พ.ร.บ.นมผง ภูมิคุ้มกันเพื่อแม่และเด็ก

คุยกับ แพทย์หญิงชมพูนุท โตโพธิ์ไทย หรือ ‘หมอปุ๊’ นายแพทย์ชำนาญการ สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกันอีกครั้งว่า พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘พ.ร.บ.นมผง’​ (Milk Code) นั้น ไม่ได้กีดกันการจำหน่ายนมผง และไม่ได้ห้ามเด็กกินนมผง แต่เพื่อยับยั้งการโฆษณาที่อวดอ้างข้อมูลเกินจริง โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560

เจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ เพื่อช่วยเหลือแม่ที่ไม่สามารถให้นมบุตรได้ ให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับนมผงที่ไม่เกินเลยจากข้อเท็จจริง

กล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ เพื่อปกป้องคุ้มครองทั้งแม่และเด็กที่จำเป็นต้องใช้นมผงนั่นเอง

ควักหัวใจ 8 ซูเปอร์มาร์เก็ตไทย รับผิดชอบสังคมแค่ไหน

ทุกครั้งที่คุณเดินเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ใด เมื่อคุณต้องเลือกผักหรือผลไม้จากบนชั้น คุณอาจรู้สึกมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ ปลอดสารพิษตามป้ายโฆษณาที่ปรากฏ อีกทั้งยังรู้สึกว่าได้ช่วยสนับสนุนเกษตรกรโดยตรง

ทว่าคุณมั่นใจจริงๆ ไหม หรือเชื่อมั่นเพียงใด เพราะหากมีการตรวจสอบย้อนกลับเส้นทางอาหาร คุณอาจได้พบความจริง ณ สุดปลายทาง

เครือข่ายกินเปลี่ยนโลก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และองค์การอ็อกแฟม ประเทศไทย ซึ่งรวมตัวกันในนาม ‘ซูเปอร์มาร์เก็ตที่รัก’ ภายใต้การสนับสนุนโครงการโดยสหภาพยุโรปและสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสวีเดน จึงจัดให้มีการประเมินผลนโยบายด้านสังคมของซูเปอร์มาร์เก็ตไทย ประจำปี 2562 เพื่อตั้งคำถามว่าซูเปอร์มาร์เก็ตไทย ก้าวหน้าหรือต้องปรับปรุง?


นโยบายที่ยังปิดลับของซูเปอร์มาร์เก็ต

ทัศนีย์ แน่นอุดร หัวหน้ากองบรรณาธิการ นิตยสารฉลาดซื้อ ได้กล่าวถึงแนวโน้มทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมค้าปลีกอาหารในประเทศไทยและต่างประเทศกับบทบาทในการส่งเสริมระบบอาหารที่ยั่งยืนไว้ว่า แต่เดิมนั้นการที่สินค้าตัวหนึ่งจะเดินทางมาถึงผู้บริโภค จะต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง หรือหากมีการนำไปแปรรูปก็ต้องมีการส่งเข้าโรงงานเสียก่อน ฉะนั้น กว่าจะมาถึงตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตย่อมต้องผ่านกลไกเหล่านี้ แต่ปัจจุบันการค้าปลีกอาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตแทบจะตัดขั้นตอนเหล่านี้ออกไป โดยจะมีการซื้อตรงกับเกษตรกร ขณะที่ผู้บริโภคในปัจจุบันก็นิยมไปจับจ่ายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมากกว่าเดินตลาดสด ทำให้อิทธิพลของซูเปอร์มาร์เก็ตคืบคลานเข้าใกล้ชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ

“เทรนด์ทั่วโลกขณะนี้ต้องการให้มีการเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสของภาคธุรกิจ เนื่องจากแนวคิดในการคุ้มครองผู้บริโภคนั้นไม่ใช่เพียงการนำสินค้าคุณภาพออกมาขายเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลและรับผิดชอบสังคมมากขึ้น”

นอกจากนี้ทัศนีย์ยังกล่าวว่า เมื่อย้อนกลับมาดูพื้นที่สื่อสารสาธารณะในประเทศไทย พบว่า มีการพูดถึงนโยบายของอุตสาหกรรมค้าปลีกอาหารน้อยมาก ส่วนใหญ่มักเป็นการโปรโมทกิจกรรมหรือโครงการ แต่นโยบาย ข้อกำหนด ข้อสัญญาที่จะปฏิบัติต่อผู้บริโภคนั้นกลับไม่ค่อยปรากฏ แม้แต่ Tesco Lotus ที่มีสาขามากที่สุด กลับพบว่าส่วนใหญ่เป็นการประชาสัมพันธ์กิจกรรม CSR มากกว่า เช่น การปลูกเมล่อน ซึ่งบริษัทแม่ที่อังกฤษจะมีการเปิดเผยนโยบายชัดเจน แม้แต่ Tesco Lotus สาขาอินเดียที่มีมูลค่าทางการตลาดน้อยกว่าไทย ยังมีการกำหนดนโยบายไว้ในหน้าเว็บไซต์อย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้จึงนำมาซึ่งคำถามและการประเมินผล

ทัศนีย์ แน่นอุดร

ทางด้าน ธีรวิทย์ ชัยณรงค์โสภณ ตัวแทนจากอ็อกแฟม ประเทศไทย ระบุผลจากการประเมินนโยบายด้านสังคมของซูเปอร์มาร์เก็ต (Supermarkets Scorecard) ปี 2562 เอาไว้ว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ต่างประเทศ สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมายาวนานคือ การทำนโยบายที่ปรับใช้กับทุกองคาพยพในองค์กร และมีการเผยแพร่ข้อสัญญาต่างๆ ให้สาธารณะได้รับรู้ นอกจากนี้ยังมีการขยับขยายธุรกิจและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อหาช่องทางใหม่ๆ ในขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในไทยบางรายแม้จะให้ความสำคัญกับนโยบาย มีรายงานด้านความยั่งยืน มีการเผยแพร่ข้อมูลในเว็บไซต์ แต่ยังมีอีกหลายรายที่ยังเน้นไปที่การช่วยเหลือหรือการให้ ซึ่งไม่ได้เจาะเข้าไปที่ใจกลางนโยบาย เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวนั้นไม่มีความถาวรยั่งยืน

“กรอบของการประเมินผลความรับผิดชอบต่อสังคมจะต้องดูจากนโยบายสาธารณะเป็นหลัก หมายถึงต้องเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถที่จะเข้าไปดู เข้าไปหาข้อมูล เข้าไปรับรู้ได้ เช่น ถ้าบริษัทมีนโยบายต่อต้านการทุจริตและคอร์รัปชัน แปลว่าบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ จึงออกมาเป็นนโยบาย”

ธีรวิทย์กล่าวอีกว่า นโยบายด้านสังคมที่ผู้บริโภคอยากเห็น ควรประกอบไปด้วย 4 เรื่อง ดังต่อไปนี้

  1. ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เห็นเป็นอันดับแรก
  2. แรงงาน ไม่ใช่แค่พนักงานของซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคนทำงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น แรงงานในภาคการเกษตร แรงงานในอุตสาหกรรมการเกษตรหรืออาหารแปรรูป
  3. เกษตรกรรายย่อย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
  4. บทบาทสตรี ควรมีการส่งเสริมให้ผู้หญิงมีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เข้าถึงได้

 

เปิดผลคะแนนนโยบายสาธารณะด้านสังคมของ 8 ซูเปอร์มาร์เก็ตไทย ปี 2562

หากพิจารณาจากนโยบายสาธารณะเป็นหลัก จะเห็นได้ว่า 1 ปีที่ผ่านมา ซูเปอร์มาร์เก็ตมีการปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม

  • กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่ยังไม่เคยได้รับคะแนนเลยทั้งในปีที่แล้วและในปีนี้ ได้แก่ Foodland, Gourmet Market และ Villa Market
  • กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่มีผลคะแนนลดลงจนไม่เหลือคะแนน ได้แก่ Big C เนื่องจากผู้ประเมินไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ คาดว่าอาจมาจากการเปลี่ยนเจ้าของกิจการและการออกจากตลาดหลักทรัพย์
  • กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่ผลคะแนนไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ Tops
  • กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่มีคะแนนเพิ่มขึ้น ได้แก่ CP Freshmart, Makro และ Tesco
ภาพ: http://dearsupermarkets.com

 

ธีรวิทย์ ชัยณรงค์โสภณ

“การที่ห้างค้าปลีกจะได้หรือไม่ได้คะแนนนั้น เนื่องจากเราใช้ตัวชี้วัดตามมาตรฐานสากลซึ่งอาจจะเกินกว่าที่ข้อกฎหมายกำหนด ห้างที่แม้จะไม่มีคะแนนอาจไม่ได้แปลว่าทำผิดกฎหมายหรือทำไม่ถูกต้อง แต่หากซูเปอร์มาร์เก็ตใดยิ่งมีคะแนนมากเท่าไร แปลว่าคุณยิ่งมีการใส่ใจเรื่องการพัฒนายั่งยืนทางสังคมเข้าไปสู่บริษัทของคุณมากเท่านั้น และผลคะแนนเท่าไรนั้นอาจไม่สำคัญเท่ากับการเปลี่ยนแปลงที่ขึ้นหรือลงต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญในการประเมิน” ธีรวิทย์ให้คำอธิบาย

การที่คะแนนของ CP Freshmart เพิ่มขึ้นนั้น ธีรวิทย์มองว่าเป็นผลมาจากนโยบายของเครือ CPF มีการประกาศข้อมูลการทำงานกับผู้ค้าในประเด็นเรื่องสิทธิแรงงาน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการขององค์การบริหารระดับประเทศ ส่วนคะแนนของ Tesco ที่เพิ่มขึ้นนั้นก็เป็นผลมาจากบริษัทแม่เช่นกัน โดยประกาศว่า มีการใช้กระบวนการตรวจสอบอย่างรอบด้าน (human right due diligence) ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ที่เอกชนคุ้นเคย โดยการตรวจสอบว่ากลุ่มสินค้าที่ซื้อไปนั้นที่มีความเสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อย มีจุดอ่อนอยู่ที่ไหน แรงงาน เกษตรกร ผู้หญิง หรือแรงงานข้ามชาติ อีกทั้งยังใช้หลักการด้านสิทธิมนุษยชนกับการดำเนินธุรกิจ

“เหตุที่ Tesco Lotus ได้คะแนนสูงนั้น เกือบทั้งหมดมาจากนโยบายที่ปรากฏในบริษัทแม่ที่อังกฤษซึ่งให้ความสำคัญกับแนวทางการทำงานกับคู้ค่าและมีจุดยืนในเรื่องสิทธิมนุษยชน แต่ถ้าเราลองมาดูเว็บไซต์ของ Tesco Lotus ในไทย จะพบว่ายังเห็นนโยบายลักษณะนั้นน้อย คือได้แค่คะแนนเดียวในมิติเกษตรกรรายย่อย และไม่ได้คะแนนเลยในมิติอื่นๆ”

ด้วยความที่การประเมินครั้งนี้ไม่ได้ประเมินเฉพาะห้างไทย แต่มีทั้งที่อเมริกา อังกฤษ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ตัวแทนจากอ็อกแฟมระบุว่า ในแต่ละปีซูเปอร์มาร์เก็ตของต่างประเทศจะมีการเพิ่มนโยบายและปรับใช้หลักการใหม่ๆ เสมอ ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในไทยมีการขยับตัวน้อยกว่า และมีกลุ่มที่นิ่ง ไม่ขยับเลย อย่างเช่น Big C เพราะฉะนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว ในช่วงเวลาเท่ากัน จะเห็นถึงการขยับหรือการเอาจริงเอาจังที่ไม่เท่ากัน

ธีรวิทย์ยังตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่ Big C คะแนนลดลง อาจเนื่องมาจากการถอนตัวออกจากตลาดหลักทรัพย์ และมีการฮุบกิจการไปเป็นของ BJC แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ รายงานประจำปีที่เคยเข้าถึงได้ผ่านทางเว็บไซต์กลับไม่มีอีกต่อไป

“จะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายสาธารณะในภาพรวมของซูเปอร์มาร์เก็ตไทยอาจจะยังช้ากว่าซูเปอร์มาร์เก็ตที่ต่างประเทศ โดยรวมยังเน้นที่กิจกรรม CSR หรือ PR หรือการซื้อตรงเสียมากกว่า ซึ่งไม่ถือเป็นความยั่งยืนที่แท้จริง”

 

6 ข้อเสนอถึงผู้ประกอบการห้างค้าปลีก

  1. ขอให้มีการเปิดเผยนโยบายด้านสังคม รวมถึงแนวทางการทำงานกับคู่ค้าที่เป็นธรรมต่อเกษตรกรรายย่อยและแรงงาน และให้ผู้บริโภคได้รับทราบผ่านช่องทางสาธารณะ
  2. ขอให้ทำการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงที่มีขอบเขตงานครอบคลุมด้านสิทธิมนุษยชน และมีโครงสร้างการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง
  3. ควรมีกลไกร้องทุกข์และเยียวยาที่สอดคล้องกับหลักการแห่งสหประชาชาติด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNGP) โดยต้องเป็นช่องทางที่เกษตรกรรายย่อย แรงงาน และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้
  4. ขอให้จัดทำและเปิดเผยนโยบายด้านสิทธิแรงงานสำหรับคู่ค้าที่มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานขององค์การแรงระหว่างประเทศ
  5. พิจารณาลงนามสนับสนุนหลักการส่งเสริมพลังสตรีของสหประชาชาติ (UN Women’s Empowerment Principles) ซึ่งมุ่งส่งเสริมความเป็นผู้นำของสตรี และการปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม
  6. พัฒนาและประกาศแนวทางการจัดซื้อและข้อตกลงที่เป็นธรรม (Ethical Sourcing Practices & Fair Deals) ที่จะรับประกันได้ว่าผู้ผลิตรายย่อยมีอำนาจในการต่อรอง และรวมตัวกันเพื่อเพิ่มรายได้ข้อตกลงในการค้าที่เป็นธรรมมากขึ้น

 

ผู้บริโภคต้องช่วยกันส่งเสียง

กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี และผู้ประสานงานเครือข่ายกินเปลี่ยนโลก ได้ให้ข้อเสนอแนะเอาไว้ว่า ในช่วงที่ผ่านมาทางซูเปอร์มาร์เก็ตมีการนำเสนอแนวทางในการจัดซื้อจัดจ้างแบบจัดซื้อตรง ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นหลักประกันความยั่งยืนหรือความเป็นธรรม เมื่อเทียบกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้น ที่สำคัญการจัดซื้อนั้นควรอยู่ภายใต้ข้อตกลงที่เป็นธรรมและมีการเปิดเผยข้อมูลแก่สาธารณะด้วย

กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา

“ตัวอย่างหนึ่งที่เราเห็นจากการลงพื้นที่สำรวจคือ กล้วยหอม พบว่าการดำเนินกิจกรรมตั้งแต่การปลูก เก็บเกี่ยว บรรจุ ตลอดจนการขนส่งเข้าไปในห้าง เป็นกระบวนการที่เห็นข้อมูลตลอดเส้นทาง ซึ่งในขั้นตอนการบรรจุนั้นมีการติดตราไว้ด้วยว่ากล้วยนี้มาจากแหล่งไหน ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าปลอดภัย เพราะมีระบบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับมายังต้นทางได้ ดังนั้น เกษตรกรก็ควรจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่สมน้ำสมเนื้อ

“ตลอดเส้นทางของอุตสาหกรรมอาหาร ควรมีการสร้างหลักประกันความยั่งยืนให้กับสังคมและความมั่นคงของเศรษฐกิจ เพราะซูเปอร์มาร์เก็ตทำการค้ากับคนฐานกว้างและขายของให้กับคนจำนวนมาก ถ้าสร้างหลักประกันให้กับทุกทางได้ก็นับเป็นบทบาทสำคัญที่เรามีความหวังว่าจะเกิดขึ้นได้”

กิ่งกรบอกอีกว่า แนวทางการประเมินนโยบายของซูเปอร์มาร์เก็ตในอนาคตข้างหน้า จะต้องมีการประเมินด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสวัสดิการผู้บริโภค เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างกระบวนการต่อรอง สร้างความร่วมมือ และกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจและมีส่วนร่วมมากขึ้น

“ถ้าผู้บริโภคมีความตื่นตัว มีการจับตา เรียกร้อง กระตุ้น ตั้งคำถามกับซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วหากซูเปอร์มาร์เก็ตไหนทำดี ผู้บริโภคก็จะให้ความเชื่อมั่น เพราะผู้บริโภคไม่ได้ดูแค่ของสด ของดี หรือสมราคาเท่านั้น เขายังดูไปถึงว่า ห้างนี้มีความโปร่งใสหรือมีความเป็นธรรมหรือไม่ ซึ่งก็จะได้ใจผู้บริโภคด้วย”

สุดท้ายการยกระดับนโยบายด้านสังคมของซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมดจะมุ่งไปสู่การส่งเสริมระบบอาหารที่เป็นธรรมและยั่งยืนเพียงไร อาจไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การรณรงค์เฉพาะในฝั่งของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ความเป็นธรรมกับเกษตรกรและแรงงาน ความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ต้องมาจากความจริงใจของซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นสำคัญ ในฐานะที่เป็นตลาดซึ่งใกล้ชิดกับปากท้องของเราที่สุด

 

ทำแท้งปลอดภัย: “สำหรับผม ชีวิตตรงหน้า สำคัญกว่าบาปบุญคุณโทษ” ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ

ผู้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตจากการทำแท้งไม่ปลอดภัย 70,000 คน/ปี โดย 95 เปอร์เซ็นต์ มาจากประเทศที่กำลังพัฒนารวมถึงประเทศไทย

แม้พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 มาตรา 5 ระบุให้วัยรุ่นมีสิทธิตัดสินใจด้วยตนเอง และข้อบังคับแพทยสภา อนุญาตให้แพทย์ยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่ผิดกฎหมายหากเข้าเกณฑ์ตามข้อบ่งชี้ข้อใดข้อหนึ่ง และหนึ่งในนั้นคือ การตั้งครรภ์นั้นส่งผลต่อสุขภาพกาย-สุขภาพจิตของมารดา

แต่เพราะที่ผ่านมา อุปสรรคสำคัญคือความคิดเรื่องบาปบุญคุณโทษของบุคลากรทางการแพทย์ผู้ให้บริการ

“การทำแท้งเป็นเรื่องความชั่วร้ายที่ต้องเกิดขึ้นกับพวกเธอ บริการทำแท้งจึงไม่ใช่หน้าที่ของเรา ความคิดแบบนี้ทำให้มีผู้หญิงอีกหลายๆ คนถูกหมอทำร้าย ด้วยวาจา ด้วยสายตา และด้วยความจงเกลียดจงชัง”  

ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก็เคยคิดเช่นนั้น แต่เพราะ ‘ความตาย’ ของหลายชีวิตจากการทำแท้งเถื่อน ค่อยๆ เปลี่ยนคุณหมอให้บอกตัวเองว่า “เราคือคนนอก”

อย่าเอาตัวเราเข้าไปเป็นเขา ไม่ต้องมาเป็นผู้มอบความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ถ้าเขาต้องการเลือกวิธี ทางออกแบบไหนเราต้องแนะนำ ว่าสิ่งที่คุณเลือกมา มันปลอดภัยหรือไม่ ถ้าปลอดภัยก็ทำซะ” 

และสำหรับคุณหมอ ชีวิตตรงหน้า สำคัญกว่าบาปบุญคุณโทษ

คนไทยมีความรับรู้มากน้อยแค่ไหน เกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์

ก่อนตอบคำถามเราต้องมาปูพื้นกันสักนิดนึง จริงๆ การยุติการตั้งครรภ์ด้วยการทำแท้งมีได้หลายวิธี อันดับแรกแบ่งเป็นวิธีที่แพทย์ลงมือ เป็นผู้ทำให้ โดยนำการตั้งครรภ์นั้นออกมาจากโพรงมดลูก ในสมัยอดีตเราใช้วิธีการเอาเหล็กขูดโพรงมดลูกเพื่อให้ตัวอ่อนหลุดออกมา

แต่ในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าการใช้หลอดดูดสุญญากาศ สามารถดูดได้ทั้งตัวอ่อนและรกออกจากโพรงมดลูกได้ด้วยแรงที่พอเหมาะ ซึ่งวิธีนี้จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้หญิงน้อยมาก เนื่องจากหลอดดูดเป็นพลาสติก โดยที่การตั้งครรภ์ที่เราสามารถทำการดูดได้จะต้องมีอายุครรภ์ไม่เกิน 10-12 สัปดาห์ นั่นแปลว่าตัวอ่อนยังมีขนาดเล็กมาก

ถ้าถามว่าการดูดแบบนี้น่ากลัวไหม สำหรับหมอมันไม่ต่างจากการดูดเพื่อทำการรักษาหรือวินิจฉัย ในช่วงเวลานั้น เรายังมองไม่ออกหรอกว่าตัวอ่อนมีหน้าตาแบบไหน เพราะเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ยังไม่มีอวัยวะให้เรามองเห็นด้วยซ้ำ ฉะนั้นสังคมที่มักมองว่าการทำแท้งโดยการดูดเป็นเรื่องที่น่ากลัว ดูดออกมาเป็นแขน ขา เหมือนผู้ใหญ่ ความจริงไม่ใช่เลย สิ่งที่ออกมาเป็นน้ำและเนื้อเยื่อเท่านั้น

เมื่อวิธีการทำแท้งเปลี่ยนไป ส่งผลอะไรบ้าง

เมื่อเราเปลี่ยนจากการขูดโพรงมดลูกเป็นดูดผ่านหลอดสุญญากาศ ทำให้ผู้หญิงปลอดภัยขึ้นเยอะ อาการบาดเจ็บจากมดลูกทะลุน้อยลงแทบจะหายไปจากประเทศไทย ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้ทันทีแค่ให้คนไข้รับประทานยาลดอาการปวด และฉีดยาชาที่ปากมดลูกก่อน

นอกจากการดูด 20 ปีให้หลังมานี้ เราพบว่ามียาชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะแท้งได้ ยาตัวนั้นชื่อว่า Cytotec หรือชื่อสามัญว่า Misoprostol ซึ่งยาตัวนี้เริ่มต้นด้วยการจดทะเบียนเป็นยากลุ่มรักษาโรคกระเพาะ แต่ผลลัพธ์พบว่าสามารถทำให้เกิดการแท้งได้ ดังนั้นในประเทศไทยจึงเริ่มมีการวิจัยเพื่อยืนยันว่ายาตัวนี้ทำให้เกิดการแท้งได้จริงๆ กลายเป็นความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น เพราะย้อนไปในสมัยก่อนหากต้องการทำแท้งจะต้องใช้วิธีที่ยุ่งยาก ต้องมีการใส่สารบางอย่างเข้าไปภายในมดลูกเพื่อให้เด็กเสียชีวิตหรือให้เกิดอาการอักเสบขึ้นก่อน และต้องใช้วิธีทำให้เกิดการบีบตัว จนเกิดการแท้งออกมา

แต่หลังจากที่เราใช้ยา Cytotec หรือชื่อสามัญว่า Misoprostol (หมอขออนุญาตใช้ทั้งสองคำผสมกัน) เราพบว่าการแท้งสำเร็จจำนวนเยอะขึ้น มีบ้างที่จะเกิดภาวะรกค้างแต่ไม่น่ากลัวและไม่อันตราย ต้องควบคุมการใช้ยา 2 ตัวนี้ให้ดี เพราะส่งผลต่อแรงบีบมดลูกที่อาจจะไม่เหมาะสม รวมถึงต้องระมัดระวังการใช้ยาในขณะที่อายุครรภ์เหมาะสมด้วย

ต่อมามีการเพิ่มยาอีกชนิดหนึ่งมาใช้ร่วมกับ Cytotec นั่นคือ RU 486 หรือ Mifepristone ยาตัวนี้จะทำให้รกเสื่อม เพราะเข้าไปต้านฮอร์โมนการตั้งครรภ์ เมื่อเรากินเข้าไปรกก็จะเสื่อมทันที และภายหลังให้ยาตัวนี้หนึ่งวันจะให้คนไข้อมยา Cytotec ไว้ใต้ลิ้นหรือสอดในช่องคลอดอีกครั้ง เพื่อให้เกิดการบีบเอาตัวอ่อนที่ขนาดเล็กมากๆ ออกมา (ผมพูดถึงตัวอ่อนมันไม่ใช่เด็กทารก) ซึ่งอัตราการเกิดการแท้งจากการใช้วิธีเช่นนี้มีมากกว่า 98 เปอร์เซ็นต์ โดยอีก 2 เปอร์เซ็นต์ที่เหลืออาจถึงมือแพทย์เป็นผู้ดำเนินการต่อไป ซึ่งประเทศไทยใช้ยาในลักษณะนี้มานานสักพักแล้ว โดยผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ได้รับการบริการเช่นนี้จะปลอดภัย กลับไปใช้ชีวิตต่อได้

แต่อีกมุมหนึ่ง เมื่อพูดถึงการทำแท้งก็จะมีคนบางกลุ่มที่ รู้สึกเฉยๆ และรู้สึกต่อต้าน ซึ่งกลุ่มคนที่ต่อต้านจะทำให้การดำเนินงานในการนำยาเหล่านี้เข้ามาเกิดได้ยากขึ้น

เราเคยเห็นภาพผู้หญิงบาดเจ็บและล้มหายตายจากจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยมาตั้งแต่อดีตเป็นเวลานาน แต่ในช่วง 6 ปีหลัง กลับพบว่าผู้หญิง สามารถใช้ยาตัวนี้ได้แล้ว โดยมีงานวิจัยรองรับ และมีการจดทะเบียนยากับทาง อย. อย่างจริงจัง รวมถึงมีการแจกจ่ายยาจริง ภายใต้เงื่อนไขตามที่แพทยสภากำหนด โดยกรมอนามัยเป็นผู้ดูแล และผู้รับบริการไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะรัฐบาลเป็นคนสนับสนุน

ซึ่งผมมองว่ากระทรวงสาธารณสุขคำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้หญิง เนื่องจากเมื่อผู้หญิงได้รับอันตรายจากการทำแท้งเถื่อน เกิดภาวะมดลูกเน่าไตวายตับวาย บางคนต้องโดนตัดแขนขา เมื่อรัฐบาลเล็งเห็นผลกระทบตรงนี้จึงต้องกระจายยาเพื่อให้คนได้ใช้และเข้าถึง นี่คือการทำงานในยุคหลังๆ ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

เราจะรู้ได้ยังไงว่า แต่ละคนเหมาะกับวิธียุติการตั้งครรภ์แบบไหน

แล้วแต่การคุยระหว่างคนไข้กับหมอ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้รู้ไว้ คือทุกคนมี option ในการเลือกของตัวเอง เมื่ออายุครรภ์ก่อน 12 สัปดาห์ อาจจะต้องใช้การดูดสุญญากาศ ซึ่งวิธีนี้รวดเร็วแต่เจ็บหน่อย กลับกัน ถ้าอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ต้องใช้วิธีรรับประทานยา เจ็บน้อย แต่จะมีเลือดออกกะปริบกะปรอย

เมื่อมีทั้งยาและวิธีทำแท้งอย่างปลอดภัยแต่ทำไมยังเกิดปัญหาภาวะการทำแท้งเถื่อนอยู่

จริงๆ แล้วอุปสรรคใหญ่อยู่ที่คนทำงานในระบบสาธารณสุขเสียเอง จริงอยู่นะครับที่เรามีหมอหลายคนให้บริการเหล่านี้ได้ เราเข้าอินเทอร์เน็ตและพิมพ์ว่าแพทย์อาสาก็จะเจอกับกลุ่มคนที่สามารถใช้ยาเหล่านี้ในการทำแท้งอย่างปลอดภัยได้ โดยที่พวกเขาผ่านการอบรมและขึ้นทะเบียนกับกรมอนามัยเรียบร้อย ดังนั้นผู้หญิงที่เข้าสู่บริการตรงนี้ได้ถือว่าเป็นคนโชคดี แต่ถ้าผู้หญิงเลือกเดินเข้าโรงพยาบาล ลองจินตนาการว่าพวกเขาจะเจออะไรบ้าง

อันดับแรกเมื่อเข้าไป คุณจะโดนถามเลยว่ามาทำไม ถ้าคุณตอบว่ามาด้วยเหตุผลท้องไม่พร้อมลองนึกหน้าผู้ฟังคำตอบของคุณให้ดีๆ คุณคิดว่าคุณจะเจออะไรบ้าง ถ้าเจอคำตอบกลับมาว่าที่นี่ไม่รับทำแท้ง คุณจะทำอย่างไรต่อไป

ผมมองว่ามันยังขาดมาตรฐานการเข้ารับบริการของการทำแท้งปลอดภัยอยู่ บุคลากรทางการแพทย์จะรู้สึกดีมากถ้าผู้หญิงเข้ามารับการรักษามะเร็งปากมดลูก ปรึกษาปัญหาการอยากมีลูก ปรึกษาการบริการต่อหมัน แต่ถ้ามาด้วยเหตุผลหนูอยากทำแท้ง โอกาสมันจะต่างกันมากเลยนะ อุปสรรคสำคัญจึงไม่ใช่สื่อ แต่เป็นผู้ให้บริการที่ไม่พร้อมให้บริการ

คนเป็นหมอสามารถปฏิเสธคนไข้ได้ด้วย?

หมอก็เป็นคน ก่อนที่ผมจะมีความคิดแบบนี้ ผมก็เคยปฏิเสธคนมาก่อน เพราะแม่ก็สอน ยายก็สอน พระก็สอน ครูก็สอน ว่าทำแท้งมันเป็นเรื่องที่ไม่ดี เราฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สมัยก่อนผมยอมรับเลยว่าผมให้ความรู้สึกจงเกลียดจงชังกับผู้หญิงแบบนี้มาก ดังนั้นมันจึงไม่แปลกเพราะเราถูกสอนให้คิดแบบนี้กันทั้งประเทศ ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทยด้วยที่มีแนวคิดแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอื่นๆ เขาก็มองว่าการทำแท้งคือสิ่งที่มันไม่โอเค

แต่ถ้าเราพลิกมุมมองมองอีกมุมหนึ่ง มองว่าเราเป็นผู้ให้บริการสาธารณสุข เรามองเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปัญหาสุขภาพหรือเปล่า ถ้าเรามองว่า ‘ใช่’ จิตใจเราจะอ่อนโยนขึ้น

ถ้าเราบอกว่ามัน ‘ไม่ใช่’ การทำแท้งเป็นเรื่องความชั่วร้ายที่ต้องเกิดขึ้นกับพวกเธอ จะรู้สึกว่าการให้บริการทำแท้งไม่ใช่หน้าที่ของเรา ซึ่งความคิดแบบนี้มันจึงทำให้มีผู้หญิงอีกหลายๆ คนถูกหมอทำร้าย ด้วยวาจา ทำร้ายด้วยสายตา ทำร้ายด้วยความจงเกลียดจงชัง

แล้วอะไรทำให้คุณหมอเปลี่ยน

ความตายครับ เมื่อก่อนเราด้านชาขนาดที่ว่าแม่และลูก มาขอร้องให้เราช่วยยุติการตั้งครรภ์ แล้วเราก็ไล่เขาไปด้วยการใช้ภาษาที่ไม่น่าฟัง ‘หมอทำให้เธอท้องหรือเปล่า?’ แค่ประโยคแค่นี้ง่ายๆ แต่เรารู้สึกสะใจ เรารู้สึกได้ว่าทำร้ายเขา ผมรู้สึกว่าตัวเองมีศีลธรรมขึ้นมา แม้ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดีเลย แต่ในตอนนั้นผมคิดว่าเราเป็นคนดีมาก เพราะผมปฏิเสธผู้หญิงคนนั้นไป เพราะการที่เขาท้องมันเป็นเรื่องของเขา ถ้าเขาจะไปทำแท้งที่อื่น แล้วเจอแท้งเถื่อนมันก็เป็นกรรมของเขา ผมก็แค่ทำหน้าที่รักษาอาการหลังแท้งเถื่อนที่มันเกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งบางครั้งมันทำให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของความตายโดยที่เราไม่คาดฝัน

ปัจจุบันการยุติการตั้งครรภ์มันง่ายกว่าอดีตมาก ขอโทษนะครับขอยกตัวอย่าง เราขึ้นขาหยั่ง ทายา สอดหลอดดูด แล้วดูดออกมา ใช้เวลาแป๊บเดียว แล้วลงมานั่งพัก เขาสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ กลับไปทำงานได้อย่างปกติ สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ – แต่เราไม่ทำ

ซึ่งหลายๆ คนที่เข้ามาทำแท้งเขาก็เป็นลูกที่มีพ่อมีแม่ เขาอาจจะเป็นความหวังของครอบครัว บางคนต้องเตรียมตัวดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว มีภาระต้องรับผิดชอบต้องดูแลพี่น้อง หลายๆ คนมีสถานะเป็นแม่ มีลูกมีสามี เรื่องแบบนี้ไม่ควรที่จะทำให้เขาต้องพลัดพราก ความตายที่มันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา รวมถึงอาการบาดเจ็บ โดยที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเราไม่เป็นส่วนหนึ่ง

แต่เรื่องนี้ใช้เวลาคิดหลายปีนะครับ เพราะใจผมยังเชื่ออยู่ว่าการทำเรื่องแบบนี้คือบาป แต่สุดท้ายผมก็ต้องหาทางออกให้ตัวเอง เมื่อเขากลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง กลับไปเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ จะไปเป็นแม่ที่ลูกได้กอด มันจะทำให้เรารู้สึก ‘เฮ้ย ช่างมันเถอะ หน้าที่ของเราคือการทำอย่างไรก็ได้ให้สุขภาพของผู้หญิง กลับไปอย่างสมบูรณ์’

จริงๆ การเป็นหมอสูตินรี เราต้องเข้าใจผู้หญิง เราต้องดูแลผู้หญิง มันมีเสียงที่แย้งผมมาเสมอว่า ‘ก็ป้องกันสิ จะได้ไม่ท้อง’ ผมถามหน่อยเราสอนการป้องกันมาเป็นชาติแล้ว แต่ปัญหามันก็ยังมีอยู่ไม่ใช่เหรอ เหมือนคนเป็นหวัดออกกำลังกาย คุณต้องไปออกกำลังกายแล้วจะไม่เป็นหวัด จริงเหรอ คนที่ออกกำลังกายทุกวันก็เป็นหวัดได้ ใช่หรือไม่? มันก็ไม่ต่างกับการที่เราบอกให้เขาคุมกำเนิด เขาก็คุม คุมแบบโง่ก็มี คุมแบบฉลาดก็มี แต่มันก็ยังท้องได้ ฉะนั้นมันก็ต้องมีทางออกให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้

โดยทางออกมันก็มีหลายวิธี ยิ่งเราไม่ได้เป็นคนที่ทำให้เขาท้อง เราจะเห็นทางออกเยอะแยะเลย

ท้ายที่สุดเราจะแนะนำทางออกอย่างไรก็แล้วแต่ อย่าเอาตัวเราเข้าไปเป็นเขา ไม่ต้องมาเป็นผู้มอบความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เราเป็นคนนอก แต่ถ้าเขาต้องการเลือกวิธีทางออกแบบไหนเราต้องแนะนำ ว่าสิ่งที่คุณเลือกมา มันปลอดภัยหรือไม่ ถ้าปลอดภัยก็ทำซะ

ผมว่าหน้าที่ของหมอต้องเปลี่ยนบทบาทให้เป็นแบบนี้ ผมว่าน่าจะดี มันก็เป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นมาตั้งแต่ชาติที่แล้วแล้ว เพียงแต่เรายังขาดความเข้าใจและยังเอาตัวเองเข้าไปอินกับบาปบุญคุณโทษ มากกว่าชีวิตของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรา

สมมุติมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์เดินมาหาคุณหมอ คุณหมอทำอย่างไรบ้าง

อุปสรรคสำคัญ คือผู้ให้บริการ เมื่อก่อนผมสามารถให้บริการในโรงพยาบาลได้หลายแห่ง

ปัญหาคือคนร่วมงานบางกลุ่มเขารู้สึกบาดเจ็บ เขาสลัดความบาดเจ็บแบบผมไม่ได้ เขาถึงไม่โอเคกับการทำแท้ง แต่องค์กรมันควรจะอยู่ได้ ในเมื่อเขาอยู่ไม่ได้ ทางออกวิธีง่ายที่สุดคือผมต้องหยุดทำแท้งในโรงพยาบาลนั้น และใช้วิธีอื่น ผมจึงหันมาใช้วิธีเดินสายประชาสัมพันธ์ถึงเรื่องทำแท้ง ‘ประเทศไทยทำแท้งได้นะครับ แล้วสามารถทำได้ตรงไหนบ้าง’ นี่คือสิ่งที่ผมทำ

นำไปสู่การตอบคำถาม ถ้ามีผู้หญิงเดินมาหาคุณหมอเพื่อที่จะทำแท้งคุณหมอจะทำอย่างไรต่อ

สิ่งที่เป็นเสาบ้านเสาเรือน คอยเป็นหลักในการตัดสินใจต่างๆ นั่นคือกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 305 ยกเว้นความผิด ในกรณีผู้ทำแท้งเป็นแพทย์ผู้มีใบอนุญาต และเป็นการทำแท้งด้วยความจำเป็นด้านสุขภาพของหญิง หรือกรณีที่หญิงตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืนกระทำชำเรา ในผู้หญิงที่อายุไม่ถึง 15 ปี รวมถึงกรณีที่ตั้งครรภ์เกิดจากการถูกล่อลวง บังคับ ขู่เข็ญ ลวงหลอก ข่มขู่ทางเพศ เพื่อสนองความใคร่ ครูผมเคยสอนและยกตัวอย่างไว้ว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ทลายซ่อง ให้เชิญผู้หญิงมาตรวจปัสสาวะ พบว่าใครตั้งครรถ์ สามารถทำแท้งได้ถูกต้องตามกฎหมาย

นี่คือหลักการที่ควบคุมการยุติการตั้งครรรภ์ หลักการนี้มันไม่สามารถเอามาใช้ได้เลยถ้าหมอบอกว่า ‘กูไม่ทำ’ ขอโทษที่พูดหยาบนะครับ ในเมื่อผมไม่ทำ มันจะทำไม ก็ในเมื่อสุขภาพของเธอ เธอกำลังจะตาย หมอไม่ทำ ยังไงก็ไม่ทำ มันจึงทำให้มีผู้หญิงส่วนหนึ่งที่ต้องล้มหายตายจากไปเพราะเรื่องงี่เง่าแบบนี้

แต่ก็พบความพยายามที่จะแก้ปัญหา เช่น แพทยสภาขอขยายนิยามของคำว่าสุขภาพ ให้อิงตาม WHO กรมอนามัยโลก ที่ระบุไว้ว่าสุขภาพคือ ร่างกายและจิตใจ สุขภาพกายและสุขภาพใจมันแยกกันไม่ได้

ตอนที่เราทำข้อบังคับนี้ก็มีการถกเถียงกันว่า คำว่าสุขภาพใจคืออะไร ถึงขั้นเป็นโรคจิต ถึงขั้นฆ่าตัวตาย หรือเปล่า จึงทำนิยามให้มันหลวมๆ ไว้ เอาเป็นว่าใครที่ไม่สบายใจที่จะตั้งครรภ์ จนเกิดผลกระทบต่อร่างกาย นอนไม่ได้ กินไม่ได้ แปลว่าสุขภาพเริ่มไม่ดีแล้ว เพราะมันแฝงไปด้วยความเครียด นี่ก็เป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งแล้ว จึงพยายามนำคนเหล่านี้เข้าสู่บริการทางการแพทย์ให้ได้

ล่าสุด ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ระบุไว้คำว่า ‘สุขภาพ’ หมายถึง ‘ภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณทั้งทางกาย ทางจิต ทางปัญญา และทางสังคม เชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล’ พอผมได้อ่านนิยามนี้แล้วจะรู้สึกน้ำตาตก เพราะคิดถึงความรู้สึกที่ตัวเองเคยดูถูกผู้หญิง มองว่าเขาเลว ซึ่งความคิดของผมก็เลวไม่ได้ต่างจากคำที่ผมดูถูกเขาเลย

เมื่อเรารู้ว่าเราไม่สบายใจกับการยุติตั้งครรภ์ ก่อนจะไปถึงขั้นขึ้นขาหยั่ง คุณหมอมีวิธีดำเนินการอย่างไรบ้าง

การทำแท้งที่ดีมันต้องเริ่มตั้งแต่เห็นหน้าคนไข้ และได้ทักทายกัน การขึ้นถึงขั้นขาหยั่ง มันคือกระบวนการการทำแท้ง แต่จริงๆ แล้ววิธีการรักษาคนไข้เหล่านี้มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่คำว่า ‘สวัสดี แล้วถามว่าเธอมีปัญหาอะไร’

‘ไหนเล่าให้ฟังซิว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีปัญหาอะไร หมอไม่ใช่คนที่ทำให้เธอท้อง หมอย่อมเห็นปัญหาได้รอบด้านมากกว่า ไหนลองพูดมาว่าปัญหาที่มันเกิด มันเป็นปัญหาจริงหรือเปล่า’ นี่คือคำพูดที่มันเข้าไปทำงานกับคนไข้

บางครั้งปัญหาเกิดขึ้น เขาแค่กลัว เขาไม่กล้าบอกแม่ งั้นหมอเสนอ ‘เอาอย่างนี้หมอบอกให้ไหม ถ้าเธออยากมีลูกเดี๋ยวหมอช่วยบอกแม่ให้ หรือถ้าเธอไม่อยากมีลูกหมอก็ช่วยบอกแม่ให้ได้’

เพียงแค่เราคุยกัน การพูดคุยมันช่วยเยียวยาได้จริงๆ นะ ยิ่งกว่าการคุยคือการรับฟังด้วย การฟังคนไข้มันช่วยได้มากจริงๆ บางครั้งหมอก็เจอเคสที่เข้ามาจะทำแท้ง คุยกันคุยไปคุยมาเขาก็ตัดสินใจไม่ทำแท้งแล้ว

แสดงว่าแม้การทำแท้งสามารถทำให้ปลอดภัยและถูกกฎหมายได้ แต่อุปสรรคใหญ่นั่นคือความคิดของบุคลากรการแพทย์

เมื่อบทสัมภาษณ์นี้ได้เผยแพร่ออกไป ทุกคนต้องบอกผมว่าผมคิดไปเอง ผมคิดไปเองว่ามันถูกกฎหมาย แต่ในมุมมองของผม ผมมองว่าสุขภาพของแม่ มันรวมไปถึงสุขภาพใจ และรวมไปถึงความสามารถที่จะรู้สึกเป็นสุข เมื่ออยู่บนโลกใบนี้โดยมีองค์รวมอย่างสมดุล

ดังนั้นถ้าคุณไม่เข้าใจคำนี้ต่อให้ผมพูดไปอีก 10 ปี คุณก็ไม่เข้าใจหรอก ยังไงเสียคนก็ต้องเข้าใจว่าการทำแท้งคือเรื่องที่เลวทราม แต่ผมถามจริงๆ ถ้าเกิดเป็นน้องสาวของคุณ พี่สาวของคุณ คุณจะคิดอย่างไร พอเป็นคนใกล้ตัวปุ๊บ เชื่อว่าศีลธรรมมันเลือนหายไปทันที ซึ่งทุกคนในโลกคิดไม่ต่างจากคุณหรอก การท้องไม่พร้อมจึงกลายเป็นความผิดปกติทางจิตเช่นเดียวกัน เพราะมันก่อให้เกิดความอยู่ไม่สุขและอยู่ไม่ได้

ผมจะย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าทางออกทุกทางเป็นสิทธิของร่างกายของคุณ ตั้งแต่เกิดคนเราทุกคนมีสิทธิอะไรที่เท่าเทียมกันบ้าง แต่อย่างหนึ่งที่เราทุกคนมีอย่างเท่าเทียมก็คือการเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าสังคมพูดแต่ปาก แต่ไม่เคยเข้าใจว่า บางครั้งร่างกายของคนอื่นก็เป็นสิทธิในร่างกายของเขา เขาจะเป็นคนแบบไหน มันก็เป็นเรื่องของเขา อาจจะมีทางออกที่ดีกว่าการทำแท้งก็ได้ แต่ถ้าเขาจะไม่เลือกมันก็เรื่องของเขา อย่าไปคิดแทน เพราะผมเป็นเพียงคนที่ให้บริการทำให้เขาปลอดภัยและกลับไปอยู่ในสังคมได้เท่านั้นเอง

แล้วสิทธิการเกิด ลืมตาดูโลกของเด็ก?

ผมถามกลับว่าแล้วผู้หญิงที่มานั่งตรงหน้าเราล่ะ เขาโตมากี่ปีแล้ว เขาโตมา 18 ปี 32 ปี 47 ปี คนนี้แหละคือคนที่มีสิทธิมากกว่าคนที่เพิ่งมาอยู่ในท้อง มันอาจแฟร์ที่เราคิดแบบนี้นะครับ ผมน่าจะเป็นคนเลวทันทีเมื่อพูดแบบนี้ออกไป

ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมต้องแคร์ก่อน คือเธอที่อยู่ตรงหน้า ผมต้องแคร์คนไข้ก่อน เพราะเธอคือคนที่ใช้ชีวิต เธอคือคนที่มีครอบครัว เธอคือคนที่มีคนรัก ถ้าเราเห็นใครสักคนตายไปต่อหน้าต่อตา โดยที่เราไม่รู้สึกรู้สา ‘ช่างแม่ง เพราะเขาไม่ใช้ญาติผมนี่’ ถ้าเราปล่อยเขาตายไป พ่อแม่ สามี ลูก ครอบครัว ต้องเสียน้ำตามากแค่ไหน ถ้าเราไม่รู้สึกตรงนี้ ผมคงเป็นคนที่ใจดำมาก

ถามอีกมุม การทำแท้งปลอดภัย จะส่งเสริมให้เกิดสังคม free sex หรือเปล่า

ไม่รู้สิครับ ถึงจะทำแท้งหรือไม่ทำแท้ง ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันคนก็มีเซ็กส์กันไม่ใช่เหรอ?

การมีเซ็กส์ มันสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ มีเซ็กส์แล้วมันสนุก ผมยืนยันเลย (ยิ้ม) คนชอบคิดว่าการเปิดโอกาสให้คนทำแท้ง จะทำให้ผู้หญิงเข้าสู่การทำแท้งมากขึ้น แต่ถ้าเราคิดกลับกันถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้คนได้ทำแท้งจะมีผู้หญิงที่บาดเจ็บล้มตายจากการทำแท้งเถื่อนมากขึ้นหรือเปล่า ทุกวันนี้ปัญหาเหล่านี้มีน้อยลงมากแล้วนะ

สมัยหนึ่งในประเทศโรมาเนีย กฎหมายในการทำแท้งมีความเข้มงวดมาก ไม่เปิดให้ทำ ผู้หญิงจึงล้มตายจากการตั้งท้องจากการทำแท้งเถื่อนจำนวนสูงมหาศาล แต่หลังจากที่โรมาเนียได้ประกาศว่าสามารถให้ผู้หญิงทำแท้งได้ด้วยความปลอดภัย ความตายจากการตั้งท้องของผู้หญิงลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

ซึ่งตั้งแต่สังคมไทยเริ่มเปิดในเรื่องนี้ ผู้หญิงเราตายน้อยลงจริงๆ อาการมดลูกทะลุ-มดลูกเน่าน้อยลงมาก มันจึงพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้เราจะไม่ได้ใจกว้างเท่าโรมาเนีย แต่ทุกวันนี้การตายของผู้หญิงไทยมันลดน้อยลง อัตราการตายจากการตั้งครรภ์มันกลายเป็นอย่างอื่นไปแล้ว เป็นเรื่องของครรภ์เป็นพิษ เป็นโรคหัวใจแล้วท้อง ท้องแล้วมีอาการตกเลือด ส่วนการตายจากแท้งเถื่อนน้อยลงเยอะ แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง ซึ่งในฐานะที่เป็นคนทำงานมา 20 ปี ผมยืนยันได้ว่ามันน้อยลง

ขณะที่ข้อมูลเรื่องการทำแท้งปลอดภัยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่อัตราการท้องไม่พร้อมกับเพิ่มสูงขึ้น สมการนี้เกี่ยวกันไหม

มันไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นหรอกครับ มนุษย์ยังมีเซ็กส์เหมือนเดิม ถ้าเพิ่มขึ้นก็คงตามยุคสมัยที่เปลี่ยน หรือตามจำนวนคนที่เปลี่ยนไป การทำแท้งก็เช่นเดียวกันมันยังมีเท่าเดิม มันยังมีเหมือนเดิม เพียงแค่มีคนตายน้อยลงกว่าเดิม ถ้าจะบอกว่าการที่ทำแท้งเข้าถึงได้มากขึ้น จะทำให้คนเข้ามาทำแท้งมากขึ้น มันเป็นสมการที่คิดเอาเองหมดเลย ลองเอาตัวเลขออกมาดูสิ มันไม่จริงหรอก

แต่สิ่งที่เราเห็นคือคนเลือกเดินมาหาเราเพราะอยากทำแท้งที่ปลอดภัยได้มากขึ้นมากกว่า สมัยก่อนคนเหล่านี้ไปตกอยู่ในมือพวกหมอเถื่อน ไปตกอยู่ในมือของพวกเว็บไซต์ขายยาเถื่อน มันเป็นการทำแท้งเสรี (ซึ่งอาจจะไม่ปลอดภัย) มันมียาเถื่อนซื้อได้ทุกที่ขายได้ทุกเวลาในอินเทอร์เน็ต แล้วมันก็เสี่ยงมาก ทั้งที่ในความเป็นจริงเรามียาฟรีๆ ให้คุณในโรงพยาบาลรัฐ

การทำแท้งอย่างเสรีที่ไม่ได้มาตรฐานจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริงในสถานบริการที่การทำแท้งอย่างปลอดภัยเข้าถึงได้ หมายความว่า การทำแท้งปลอดภัยจะเอาตัวอ่อนออกมาก่อนที่เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่การใช้ยาเพื่อให้เด็กหลุดออกมา นั่นเขาเรียกว่าการคลอดก่อนกำหนด

ผมยกตัวอย่าง สมมุติตั้งครรภ์ 5 สัปดาห์แล้วอยากทำแท้ง สิ่งที่อยู่ในท้องคุณจะเป็นตัวอ่อนที่มีขนาดไม่ถึงครึ่งเซนติเมตร และตามมาตรฐานกำหนดการทำแท้งปลอดภัยจะทำได้เมื่อเด็กอายุไม่เกิน 24 สัปดาห์ เพราะเขาเริ่มเป็นเด็ก เป็นสิ่งมีชีวิตที่หายใจได้ เราจะไม่ทำ ฉะนั้นยิ่งจัดการเร็วยิ่งดี

ผมในฐานะแพทย์ไม่เคยสุขใจที่ได้ทำแท้งหรอกแต่ผมสุขใจที่เห็นเธอตรงหน้ามีชีวิตที่ดีขึ้น มีแรงใจที่จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตต่อได้

การทำแท้งครั้งแรกของคุณหมอเป็นอย่างไรบ้าง

ผมทำแท้งครั้งแรกก็ตอนเรียน ก่อนการทำแท้งมันเข้มงวดมาก ผู้หญิงประเภทที่เดินเข้ามาเพราะท้องไม่พร้อม ไม่ค่อยมี จะมีในกรณีที่ตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่ามีความผิดปกติ เช่น เป็นดาวน์ซินโดรม ขั้นตอนและวิธีทำคือการเจาะน้ำคร่ำและใส่น้ำเกลือเข้าไปเพื่อให้เด็กเสียชีวิตในท้อง และกระตุ้นให้เกิดการแท้งออกมา อยู่ในยุคปลายของวิธีการที่น่ากลัว เพราะหลังจากนั้นเราสามารถใช้วิธีกินยากินเพื่อยุติการตั้งครรภ์ได้

ด้านความรู้สึก เป็นอย่างไร

ย้อนไปตอนเรียนต้องเจาะเลือดไปที่หัวใจของเด็กมีปัญหาทางสุขภาพที่เขาแท้งออกมา ตอนนั้นผมก็ยังเป็นวัยรุ่น ยังเป็นหมอหนุ่ม ด้วยความเร่งรีบของเราจึงไม่ได้ดูอย่างถี่ถ้วนว่าเด็กที่แท้งออกมาเสียชีวิตไปหรือยัง พอเราเอาเข็มจิ้ม เด็กกลับมีปฏิกิริยาสะดุ้งกลับขึ้นมา ตอนนั้นมันแบบ…(เงียบ)… ผมจึงเกลียดการทำแท้งไปเลย เพราะผมก็เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจอะ แต่ต้องทำมันเพราะหน้าที่ มันแย่นะ ซึ่งในระบบการเรียนการสอนเราที่ผมเรียนรู้มาตลอด ทุกอย่างบอกกับผมว่าการแท้งคือเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องบาป เป็นเรื่องไม่สมควร ในตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้อินกับการทำแท้งเท่าไหร่

ตอนนั้นผมยังเป็นผมในเวอร์ชั่นที่มีศีลธรรมสูงมาก มองไม่เห็นมุมอื่นๆ แต่พอเวลาดำเนินไป เราผ่านการเห็นความตายที่ไม่สมควรเกิดขึ้น ผมใช้เวลาคิดตรงนี้มาเป็น 10 ปี เพื่อจัดการความคิดตัวเอง และเมื่อความคิดตรงนั้นมันคลิกเปลี่ยน มันก็จบเลย

ช่วง 10 ปีที่ว่าถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน คุณหมอผ่านมันมาได้อย่างไร

มันก็ว้าวุ่นนะ สมัยก่อนที่เราพยายามจะผลักดันการทำแท้งปลอดภัย มีครูคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่า ‘สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ดี’ ผมจึงตอบกลับไปว่า ‘ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้เขาต้องเดินไปสู่หนทางหายนะแน่ๆ’ คำตอบที่ครูคนนั้นตอบกลับมาก็คือ ‘ปล่อยให้มันเป็นกรรมของเขาที่เขาสมควรจะได้รับ’ หน้าที่ของเราคือการรักษากรรมของเขาก็พอ

ดังนั้นในช่วง 10 ปี ผมใช้เวลาคิดทบทวน พอคิดไปคิดมา คิดคนเดียวมันไม่ถี่ถ้วนจึงจัดประชุมถึงบทบาทจริยธรรมของแพทย์ ‘ถ้าเราไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น จะเกิดแท้งเถื่อนจะเกิดปัญหาติดเชื้อ และสุดท้ายก็นำไปสู่ความตาย’ เมื่อรู้เช่นนี้เราจะทำอะไรสักอย่างก่อนได้ไหม ก่อนที่เราจะต้องคอยรับเคสรักษาผู้หญิงมีภาวะมดลูกเน่าเข้ามา

หลักสูตรของแพทย์ส่งผลต่อความคิด ในเรื่องทำแท้งกับนักศึกษาแพทย์อย่างไรบ้าง

จริงๆ แล้วหลักสูตรเป็นกลางมาก แต่คนที่ทำให้รู้สึกและจะเชพความคิดให้เป็นอย่างไร น่าจะเป็นครูมากกว่า อย่างที่บอกไปข้างต้น ผมเคยโดนสอนมาให้เลือกปฏิบัติ ให้เลือกทำแท้งให้กับแม่ที่มีปัญหาสุขภาพ (กาย) เท่านั้น ส่วนเรื่องการโดนข่มขืน การกระทำต่อเด็กอายุ 15 ปีต่างๆ ครูไม่ได้สอน เพราะเขาเชื่อมาว่าการทำแท้งคือเรื่องไม่ดี

ในเมื่ออุปสรรคสำคัญคือวิธีคิดของคนต่อการทำแท้ง ถามแบบกำปั้นทุบดิน แล้วเราจะแก้อย่างไรดี

อืม…คุณตอบไม่ได้หรอกครับ ผมตอบไม่ได้จริงๆ เพราะวิธีแก้มันมีหลากหลาย ถ้าเป็นผม ในฐานะหมอสูติ ผมไม่ค่อยแคร์ใคร ก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปนี้ เช่น การสอนลูกศิษย์รุ่นใหม่ๆ ผมเขียนเว็บเพจเป็นของตัวเองเพื่อสื่อสาร ผมเดินสายเป็นวิทยากร ผมทำได้เพียงเท่านี้ ถ้าเป็นคนอื่นอย่างเช่นอาจารย์ของผม ท่านมีตำแหน่งหน้าที่ที่สามารถเข้าไปจัดการหลักสูตร เข้าไปดีไซน์การสอนได้ ท่านก็จะมีวิธีจัดการอีกแบบของท่านไป

เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายทำ: Muchroom Coworking Space

แผ่นแปะลดอ้วน ไม่ช่วยให้ผอมจริง แต่ถูกจับจริง

ปฏิบัติการกวาดล้างผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) สามารถเข้าทลายโรงงานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอางเถื่อน ยึดของกลางได้ 450,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่านับ 10 ล้านบาท รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่อวดอ้างว่าช่วยลดความอ้วน ได้แก่ แผ่นแปะสะดือเผาผลาญไขมันและสบู่นมเด้ง หรือ ‘สบู่นมตึงจนผัวทัก’ ซึ่งมีการโฆษณาและจำหน่ายผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ มูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท

ปฏิบัติการครั้งนี้แสดงถึงความเอาจริงเอาจังของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่า ผู้อยู่เบื้องหลังของผลิตภัณฑ์เหล่านี้เต็มไปด้วยเครือข่ายที่ร่วมกระทำผิดอย่างเป็นขบวนการ

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 อย. พร้อมด้วย บก.ปคบ. แถลงผลการจับกุมผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายครั้งใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค

ล็อตแรกคือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อ LANO BY GLUTA COLLA และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อ SKB1 ซึ่งเป็นเครือข่ายของบริษัท ฟู้ดชายน์ซัพพลายเซอร์วิส จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ยี่ห้อลีน (lyn) ที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2561 เคยมีผู้บริโภคหลงเชื่อและซื้อหาไปรับประทานจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต เนื่องจากมีส่วนผสมของสารไซบูทรามีน เจ้าหน้าที่ยึดของกลางได้ 450,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท

ล็อตต่อมา เจ้าหน้าที่ตรวจยึดผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง 2 ชนิด ได้แก่ แผ่นแปะสะดือเผาผลาญไขมัน อ้างว่าสามารถช่วยปรับสมดุลการเผาผลาญไขมัน และสบู่นมเด้ง หรือ ‘สบู่นมตึงจนผัวทัก’ เพิ่มเนื้อนมให้ดูอวบอิ่ม ผิวขาวกระจ่างใส โดยยึดของกลางแผ่นแปะสะดือได้ 12,000 ชิ้น และสบู่นมเด้งอีก 130 ก้อน รวมมูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท

พ.ต.อ.ไพฑูรย์ พูลสวัสดิ์ ผกก. (สอบสวน) บก.ปคบ. ระบุว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานไม่จดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ โฆษณาเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558

ด้าน เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า แผ่นแปะสะดือเผาผลาญไขมันที่ขายเกลื่อนตามสื่อออนไลน์นั้นเป็นการอวดอ้างสรรพคุณทำนองว่า ช่วยปรับสมดุลของขบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ช่วยสลายไขมัน ขับไขมันออกจากร่างกาย ซึ่งเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2551 โดย อย. ตรวจสอบฐานข้อมูลแล้วพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตผลิตหรือนำเข้าแต่อย่างใด

สำหรับผลิตภัณฑ์สบู่นมเด้ง (สบู่นมตึงจนผัวทัก) อวดอ้างสรรพคุณทำนองว่า เพิ่มเนื้อนมให้ดูอวบอิ่มผิวขาวกระจ่างใส ข้อความลักษณะนี้ถือเป็นข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินจริง ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เป็นข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค เนื่องจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้สำหรับภายนอกร่างกาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความสะอาดและความสวยงามเท่านั้น โดยไม่ได้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือทำหน้าที่ใดๆ ของร่างกาย การโฆษณาดังกล่าวจึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558

รองเลขาธิการ อย. กล่าวอีกว่า อย. เตรียมดำเนินคดีกับผู้ผลิตทันที และขอเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อโฆษณาแผ่นแปะสะดือเผาผลาญไขมัน และผลิตภัณฑ์สบู่นมเด้ง เพราะอาจได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่ได้แสดงปริมาณและส่วนประกอบที่ชัดเจน อีกทั้งส่วนผสมของกาวแปะอาจทำให้เกิดการอักเสบระคายเคืองได้ หากแปะไว้นานเกินไปอาจทำให้เกิดอาการแพ้ตั้งแต่น้อยๆ เป็นผื่นแพ้คัน หรืออาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต

ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพก่อนการเลือกซื้อได้ที่แอพพลิเคชั่น ‘ตรวจเลข อย.’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงมือผู้บริโภคได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว เป็นการสร้างความมั่นใจเบื้องต้นให้กับผู้บริโภค หากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือผ่านทาง Oryor Smart Application หรือ Line @FDAthai หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อ อย. จะทำการตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำผิดต่อไป

ข้อมูลและภาพ: อย.

 

ทำงานหนักอย่างขุนเขา จากไปอย่างเบาสบาย

หนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลและฌาปนกิจ ผู้ช่วยศาสตร์จารย์ เภสัชกรหญิงสำลี ใจดี

หนังสือชื่อ “ทำงานหนักอย่างขุนเขา จากไปอย่างเบาสบาย” เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแด่อาจารย์
สำลี ใจดี สตรีผู้ยิ่งใหญ่ในวงการยาและสาธารณสุข ที่ได้จากพวกเราไปเมื่อเวลา ๐๐.๕๗ นาฬิกาของวันอาทิตย์
ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ สิริอายุได้เกือบ ๗๗ ปี ขาดไปเพียง ๒๔ วัน ทั้งนี้ อาจารย์ฯได้เสียชีวิตด้วย
โรคปอดติดเชื้อที่ยากจะเยียวยา และอาจารย์ฯก็ปฏิเสธวิธีการรักษาทุกชนิดเพื่อยื้อชีวิตให้ยาวนานออกไปโดย
ไม่มีคุณภาพ รวมถึงปฏิเสธการฉีดมอร์ฟีนสงบระงับอาการปวด เพื่อที่จะได้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอเพื่อการสื่อสาร
กับผู้มาเยี่ยมในช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่มาก

ภายหลังการเสียชีวิตของอาจารย์ฯ มีผู้ที่เคารพรักอาจารย์ฯหลายท่านเขียนคำอาลัยส่งมาให้ทีมงาน ซึ่ง
ได้พิจารณาแล้วว่ามีคุณค่าสมควรแก่การอ่านและการจดจำ ทีมงานจึงตั้งใจจะรวบรวมงานเขียนเหล่านี้เป็นรูป
เล่มเพื่อแจกในงานฌาปนกิจวันเสาร์ที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

งานเขียนทยอยเข้ามาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย ทีมงานจึงตัดสินใจปิดรับต้นฉบับเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม
พุทธศักราช ๒๕๖๒ ได้งานเขียนทั้งหมดประมาณ ๑๒๐ เรื่อง

เนื่องจากอาจารย์ฯมีผลงานมากมาย ล้วนยิ่งใหญ่หรือมีผลกระทบต่อสังคมวงกว้าง ดังนั้น หนังสือเล่ม
นี้จึงมิได้เป็นเพียงของชำร่วยที่รวบรวมคำไว้อาลัยดังเช่นบุคคลทั่วๆไปเท่านั้น แต่ได้รวบรวมแง่มุมต่างๆจาก
ประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้เคยสัมผัสอาจารย์ฯหรือเคยร่วมงานกับอาจารย์ฯ ที่ผู้เขียนประทับใจมิรู้ลืมและ
อยากฝากไว้ในความทรงจำของผู้อ่านด้วย

“อาจารย์สำลีจะต้องไม่ตายไปจากใจของพวกเรา”

Download Click

‘ชานมไข่มุก’ สักแก้วไหม แถมน้ำตาล-สารกันบูด เพียบ!

ชานมไข่มุกที่ใครๆ ก็ชื่นชอบ ทั้งหวาน มัน นุ่มลิ้น กินแล้วชื่นใจ แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้เม็ดไข่มุกแวววาวดูน่ากินนั้น มีสารกันบูดทั้งประเภทกรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) และกรดซอร์บิก (Sorbic Acid) ปะปนอยู่

หนักกว่านั้นคือ ความหวานที่มากเกินกว่าปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ ตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน โดยชานมบางยี่ห้อมีปริมาณน้ำตาลสูงถึง 18.5 ช้อนชา หรือคิดเป็นปริมาณ 3 เท่าตัวที่ร่างกายควรได้รับต่อวันเลยทีเดียว

นี่คือข้อมูลที่ชวนขนลุกจากศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่สุ่มเก็บตัวอย่างชานมไข่มุกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2562 จำนวน 25 ยี่ห้อ ขนาดแก้วปกติ แบบไม่ใส่น้ำแข็ง ราคาตั้งแต่แก้วละ 23-140 บาท เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์สารกันบูด น้ำตาล และโลหะหนัก

“เครื่องดื่มเหล่านี้เป็นเครื่องดื่มที่ควรงด เพราะเป็นแหล่งอุดมน้ำตาล หากร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลที่สูงในคราวเดียว จะรบกวนระบบการ Metabolite ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นกลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs) อันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตได้” ทันตแพทย์หญิงมัณฑนา ฉวรรณกุล รองผู้จัดการโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน ให้คำแนะนำ

ยี่ห้อน้ำตาล (ช้อนชา)        ราคา
KOI Thé470
TEA 65°5.580
Brown Café & Eatery7.2565
Fire Tiger by Seoulcial Club7.75140
ATM865
Mister Donut8.2535
Nobicha8.2524
BRIX Desert Bar8.2585
Mr.Shake955
The ALLEY9110
Chamuku9.2529
Nuu tea9.524
Monkey Shake9.7535
Nomi Mono10.7575
Crown Bubble10.7550
JIN1135
KAMU1160
Tea Story11.560
DAKASI tea11.565
Fuku MATCHA11.7550
Ochaya12.535
Cha…Ma14.7523
Formosa16.2540
MOMA’S Bubble Tea Bar1724
CoCo Fresh Tea & Juice18.570

 

ข้อเสนอเชิงนโยบาย รองรับสังคมสูงวัย 4 มิติ

อีก 2 ปี ข้างหน้า 1 ใน 5 ของประชากรไทย จะกลายเป็นผู้สูงอายุ

ปัญหาของผู้สูงอายุ ไม่ใช่แค่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีผลกระทบถึงเราทุกคนใน ‘สังคมสูงวัย’

จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมของโลกที่คนเกิดน้อยลงและอายุยืนยาวมากขึ้น องค์การสหประชาชาติ (UN) ประเมินสถานการณ์ว่า ช่วงปี 2544-2643 จะเป็นศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ คือ มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรรวมทั่วโลก

สำหรับประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยซึ่งมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 1 ใน 10 ของประชากรมาตั้งแต่ปี 2548 และจะเข้าสู่ ‘สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์’ ในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือปี 2564 โดยจะมีประชากรสูงวัยจำนวน 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด และภายในปี 2578 ประมาณการว่าประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยส่งผลกระทบในหลายด้าน จากข้อมูลวิชาการพบว่า ด้านสุขภาพ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ร้อยละ 95 มีโรคประจำตัว แต่ยังสามารถดำเนินชีวิตประวันได้ตามปกติ โดยส่วนใหญ่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และผู้สูงอายุวัยปลายจะมีอัตราการมีโรคประจำตัวสูงขึ้น

ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ผู้สูงอายุถึงร้อยละ 34 มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน ขณะที่มีประชากรวัยทำงานเพียง 15 ล้านคน จาก 40 ล้านคน อยู่ในระบบการออมเพื่อเป็นหลักประกันรายได้ยามเกษียณ ส่วนปัญหาด้านสังคม พบว่า ผู้สูงอายุที่ต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียวหรืออยู่กับคู่สมรสมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

สถานการณ์สังคมสูงวัยจึงเป็นวาระเร่งด่วนที่หน่วยงานภาครัฐต้องหามาตรการรองรับอย่างเป็นระบบ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จึงจัดให้มีการประชุมสมัชชานโยบายรองรับสังคมสูงวัย ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะรองรับสังคมสูงวัยที่ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ มิติเศรษฐกิจ มิติสุขภาพ มิติสภาพแวดล้อม และมิติสังคม โดยจะเสนอต่อหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สังคมสูงวัย

ผลักดันนโยบายรับมือสังคมสูงวัยให้เป็นจริง

ผศ.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี ประธานกรรมการดำเนินการประชุมสมัชชานโยบายรองรับสังคมสูงวัย อธิบายความเป็นมาของการจัดประชุมครั้งนี้ว่า ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานที่ขับเคลื่อนในเรื่องนี้ แต่มักแยกส่วนกันทำงานและทำเฉพาะประเด็นของตนเอง สช. จึงทำการศึกษาและรวบรวมข้อเสนอจากภาคส่วนต่างๆ มาทำให้เกิดการบูรณาการในการวางแผน รวมถึงจัดตั้งกลไกขับเคลื่อนมติสมัชชาเฉพาะประเด็นว่าด้วยนโยบายรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งประกอบด้วยภาคีที่หลากหลาย คอยติดตามความคืบหน้าการดำเนินงาน และรายงานผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยยังมีช่องว่างด้านการเตรียมความพร้อมของประชากรและการพัฒนาระบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ที่ประชุมสมัชชาฯ จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบาย 4 มิติ ได้แก่

  1. ด้านเศรษฐกิจ มุ่งเน้นเรื่องการออมหลากหลายรูปแบบ ตัวอย่างที่กำลังเริ่มเป็นที่สนใจคือ การออมด้วยการปลูกไม้ยืนต้น โดยสมัชชาฯ เสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับรองสิทธิของผู้ปลูกในการตัด แปรรูป และจำหน่ายไม้ยืนต้นในพื้นที่กรรมสิทธิ์ตนเองได้ และให้กระทรวงการคลังร่วมกับส่วนอื่นๆ จัดตั้งองค์กรส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อการออม โดยรับรองให้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ในการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ เช่น การประกันตัว การกู้ยืม การลงทะเบียนเรียน เป็นต้น
  2. ด้านสังคม เน้นการเสริมสร้างศักยภาพและชมรมผู้สูงอายุ เพราะการรวมกลุ่มเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เกิดสุขภาวะ ข้อเสนอของสมัชชาฯ คือ การมีพื้นที่กลางที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้สำหรับผู้สูงอายุในทุกพื้นที่ เพื่อให้เกิดการทำกิจกรรมภายใต้การบริหารงานของผู้สูงอายุเอง โดยหน่วยงานต่างๆ สามารถให้การสนับสนุนผ่านพื้นที่กลางดังกล่าวได้
  3. ด้านสภาพแวดล้อม ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ร้อยละ 5 ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพังร้อยละ 11 ผู้สูงอายุอยู่กับคู่สมรสร้อยละ 21 แต่การเดินทางของผู้สูงอายุไทยเป็นไปอย่างยากลำบาก ต้องพึ่งพิงผู้อื่น ทำให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จำเป็นต้องอยู่แต่กับบ้าน จึงเสนอว่าให้ขยายโครงการ 1 ตำบล 1 ศูนย์อยู่ดี ออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
  4. ด้านสุขภาพ เนื่องจากมีผู้สูงอายุที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ ที่ประชุมได้เสนอให้มีการระดมทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน เช่น ศาสนสถาน สถาบันการศึกษา หน่วยบริการสุขภาพ เข้ามาช่วยดูแลคนในชุมชน สร้างสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว รวมถึงการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านเครื่องมืออย่างสมัชชาสุขภาพพื้นที่ ธรรมนูญสุขภาพพื้นที่ เป็นต้น

ผศ.ทพ.วีระศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากที่ประชุมรับรองมติทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย จะได้นำเสนอต่อคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี จากนั้นจะมีการหารือร่วมกับกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามและขับเคลื่อนประเด็นเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง

สังคมสูงวัย

อนาคตประเทศไทยกับสังคมสูงวัย

ศ.กิตติคุณ เทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และที่ปรึกษากรรมการสนับสนุนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาวะรองรับสังคมสูงวัย กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ ‘อนาคตประเทศไทยกับสังคมสูงวัย’ ตอนหนึ่งว่า สิ่งที่น่ากังวลและควรอภิปรายกันให้มากคือ นโยบายรองรับสังคมสูงวัยซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกองคาพยพของสังคมต้องร่วมมือกัน จึงควรขยายการศึกษาและดำเนินการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น เช่น มิติด้านเศรษฐกิจนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องการออม แต่ต้องดูการบริโภค และการใช้จ่ายของภาครัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญ เพราะปัจจุบันเริ่มใช้จ่ายกับผู้สูงวัยมากกว่าเด็ก

ศ.กิตติคุณ เทียนฉาย กล่าวอีกว่า ต้องทำความเข้าใจพลวัตการเปลี่ยนแปลงประชากรว่า จุดสำคัญคืออัตราการตาย นับตั้งแต่การเริ่มทำสำมะโนประชากรในปี 2490 ทำให้วิเคราะห์อายุคาดเฉลี่ยของคนไทยได้ ในเวลานั้นอายุคาดเฉลี่ยอยู่ที่ 45-47 ปีเท่านั้น แต่ปัจจุบันคนอายุยืนยาวมากขึ้น ดังนั้น ปัญหาไม่ใช่เฉพาะอัตราการเกิดที่ลดลง แต่สิ่งที่ส่งผลให้เปลี่ยนโครงสร้างประชากรมากคือ การตาย นักประชากรศาสตร์ต้องอธิบายให้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสังคมสูงวัยเข้าใจ ปัจจุบันไทยมีประชากรที่อายุมากกว่า 90 ปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นในครอบครัวหนึ่งจึงไม่ได้มีผู้สูงวัยแค่ 1 รุ่น แต่อาจมีถึง 2 รุ่น ปัญหานี้น่าห่วงอย่างยิ่ง การพิจารณาสถานการณ์สังคมสูงวัยจึงต้องมองให้เห็นภาพรวมทั้งหมด

สังคมสูงวัย

นพ.อำพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา อดีตประธานกรรมาธิการปฏิรูปสังคมและชุมชนฯ สปช. กล่าวว่า สังคมสูงวัยเป็น 1 ใน 5 ปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยอยู่แบบเดิมไม่ได้ โดยอีก 4 เรื่องที่เหลือคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงาน อาหารและน้ำ นวัตกรรมและเทคโนโลยี

นพ.อำพล กล่าวว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายเรื่องสังคมสูงวัยนั้น ถึงแม้จะมีการขยายการศึกษาและนำเสนอเป็น 4 มิติ แต่ก็ยังไม่เพียงพอภายใต้แบบแผนของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากสังคมมีระบบ โครงสร้างวิธีคิดที่สูงวัยและยากต่อการเท่าทันโลก สิ่งที่อยากให้มุ่งเน้นคือ ชุมชนยังคงเป็นฐานพระเจดีย์ที่สำคัญ ปัจจุบันมีหลายชุมชนที่เป็นต้นแบบการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ให้เห็นเป็นรูปธรรม ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญต่อชุมชนท้องถิ่นให้มากขึ้น

“การจัดการเรื่องสังคมสูงวัยเป็นเรื่องเดียวกับการสร้างชุมชนเข้มแข็งและสังคมเข้มแข็ง ควรเน้นการพัฒนาแบบองค์รวม เน้นการมีส่วนร่วม ยึดภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ใช้ชุมชนเป็นฐาน ไม่ยึดติดตำรา ชุมชนท้องถิ่นเป็นความหวัง เราต้องลงไปทำข้างล่างให้เข้มแข็ง แล้วให้ทุกอย่างบูรณาการร่วมกัน”

สังคมสูงวัย

เอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม และกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า หัวข้อหนึ่งที่ถือว่าสำคัญมากในยุทธศาสตร์ชาติ คือ สังคมสูงวัย มีการพูดถึงการดูแลผู้สูงวัยในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่หน้าที่รัฐบาลเท่านั้น ทุกภาคส่วนต้องร่วมขับเคลื่อน เนื่องจากสังคมสูงวัยเป็นเรื่องของทุกคน

เอ็นนู กล่าวอีกว่า ประเด็นท้าทายมีหลายประการ เช่น การออมเงินเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งพบว่ามีน้อยมากเพียง 1 ใน 3 ของประชากรที่มีการเตรียมความพร้อม ดังนั้น ในเบื้องต้นต้องทำให้ประชากรวัย 40 ปีขึ้นไปตระหนัก รอบรู้ และเตรียมการทุกด้านก่อนเข้าสู่วัยชรา ส่วนผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไปแล้วนั้น ต้องได้รับการส่งเสริมให้ถ่ายทอดความรู้ ภูมิปัญญา และประสบการณ์ให้กับคนรุ่นหลัง รวมถึงการสร้างโอกาส สร้างงานให้ผู้สูงอายุที่ยังสามารถทำงานได้ เพื่อให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า

การผลักดันนโยบายสาธารณะเพื่อรองรับสังคมสูงวัย เป็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้ การสร้างฐานชุมชนและสังคมที่เข้มแข็งอาจเป็นทางออกหนึ่งของปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่สำคัญการแก้ไขสถานการณ์นี้ไม่ใช่ภาระของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากต้องอาศัยกระบวนการมีร่วมส่วนของทุกฝ่าย

 

สนับสนุนโดย

[smls id=”45778″]

‘ขยะอาเซียน’ ใครทิ้ง ใครรับ

จากรายงานเรื่อง ‘ต่อกรการค้าขยะพลาสติกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อประเทศสมาชิกอาเซียน’ จัดทำโดย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยสถิติการส่งออกและนำเข้าขยะพลาสติกจากนานาประเทศมายังภูมิภาคอาเซียน พบข้อมูลที่น่ากังวลว่า ไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ประเทศที่มีการนำเข้าขยะสูงสุด และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกขยะสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ฮ่องกง เยอรมนี และสหราชอาณาจักร รวมถึงประเทศไทยก็เป็นผู้ส่งออกขยะไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนในปริมาณที่ไม่น้อยเช่นกัน

ผลพวงจากวิกฤติขยะพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะทะเล ไม่เพียงกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนในระยะยาว สถานการณ์ขยะจึงเป็นวาระเร่งด่วนที่ต้องได้รับการแก้ไข จนนำมาสู่การลงปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน จากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 34 วันที่ 20-23 มิถุนายน 2562

 

อาเซียนและไทยไม่ใช่ ‘ถังขยะ’ ของใครทั้งนั้น

การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 34 ที่กรุงเทพฯ จบลงไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าขยะเกือบครึ่งล้านตันจะยังคงอยู่กับเราต่อไป แม้จะมีการเคลื่อนไหวของประชาชนที่เรียกร้องให้บรรดาผู้นำ 10 ประเทศอาเซียน ยุติการนำเข้าขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์จากนานาประเทศโดยไม่มีข้อแม้ เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนในระยะยาว

ก่อนหน้านี้ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ทำการสำรวจปริมาณการนำเข้าขยะพลาสติกในประเทศอาเซียน พบว่า 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย และเมียนมาร์ มีปริมาณนำเข้าขยะเพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ปี โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีให้หลังที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ประเทศผู้นำเข้าขยะพลาสติกในอาเซียน ปี 2561

  • อันดับ 1 มาเลเซีย 872,797 ตัน
  • อันดับ 2 เวียดนาม 492,839 ตัน
  • อันดับ 3 ไทย 481,381 ตัน
  • อันดับ 4 อินโดนีเซีย 320,452 ตัน
  • อันดับ 5 เมียนมาร์ 71,050 ตัน

ประเทศผู้ส่งออกขยะพลาสติกสู่อาเซียน ปี 2561

  • อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา 439,129 ตัน
  • อันดับ 2 ญี่ปุ่น 430,064 ตัน
  • อันดับ 3 ฮ่องกง 149,516 ตัน
  • อันดับ 4 เยอรมนี 136,034 ตัน
  • อันดับ 5 สหราชอาณาจักร 112,046 ตัน

ไทย

  • ส่งออก 74,906 ตัน
  • นำเข้า 481,381 ตัน

 

สถานการณ์ที่น่าวิตกกังวลนี้ ส่งผลให้หลายภาคส่วนโดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการเป็นแหล่งรองรับขยะโดยตรง ทำให้ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น ได้มีการพูดคุยในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและผลักดันวาระต่างๆ โดยในท้ายที่สุดนำมาสู่การลงปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน

แม้ผู้นำอาเซียนจะมีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาขยะก็จริง แต่ภาคประชาสังคมได้ตั้งข้อสังเกตบางประการ เนื่องจากการวางหลักการและการดำเนินงานของปฏิญญาฉบับดังกล่าวเต็มไปด้วยช่องโหว่ และไม่สามารถระบุแผนปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรมหรือกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการจะลดขยะทางทะเล แต่อาเซียนกลับไม่ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายง่ายและไม่กลายเป็นขยะทะเล เป็นต้น

นอกจากขยะพลาสติก ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยะทะเล อีกปัญหาที่สำคัญคือ พื้นที่อยู่อาศัยของประชาชนและบ่อขยะอีกจำนวนมากได้กลายเป็นพื้นที่รองรับขยะนำเข้าจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวล้วนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง คำถามสำคัญคือ อาเซียนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปในการจัดการขยะ และจะยุติหรือลดการนำเข้าขยะพลาสติกได้จริงหรือไม่

ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในช่วงที่ผ่านมา ตัวแทนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ ชุมชนตำบลหนองชุมพลเหนือ อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี พร้อมทั้งนักกิจกรรมอาสาสมัครจากมูลนิธิบูรณะนิเวศและกลุ่มกรีนพีซ ได้เดินทางไปยังอาคารกระทรวงต่างประเทศ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2562 เพื่อยื่นหนังสือและชูข้อความ ‘อาเซียนไม่ใช่ถังขยะโลก’ และนำบ่อขยะเทียมไปมอบให้ผู้นำอาเซียน เพื่อเรียกร้องต่อผู้นำอาเซียนให้แสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อสภาวการณ์บ่อขยะโลกของอาเซียน

นี่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่มีการเคลื่อนไหวในประเด็นด้านขยะที่ประเทศอาเซียนไม่สามารถรับมือได้ ภาคประชาสังคมยังได้เสนอให้มีมาตรการและการป้องกันขยะและมลพิษจากขยะ โดยมีใจความหลักๆ ดังนี้

  • ยกเลิกพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2562 เนื่องจากเอื้อให้เกิดโรงงานรีไซเคิลขนาดเล็กที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน และเปิดช่องว่างให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
  • ขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องการกำหนดอายุของใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน
  • การขออนุญาตจัดตั้งและขยายโรงงานต้องผ่านเวทีรับฟังความคิดเห็นของสังคมเสียก่อน
  • ออกมาตรการทางกฎหมายให้โรงงานทุกแห่งรายงานข้อมูลมลพิษที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม และเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย
  • เพิ่มระบบการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพ โดยการตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ประกอบด้วยประชาชนและนักวิชาการอิสระ

เช่นเดียวกับข้อเสนอจากฝั่งกรีนพีซต่อประเทศสมาชิกอาเซียน ก็ชัดเจนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฝั่งภาคประชาสังคม

  • ห้ามการนำเข้าขยะพลาสติก รวมถึงการนำเข้าเพื่อรีไซเคิล
  • สร้างนโยบายระดับภูมิภาคที่มุ่งสู่การลดการผลิตผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำ
  • ผลักดันกรอบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มีความยั่งยืนและเป็นธรรมบนพื้นฐานของแนวทางขยะเหลือศูนย์ (zero waste)

อย่างไรก็ตาม ภายหลังมีปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยได้เสนอตัวเป็นประเทศผู้นำในการดำเนินงานด้านการจัดการมลภาวะทางทะเลรวมถึงขยะทะเล และสมัครเป็นประธานคณะทำงานฯ ในปี 2563 โดย จตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ชี้แจงว่า ภาครัฐไม่ได้เพิกเฉย และจะมีการดำเนินการให้สอดรับด้านต่างๆ โดยเฉพาะขยะทะเลซึ่งถูกยกเป็นประเด็นระดับโลก และรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาขยะให้เป็นวาระแห่งชาติ เป็นนโยบายสำคัญที่ต้องเร่งรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน

อ้างอิง: Greenpeace Southeast Asia, Thailand

 

ออสเตรีย EU ชาติแรกที่แบน ‘ไกลโฟเสต’

วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สภาล่างของออสเตรียออกมติห้ามใช้สารกำจัดวัชพืช ‘ไกลโฟเสต’ (Glyphosate) หลังจากที่สารดังกล่าวกำลังถูกโจมตีในสหรัฐอเมริกาว่าเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

“ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเรื่อยๆ ที่บ่งชี้ว่าไกลโฟเสตมีผลทำให้เกิดมะเร็งได้ มันเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะแบนสิ่งนี้ออกจากสภาพแวดล้อมของเรา” พาเมลา แรนดี-วาร์กเนอร์ (Pamela Rendi-Wagner) สมาชิกระดับสูงของสภาแห่งชาติกล่าว

สารเคมีไกลโฟเสตเป็นสารเคมีที่ถูกพัฒนาโดยบริษัทใหญ่สัญชาติอเมริกา Monsanto ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทในสังกัด Bayer ของเยอรมนีที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเคมีและยา สารกำจัดวัชพืชดังกล่าวออกจำหน่ายครั้งแรกในปี 1974 ปัจจุบันสิทธิบัตรหมดอายุไปแล้ว ส่งผลให้บริษัทหลายแห่งผลิตสารฆ่าวัชพืชมีไกลโฟเสตได้โดยไม่ติดปัญหาสิทธิบัตรใดๆ

ในปี 2015 หน่วยงานวิจัยโรคมะเร็งขององค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า สารไกลโฟเสตมีสถานะ “อาจเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง” และในปี 2019 ผลการวิจัยของ ScienceDirect รายงานว่า ไกลโฟเสตมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาสารก่อมะเร็งในเซลล์เม็ดเลือด

ในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกันกว่า 13,000 คน อ้างว่าได้รับผลกระทบจากไกลโฟเสตและกำลังอยู่ในขั้นตอนฟ้องร้องบริษัท Bayer ในกรณีหนึ่ง ศาลแคลิฟอร์เนียสั่งให้ Bayer จ่ายค่าปรับสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ แก่สามีภรรยาที่อ้างว่าพวกตนได้รับสารไกลโฟเสตจนเป็นมะเร็ง

อย่างไรก็ตาม ทางด้านบริษัท Bayer ยืนยันว่าสารไกลโฟเสตไม่ได้เป็นอันตรายจนก่อให้เกิดมะเร็ง

“การตัดสินของสภาแห่งชาติออสเตรียไม่ตรงกับผลการวิจัยไกลโฟเสต” Bayer กล่าวถึงงานวิจัยอีกชิ้นของไกลโฟเสตในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร

ในอนาคต หากมติของสภาล่างได้รับการอนุมัติโดยสภาสูง กฎหมายดังกล่าวจะได้รับการรับรองโดย อเล็กซานเดอร์ ฟาน เดอร์ เบลเลน (Alexander Van der Bellen) ประธานาธิบดีออสเตรีย จะทำให้ออสเตรียเป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรป หรือ EU ที่ดำเนินการอย่างจริงจังในการต่อต้านสารกำจัดวัชพืช

การตัดสินใจของออสเตรียจะขัดต่อข้อบังคับของ EU ในปี 2017 ที่อนุญาตให้มีการใช้สารดังกล่าวต่อไปได้อีก 5 ปี ข้อบังคับของทาง EU นั้นอิงมาจากข้อมูลของหน่วยงานวิจัยและการประเมินความเสี่ยงของอาหารในยุโรป (European Food Safety Authority: EFSA) และหน่วยงานบริหารจัดการด้านเคมีของยุโรป (European  Chemicals Agency: ECHA) ที่ไม่ได้จัดให้สารไกลโฟเสตอยู่ในหมวดหมู่สารก่อมะเร็ง

สำหรับประเทศไทย ข่าวเมื่อต้นเดือนมิถุนายนระบุว่า กรรมการวัตถุอันตรายมีการสรุปการตรวจสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิดนี้คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ ในขณะที่องค์กรเอกชนและมหาวิทยาลัยต่างๆ พบว่ามีสารไกลโฟเสตปะปนอยู่ตามอ่างเก็บน้ำหรือน้ำประปาในหมู่บ้านในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ส่งผลให้บางประเทศแบนสินค้าทางการเกษตรของประเทศไทย

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
dw.com
thairath.co.th