสพหรือผู้บริโภคน้อยกว่ายาเสพติดให้โทษอื่นๆ อีกทั้งการบริโภคใบกระท่อมถือเป็นวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมของคนในชุมชนท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะในจังหวัดภาคใต้ มิได้เป็นสาเหตุของปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรมเหมือนกรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”

ไพศาลเสนอทางออกว่า กฎหมายควรเปิดกว้างให้มีการนำกัญชาและพืชกระท่อมมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย และการใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ มากขึ้น ดังนั้น เครือข่ายวิชาการและภาคประชาสังคมด้านพืชยา กัญชา กระท่อม จึงเสนอให้มีร่าง พ.ร.บ.พืชยาฯ ฉบับประชาชน เพื่อให้เกิดแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารจัดการพืชยา

 

สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.พืชยาฯ

  • ร่าง พ.ร.บ.พืชยา กัญชา กระท่อม เป็นกฎหมายที่เน้นการส่งเสริมสนับสนุนการนำพืชยาเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย การส่งเสริมภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย เปิดโอกาสให้มีการใช้ตามวิถีชีวิตชุมชน มุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงด้านยาของประเทศ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
  • กัญชา กระท่อม และพืชยาอื่น มีลักษณะจำเพาะ จึงควรมีกลไกการจัดการที่แตกต่างจากยาเสพติดให้โทษประเภทอื่นที่เป็นสารสังเคราะห์
  • ร่าง พ.ร.บ.พืชยา กัญชา กระท่อม ให้ความสำคัญต่อการใช้ประโยชน์ตามวิถีชุมชน วัฒนธรรมของชุมชนที่มีความพร้อม สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 43 เรื่องสิทธิชุมชน
  • สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 55 เรื่องรัฐมีหน้าที่คุ้มครองสุขภาพของประชาชน และส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • การจัดการ ‘กระท่อม’ ควรแตกต่างจาก ‘กัญชา’ เนื่องจากกระท่อมไม่ถือเป็นยาเสพติดตามกฎหมายยาเสพติดระหว่างประเทศ

 

นิยามพืชยา

ในร่าง พ.ร.บ.พืชยา กัญชา กระท่อม ฉบับประชาชน ได้กำหนดนิยามของ ‘พืชยา’ หมายความว่า

  • (1) กัญชา (Cannabis spp.)
  • (2) กระท่อม (Mitragyna speciosa)
  • (3) พืชยาอื่นที่มีฤทธิ์ทางยา ซึ่งมีส่วนประกอบของสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และมีสารสำคัญที่สามารถใช้ในการป้องกัน บำบัด บรรเทา รักษาความเจ็บป่วย รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามที่รัฐมนตรีประกาศ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ทั้งนี้ พืชยาตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร

ส่วน ‘ธรรมนูญชุมชน’ หมายความว่า กติกาของชุมชนที่สมาชิกของชุมชนตกลงร่วมกัน เพื่อกำหนดแนวทางการใช้ การครอบครอง หรือการใช้ประโยชน์อื่นใดจากพืชยา เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน บำบัดโรค รักษาผู้ป่วย บรรเทาอาการของโรคบางอย่าง รวมถึงการใช้ประโยชน์อื่นใดที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม จารีตประเพณีของสมาชิกของชุมชนท้องถิ่น โดยมีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในชุมชน

 

การปลูก ผลิต และครอบครอง

มาตรา 9 ของร่าง พ.ร.บ.พืชยาฯ ระบุว่า การปลูก ผลิต หรือครอบครองพืชยาหรือผลิตภัณฑ์จากพืชยา เพื่อใช้ในการผลิตยาตามตำรับยาแผนปัจจุบัน หรือตำรับยาแผนไทยของผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม รวมทั้งผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยด้านเวชกรรมไทยและด้านเภสัชกรรมไทย หรือผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ เพื่อการรักษาผู้ป่วยเฉพาะราย ให้เป็นไปตามกฎหมายยาหรือกฎหมายวิชาชีพนั้นๆ โดยไม่ต้องขออนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการประกาศกำหนด

มาตรา 7 การปลูก การครอบครอง และการใช้ประโยชน์จากกระท่อมในกรณีต่อไปนี้ ไม่ต้องขออนุญาต และไม่ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้

  • (1) การปลูกกระท่อมของบุคคลจำนวนไม่เกินสามต้นในที่ดินที่บุคคลนั้นมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามกฎหมาย
  • (2) การใช้ การครอบครองกระท่อมหรือผลิตภัณฑ์ยาที่ทำจากกระท่อมเพื่อประโยชน์ในการป้องกัน บำบัดโรค หรือบรรเทาอาการของโรคของบุคคล หรือเพื่อการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์
  • (3) การใช้ การครอบครองกระท่อมตามวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมในชุมชนท้องถิ่น และมิได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น
  • (4) การต้ม การผลิตหรือแปรสภาพกระท่อมที่มิได้มีส่วนผสมของยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์
  • (5) การดำเนินการอื่นๆ ตามธรรมนูญชุมชน
  • (6) กรณีอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการกำหนด

 

สถาบันพืชยา กัญชา กระท่อมแห่งชาติ

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย. กล่าวเพิ่มว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะให้จัดตั้งสถาบันพืชยา กัญชา กระท่อมแห่งชาติ ขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น ให้สถาบันมีฐานะเป็นนิติบุคคลและอยู่ในกำกับของนายกรัฐมนตรี

ในบทเฉพาะกาล ระบุด้วยว่า ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินงบประมาณของ สถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติด หน่วยงานในสังกัดสำนักงาน ป.ป.ส. ไปเป็นของสถาบันพืชยาฯ ตามพระราชบัญญัตินี้

ให้โอนพนักงานของสถาบันสำรวจและติดตามการปลูกพืชเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส. ไปเป็นพนักงานของสถาบันตามพระราชบัญญัตินี้

ให้รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนไว้ที่สถาบันปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นการจ่ายขาดเพื่อเป็นทุนประเดิมเบื้องต้นให้แก่สถาบันที่จัดตั้งขึ้นดังกล่าวเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองร้อยล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการดำเนินการของสถาบันเป็นอย่างต่อเนื่อง

ผศ.ภญ.ดร.สุนทรี ท. ชัยสัมฤทธิ์โชค คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวสรุปว่า จากเหตุผลและหลักการสำคัญของร่าง พ.ร.บ.พืชยาฯ ฉบับนี้ จะก่อให้เกิดแนวทางการควบคุมดูแลผลิตภัณฑ์กัญชา กระท่อม และพืชยาอื่นอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถนำกัญชา กระท่อม พืชยาอื่นมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ให้แก่คนไทยได้อย่างถูกกฎหมาย ผู้ป่วยและประชาชนเข้าถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากพืชยาที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ และปลอดภัย ไม่ถูกหลอกลวง รวมถึงช่วยให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ และงานวิจัยที่พิสูจน์แล้วว่าเชื่อถือได้

ที่สำคัญจะมีการควบคุมดูแลการผลิต จำหน่าย และการโฆษณาแก่ประชาชน ในลักษณะเดียวกับผลิตภัณฑ์ยา โดยมีสถาบันพืชยา กัญชา กระท่อมแห่งชาติ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการใช้ และการติดตามเฝ้าระวังอันตรายอย่างสมดุล เป็นระบบ ครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การผลิต และการใช้ในโรงพยาบาล ร้านขายยาและการใช้เองของชุมชน ตลอดจนกำหนดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำกับดูแลด้วย

 

‘ธรรมนูญสุขภาพ’ กติกาจัดการขยะของคนอ่าวนาง

ขณะที่คนทั้งประเทศกำลังโศกเศร้ากับการจากไปของ ‘มาเรียม’ พะยูนน้อยวัย 9 เดือน ทีมสัตวแพทย์ก็ได้เผยผลการผ่าชันสูตรพบเศษพลาสติกอุดตันปลายลำไส้ใหญ่ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนจนถึงแก่ความตาย ข้อค้นพบจากหลักฐานนี้ทำให้ผู้คนตระหนักได้ทันทีว่า ‘ขยะพลาสติก’ คือตัวการสำคัญของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับพะยูนมาเรียม และถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ตอกย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องลุกขึ้นมาช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับท้องทะเลไทยอย่างจริงจังเสียที

รูปธรรมหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วและทำได้จริง ปรากฏให้เห็นที่ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เมื่อคนทั้งตำบลพร้อมใจกันจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่ให้เป็นระบบระเบียบ ภายใต้ข้อตกลงหรือกติกาของคนในตำบลที่เรียกว่า ‘ธรรมนูญสุขภาพ’ ที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ และร่วมรับผิดชอบปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของตนเอง

กิจกรรมสื่อมวลชนสัญจร ‘ธรรมนูญเขยื้อนขยะ สร้างสุขภาวะคนอ่าวนาง’ ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เมื่อวันที่ 13-14 สิงหาคมที่ผ่านมา พาไปติดตามดอกผลจากการใช้เครื่องมือธรรมนูญสุขภาพระดับตำบลในการจัดการปัญหาขยะมูลฝอยในพื้นที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาทำงานกันอย่างไรและเห็นผลสัมฤทธิ์มากแค่ไหน

ขยะเมื่อวันวาน

หลายคนอาจจินตนาการไม่ออกว่า ตำบลอ่าวนางที่สวยงามสะอาดตาอย่างที่เห็นอยู่นี้ จะเคยเผชิญวิกฤติขยะเกลื่อนเมืองหนักหนาเพียงไร โดยเฉพาะตำบลนี้เป็นพื้นที่พิเศษที่มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี หาดไร่เลย์ ทะเลแหวก ซึ่งต้องรับมือกับปริมาณนักท่องเที่ยวมหาศาลในแต่ละปี

ปรีชา ปานคง อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและประธานกลุ่มชุมชนต้นแบบ หมู่ 5 เล่าให้ฟังว่า หากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อสัก 5 ปีที่แล้ว สภาพของตำบลอ่าวนางในอดีตนั้นเต็มไปด้วยความสกปรกเลอะเทอะตลอดสองข้างทาง ชาวบ้านทิ้งขยะเรี่ยราดจนล้นออกมานอกถัง บ้างก็เผาขยะริมถนน บ้างปล่อยน้ำเสียลงคูคลองออกทะเล เกิดเป็นมลพิษทางสิ่งแวดล้อมและส่งผลเสียต่อสุขภาพตามมา

“อ่าวนางเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศ ถ้าชาวต่างชาติเขามาเที่ยวแล้วเห็นกองขยะเรี่ยราดแบบนี้ เราในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านก็รู้สึกอายแทนชาวบ้าน เลยต้องหาวิธีชักชวนชาวบ้านให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง”

เมื่อถามผู้นำชุมชนอย่างโต๊ะอิหม่าม สัมพันธ์ ช่างเรือ ก็ได้รับคำยืนยันเช่นเดียวกันว่า คนในชุมชนล้วนเห็นพ้องกันว่า ขยะเป็นสิ่งสกปรก นำมาซึ่งเชื้อโรคและคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ ฉะนั้น การแก้ปัญหาขยะจึงเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องช่วยกัน โดยวิธีที่ดีที่สุดคือนั่งลงพุดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างสันติ

หน่วยงานระดับท้องถิ่น คือหนึ่งในตัวแปรที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการขยะ พันคำ กิตติธรกุล นายก อบต.อ่าวนาง ให้ข้อมูลว่า กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของขยะทั้งหมดในจังหวัดกระบี่อยู่ที่ตำบลอ่าวนาง โดยมีปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ยวันละ 65-70 ตัน ซึ่ง อบต.อ่าวนาง ต้องสูญเสียงบประมาณในการจัดการไม่ต่ำกว่าปีละ 28 ล้านบาท

ที่ผ่านมา อบต.อ่าวนาง ได้พยายามรณรงค์ทุกช่องทาง เริ่มจากให้ชาวบ้านทิ้งขยะเป็นเวลา ให้ความรู้เรื่องการคัดแยกขยะในครัวเรือน จัดทำโครงการขยะแลกไข่ โครงการชุมชนต้นแบบ และอื่นๆ อีกหลายโครงการ อีกทั้งนำมาตรการทางกฎหมายมาบังคับใช้ แต่ไม่ว่าจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนก็ยากที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชาวบ้านได้ สุดท้าย อบต.อ่าวนาง จึงปรับแนวคิดด้วยการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะ แทนที่จะให้หน่วยงานรัฐหรือ อบต. คิดให้ทั้งหมด

พันคำอธิบายว่า การใช้หลักการมีส่วนร่วมมีผลให้ชาวบ้านรู้สึกรับผิดชอบมากขึ้น เกิดจิตสำนึก เกิดความตระหนัก เพราะเป็นมาตรการทางสังคมที่ชาวบ้านช่วยกันกำหนดและออกแบบขึ้นมาเอง ฉะนั้น คนในชุมชนจึงเคารพในกติกานี้

“เราจัดเวทีประชาคมพูดคุยกับทุกภาคส่วนในพื้นที่และได้นำเครื่องมือภายใต้ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งก็คือธรรมนูญสุขภาพตำบลเข้ามาสนับสนุนการทำงาน โดยทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าปัญหาขยะและน้ำเสียคือสิ่งที่ทุกคนอยากให้แก้ไข” นายก อบต.อ่าวนาง กล่าว

อีกด้านหนึ่งตำบลอ่าวนางยังได้รับการสนับสนุนจากสมัชชาสุขภาพจังหวัดกระบี่ที่มี นพ.วีรพงศ์ สกลกิติวัฒน์ เป็นประธาน ซึ่งมีส่วนช่วยในการผลักดันให้เกิดกระบวนการยกร่างธรรมนูญสุขภาพขึ้น แม้ในช่วงแรกชาวบ้านส่วนใหญ่อาจยังไม่เข้าใจนักว่าธรรมนูญสุขภาพคืออะไร แต่เมื่อมีการล้อมวงพูดคุยและเปิดโอกาสให้แสดงความเห็น ไม่ว่าจะเป็นแกนนำชุมชน หน่วยราชการ โรงเรียน ผู้นำศาสนา ผู้ประกอบการ ห้างร้านต่างๆ ทำให้ทุกฝ่ายเริ่มมองเห็นปัญหาร่วมกัน นำมาสู่การร่างกติกาและแนวทางปฏิบัติที่คนทั้งตำบลให้การยอมรับ

จนถึงวันนี้หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยวชมตามแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนในตำบลอ่าวนาง จะเห็นได้ว่าตลอดสองข้างทางแลดูสะอาดตา ปราศจากทัศนอุจาด เพราะคนทั้งตำบลล้วนเข้าใจปัญหาและได้ทำสัญญาใจไว้ต่อกันภายใต้ธรรมนูญสุขภาพ เมื่อทุกฝ่ายให้ความร่วมมือทำให้ตำบลอ่าวนางสามารถลดปริมาณขยะลงได้กว่า 70 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ธรรมนูญสุขภาพตำบลอ่าวนาง

ธรรมนูญสุขภาพ หมู่ 5 บ้านทุ่ง ตำบลอ่าวนาง ประกาศใช้เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 แบ่งออกเป็น 7 หมวด รวมทั้งสิ้น 34 ข้อ โดยมีข้อบัญญัติที่เกี่ยวข้อง อาทิ

  • ข้อ 3 ประชาชน/สถานประกอบการต้องมีส่วนร่วมในการรักษาความสะอาดเรียบร้อย และห้ามทิ้งขยะลงบนถนน ไหล่ทาง ที่สาธารณะ หากไม่ปฏิบัติตามต้องยินยอมเสียค่าปรับ ครั้งละ 2,000 บาท และเทศกิจหรือผู้ที่สามารถชี้ตัวผู้กระทำผิดและสามารถเอาผิดกับผู้กระทำผิดได้ จะได้รับเงินรางวัลส่วนแบ่งจากค่าปรับ จำนวน 1,000 บาท
  • ข้อ 4 ครัวเรือนและสถานประกอบการทุกแห่งต้องนำขยะมูลฝอยบรรจุใส่ถุงดำและผูกปากถุงให้มิดชิด และนำมาวางหน้าบ้านตนเองริมเส้นทางจราจร หรือจุดที่กำหนด ระหว่างเวลา 19.00-24.00 น.
  • ข้อ 15 ครัวเรือนและสถานประกอบการมีส่วนร่วมในการลดปริมาณขยะมูลฝอย ณ แหล่งกำเนิด โดยลดปริมาณการใช้ มีการคัดแยกขยะในครัวเรือนของตนเอง และส่งเสริมให้มีการนำขยะไปเพิ่มมูลค่า

‘สายตรวจซาเล้ง’ นวัตกรรมแปลงขยะเป็นทุน

การแก้ปัญหาขยะของ อบต.อ่าวนาง ไม่เพียงจะสร้างความร่วมมือกับประชาชนและภาคธุรกิจเอกชนแล้ว ยังมีการสร้างนวัตกรรมในการจัดการขยะที่เรียกว่า ‘โครงการสายตรวจซาเล้ง’ เมื่อเดือนเมษายน 2562 โดยการจัดระเบียบผู้ประกอบอาชีพเก็บของเก่าให้มาช่วยคัดแยกขยะอย่างถูกวิธีตั้งแต่ต้นทาง

สุพจน์ ชดช้อย รักษาการผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบต.อ่าวนาง เล่าว่า ปริมาณขยะที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ นั้นส่วนหนึ่งมาจากนักท่องเที่ยวและอีกส่วนก็มาจากคนในพื้นที่เอง ทั้งขยะจากชุมชนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

ในอดีตชาวบ้านมักทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ทิ้งขยะไม่ลงถัง หรือทิ้งกันจนล้นถัง เมื่อบรรดาคนเก็บของเก่าหรือ ‘ซาเล้ง’ มาคุ้ยเขี่ย ยิ่งทำให้เศษขยะกระจัดกระจายไม่น่ามองและยังส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ อีกทั้งคนกลุ่มนี้ยังทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดระแวง เพราะมักออกตระเวนตามตรอกซอกซอยในยามวิกาล

ด้วยเหตุนี้ อบต.อ่าวนาง จึงแก้ปัญหาด้วยการเปิดโอกาสให้กลุ่มซาเล้งมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง ปัจจุบันมีผู้มาลงทะเบียนแล้วกว่า 50 ราย พวกเขาจะได้รับเสื้อกั๊กเรืองแสงพร้อมหมายเลขระบุตัวตนชัดเจน ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่เพียงจะช่วยกำจัดขยะตั้งแต่ต้นทางแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาคอยแจ้งเบาะแสให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อดูแลความปลอดภัยของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง

“ความหมายอีกนัยหนึ่งของสายตรวจซาเล้งคือ พวกเขาทำหน้าที่เป็นจิตอาสา และยังเป็นเหมือนตัวแทนเจ้าหน้าที่ อบต. คอยดูแลความสะอาดคัดแยกขยะให้กับท้องถิ่นด้วย”

ปัจจุบันภาพลักษณ์ของซาเล้งเริ่มเป็นที่ยอมรับและคุ้นเคยของชาวบ้านมากขึ้น เพราะพวกเขามีส่วนสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน รวมถึงเข้ามามีส่วนร่วมจัดการขยะในกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่างานเทศกาลดนตรี เทศกาลท่องเที่ยว และกิจกรรม Big Cleaning Day เป็นประจำทุกเดือน

ชีวิตความเป็นอยู่ของซาเล้ง บอกเล่าผ่าน อดิศักดิ์ แซ่หลี หรือ อี๊ด หนุ่มวัย 36 ปี เขาเห็นด้วยว่าซาเล้งควรมาขึ้นทะเบียนกับ อบต. เพื่อเข้าสู่ระบบและง่ายต่อการจัดการ ที่สำคัญคือช่วยให้พวกเขาไม่ต้องตกเป็นจำเลยสังคมหากเกิดเหตุการณ์ลักขโมยในพื้นที่ เพราะกลุ่มคนเก็บของเก่าอย่างเขามักตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับแรก

อดิศักดิ์เริ่มต้นอาชีพเก็บของเก่าตั้งแต่อายุ 15 ปี ปัจจุบันซาเล้งรายนี้สามารถสร้างรายได้จากการขายขยะในแต่ละวันตั้งแต่ 800 บาท ไปจนถึงกว่า 2,000 บาท ในบางเดือนเขาสามารถสร้างรายได้สูงถึง 60,000-70,000 บาทเลยทีเดียว โดยเริ่มต้นเก็บตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึงตี 2

อาจไม่น่าแปลกใจนัก เมื่อได้รู้อีกว่าขยะที่เขาสามารถคัดแยกไปขายได้นั้น เฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัมต่อวัน หรืออาจมากถึง 1,000 กิโลกรัมต่อวัน ดังนั้นรายได้ที่มากจึงเป็นภาพสะท้อนของขยะปริมาณมหาศาล

“คนไม่รู้จักแยกขยะ ขยะก็เลยล้นแบบนี้ แต่ถ้าคนรู้จักคัดแยกขยะตั้งแต่ครัวเรือน ขยะก็จะไม่เยอะขนาดนี้ บางครั้งเจ้าหน้าที่มาเก็บช้าแค่วันสองวันขยะก็ล้นแล้ว” ซาเล้งเสื้อกั๊กหมายเลข 3 กล่าวทิ้งท้าย

สัญญาใจของคนในชุมชน

การจัดการขยะนับเป็นปัญหาสาธารณะ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยเฉพาะชุมชนเจ้าของพื้นที่

ในความเห็นของ อรพรรณ ศรีสุขวัฒนา ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ มองว่า หากหน่วยงานรัฐจะอาศัยเพียงอำนาจทางกฎหมายเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาขยะ ไม่ว่าจะเป็นการปราบปราม จับปรับ ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะจัดการได้ทั่วถึงและยั่งยืน เพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่การสร้างจิตสำนึกและความตระหนัก โดยสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อประชาชนรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของปัญหาและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของตนเองอย่างแท้จริง

“การสร้างพื้นที่กลางเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ของชุมชนได้ เพราะการบังคับใช้กฎหมายหรือใช้อำนาจแข็งเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบ เรายังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่เรียกว่าอำนาจอ่อน หรือ soft power ในที่นี้ก็คือ ‘ธรรมนูญสุขภาพ’ ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้มานั่งพูดคุยกัน สร้างกติการ่วมกัน และหาทางออกร่วมกันในที่สุด”

กล่าวให้ถึงที่สุด แม้ธรรมนูญสุขภาพจะไม่มีผลบังคับในทางกฎหมายและไม่มีบทลงโทษทางอาญาก็ตาม แต่ภายใต้บริบทสังคมของคนอ่าวนาง สิ่งที่ดูเหมือนจะมีพลังไม่น้อยไปกว่ามาตรการทางกฎหมายอาจเริ่มจากการพูดคุยทำความเข้าใจจนเกิดเป็นข้อตกลงง่ายๆ ที่เปรียบเสมือน ‘สัญญาใจ’ ของคนในชุมชนนั่นเอง

 

Cyber Dangerous โลกออนไลน์ไม่ใช่สนามเด็กเล่น

ผลสำรวจ ‘สถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ ประจำปี 2561’ จากกลุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชนอายุ 6-18 ปี จำนวน 15,318 คน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2562 จัดทำโดยศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (COPAT) กรมกิจการเด็กและเยาวชน ร่วมกับมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย พบข้อมูลที่น่าสนใจหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นสื่อลามกอนาจาร การพนันออนไลน์ เกมออนไลน์ ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ต่างรับรู้ว่ามีภัยอันตรายแฝงอยู่ทั้งสิ้น แต่เด็กก็ยังเชื่อว่าจะสามารถรับมือกับปัญหานั้นได้ด้วยตนเอง

หนึ่งในผลสำรวจที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กยุคไซเบอร์ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงบางอย่างในการใช้สื่อออนไลน์ที่อาจนำภัยอันตรายมาถึงตัวเด็กเองได้ ทั้งการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป การแชร์ภาพถ่ายตัวเองหรือครอบครัว การเช็คอินสถานที่ต่างๆ ไปจนถึงการนัดพบกับเพื่อนที่รู้จักในโลกออนไลน์ ซึ่งบางกรณียังนำไปสู่การถูกหลอกลวง ถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกล่อลวงทางเพศ

 

โลกไม่ลับกับภัยออนไลน์ที่เด็กต้องเจอ

โลกของข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏในสื่อออนไลน์ ไม่ว่าภาพ เสียง หรือตัวอักษร ล้วนมีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทั้งผลกระทบในแง่บวกจากการใช้พื้นที่สื่อออนไลน์ในเชิงสร้างสรรค์ และผลกระทบในแง่ลบที่เกิดขึ้นกับสังคม ครอบครัว พฤติกรรม และสุขภาพของเด็กและเยาวชนจากการใช้สื่อออนไลน์อย่างไม่เหมาะสม

ศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ (COPAT) กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย เผยผลสำรวจเรื่อง ‘สถานการณ์เด็กกับภัยออนไลน์ ประจำปี 2561’ โดยทำการสำรวจเด็กและเยาวชนอายุ 6-18 ปี จำนวน 15,318 คน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2562 พบข้อมูลที่น่าสนใจหลากหลายประเด็น และเกี่ยวข้องกับการกำหนดยุทธศาสตร์การปกป้องและคุ้มครองเด็กให้เท่าทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน

ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย นำเสนอรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลจากผลสำรวจครั้งนี้ เบื้องต้นพบว่า เด็กส่วนใหญ่ 88.7 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยว่าอินเทอร์เน็ตให้ประโยชน์มากกว่าโทษ ขณะเดียวกัน เด็ก 94.6 เปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่ามีภัยอันตรายและความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบบนอินเทอร์เน็ต และเด็กประมาณครึ่งหนึ่งหรือ 54.3 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าเมื่อเผชิญภัยหรือความเสี่ยงออนไลน์จะสามารถจัดการแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยตนเอง

เด็กไทยใช้เน็ตทำอะไร

เด็กส่วนใหญ่เข้าถึงผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแทบเล็ตมากที่สุด 83 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือคอมพิวเตอร์ที่บ้านและที่โรงเรียน โดยเด็กจำนวนกว่าครึ่งหรือ 54.7 เปอร์เซ็นต์ ใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน เด็ก 15.9 เปอร์เซ็นต์ ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน และเด็ก 32.2 เปอร์เซ็นต์ ใช้อินเทอร์เน็ต 3-5 ชั่วโมงต่อวัน

วัตถุประสงค์หลักๆ ในการใช้อินเทอร์เน็ต 3 อันดับแรกคือ

  1. เพื่อพักผ่อนและความบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม (66.8 เปอร์เซ็นต์)
  2. ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนฝูงหรือญาติมิตร (14.5 เปอร์เซ็นต์)
  3. เพื่อการเรียนหรือการทำงาน (11.7 เปอร์เซ็นต์)

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงเท่ากับชั่วโมงในการเล่นเกมออนไลน์ โดยผลสำรวจพบว่า เด็ก 29.3 เปอร์เซ็นต์ เล่นเกมออนไลน์มากกว่าวันละ 6-10 ชั่วโมง และอีก 37.5 เปอร์เซ็นต์ ที่เล่นมากกว่าวันละ 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่ามีความเสี่ยงที่เด็กจะ ‘ติดเกม’

Cyber Bullying

เมื่อถามว่า เด็กและเยาวชนเคยถูกกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์ (Cyber Bullying) หรือไม่ ปรากฏว่าเด็ก  31.1 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 3 เคยถูกกลั่นแกล้ง โดยเฉพาะเด็กที่เป็นเพศทางเลือกเคยถูกกลั่นแกล้งมากถึง 48.5 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังพบว่ามีเด็กอีก 3 เปอร์เซ็นต์ ถูกกลั่นแกล้งรังแกทุกวันหรือเกือบทุกวัน

เมื่อถูกกลั่นแกล้งรังแกแล้ว เด็ก 40.4 เปอร์เซ็นต์ มักไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร โดยสิ่งที่เด็กเลือกที่จะทำคือ

  • บล็อก (block) บุคคลที่กระทำการกลั่นแกล้ง (43.7 เปอร์เซ็นต์)
  • ลบข้อความหรือภาพที่ทำให้อับอาย กังวล รู้สึกไม่ดี (38.1 เปอร์เซ็นต์)
  • เปลี่ยนการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว/การติดต่อกับคนให้จำกัดวงเล็กลงให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น (31.2 เปอร์เซ็นต์)
  • รายงาน/แจ้งปัญหาโดยการคลิกปุ่มแจ้ง (report abuse) บนเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊คหรือติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (29.4 เปอร์เซ็นต์)
  • ไม่ได้ทำอะไรเลย (21.7 เปอร์เซ็นต์)
  • หยุดใช้อินเทอร์เน็ตชั่วคราว (12.6 เปอร์เซ็นต์)
  • แกล้งกลับ (1-2 เปอร์เซ็นต์)

สื่อลามกอนาจารและพฤติกรรมเสี่ยง

เมื่อถามว่า เด็กและเยาวชนเคยพบเห็นสื่อลามกอนาจารทางออนไลน์หรือไม่ 73.8 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่าเคยเห็น ทั้งโดยตั้งใจ ไม่ตั้งใจ หรือเป็นความบังเอิญ และเด็กในกลุ่มเพศทางเลือก 85.8 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าเคยเห็น รวมถึงเคยพบเห็นสื่อลามกอนาจารเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม มีเด็กจำนวน 5-6 เปอร์เซ็นต์ ที่ระบุว่าเคยครอบครอง ส่งต่อ หรือแชร์สื่อลามกอนาจารให้กับเพื่อนหรือคนอื่นๆ ทางออนไลน์ และเด็ก 1.8 เปอร์เซ็นต์ เคยถ่ายภาพหรือวิดีโอตนเองในลักษณะลามกอนาจารแล้วส่งต่อให้คนอื่นๆ

ผลสำรวจประเด็นต่อมาที่น่าเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยของเด็ก ได้แก่

  • 51.7 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่าเคยพูดคุยกับคนที่ไม่รู้จักผ่านสื่อออนไลน์
  • 33.6 เปอร์เซ็นต์ เคยให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ วันเดือนปีเกิด ภาพถ่ายของตัวเองหรือครอบครัวผ่านทางสื่อออนไลน์
  • 25.5 เปอร์เซ็นต์ เคยเปิดอ่านอีเมลที่ส่งมาจากคนที่ไม่รู้จักหรือคลิก link ที่ไม่รู้จัก
  • 35.3 เปอร์เซ็นต์ เคยถ่ายทอดสดหรือ live ผ่านสื่อออนไลน์
  • 69.4 เปอร์เซ็นต์ เคยแชร์ตำแหน่ง (location) หรือเช็คอิน (check in) สถานที่ต่างๆ ที่ไป

ผลสำรวจยังพบอีกว่า เด็ก 25.4 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าเคยนัดพบกับเพื่อนที่รู้จักทางออนไลน์อย่างน้อย 1 ครั้ง และเด็ก 6.4 เปอร์เซ็นต์ เคยนัดพบเพื่อนออนไลน์มากกว่า 10 ครั้ง โดยเด็ก 48.8 เปอร์เซ็นต์ บอกเรื่องนี้ให้เพื่อนทราบ เด็ก 37.7 เปอร์เซ็นต์ บอกพ่อแม่ผู้ปกครอง ขณะที่เด็กอีก 5.8 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้บอกใครเลย

เมื่อนัดพบกับเพื่อนออนไลน์แล้ว เด็กยอมรับว่าถูกกระทำอย่างน้อย 1 อย่าง ต่อไปนี้

  • 5.1 เปอร์เซ็นต์ ถูกพูดจาล้อเลียน ดูถูก ทำให้เสียใจ
  • 2.1 เปอร์เซ็นต์ ถูกหลอกให้เสียเงินหรือเสียทรัพย์
  • 1.9 เปอร์เซ็นต์ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • 1.7 เปอร์เซ็นต์ ถูกทุบตี ทำร้ายร่างกาย
  • 1.3 เปอร์เซ็นต์ ถูกถ่ายภาพหรือคลิปวิดีโอแล้วนำไปประจานหรือข่มขู่เรียกเงิน

ภาพรวมของการสำรวจในครั้งนี้เป็นการสำรวจทัศนคติของเด็กและเยาวชนต่อการใช้อินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน โดยมีข้อคำถามที่มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยและความเสี่ยงจากสื่อออนไลน์ ข้อสรุปที่ได้ทำให้พบว่า พฤติกรรมบางอย่างอาจนำภัยอันตรายมาถึงตัวเด็กได้ ไม่ว่าจะเป็นการถูกกลั่นแกล้งรังแก ถูกติดตามคุกคาม ถูกล่อลวงทางเพศ รวมถึงความเสี่ยงจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ซึ่งผลที่ได้จากการสำรวจจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนต่อไป

มือปราบหมอฟันเถื่อน จัดฟันแฟชั่น สะท้อนค่านิยมวัยรุ่นไทย

จัดฟันงานแท้ งานหมอ  1,000 บาท
จัดฟันงานแฟชั่น 450 บาท

หากใครผ่านมาเห็นราคาโปรโมชั่นสุดช็อกขนาดนี้คงต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง และอาจช็อกเข้าไปอีกเมื่อรู้ว่าสินค้าหรือบริการที่ว่านั้นเป็นบริการ ‘จัดฟัน’ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบริการทันตกรรมทางการแพทย์ที่มีไว้เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพ เพื่อการรักษา และควรเกิดขึ้นในคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้รับมาตรฐานเท่านั้น แต่กลับมีโฆษณาและเปิดให้บริการโดยใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่หมอฟัน

คำถามคือ เกิดอะไรขึ้นกับแวดวงทันตกรรมในประเทศไทย ทำไมถึงมีการโฆษณาจัดฟันที่ดูไม่มีมาตรฐานอย่างโจ่งแจ้ง แถมยังดูเข้าถึงง่ายและราคาถูกเช่นนี้

ข้อมูลจากทันตแพทยสภา บอกว่าทุกวันนี้การจัดฟันแฟชั่นยังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เฉพาะในเดือนเมษายน-ธันวาคม 2560 หรือในระยะเวลาเพียง 9 เดือน พบว่ามีสมาชิกสั่งซื้อสินค้าเกี่ยวกับการจัดฟันแฟชั่นผ่านสังคมออนไลน์มากถึง 140,000-200,000 ราย มูลค่าการตลาดมากถึงหลักร้อยล้านบาทต่อปี

ที่น่าตกใจกว่านั้น จากการสำรวจความเห็นในกลุ่มวัยรุ่น เหตุผลที่พวกเขาอยากจัดฟันไม่ใช่เพราะปัญหาสุขภาพ แต่เลือกจัดฟันตามเพื่อน และเลือกใช้บริการในสถานที่ใกล้บ้านหรือใกล้สถานศึกษามากกว่าจะเดินเข้าคลินิกหมอฟัน หลังจากจัดฟันแล้วพวกเขายังรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายคนเลือกรับบริการจัดฟันแฟชั่นตามท้องตลาด เพราะราคาถูก และสามารถปรับเปลี่ยนสีให้ทันสมัยได้ตามใจชอบ

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเพจเฟซบุ๊คชื่อดุดัน ‘มือปราบหมอฟันเถื่อน’ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเกาะติดประเด็นนี้โดยเฉพาะ ภารกิจหลักของเพจนี้คือการรับแจ้งเบาะแส ประสานงาน ส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และภารกิจที่สำคัญอีกอย่างที่ทำควบคู่กันคือ การส่งมอบความรู้ สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อช่วยเตือนภัยให้กับผู้บริโภคถึงประเด็นการจัดฟันที่ไม่ได้มาตรฐาน

 

การทำงานของมือปราบหมอฟันเถื่อน

ทันตแพทย์ประพัฒน์ ศานติวงษ์การ หรือ ‘หมอหมี’ หนึ่งในทีมแอดมินเพจ เล่าให้ฟังว่า เพจนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพราะเห็นว่าเป็นช่องทางที่ช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย บางคนอาจไม่อยากเสียเวลาไปแจ้งเรื่องร้องเรียนยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยตัวเอง อาจเพราะปัญหาการเดินทางหรือการติดต่อหน่วยงานราชการไม่สะดวก หรือแม้กระทั่งบางครั้งเมื่อไปแจ้งเบาะแสกับหน่วยงานไปแล้วไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร หรือถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน หลายคนจึงหันมาขอความช่วยเหลือจากเพจมือปราบหมอฟันเถื่อนเพื่อเป็นผู้ประสานให้อีกทาง เพราะมีทีมทันตแพทย์เป็นแอดมินเอง

“สิ่งที่เพจมือปราบฯ ทำคือ เมื่อได้รับแจ้งแล้วจะตรวจสอบข้อมูล คัดกรองความถูกต้อง ก่อนจะส่งเรื่องร้องเรียนไปยัง สคบ. จากนั้นจะร่วมกันส่งไม้ต่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจวางแผนเข้าจับกุมต่อไป”

ระยะเวลาตั้งแต่เปิดเพจมา 2 ปี มีเรื่องแจ้งเข้ามาจำนวนไม่น้อย แต่หลายกรณีก็ยากที่จะดำเนินการจับกุมได้ เพราะต้องผ่านกระบวนการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานอีกหลายขั้นตอน ที่ผ่านมาการเข้าจับกุมผู้กระทำความผิดมีทั้งรายย่อยและรายใหญ่ เช่น เพจ ‘รุ่ง เชียร์ฟูลี่’ ที่มีผู้ติดตามถึงหลักแสนคน เป็นเพจขายอุปกรณ์จัดฟันเถื่อน ขายรีเทนเนอร์ ลวดจัดฟัน ถาดและอุปกรณ์พิมพ์ฟันที่ไม่ได้มาตรฐาน

หมอหมียังยกตัวอย่างอีกเคสที่เคยลงไปจับกุมพร้อมกับ สคบ. ในตลาดย่านดาวคะนองและสายใต้ใหม่ให้ฟังว่า หลังได้รับเบาะแสจากพลเมืองดีซึ่งแจ้งว่าพบเห็นการขายอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่นและการให้บริการจัดฟันแฟชั่นที่ไม่ได้มาตรฐาน ตั้งอยู่กลางตลาดอย่างโจ่งแจ้ง จึงลงมือวางแผนเข้าจับกุม โดยร้านเหล่านี้มักตกแต่งสถานที่ให้บริการจัดฟันแฟชั่นที่ดูเหมือนมืออาชีพ มีทั้งโต๊ะ เตียง เหมือนคลินิกทำฟันทั่วไป บางแห่งถึงขั้นจัดตู้โชว์สินค้าให้ดูหรูหรา แต่ก็มีบางร้านแฝงอยู่ในรูปแบบของร้านทำเล็บ ร้านเสริมสวย แต่ด้านหลังลักลอบเปิดให้บริการจัดฟันเถื่อน

แล้วประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่า คลินิกไหนแท้ คลินิกไหนเถื่อน หมอหมีให้สังเกตง่ายๆ ว่า

“ถ้าร้านเปิดให้บริการอยู่กลางตลาดนัด ให้คาดไว้ก่อนว่าผิดกฎหมาย เพราะไม่มีการควบคุมความสะอาดและความปลอดภัย ถึงแม้จะเป็นสถานที่ปิด แต่ถ้าไม่มีการควบคุมการติดเชื้อของอุปกรณ์ในกระบวนการจัดฟัน รวมถึงไม่มีการทำแล็บที่ได้รับมาตรฐาน นั่นก็อาจเข้าข่ายคลินิกทำฟันเถื่อนได้”

เจาะขบวนการจัดฟันเถื่อน

จากประสบการณ์ที่เคยลงพื้นที่จับกุมผู้กระทำผิด หมอหมีเล่าว่า กลุ่มหมอเถื่อนจะใช้วิธีจัดฟันลูกค้าที่ผิดไปจากคลินิกทำฟันทั่วไป อาจจะให้ลูกค้าบ้วนปากด้วยน้ำนิดหน่อย ไม่มีการฆ่าเชื้อ ไม่มีการตรวจเช็คสุขภาพฟัน ไม่เช็คสภาพเหงือก ไม่เช็คอาการฟันผุ หรือกำจัดสิ่งสกปรกในช่องปากโดยละเอียด แค่ทำอย่างไรก็ได้ที่จะเชื่อมอุปกรณ์ (ลวดและแบร็กเก็ต) ให้ติดกับฟัน ในกรณีที่แย่ที่สุด คือการใช้กาวตาช้าง

“หมอเถื่อนเหล่านี้ล้วนขาดความรู้และการดีไซน์ ถ้าเป็นทันตแพทย์ตัวจริง เมื่อรักษาแต่ละเคสแล้วจะมีภาพในหัว จินตนาการรอยยิ้มของคนไข้ในอนาคตได้ รวมถึงทันตแพทย์จะรู้ว่าแต่ละขั้นตอนควรทำอะไรก่อน อะไรหลัง ควรจะรักษาฟันซี่ไหนไว้ หรือต้องถอนฟันซี่ไหนออก เพื่อให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันที่เหมาะสม และรู้ว่าฟันจะเคลื่อนไปทิศทางไหน”

ฉะนั้น การจัดฟันกับทันตแพทย์จริงๆ แพทย์ผู้ให้บริการต้องใช้เวลาใส่ใจกับคนไข้ ซึ่งการจัดฟันแฟชั่นตามตลาดนัดไม่มีกระบวนการตรงนี้ หมอเถื่อนมีหน้าที่แค่ทำให้อุปกรณ์ยึดติดอยู่กับฟัน แค่ลูกค้ายิ้มแล้วเห็นลวดดัดฟันก็ถือว่าสำเร็จแล้ว

หมอหมียังเล่าถึงผลกระทบต่อสุขภาพฟันที่ตามมา เช่น การใช้ยางที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดอาการฟันเคลื่อนอย่างรุนแรง เพราะยางมีแรงรั้งสูงเมื่อไปเกี่ยวอุปกรณ์ที่ติดกับฟัน ยางจะพยายามคืนรูป นั่นหมายถึงยางจะดึงฟันให้เป็นแผงออกมาด้านหน้า ส่งผลให้มีอาการปวดฟันอย่างรุนแรง และบางรายอาจถึงขั้นเสียโฉมไปเลยก็ได้

“อันตรายจากการจัดฟันแฟชั่น มีตั้งแต่ขั้นทำความสะอาดฟันได้ยาก จนถึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดฟันผุและเหงือกอักเสบมากกว่าคนทั่วๆ ไป เพราะลวดจัดฟันแฟชั่นจะไปกดเหงือกทำให้เหงือกอักเสบ ปวดฟัน ติดเชื้อ ซี่ฟันเปลี่ยนตำแหน่งไปจากเดิม ไปจนถึงได้รับสารพิษจากวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้” หมอหมีบอก

จัดฟันแฟชั่น สะท้อนค่านิยมวัยรุ่น

ผลสำรวจที่ทำร่วมกับศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อต้นปี 2560 พบว่า 2 ใน 3 ของคนวัยรุ่นที่ตอบแบบสอบถาม ยังรู้สึกไม่พอใจกับสภาพฟันตัวเอง ไม่พอใจกับสภาพรอยยิ้มตัวเอง และเมื่อดูตัวเลขประชากรวัยรุ่นถือว่ามีจำนวนหลายเท่าตัว เมื่อเทียบกับจำนวนทันตแพทย์ทั้งประเทศที่มีเพียงกว่า 10,000 คน ยิ่งถ้าเจาะเฉพาะทันตแพทย์ด้านจัดฟันโดยเฉพาะ ยิ่งมีจำนวนน้อย

หมอหมียกตัวอย่างส่วนหนึ่งจากงานวิจัยของ ทพญ.ดร.ธนิดา โพธิ์ดี สาขาทันตกรรมชุมชน ภาคทันตกรรมป้องกัน มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่แบ่งเหตุผลของการจัดฟันได้ 3 ด้านดังนี้

  • ด้านที่ 1 การใช้งาน (function) จัดฟันเพื่อการบดเคี้ยวได้ดีขึ้น เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพช่องปากต่างๆ เช่น ช่วยให้คนที่ฟันซ้อน ฟันเรียงตัวได้ดี ทำให้ดูแลความสะอาดในช่องปากได้ดีขึ้น
  • ด้านที่ 2 ทุนทางร่างกาย (body capital) เพื่อเพิ่มโอกาสทางหน้าที่การงานที่ได้มาจากรูปร่างหน้าตา เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางอาชีพในสังคมให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอก การจัดฟันจึงเป็นสิ่งจำเป็น
  • ด้าน 3 อัตลักษณ์ (identity social value) กลุ่มนี้มองว่า การมีเหล็กจัดฟันจะช่วยยกระดับตัวเองในสังคมได้ โดยเลือกใช้การจัดฟันเป็นเครื่องมือในการสร้างตัวตนและสร้างอัตลักษณ์ของตัวเอง

ผลสำรวจที่ทำร่วมกับ คคส. ในครั้งนั้น ทำให้พบข้อเท็จจริงบางอย่างว่า การที่วัยรุ่นอยากจัดฟัน เพราะต้องการเป็นที่นิยม อยากดูมีฐานะ อยากหน้าเรียว อยากดึงดูดสายตาคนอื่น เพื่อต้องการเติมเต็ม self esteem หรือสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงปัญหาเรื่องสุขภาพฟันเป็นหลัก แม้จะเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม

ทางออกจากความเถื่อน

ในเมื่อวัยรุ่นไทยมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตัวเองมากกว่าความปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พัฒนาข้อเสนอและบรรจุระเบียบวาระ ‘การพัฒนาระบบคุ้มครองผู้บริโภคทางทันตกรรม’ เข้าสู่การพิจารณาในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ประจำปี 2561 เพื่อให้ทุกภาคส่วนจัดทำนโยบายสาธารณสุขเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วม สำหรับแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามและสร้างผลกระทบร้ายแรง

เนื้อหาส่วนหนึ่งของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ข้อ 5 ได้ระบุถึงทางออกไว้ว่า ขอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ให้เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการจัดฟันแฟชั่นและฟันเทียมเถื่อน เป็นเครื่องมือแพทย์ที่กำหนดให้ผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้นำเข้า ต้องจดทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และควบคุมให้ขายเฉพาะสถานพยาบาลของผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรมหรือผู้ได้รับอนุญาตขายเครื่องมือแพทย์

 

 

หยาดฝนโปรยลงจากฟ้า ตกลงมาเป็นเม็ดพลาสติก

ที่เทือกเขาร็อกกี เกรกอรี เวเธอร์บี (Gregory Weatherbee) นักเคมีผู้ศึกษาเรื่องมลพิษไนโตรเจนในอากาศ ได้วิเคราะห์ตัวอย่างน้ำฝนที่ตกลงมา สิ่งที่พบนั้นน่าประหลาดใจ “ผมคาดว่าจะเจอพวกดินหรืออนุภาคของแร่สักอย่าง” นักวิจัย US Geologic Survey กล่าวหลังพบเม็ดไมโครพลาสติก (microplastics) หลากสีสันในตัวอย่างน้ำที่เก็บมาจาก Front Range รัฐโคโลราโด หนึ่งในเครือข่ายเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีในฝน

การค้นพบของเวเธอร์บีเผยแพร่ออกมาเป็นรายงานที่เรียกว่า It is Raining Plastic 

“ผมคิดว่าผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถแชร์กับสาธารณชนคนอเมริกันได้คือ มันมีพลาสติกมากกว่าที่เราจะมองเห็นด้วยตาเปล่า” เวเธอร์บีบอกและตั้งคำถามถึงจำนวนของไมโครพลาสติกที่อยู่ในอากาศ น้ำ และดิน ทุกหนแห่งบนโลก “มันคือในน้ำฝน ในหิมะ มันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมเราตอนนี้”

สถานีตรวจสอบน้ำฝน เมือกเขาร็อกกี / credit: Greg Wetherbee / capeandislands.org
สถานีตรวจสอบน้ำฝน เทือกเขาร็อกกี / credit: Greg Wetherbee / capeandislands.org

การเดินทางกว่าร้อยกิโลเมตรของไมโครพลาสติก

ในหุบเขา Pyrenees Mountains ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ตรวจสอบน้ำฝนที่ตกลงมาเช่นกัน และพบว่า ในนั้นมีอนุภาคพลาสติกราว 365 ชิ้นต่อตารางเมตร

“เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ มันจะมีไมโครพลาสติกทับถมอยู่มากขนาดไหนกัน” คือคำกล่าวของ ดีโอนี อัลเลน (Deonie Allen) นักวิจัยจาก EcoLab จากวิทยาลัยเกษตรกรรมและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (School of Agricultural and Life Sciences) เมืองตูลูส โดยหัวหน้าทีมศึกษาเผยแพร่งานใน Nature Geoscience ย้ำอีกว่า “ไมโครพลาสติกคือมลภาวะในชั้นบรรยากาศชนิดใหม่”

ที่สถานีอุตุนิยมวิทยาซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร ในระยะเวลานานกว่า 5 เดือน อัลเลนและทีมพบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของไมโครพลาสติกที่พบมีขนาดเล็กกว่า 25 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่า 40 ไมครอน (ขนาดที่มนุษย์สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า)

ที่น่าสนใจคือ ในระยะ 100 กิโลเมตร ไม่มีหลักฐานแน่ชัดถึงแหล่งที่มาของไมโครพลาสติกในระยะ 100 กิโลเมตร

ทีมในฝรั่งเศสพยายามศึกษารูปแบบการพัดและทิศทางของลมเพื่อหาต้นทางของไมโครพลาสติก แต่ในระยะ 100 กิโลเมตรไม่มีชุมชน ไม่มีพื้นที่อุตสาหกรรม ย่านการค้า หรือแม้แต่แปลงเกษตรขนาดใหญ่ ผู้ร่วมงานอีกคน สตีฟ อัลเลน (Steve Allen) บอกว่า ฝุ่นทรายในซาฮาราที่มีขนาดประมาณ 400 ไมครอน สามารถปลิวได้เป็นพันไมล์ “แต่ไม่มีใครรู้ว่าไมโครพลาสติกสามารถเดินทางได้ไกลแค่ไหน”

ไมโครพลาสติกที่พบในเทือกเขาร็อกกี / credit: Greg Wetherbee / capeandislands.org
ไมโครพลาสติกที่พบในเทือกเขาร็อกกี / credit: Greg Wetherbee / capeandislands.org

ฝน แม่น้ำ มหาสมุทร ในดาวเคราะห์พลาสติก

เป็นที่รู้กันว่าโลกกำลังเผชิญผลกระทบจากขยะพลาสติกอย่างใหญ่หลวง นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า โลกกำลังกลายเป็นดาวเคราะห์พลาสติก ในปี 2015 พลาสติกถูกผลิตขึ้น 420 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านตันในปี 1950

งานศึกษาในปี 2017 ระบุว่า ในช่วง 65 ปีนี้พลาสติกราว 6,000 ล้านตันถูกฝังกลบและอยู่ในธรรมชาติ และเคยมีรายงานว่า มีไมโครพลาสติกลอยอยู่บนผิวน้ำมหาสมุทรมากถึง 15-51 ล้านล้านชิ้น

แหล่งที่มาสำคัญของเม็ดพลาสติกคือกองขยะ เชอร์รี เมสัน (Sherri Mason) นักวิจัยไมโครพลาสติกและผู้ประสานงานด้านความยั่งยืนจากมหาวิทยาลัยเพนสเตทเบห์เรนด์ (Penn State Behrend) บอกว่า ขยะพลาสติกกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ไม่ถูกรีไซเคิล และมันค่อยๆ แตกตัวอย่างช้าๆ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย “เส้นใยพลาสติกหลุดออกมาจากเสื้อผ้าทุกครั้งที่คุณซักมัน”

มันเป็นไปได้เลยที่จะหาต้นทางของไมโครพลาสติกเหล่านี้ แต่อะไรก็ตามที่มีพลาสติกเป็นส่วนประกอบสามารถปล่อยอนุภาคพลาสติกสู่ชั้นบรรยากาศได้ “และอนุภาคเหล่านั้นก็จะรวมกับละอองฝนตอนมันตกลงมา” เมสันเสริม จากนั้นน้ำที่หยดมาจากฟ้าก็จะไหลลงแม่น้ำ ทะเลสาบ ชายหาด มหาสมุทร และผ่านชั้นดินไปจนถึงแหล่งน้ำบาดาล

นานกว่าทศวรรษแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาว่าในมหาสมุทรเต็มไปด้วยพลาสติก แต่พวกเขาสามารถบอกได้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และความรู้เกี่ยวกับจำนวนพลาสติกในน้ำหรืออากาศยังมีน้อยมาก สเตฟาน เคราส์ (Stefan Krause) จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม (University of Birmingham) บอกว่า “เรายังไม่ได้เริ่มดูปริมาณของมันอย่างจริงจัง”

อีกหนึ่งความไม่รู้คือ อาจมีความเป็นไปได้ทางทฤษฎีที่จะกำจัดพลาสติกออกไปจากธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าใช้เวลานานแค่ไหน “ถึงเราจะมีคทาวิเศษหรือสามารถหยุดการใช้พลาสติกได้ทันที มันก็ยังไม่ชัดอยู่ดีว่าพลาสติกจะหมุนเวียนอยู่ในระบบน้ำของเราต่อไปหรือเปล่า” เคราส์ยังบอกอีกว่า “บนพื้นฐานจากสิ่งที่เรารู้ว่าพลาสติกถูกพบที่ชั้นน้ำใต้ดิน และสะสมอยู่ในแม่น้ำ ผมเดาว่าเป็นศตวรรษเลยแหละ”

คนและสัตว์บริโภคไมโครพลาสติกผ่านน้ำและอาหาร และหากมันอยู่ในอากาศจริง ก็ดูเหมือนว่าเราจะหายใจเอาอนุภาคเล็กๆ ของมันเข้าไปด้วย นักวิทยาศาสตร์เข้าใจผลกระทบต่อสุขภาพอยู่แล้ว ว่าไมโครพลาสติกสามารถรวมตัวกับโลหะหนักเช่นปรอทและสารเคมีอันตรายหลายชนิด เช่นเดียวกับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากอะไรที่ใกล้ตัวมากๆ “อนุภาคพลาสติกจากเฟอร์นิเจอร์และพรมมีส่วนประกอบของวัสดุทนไฟซึ่งเป็นพิษต่อมนุษย์” เคราส์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เพราะเราต้องสัมผัสกับสารเคมีสังเคราะห์นับร้อยชนิดตั้งแต่ลืมตาดูโลก จึงเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่า หากไม่เคยสัมผัสพวกมันเลย เราจะมีชีวิตอยู่นานแค่ไหน ซึ่งเมสันบอกว่า “เราอาจไม่มีทางเข้าใจความเชื่อมโยงทั้งหมดระหว่างพลาสติกกับสุขภาพเลยก็ได้

“แต่เรารู้มากพอที่จะพูดได้ว่า การหายใจเอาพลาสติกเข้าไปนั้นดูจะไม่ใช่เรื่องดี และเราควรเริ่มต้นคิดที่จะลดการพึ่งพาพลาสติกกันอย่างจริงๆ จังๆ”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com
ecowatch.com
nationalgeographic.com

 

ค่าบริการมือถืออาจแพงขึ้น เครือข่ายผู้บริโภคห่วง กสทช. เอาไม่อยู่

มีแนวโน้มว่าผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือของแต่ละค่ายอาจถูกเรียกเก็บเงินเพิ่มขึ้น ทั้งค่าโทร ค่า SMS และค่าอินเทอร์เน็ต จากการที่ กสทช. กำลังเตรียมออกประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง ‘การกำหนดและกำกับดูแลโครงสร้างอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ’ เป็นเหตุให้เครือข่ายองค์กรเพื่อผู้บริโภคต้องออกมาเรียกร้องให้ กสทช. ยึดหลักการในการกำกับดูแลอัตราค่าบริการโทรศัพท์มือถือตามแนวทางที่กำหนดไว้เดิม อย่าคล้อยตามเสียงเอกชน แต่ควรเห็นแก่ประโยชน์ของผู้บริโภคโดยรวม

นายโสภณ หนูรัตน์ เลขานุการอนุกรรมการด้านสื่อสารและโทรคมนาคม คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน (คอบช.) ให้ความเห็นว่า ร่างประกาศ กสทช. ดังกล่าว ได้มีการนำมารับฟังความคิดเห็นสาธารณะเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2562 ซึ่งในร่างฉบับเดิมได้มีการกำหนดอัตราค่าบริการในส่วนที่เกินกว่าสิทธิการใช้งาน หรือที่เรียกว่า ‘ค่าบริการนอกโปรโมชัน’ อยู่ด้วย โดยกำหนดไว้ในร่างประกาศฯ ข้อ 6 (2) และภาคผนวก ข ว่าจะกำกับอัตราค่าบริการเสียง (การโทรออก) ไม่ให้เกินกว่า 0.90 บาทต่อนาที บริการข้อความสั้น (SMS) ไม่เกิน 1.50 บาทต่อข้อความ บริการข้อความมัลติมีเดีย ไม่เกิน 2.50 บาทต่อข้อความ และบริการอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ ไม่เกิน 0.50 บาทต่อเมกะไบต์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลดีและเป็นประโยชน์กับกับผู้บริโภค ทำให้ค่าบริการส่วนที่เกินจากรายการส่งเสริมการขาย หรือส่วนที่ผู้บริโภคใช้เกินจากโปรโมชัน มีราคาถูกลง

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมานายโสภณได้ทราบมาว่า ในร่างประกาศฉบับปัจจุบันที่ กสทช. กำลังเตรียมจะนำเสนอให้ที่ประชุมเห็นชอบเพื่อมีผลบังคับใช้ต่อไปนั้น ได้มีการตัดเนื้อหาส่วนนี้ออกไป โดยอ้างว่าเป็นการปรับแก้หลังจากที่มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ เนื่องจากทำให้บรรดาบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือค่ายมือถือแสดงความไม่เห็นด้วย

“กสทช. ควรฟังเสียงผู้บริโภคซึ่งเป็นเสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศที่มีอำนาจต่อรองน้อยกว่าภาคธุรกิจ ตอนที่รับฟังความคิดเห็นก็มีเครือข่ายผู้บริโภคเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และทางเครือข่ายก็เห็นชอบกับแนวทางของร่างประกาศที่กำหนดว่าจะกำกับอัตราค่าบริการโทรศัพท์ทั้งในโปรโมชันและนอกโปรโมชัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค จึงทำให้ไม่มีการคัดค้านหรือแสดงความเห็นแย้งกับร่างประกาศที่ กสทช. เสนอ เพราะเห็นว่าสิ่งที่ กสทช. ตั้งใจจะทำนั้นดีอยู่แล้ว และยังเป็นการป้องกันการเอาเปรียบและคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ แต่กลายเป็นว่า เสียงสนับสนุนอย่างเงียบๆ นั้นกลับถูกละเลยไป คงเหลือแต่เสียงค้านของค่ายมือถือดังอยู่ข้างเดียว”

นายโสภณกล่าว

นายโสภณกล่าวต่อไปว่า นอกจากนั้นยังพบว่าตามร่างประกาศฉบับปรับปรุง ในภาคผนวก ก ที่กำหนดโครงสร้างอัตราค่าบริการตามสิทธิการใช้งานของรายการส่งเสริมการขายทั้งหมด หรือ ‘สิทธิตามโปรโมชัน’ พบว่ามีอัตราค่าบริการที่เพิ่มขึ้น ดังนี้

  • ค่าบริการเสียง (การโทรออก) จากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 0.57 บาทต่อนาที เพิ่มเป็น 0.60 บาทต่อนาที
  • ค่าบริการข้อความสั้น (SMS) จากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 0.88 บาทต่อข้อความ เพิ่มเป็น 0.97 บาทต่อข้อความ
  • ค่าบริการอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ จากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 0.14 บาทต่อเมกะไบต์ เพิ่มเป็น 0.16 บาทต่อเมกะไบต์

“ขอเรียกร้องไปยัง กสทช. ให้พิจารณาออกประกาศกำกับค่าบริการโทรศัพท์ โดยใช้ร่างประกาศฉบับเดิมที่นำมารับฟังความคิดเห็น ซึ่งโดยรวมมีสาระสำคัญที่เป็นการคุ้มครองผู้บริโภคมากกว่าฉบับที่แก้ไข และในการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะก็ได้รับการเห็นชอบจากผู้เข้าร่วมในฝ่ายของผู้บริโภคแล้ว” นายโสภณกล่าว

นายโสภณระบุด้วยว่า จากข้อสังเกตที่พบในร่างประกาศ กสทช. ฉบับแก้ไข สะท้อนให้เห็นว่า กสทช. ไม่ได้ยืนหยัดที่จะคุ้มครองผู้บริโภค แต่กลับทำให้เกิดการเอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจโดยไม่เป็นธรรม