สำรวจผักผลไม้ไทย ปนเปื้อนสารพิษมากแค่ไหน

ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่มักบอกให้เรากินผักผลไม้เยอะๆ จะได้แข็งแรง

พอโตขึ้นจึงพบว่า ผักผลไม้ที่วางเรียงรายสวยงามน่ารับประทานนั้นชักไม่น่าไว้ใจ และอาจไม่ได้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเสมอไป

ล่าสุดเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) เปิดเผยผลการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้างในผักผลไม้ ประจำปี 2562 ประกอบด้วย ผัก 15 ชนิด และผลไม้ 9 ชนิด จากกลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 286 ตัวอย่าง โดยสุ่มตรวจจากสองแหล่งใหญ่คือห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ได้แก่ Big C, Makro, Tops Supermarket, The Mall Group, Tesco Lotus และตลาดสดทั่วไปทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น ยโสธร สระแก้ว จันทบุรี ราชบุรี และสงขลา

ภาพรวมพบว่ามีสารเคมีตกค้างมากถึง 41 เปอร์เซ็นต์

ส่วนผักและผลไม้ชนิดใดจะมีสารปนเปื้อนมากที่สุด ลองมาติดตามดูกัน…

 

สารเคมีในผักผลไม้ไทย อันตรายที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง

เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ร่วมกับองค์กรผู้บริโภคและภาคีต่างๆ เปิดเผยรายงานผลการตรวจวิเคราะห์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักและผลไม้ประจำปี 2562 พบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐาน 41 เปอร์เซ็นต์ โดยมีข้อสังเกตด้วยว่าผักในห้างค้าปลีกมีการปนเปื้อนมากกว่าผักในตลาดสด และยังพบสารเคมีที่ห้ามใช้ในประเทศไทยตกค้างถึง 12 ชนิด บางชนิดมีอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้บริโภคหรือพัฒนาการสมองของเด็ก

ผลตรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงภัยสุขภาพที่ผู้บริโภคมีความเสี่ยงที่จะได้รับจากกระบวนการผลิตอาหารที่ไม่ปลอดภัย ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงาน Thai-PAN อธิบายถึงขั้นตอนการตรวจวิเคราะห์ว่า ทุกๆ ปีเครือข่ายจะทำการเก็บตัวอย่างผักผลไม้จากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยปีนี้สุ่มตรวจ 24 ชนิด ประกอบด้วย ผัก 15 ชนิด และผลไม้ 9 ชนิด จำนวนทั้งสิ้น 286 ตัวอย่าง จากสองแหล่งใหญ่คือห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ได้แก่ Big C, Makro, Tops Supermarket, The Mall Group, Tesco Lotus และตลาดสดทั่วไปทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น ยโสธร สระแก้ว จันทบุรี ราชบุรี และสงขลา

หลังจากเก็บตัวอย่างแล้วได้นำไปตรวจวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO-17025 ในประเทศสหราชอาณาจักร จากนั้นจึงนำผลตรวจมาเทียบกับค่ามาตรฐานของประเทศไทยหรือค่า MRL (Maximum Residue Limit) ซึ่งเป็นการกำหนดมาตรฐานของปริมาณสารพิษตกค้างในอาหารตามประกาศของสำนักงานอาหารและยา (อย.)

“ผลการตรวจพบว่า ผักผลไม้มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานสูงถึง 41 เปอร์เซ็นต์ โดยผักที่พบสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากที่สุดคือ ผักกวางตุ้ง คะน้า กะเพรา พริก กะหล่ำดอก ผักชี โดยพบจำนวน 10, 9, 8, 7, 7, 7 จากทั้งหมด 12 ตัวอย่าง ตามลำดับ ส่วนผลไม้ที่พบการตกค้างมากที่สุด ได้แก่ ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง องุ่น โดยพบสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานเป็นจำนวน 12, 11, 7, 7 จากทั้งหมด 12 ตัวอย่าง ตามลำดับ”

 

ผู้ประสานงาน Thai-PAN กล่าวอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างผลไม้ที่ปลูกในประเทศกับผลไม้นำเข้า พบว่า ผลไม้นำเข้ามีสารตกค้าง 33.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผลไม้ในประเทศมีสารตกค้างเกินมาตรฐานสูงถึง 48.7 เปอร์เซ็นต์

อีกข้อมูลที่น่าสนใจคือ ทุกๆ ปีจะพบว่าผักผลไม้ในห้างค้าปลีกสมัยใหม่มีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานมากกว่าตลาดสด โดยพบมากถึง 44 เปอร์เซ็นต์ (52 ตัวอย่าง จาก 118 ตัวอย่าง) ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่ว่าซื้ออาหารแพงหรือซื้ออาหารในห้างจะสะอาดกว่าซื้อตามตลาดสด โดยห้างที่พบการตกค้างมากที่สุดคือ Big C ที่พบสารตกค้างเกินมาตรฐานในทุกๆ 50 เปอร์เซ็นต์ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจ ตามมาด้วย Tesco Lotus, Makro, The Mall Group, และ Tops Supermarket ในขณะที่ในตลาดสดพบสารตกค้างอยู่ที่ 39 เปอร์เซ็นต์ (66 ตัวอย่าง จาก 168 ตัวอย่าง)

ข่าวดีสำหรับผู้บริโภคคือ ถ้าเทียบผลตรวจปีล่าสุดกับผลตรวจเมื่อปี 2560 จะพบว่าภาพรวมของสารพิษตกค้างที่สูงกว่าค่ามาตรฐาน MRL นั้นน้อยลงจากปี 2560 ซึ่งมีค่า MRL อยู่ที่ 46 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ปีล่าสุดอยู่ที่ 41.3 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ปรกชลย้ำว่า ตัวเลขดังกล่าวก็ยังอยู่ในระดับที่แย่มากอยู่ดี เพราะในต่างประเทศจะตรวจพบสารตกค้างเพียงประมาณ 1-3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลผ่านฉลากรับรองมาตรฐานประเภทต่างๆ จะพบว่าผักผลไม้ที่ได้ตรารับรองคุณภาพ GAP (การรับรองกระบวนการปลูก) GMP (การรับรองโรงตัดแต่งและคัดบรรจุ) และ Organic Thailand (การรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์) ยังมีสารตกค้างถึง 26 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากต่างประเทศไม่พบสารตกค้างเกินมาตรฐานเลย

เมื่อจัดข้อมูลตามชนิดของสารพิษ Thai-PAN พบด้วยว่า สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างมากที่สุดคือ สารฆ่าเชื้อรา คาร์เบนดาซิม (Carbendazim) ซึ่งไม่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในสหรัฐอเมริกามาเกือบ 30 ปีแล้ว เพราะมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ แต่กลับพบสารตกค้างในผักและผลไม้ไทยถึง 57 ตัวอย่าง เช่น มะเขือเทศ แตงขวา และผักชี รองลงมาคือ ไซเปอร์เมทริน อิมิดาคลอร์ฟริด เอซอกซิสโตรบิน และคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการสมองของเด็ก

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการพบสารชนิดที่ทางการออกกฎหมายห้ามใช้ไปแล้ว อย่างเช่น Methamidophos หรือสารที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เช่น Methomyl ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่สามารถจำหน่ายได้ และสารที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 มากถึง 9 ชนิด เช่น Boscalid, Ethirimol, Fenhexamid, Fluxapyroxad ซึ่งสารทั้ง 3 กลุ่มนี้ล้วนผิดกฎหมายและเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ อย. ที่ปล่อยให้มีข้อผิดพลาดเช่นนี้เกิดขึ้น และยังพบได้ทั้งในตลาดสดและห้างสรรพสินค้า ตั้งแต่ตลาดริมทางรถไฟหาดใหญ่ สงขลา จนไปถึงสยามพารากอน กรุงเทพฯ

“วันนี้ถ้าเราถาม อย. ว่า ผักผลไม้ที่ปนเปื้อนเมโทมิลกับคาร์ไบฟูรานถือว่าผิดกฎหมายไหม เขาก็ยังตอบว่าไม่ผิดกฎหมาย แม้จะไม่ได้รับการอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนก็ตาม เพราะว่าตัวกฎหมายจะยึดตามวัตถุตารางที่ยกเลิกการใช้ แต่ยังให้เกิดการตกค้างได้ในปริมาณที่ไม่เกินกำหนด ซึ่งเป็นความลักลั่นระหว่างการควบคุมไม่ให้ใช้ กับการอนุญาตให้ตกค้าง” ปรกชลกล่าวถึงช่องว่างทางกฎหมาย

หากถามว่า มีวิธีการใดที่ผู้บริโภคทั่วไปจะตรวจสอบสารตกค้างในอาหารได้ด้วยตัวเอง กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ตอบว่า ปัจจุบันแม้จะมีชุดทดสอบอาหาร (test kit) แต่เครื่องมือเหล่านี้ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้โดยละเอียด แม้กระทั่งห้องแล็บในประเทศไทยก็ยังไม่สามารถตรวจสอบให้ครอบคลุมสารเคมีที่มีอยู่นับร้อยชนิดได้

หลังจากนั้นกรรณิการ์พูดถึงปัญหาของการตรวจสารตกค้างโดยหน่วยราชการหรือผู้ประกอบการห้างค้าปลีกว่า “เขาก็บอกว่าเขาตรวจ แต่เขาก็มักจะไม่เปิดเผยผลตรวจ คือเก็บไว้รู้คนเดียว เก็บไว้รายงานเป็นตัวเลขกลมๆ ทำให้ผู้บริโภคเข้าไม่ถึงข้อมูลที่แท้จริง”

ทางด้านปรกชลกล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา Thai-PAN ได้พยายามติดต่อหารือกับผู้ประกอบการห้างค้าปลีกและได้ทำข้อตกลงร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2557 เพื่อลดการใช้สารเคมี ซึ่งขณะนี้ Thai-PAN กำลังพิจารณาว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายกับห้างเหล่านั้นหรือไม่ นอกจากนี้จะเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หาแนวทางยุติการใช้สารพิษอันตรายโดยเร็วที่สุด

แก้วตา ธัมอิน เครือข่ายกินเปลี่ยนโลก แนะนำถึงทางเลือกที่ประชาชนเลือกได้ท่ามกลางผักและพลไม้ที่ปนเปื้อนสารตกค้าง เธอชี้ว่า “สถานการณ์เรื่องอาหารหรือความตื่นตัวของผู้บริโภค ทำให้เกิดตลาดเขียวหรือผู้ผลิตอาหารปลอดสารเคมีจำนวนมากขึ้น ซึ่งถือเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภคที่สามารถสั่งซื้อได้โดยตรง

“สำหรับผู้บริโภคที่ยังจำเป็นต้องพึ่งตลาดสดและห้างค้าปลีก เราจะต้องช่วยกันส่งเสียง ต้องช่วยกันบอกผู้ค้าปลีก บอกเจ้าของตลาด บอกแม่ค้าที่แผง เขาจะได้รู้ว่าเราใส่ใจ และรู้ว่าเรากำลังมองเขาอยู่ การเปลี่ยนแปลงจะต้องเปลี่ยนแปลงกันทุกฝ่าย ไม่ต้องรอหน่วยงานรัฐหรือรอผู้ผลิต ทุกฝ่ายต้องทำไปพร้อมๆ กัน”

ตาวิเศษช่วยบอกเถิด…ยาใดดีเลิศไปกว่าหาหมอจักษุ

ต้อลม ต้อหิน ต้อเนื้อ วุ้นในตาเสื่อม เบาหวานขึ้นตา

รักษาได้ด้วย ‘ดี-คอนแทค’

———–

นี่คือคำเคลมข้างกล่องของผลิตภัณฑ์ ดี-คอนแทค (D-Contact) ที่โฆษณาอวดอ้างว่าสามารถรักษาอาการจากโรคตาเหล่านี้ให้ทุเลาลง

แน่นอนว่าด้วยแพ็คเกจจิ้งที่ดูเรียบหรู ราคาที่แพงชะลูด ความคาดหวังในผลลัพธ์ย่อมสูงตาม สวนทางกับคำอธิบายของ รศ.นพ.อนุชิต ปุญญทลังค์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย จักษุแพทย์ที่บอกว่า ผลิตภัณฑ์ในลักษณะนี้ไม่มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการ หรือช่วยรักษาให้หายเจ็บปวดจากโรคตาได้ เพราะเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ใช่ยารักษาโรค

รศ.นพ.อนุชิต ปุญญทลังค์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย

กลยุทธ์อย่างหนึ่งของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มักใช้บุคคลที่เป็นขวัญใจมหาชนอย่างดารา นักแสดง หรือกระทั่ง ‘ครูเพลงลูกทุ่ง’ ที่ลุคภายนอกดูน่าเชื่อถือและเป็นที่รักของหมู่มวลชน ขึ้นมาเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อทำหน้าที่โปรโมทสินค้า นั่นยิ่งทำให้แฟนคลับหรือคนทั่วไปหลงเชื่อได้อย่างง่ายดาย

เมื่อโลกเปลี่ยน เทคโนโลยีก็หมุนตาม กลายเป็นว่าชีวิตประจำวันของผู้คนในสังคมผูกติดกับหน้าจอสี่เหลี่ยมมากขึ้น ทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ แทบเล็ต และนี่คือความจริงอันหอมหวานที่ผู้ประกอบการมักนำไปใช้เป็นทางทางอวดอ้างโฆษณา ว่ารับประทานเข้าไปจะทำให้สายตาดีขึ้น มองเห็นชัดขึ้น ไม่เบลอ ไม่ปวดตา เพราะมีผู้ช่วยพักสายตาที่ดี

อย่างไรก็ตาม จากรายงานข่าวที่ผ่านมาระบุว่า ผลิตภัณฑ์ดี-คอนแทค ที่มี ครูสลา คุณวุฒิ บุคคลมีชื่อเสียง ครูเพลงลูกทุ่งชื่อดังมาขึ้นแท่นเป็นพรีเซนเตอร์ ถูกดำเนินคดีโดยองค์การอาหารและยา (อย.) ในข้อหาโฆษณาอวดสรรพคุณเกินจริง เพราะไม่พบหลักฐานทางวิชาการใดๆ ที่รับรองว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวสามารถรักษาโรคทางตาได้

 

ภาพและข้อความโฆษณาผลิตภัณฑ์ดี-คอนแทค

แม้ครูสลาจะออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการจำหน่ายสินค้า เป็นเรื่องความผิดพลาดที่ไม่สามารถควบคุมตัวแทนจำหน่ายได้อย่างทั่วถึง ทำให้รูปภาพที่นำเสนอออกไปบิดเบือน อาจถูกนำไปแต่งเติมข้อความโฆษณาจนดูเกินจริง จนเกิดความเข้าใจผิดในการอวดอ้างสรรพคุณของสินค้า รวมถึงอาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคำพูดของครูสลาโดยตรง

จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว คุณยังต้องการผู้ช่วยพักสายตาคนนี้อยู่หรือไม่

ถ้ายังต้องการอยู่ ไม่แน่ผู้ช่วยคนนี้อาจทำให้คุณพักสายตาไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้


ผลิตภัณฑ์เหล่านี้รักษาโรคตาได้จริงไหม แล้วมีความอันตรายอย่างไร

จริงๆ มีมาหลายปี 7-8 ปี แต่ตัวที่เริ่มๆ เห็นเลยคือยี่ห้อ ดี-คอนแทค ผลิตภัณณ์พวกนี้มักโฆษณาในสื่อโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในเฟซบุ๊ค เปลี่ยนไปตามพฤติกรรมผู้ใช้ ต่อมาพบได้ทั่วไปจากการโฆษณาแทรกในเว็บไซต์ ลามมาถึงไลน์ เพราะเป็นช่องทางที่ตัวแทนหรือผู้จำหน่ายใช้เป็นพื้นที่โฆษณาถึงตัวผู้บริโภคได้โดยตรง

โดยออกโฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อว่า ‘ต้อจะหาย ต้อจะหดลง’ โดยที่ไม่ต้องรักษา แถมยังแนบรูปถ่ายผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคตาดังกล่าวเปรียบเทียบระหว่างมีอาการกับตอนปกติ เพิ่มความน่าเชื่อถืออีกด้วย

ปัญหาคือไม่รู้ว่า รูปนั้นเชื่อถือได้จริงหรือไม่?

ยิ่งผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพง บวกกับการโฆษณาว่ากินแล้วหายโดยไม่ต้องรักษา ยิ่งทำให้คนหลงเชื่อง่ายขึ้น

สมมุติผู้ป่วยคนนั้นมีอาการเป็นต้อกระจกอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมไปรักษา กลับหลงเชื่อ เลือกที่จะกินผลิตภัณฑ์พวกนี้เข้าไปแทน ไม่ยอมไปผ่าตัดรักษาตั้งแต่แรก มัวแต่ไปกินสิ่งเหล่านี้จนปล่อยให้ต้อสุก แทนที่จะได้รักษาตั้งแต่แผลเล็กๆ กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ ปล่อยเวลาทิ้งไว้จนต้อสุก จนมีอาการปวด ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเข้ามาอีก สุดท้ายตาบอดไปเลยก็เป็นได้ 

เช่นเดียวกัน คนที่มีภาวะต้อหิน พอไปกินผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้าง ก็คิดว่าไม่ต้องรักษาแล้ว เพราะเดี๋ยวก็หาย การที่ไม่รักษา ปล่อยเวลาให้ผ่านไป อาการของต้อหินจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น กว่าคนไข้จะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว ตามืดไปแล้ว ต้อเนื้อก็เช่นกัน ถ้าปล่อยเวลาไป ไม่รักษา มันก็จะลามเข้าไปเรื่อยๆ

อีกทั้งไม่พบหลักฐานทางวิชาการใดๆ ที่รับรองว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดี-คอนแทค มีสรรพคุณรักษาดวงตาได้จริง ไม่มีอาหารเสริมตัวไหนในโลกที่กินแล้วโรคตาจะหาย

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นอาหารเสริม ถ้าบริโภคปริมาณมากจะมีผลเสียอย่างไร

ด้วยความที่อาหารเสริมเหล่านี้มักอยู่ในรูปแบบกึ่งสมุนไพร ถามว่ากินไปนานๆ อะไรที่ได้รับจำนวนมากๆ ย่อมมีผลเสียอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ผลิตภัณฑ์ ดี-คอนแทค ตัวนี้ราคาสูง เมื่อมันแพง ก็เลยยังไม่เจอใครที่ได้รับผลกระทบจากการกินต่อเนื่องโดยตรง ทำให้ยังไม่เจอใครที่กระหน่ำกินจนเป็นพิษ เพราะอาจจะเงินหมดก่อน

จริงๆ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้ทำเลียนแบบต่างประเทศ เขาจะดูว่าตัวยาอาหารเสริมของต่างประเทศมีส่วนผสมอะไร ซึ่งสอดคล้องกับผลวิจัยของ อย. ที่บอกว่า สารอาหารทั้งหมดในนั้นมีคุณสมบัติช่วยบำรุง เป็นตัวเสริม ไม่ใช่ตัวแก้ และไม่มีความสามารถในการรักษาโรค อย่างเช่น ลูทีน (Lutein) ถ้าจะกินให้ได้ประโยชน์ ผู้ป่วยที่เป็นโรคจอตาเสื่อมในระดับปานกลางจะต้องกินติดต่อกัน แต่จะมีผลแค่ยับยั้งไม่ให้อาการไปถึงระดับรุนแรงเท่านั้น

โรคประสาทตาเสื่อม จะต้องถูกวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ว่าคนไข้คนนี้เป็นโรคประสาทตาเสื่อมในระดับปานกลางจริงหรือไม่ ดูว่ามีเซลล์ที่เสื่อมอยู่ในจอประสาทตาเป็นเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ มีอาการบวมไหม มีความผิดปกติอยู่ในระดับไหน ไม่ใช่ว่าไปกินผลิตภัณฑ์พวกนี้แล้วจะไม่ต้องรักษาเลย

ตอนนี้มีงานวิจัยออกมาบอกแล้วว่า สารจำพวกใบกิงโกะ (ใบแปะก๊วย) เป็นแค่ตัวช่วยเสริม อาจจะมีผลกับระบบไหลเวียนเลือดในตาดีขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยรักษา ดังนั้น ถ้าเราเอาไปโฆษณาเกินจริง อาจทำให้มีคนเสียหายจากการหลงเชื่อได้ คิดแค่ว่าซื้อยา 670 บาทหายเลยไม่ต้องรักษา เงินจำนวนนี้สำหรับชาวบ้านเป็นจำนวนเยอะมาก กลับไปหลอกเขาว่ากินอันนี้แล้วช่วยได้ บางทีลูกหลานเห็นโฆษณาแล้วเชื่อก็ซื้อให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายกินอีก

ถ้าลูกหลานอยากจะกตัญญูพ่อแม่ พาพ่อแม่มาหาหมอดีกว่าไหม อย่าไปมักง่ายซื้อของตามเว็บไซต์ แล้วคิดว่าจะหายโดยที่ไม่รักษา

ดังนั้น ถามว่าเราสามารถสรุปได้ไหม ว่านี่คือการโฆษณาที่อวดอ้างเกินจริง แน่นอนว่าได้ อวดอ้างเกินจริงแน่นอน ซึ่งตอนนี้ทุกๆ หน่วยงานก็พยายามทำงานกันอย่างเต็มที่ในการดูแลเรื่องนี้ 

โรคตาต่างๆ ที่ผู้ประกอบการเหมารวมว่ารักษาได้ ในทางการแพทย์ทำได้จริงไหม

จากโรคต่างๆ ที่เคลมว่าสามารถรักษาได้ เช่น วุ้นในตาเสื่อม ต้อลม ต้อหิน เบาหวานขึ้นตา โรคเหล่านี้มีสาเหตุและวิธีการรักษาต่างกันอยู่แล้ว ต้อลม ต้อเนื้อ คือโรคในกลุ่มเดียวกัน เหตุจากเนื้อเยื่อที่อยู่นอกตาขาวเสื่อมและเกิดการอักเสบขึ้นมา ส่วนใหญ่ต้นเหตุเกิดจากแสง UV หรือสิ่งอื่นๆ ภายนอกที่มากระทบ เช่น ลม ฝุ่น เราจะเห็นต้อลมอยู่ข้างๆ ตาดำ แต่ถ้าเป็นต้อเนื้อจะคล้ายๆ กัน คือมีลักษณะเป็นก้อนอยู่ใกล้ๆ ตาดำและกินเข้าไปในเนื้อตาดำ ซึ่งการรักษาโรคนี้จะต้องป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงแสง ฝุ่น ลม ใส่แว่นกันแดด หยอดตาตามที่แพทย์สั่ง

คนที่ตาแดงเพราะเจอลม เจอฝุ่น ก็จะต้องใช้ตัวช่วยด้วยการหยอดน้ำตาเทียม หรือพอถึงเวลาหนึ่งถ้าต้อเนื้อลุกลามก็อาจจะต้องผ่าตัดลอกออก แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกินอาหารเสริมชนิดใดแล้วหาย ไม่สามารถทำให้ต้อหดกลับไป หรือฉีดสเตียรอยด์อะไรก็ตาม ก็ไม่มีทางหดกลับ

ส่วนเบาหวานขึ้นตา เกิดขึ้นได้กับคนไข้ที่มีภาวะเบาหวาน แล้วคุมน้ำตาลได้ไม่ดี หรือเป็นเบาหวานนานๆ แต่ถ้าคนไข้สามารถคุมน้ำตาลได้ในปริมาณที่พอดีอย่างสม่ำเสมอก็จะไม่เป็นอะไร

แต่คนไข้ส่วนใหญ่มักจะคุมน้ำตาลอย่างเคร่งครัดแค่เพียงเฉพาะเวลาใกล้จะไปหาหมอ ดังนั้นอาจทำให้น้ำตาลสะสมมากเกินไป และเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานขึ้นตาได้ ทางออกก็คือการควบคุมน้ำตาล ออกกำลังกาย กินยา ฉีดยา ตามที่แพทย์กำหนด

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับยามีความต่างกัน ยาจะถูกพิสูจน์มาแล้วว่าเหมาะกับใครบ้าง กินแล้วแพ้กี่เปอร์เซ็นต์ ต้องกินในปริมาณเท่าไร ทุกอย่างจะมีเอกสารกำกับ บริษัทที่ผลิตต้องชัดเจน เพื่อจะติดตามตรวจสอบต่อได้เมื่อมีปัญหา ต่างจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ตามไม่ได้ ของพวกนี้มักจะย้ายโรงงานแหล่งผลิตไปเรื่อยๆ พอเวลาไปจับก็หนี บางแห่งเขียนว่าผลิตที่ต่างประเทศ แต่ความจริงปั๊มยาเม็ดกันอยู่ในห้องแถวหรือโรงงานสักที่หนึ่ง

จากเคสที่รักษามา เคยมีคนไข้เอาผลิตภัณฑ์พวกนี้มาให้ดู แล้วถามว่ากินแล้วได้ผลจริงๆ ไหม หายจริงไหม ดีจริงไหม ก็ได้แต่แนะนำไปว่า อย่าไปซื้อมากินเลย เปลืองเงินเปล่าๆ บอกลูกหลานว่าไม่ต้องซื้อมาให้กินแล้ว เชื่อว่าคุณหมอท่านอื่นอาจจะเคยเจอกับเคสแบบนี้ ยิ่งในต่างจังหวัดน่าจะเยอะ เพราะเขามักอ้างกันว่าอยู่ไกล ไม่สะดวกรักษา ก็เลยเลือกที่จะกินของพวกนี้

มีแนวโน้มไหมว่า โฆษณาที่อวดอ้างเกินจริงเหล่านี้จะเพิ่มสูงขึ้นตามจำนวนผู้สูงวัย

ความจริงแล้ว ไม่ว่าใครที่อาจมีอาการตามัวนิดๆ แสบตาหน่อยๆ แทนที่จะเชื่อหมอ กลับหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์พวกนี้ ไปหาซื้อมากิน เพราะคิดว่าจะสามารถรักษาตัวเองได้ โดยที่ยังไม่ทันไปตรวจเลยว่าตัวเองเป็นโรคจริงๆ หรือเปล่า

ยกตัวอย่างโรคต้อกระจก เป็นโรคที่ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าช้าหรือเร็ว บางคนก็เป็นตอน 60 ปี บางคน 50 ปี ก็เริ่มเป็นแล้ว เพราะต้องทำงานกลางแดด ยิ่งตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีผู้สูงอายุมากขึ้น แน่นอนว่าตัวเลขจำนวนผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคตาย่อมเยอะขึ้น ส่วนต้อหินก็คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ที่มักจะเกิดกับผู้สูงอายุ ดังนั้นตัวเลขนับล้านคนมีอยู่แล้ว ซึ่งคนไข้บางคนหยอดยาแล้วแสบบ้าง ขี้เกียจหยอดบ้าง ก็เลยเลือกที่จะไปซื้อสิ่งเหล่านี้กิน โดยหวังว่าจะหาย ซึ่งไม่ใช่ 

ความรุนแรงของผลิตภัณฑ์เสริมในรูปแบบยาหยอด จะอันตรายมากกว่าแบบกินไหม

ถ้าผลิตภัณฑ์ถูกผลิตออกมาในรูปแบบยาหยอดจะมีอันตรายกว่าแน่ๆ เพราะเราหยอดโดนลูกตาโดยตรง แค่พูดถึงยาหยอดธรรมดาทั่วไป แม้แต่ขวดยังต้องควบคุมอย่างเข้มงวดเลย ต้องดูว่าไม่มีผงพลาสติกเจือปนนะ บีบออกมาเป็นอย่างไร ไหนจะเรื่องความสะอาดอีก พวกยาหยอดตาที่ไม่ได้มาตรฐานเราไม่รู้เลยว่าเขาเอาขวดที่ไหนมาแบ่งขาย ได้รับการรับรองไหม ไหนจะน้ำยาในนั้นอีก

จากข่าวที่เคยเห็น บางครั้งมีการเอายาที่ใช้รับประทานไปบรรจุใส่ขวด เพื่อให้ไปหยอดตา ผลปรากฏว่าตาบอด หรือกรณีน้ำป้าเช็งที่เอามาทำหยอดตาขาย จนคนหลงเชื่อซื้อไปหยอดจนเกิดอาการตาอักเสบ รวมถึงกรณีที่คุณยายในจังหวัดขอนแก่น เอายากินแก้ปวดเข่ามาหยอดตา จนตาติดเชื้อ สุดท้ายตาบอด จะเห็นได้ว่ายาหยอดนี่อันตรายมากๆ

คำว่า “ผมไม่เกี่ยว” ใช้ไม่ได้สำหรับกรณีครูสลา?

จริงๆ ตามระเบียบจาก อย. ระบุอยู่แล้วว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ อาหารโฆษณาได้แค่ไหน ยาโฆษณาได้แค่ไหน ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการมักใช้วิธีหลีกเลี่ยงฉลาดๆ โดยการให้เครือข่ายหรือผู้แทนจำหน่ายเป็นผู้โฆษณาแทน พอเจ้าหน้าที่ไปจับก็มักจะอ้างว่าไม่เกี่ยว ให้ไปโทษเครือข่ายหรือผู้แทนจำหน่ายที่ไปโฆษณาเอง

ดังนั้นจึงเป็นความยากในการทำงานเพื่อสืบเสาะ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีส่วนผิดอยู่แล้ว เพราะคุณรับรายได้จากการขาย

แม้แต่ในฐานะพรีเซนเตอร์เองก็ตาม อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ดี-คอนแทคที่ใช้ครูเพลงคนหนึ่งเป็นพรีเซนเตอร์เพราะคนต่างจังหวัดชื่นชอบ ถ้าจะบอกว่าตัวพรีเซนเตอร์ไม่เกี่ยว เพราะแค่โดนจ้างให้มาทำหน้าที่โปรโมทสินค้าเฉยๆ แต่หากพบว่ามีการอวดอ้างโฆษณาเกินจริงด้วยการเติมข้อความแอบอ้างลงไปโดยที่พรีเซนเตอร์ไม่รู้ตัว ก็ต้องไปดำเนินคดีแจ้งความไว้ แต่สุดท้ายครูสลาก็โดนปรับไปตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว

บทลงโทษของเรื่องนี้คืออะไร

ถ้าเป็นการทำโฆษณาที่อวดอ้างเกินจริงในช่องทางดิจิทัลจะมีโทษหนักมาก อาจถึงขั้นจำคุกได้ แต่ในกระบวนการทางกฎหมายก็มีหลายขั้นตอนที่ต้องพิจารณา

ทางเราที่เป็นทีมจักษุแพทย์มักโดนคำถามจากคนไข้เยอะมาก ว่าผลิตภัณฑ์พวกนี้มันใช้ได้จริงหรือไม่ จึงมีความต้องการให้เร่งแก้ไขเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พวกนี้มานาน แต่การทำงานคนเดียวมันทำให้ไม่ค่อยคืบหน้า เหมือนการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง เราจะไปงัดเขาด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ ก็เลยต้องมีทีมขึ้นมาเพื่อดูแลและขับเคลื่อนเรื่องนี้ ไม่ควรปล่อยให้ประชาชนไปหลงเชื่อกินอาหารเสริมพวกนี้อีก

ถ้าไม่จัดการ ปล่อยให้เจ้าหนึ่งอยู่ เดี๋ยวก็จะมีอีกเจ้าหนึ่งผุดขึ้นมาทำตาม ที่นี้ตายแน่ๆ คนไข้ต้องเสียเงินให้กับอะไรก็ไม่รู้ คนไข้บางคนกว่าจะมาถึงมือหมออาการก็แย่แล้ว เพราะเสียเวลาไปกับการกินอะไรก็ไม่รู้

ตอนนี้มีหลายหน่วยงานที่พยายามช่วยกันดูแลเรื่องนี้ ได้แก่ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย อย. กระทรวงดิจิทัลฯ กสทช., คณะเภสัชฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงเพจดังๆ ที่มีคนติดตามเยอะๆ อย่างเพจ Drama-addict ที่เข้ามาช่วยสื่อสาร และมีตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค มีผู้แทนจากแพทยสภา และตัวแทนกระทรวงสาธารณสุข รวมตัวกันเป็นเครือข่ายหลายๆ หน่วยงาน

อีกปัญหาหนึ่งที่ยังทำให้เจอผลิตภัณฑ์เหล่านี้อยู่ คือข้อกฎหมายที่ไม่แรงพอ และเราไม่ได้มีงบจ้างคนมานั่งเฝ้าหรือตรวจสอบเยอะขนาดนั้น ต่างจากฝั่งผู้ประกอบการที่จ้างตัวแทนทำการโปรโมทสินค้าตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน ปัญหาผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาอวดอ้างเกินจริงมีเยอะมาก ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องตา มีทั้งลดความอ้วน กินแล้วสวย กินแล้วปึ๋งปั๋ง ทุกๆ เรื่องมันลอยอยู่โซเชียลหมด ก็เลยทำให้ต้องใช้เวลาในการต่อสู้เยอะ มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทุกวัน เราเริ่มจัดระบบ แล้วก็พยายามจะทำหน้าที่ตรวจสอบให้เข้มข้นขึ้น ตั้งแต่ต้นตอการขอเลข อย. เพื่อกันไม่ให้คนทำผิดดิ้นไปไหนได้

อยากให้ช่วยเล่าการผนึกกำลังการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าดูแลเรื่องนี้อย่างไร

เครือข่ายต่างๆ ที่กล่าวมา เรามีกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ โดยที่ตอนนี้ทาง อย. กำลังเร่งวางระบบในเรื่องนี้ให้เข้มข้นอยู่ แต่ต้องเข้าใจว่างานก็น่าจะเยอะ แค่เคสไล่ปรับก็มีเป็นร้อยเป็นพัน ดังนั้นในแต่ละวันเราจะต้องช่วยกัน ถ้าสมาชิกหรือประชาชนคนไหนเห็นการโฆษณาที่เกินจริงก็ให้ร้องเรียนเข้ามา จากนั้นเราจะรวบรวมเรื่องราวเหล่านี้ให้ทาง อย.

พอรับเรื่องมา ทาง อย. ก็จะดูต่อ และทำตามขั้นตอนของเขา เช่น ตรวจสอบ จนพบว่ามีสารอันตรายในผลิตภัณฑ์จริง ก็จะส่งเรื่องต่อให้ทีมเภสัชและจักษุยืนยันว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นทำการโฆษณาอวดอ้างเกินจริง ไม่สามารถรักษาโรคได้ และส่งต่อเรื่องให้กระทรวงดิจิทัลดูแลต่อ อาจจะทำการปิดเว็บไซต์หรือแจ้งเตือนไปที่ผู้ประกอบการต่อไป รวมถึงขอความร่วมมือไปที่เพจต่างๆ ให้ช่วยเผยแพร่ความจริง นอกจากนั้นยังทำการประชาสัมพันธ์ โดยทำอินโฟกราฟิกช่วยให้ความกระจ่าง ไม่ให้ประชาชนหลงเชื่ออีก

จะมีวิธีการอย่างไรในการควบคุมโฆษณาอวดอ้างเกินจริงในโลกโซเชียล

โซเชียลมีเดียทำหน้าที่เหมือนดาบสองคม จริงๆ แล้วแอดมินเพจดังต่างๆ ถ้าเขาช่วยแชร์ความจริง ช่วยประชาสัมพันธ์จะดีมาก เพราะเท่ากับสร้างความปลอดภัยให้มากขึ้น แต่ยุคนี้มันถูกควบคุมด้วย AI สมมุติเรากำลังหาข้อมูลเรื่องตา ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับตาก็จะเด้งเข้ามาในฟีด ซึ่งตรงนี้อันตราย เพราะเราไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง

บางครั้งคนไข้ที่มีอาการทางตา เขาอยากรู้ว่าต้อหินที่เขาเป็นอยู่จะรักษาอย่างไร ถ้าผลิตภัณฑ์อวดอ้างเหล่านี้เข้าไปในหน้าฟีดของเขา นั่นหมายถึงความอันตรายมาถึงแล้ว กระทรวงดิจิทัลก็ต้องทำงานหนักเพื่อสู้กับ AI ซึ่งค่อนข้างควบคุมยาก แต่อีกแง่หนึ่ง โซเชียลมีเดียก็ช่วยขยายความเข้าใจให้ประชาชนรับรู้ข้อเท็จจริงไปด้วย

ผู้บริโภคจะมีส่วนร่วมอย่างไรเพื่อป้องกันตัวเองจากเรื่องนี้

เราพยายามออกหลายเวที ออกหลายสื่อ พยายามทำสื่อเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้องอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้สูงอายุได้มากแค่ไหน ต้องยอมรับว่ายังมีหลายคนที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในโรคต่างๆ เพราะบางทีคนไข้เชื่อเพื่อนบ้านง่ายกว่าเชื่อหมออีก โจทย์คือเราจะต้องเปลี่ยนความรู้ของคนไข้ให้เขาเข้าใจมากขึ้น

ล่าสุดจากประสบการณ์ที่เห็นจากการลงพื้นที่ไปตรวจ ยังพบว่าผู้ป่วยต้อกระจกที่ไม่ยอมไปผ่า มีจำนวนมาก ก็ต้องช่วยกันบอกว่าให้รีบไปผ่า ผ่าแล้วหาย อย่าไปเชื่อข้างบ้านมาก

นอกจากความกลัว อีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้คนไข้ไม่มารักษากับหมอ แต่เลือกไปเชื่อผลิตภัณฑ์พวกนี้ เพราะติดขัดในการเดินทาง ไม่มีญาติพามา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าโรงพยาบาลอยู่ไกลและกระจุกตัว

อยากฝากไว้ว่า เทศกาลสงกรานต์หรือปีใหม่ นอกจากกลับบ้านไปไหว้พ่อแม่แล้ว ลองเปลี่ยนเป็นพาพ่อแม่มาหาหมอ ตรวจตา ตรวจความดัน ดีกว่าไหม

เพราะโรคตาเหล่านี้ อาหารเสริมจากไหนก็ช่วยให้หายไม่ได้

7 เบาะแส ผลิตภัณฑ์สุขภาพหลอกลวง

โลกทุกวันนี้อยู่ยาก ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัย ไร้มาตรฐาน กำลังแพร่ระบาดไปทั่วสังคมไทย ผลิตภัณฑ์ทั้งหลายเหล่านี้แฝงอยู่ในสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องอุปโภคบริโภค และอยู่ในชีวิตประจำวันรอบตัวเรา ไม่ว่าจะมาในรูปของอาหาร ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง

ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อาจเป็นอันตรายในที่นี้ ได้แก่

  1. อาหาร นม กาแฟ อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารเสริม ฯลฯ
  2. ยา ยารักษาโรคชนิดต่างๆ ทั้งยาเม็ด ยาน้ำ ยาทา ยาฉีด ฯลฯ
  3. เครื่องสำอาง ครีม โลชั่น แป้งทาหน้า ลิปสติก น้ำหอม ผลิตภัณฑ์ย้อมผม เจลแต่งผม ฯลฯ
  4. เครื่องมือแพทย์ ถุงยางอนามัย เก้าอี้ไฟฟ้าสถิต คอนแทคเลนส์ เครื่องนวด ที่นอนแม่เหล็ก ฯลฯ
  5. วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือน อาทิ ผลิตภัณฑ์กำจัดแมลง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำ ฯลฯ
  6. วัตถุเสพติด มอร์ฟีน ฝิ่น ยานอนหลับ ยาลดความอ้วนบางชนิด ทินเนอร์ แลกเกอร์ ฯลฯ

จะเห็นว่าสถานการณ์ภัยสุขภาพกำลังลุกลามผ่านทุกช่องทางการสื่อสาร ทั้งโซเชียลมีเดีย สื่อวิทยุ โทรทัศน์ เกินกว่ากำลังเจ้าหน้าที่จะติดตามตรวจสอบได้ทั่วถึง ที่ผ่านมาแม้จะมีผู้แจ้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังมีผู้บริโภคอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องตกเป็นเหยื่อโฆษณาอวดอ้างเกินจริง บ้างสูญเสียทรัพย์สิน บ้างได้รับผลกระทบจากความเจ็บป่วย บ้างถึงขั้นเสียชีวิต

การส่งเสริมให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคได้ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของตนเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยับยั้งวงจรการแพร่ระบาดของผลิตภัณฑ์หลอกลวงเหล่านี้ได้

Infographic ชิ้นนี้เรียบเรียงข้อมูลจากส่วนหนึ่งของ คู่มือประชาชน ฉบับผู้บริโภคที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้จัดทำขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างปลอดภัยและรู้จักการปกป้องสิทธิ์ของตนเอง รวมถึงชี้ช่องทางการร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสเมื่อพบผลิตภัณฑ์ต้องสงสัย

สิทธิการตาย…วาระสุดท้ายที่เลือกได้

ปรากฎการณ์ ‘การุณยฆาต’ ของคนคนหนึ่งที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองโดยไม่รอพึ่งพาการรักษา เป็นหนึ่งในหัวข้อถกเถียงที่ท้าทายความคิดของสังคมไทยว่า คนเรามีสิทธิเลือกที่จะตายได้ไหม อะไรคือขอบเขตของการตัดสินใจ ที่สำคัญผู้คนส่วนใหญ่รับรู้และเข้าใจกระบวนการนี้แค่ไหนอย่างไร

เวทีเสวนาหัวข้อ ‘เร่งตาย VS เลือกตาย สิทธิในวาระสุดท้าย ใครกำหนด?’ ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา มีจุดประสงค์เพื่อหาคำตอบของกระบวนการสู่ความตายอย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่ขัดต่อศีลธรรม ด้วยการใช้สิทธิตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550

ก่อนจะหาข้อสรุปในเรื่องนี้ควรทำความเข้าใจให้ตรงกันในเบื้องต้นว่า ความหมายของการุณยฆาตแท้จริงแล้วก็คือกระบวนการ ‘เร่งตาย’ ตามความประสงค์ของบุคคลนั้นๆ ซึ่งแตกต่างจากวิธีการดูแลรักษาแบบประคับประคอง (Palliative care) ของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เลือกตัดสินใจยุติการรักษา เพื่อเผชิญความตายอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องทุกข์ทรมานจากการถูกยื้อชีวิต

ก่อนหน้านี้ผลสำรวจในเฟซบุ๊คแฟนเพจ Drama-addict มีผู้เข้าร่วมแสดงความเห็นกว่า 50,000 ราย พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยที่จะให้มีการการุณยฆาตได้ แต่ผลสำรวจนี้ก็สะท้อนถึงภาวะของความรู้ความเข้าใจที่ยังไม่รอบด้านเสียทีเดียว

นพ.วิทวัส ศิริประชัย หรือ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน แอดมินเพจ Drama-addict ให้ข้อสังเกตต่อผลสำรวจครั้งนี้ว่า ผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเรื่องการุณยฆาตส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักวิธีการดูแลรักษาแบบประคับประคอง ซึ่งเชื่อว่าหากมีการให้ข้อมูลแก่คนไทยอย่างทั่วถึงมากกว่านี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยระยะสุดท้ายมากขึ้น และอาจไม่จำเป็นต้องไปถึงขั้นการุณยฆาตก็ได้

“ไม่ว่าจะเป็นการุณยฆาต หรือ Palliative care เป้าหมายทั้งคู่ก็คือ การตายอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่การุณยฆาตจะเป็นการเร่งกระบวนการตาย ส่วน Palliative care เป็นการช่วยเหลือให้ผู้ป่วยเข้าสู่วาระสุดท้ายอย่างเป็นไปตามธรรมชาติและราบรื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย .แสวง บุญเฉลิมวิภาส คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะกรรมการที่ปรึกษาด้านสิทธิสุขภาพ สช. มองเรื่องนี้ว่า สิทธิการตายที่กฎหมายรับรองในระดับสากลได้แบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ หนึ่ง-ตายแบบธรรมชาติ สอง-ตายแบบเร่งรัด หรือขอตายก่อนเวลาอันควร เช่น กรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดต่อไปได้จึงร้องขอให้แพทย์ทำการุณยฆาต ซึ่งปัจจุบันมีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีกฎหมายรับรองให้สามารถกระทำได้

ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส

สำหรับประเทศไทย พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 ให้การรับรองการตายตามธรรมชาติ โดยผู้ป่วยที่ยังมีสติสัมปชัญญะสามารถทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตได้ กรณีนี้ถือเป็นการใช้สิทธิ ‘เลือกตาย’ อย่างสงบโดยปราศจากการเหนี่ยวรั้งด้วยเครื่องมือแพทย์ ซึ่งต่างจากการเร่งตายแบบการุณยฆาต

“แพทย์ที่ปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาของผู้ป่วยจะไม่ถือว่ามีความผิดใดๆ ส่วนการ ‘เร่งตาย’ ขณะนี้กฎหมายไทยยังไม่รองรับ การทำให้ตายเร็วขึ้นไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ที่ดีหรือไม่ก็ตาม ในแง่กฎหมายถือว่าผู้กระทำมีเจตนาฆ่าทั้งสิ้น”

จากประสบการณ์ตรงที่เคยสัมผัสในสหรัฐอเมริกา ศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผู้ป่วยในสหรัฐที่ขอการุณยฆาตมักจะเป็นผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงจนทนไม่ได้ รักษาไม่หาย ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก และมีความเครียดสูง

ศ.นพ.อิศรางค์ นุชประยูร

“ในสหรัฐหากผู้ป่วยตัดสินใจขอการุณยฆาตจะถือว่าผู้ป่วยได้เลือกแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องผ่านการประเมินทั้งจากทีมแพทย์ ทีมจิตแพทย์ ทีมจริยธรรม เพื่อให้แน่ใจว่าการร้องขอไม่ได้เป็นไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ และอาการป่วยก็ไม่มีแนวทางการรักษาอื่นแล้วจริงๆ” ศ.นพ.อิศรางค์ กล่าว

สำหรับการใช้สิทธิการตายตามธรรมชาตินั้น ในมุมมองของ ศ.นพ.อิศรางค์ กล่าวว่า หากแพทย์ปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาของผู้ป่วย ย่อมไม่ขัดแย้งต่อจรรยาบรรณแพทย์แน่นอน เพราะการใช้สิทธิตามมาตรา 12 จะเข้าข่ายการดูแลรักษาแบบประคับประคองที่ผ่านการพิจารณาแล้วว่าเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่รักษาไม่หายจริงๆ

 

การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายดูแลแบบประคับประคองการรักษาเพื่อยื้อชีวิต
สถานที่บ้านโรงพยาบาล
ความเป็นอยู่ใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัว และรับยาระงับอาการปวดใช้เครื่องมือแพทย์และสายระโยงระยาง
ค่าใช้จ่ายต่ำสูง
ผู้กำหนดวาระสุดท้ายตัวผู้ป่วยญาติและคนใกล้ชิด

 

อีกหนึ่งมุมมองจากนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ‘ดีเจพี่อ้อย’ นภาพร ไตรวิทย์อารีกุล ให้ความหมายของการ ‘ตายดี’ คือ การเลือกเผชิญวาระสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบและมีศักดิ์ศรี ในขณะที่ครอบครัวและญาติไม่รู้สึกผิดหวัง จึงเห็นด้วยกับแนวคิดในการดูแลแบบประคับประคอง เพราะเป็นทางเลือกที่ให้สิทธิผู้ป่วยตัดสินใจได้เอง อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่ไม่ทำร้ายจิตใจของทุกฝ่าย

“พี่อ้อยคิดว่าแนวทางนี้คือการไม่ยื้อและไม่รั้งชีวิต หากแต่เป็นการดูแลรักษาและร่วมกันประคับประคองผู้ป่วยโดยที่ต่างฝ่ายต่างมองเห็นหัวใจของกันและกัน” ดีเจพี่อ้อยกล่าว

นภาพร ไตรวิทย์อารีกุล

ดีเจพี่อ้อยเล่าจากประสบการณ์ด้วยว่า ในช่วงเวลาสำคัญที่ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวผู้ป่วยมักจะมองว่าตัวเองไม่ต้องการความเจ็บปวดและเป็นภาระใคร ขณะที่ญาติมักต้องการรั้งชีวิตออกไปให้นานที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกผิด แต่หลักคิดสำคัญในเรื่องนี้คือ การเปิดใจรับฟังกัน สื่อสารต่อกันด้วยความรัก และเคารพการตัดสินใจของกันและกัน

“เคยมีคนโทรเข้ามาและเล่าว่าแม่ตัวเองประสบอุบัติเหตุ คำปลอบใจที่ว่า สู้ๆ นะ หรือบอกให้เขาเข้มแข็ง คงไม่สามารถจะทำให้เขาหายเจ็บปวด ในเวลานั้นเราก็ต้องให้เขาระบายออกมา ให้เขาได้ร้องไห้ ใช้เวลาเพื่อยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นให้ได้ ทุกข์ก็ต้องยอมรับให้ได้ เพราะเราคงแก้ไขให้เขาฟื้นมาไม่ได้แล้ว” ดีเจพี่อ้อยกล่าว

ความตายคือเรื่องใกล้ตัวและเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่การุณยฆาตก็ไม่ใช่ทางออกสุดท้ายเสมอไป ทางเลือกที่สังคมไทยมีอยู่ ณ ขณะนี้คือ สิทธิการตายตามมาตรา 12 และการดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยและคนใกล้ชิดมองเห็นหนทางสู่การตายดีอย่างมีคุณภาพที่แท้จริง

ภาพ: กลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

 

สกัดบทเรียน “กัญชา” ก้าวไปด้วยปัญญา

ในยุคที่ กัญชา กำลังมาแรง มาสำรวจกันดูว่า 4 ประเทศที่ก้าวไปก่อนเรา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เยอรมัน และ อิสราเอล เขามีมีนโยบายเรื่องนี้อย่างไร และสอดคล้องกับของไทยเราหรือไม่

  • ปัจจุบัน แคนาดา, เยอรมัน อิสราเอล และอีกกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐในสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ใช้กัญชาเป็นพืชสมุนไพร (raw herbal cannabis)
  • ทุกประเทศอนุญาตให้ใช้สารสกัดแคนนาบินอยด์ได้เป็นบางชนิด และมีการจำกัดข้อบ่งใช้ในบางประเทศ
  • ระบบการสั่งจ่ายยากัญชาทางการแพทย์ ทั้งไทยและ 4 ประเทศ คล้ายคลึงกัน คือ จ่ายยาผ่านแพทย์แผนปัจจุบัน มีการลงทะเบียนผู้ป่วยกับ “Cannabis agency” ซึ่งหน่วยงานกลางของรัฐที่ดูแลกัญชาโดยเฉพาะ

ข้อเสนอสำหรับประเทศไทย

  1. รัฐบาลจัดตั้งหน่วยงานกลางเรื่องกัญชาทางการแพทย์ โดยครอบคลุมทั้งระบบตลอดห่วงโซ่อุปทาน
  2. กระทรวงสาธารณสุขมีระบบการรักษาเรื่องกัญชาทางการแพทย์ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย อนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ในรูปแบบสมุนไพร และรูปแบบสารสกัด โดยมีระบบการสั่งจ่ายยาทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนไทย
  3. ผู้ป่วยมีสิทธิสามารถมีสิทธิในการรักษาโรคเพื่อการเข้าถึงกัญชา

ที่มา รายงานวิจัย “นโยบายกัญชา:การวิเคราะห์เปรียบเทียบไทย, สหรัฐฯ, แคนาดา, เยอรมัน และอิสราเอล” โดย ภญ.วีรญา ถาอุปชิต โครงการจัดการความรู้ด้านคุ้มครองผู้บริโภค นคบส.รุ่นที่ 5 เผยแพร่เมื่อ มกราคม 2562

ดาวน์โหลดเอกสารที่ สานพลัง ปีที่ 14 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2561

ชีวิตติดแอร์ การนั่งในห้องเย็นฉ่ำทั้งวันดีจริงหรือ

เราใช้แอร์กันทุกวัน ข้อมูลจากสหรัฐระบุว่าทั้งในออฟฟิศและที่พักอาศัย 90 เปอร์เซ็นต์ของประเทศมีเครื่องปรับอากาศเปิดเย็นฉ่ำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนี้เองที่กินไฟฟ้าราว 10 เปอร์เซ็นต์ของการบริโภคไฟฟ้าทั้งโลก

แน่นอนว่าเป็นไปได้ยากสำหรับเมืองร้อนอย่างบ้านเรา ที่อากาศทั้งอบอ้าวและสำนักงานอยู่ในอาคารสูง แต่จากการศึกษาใน International Journal of Epidemiology บอกว่า ผู้ที่ทำงานอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานานๆ มักจะป่วยไข้หรือมีปัญหาสุขภาพมากกว่าคนที่ทำงานในห้องโล่งโปร่งรับลมธรรมชาติ

“รายงานชิ้นนี้พบว่าการอยู่ในออฟฟิศกับเครื่องปรับอากาศมีแนวโน้มเกิดอาการ sick building syndrome (SBS) มากกว่าอยู่ในออฟฟิศที่มีอากาศถ่ายเทตามธรรมชาติ” คือคำพูดของ วิลเลียม ฟิสค์ (William Fisk) หัวหน้าทีมสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร จาก Lawrence Berkeley National Laboratory “อาการ SBS นี้จะแสดงออกทางตา จมูก หรือการระคายคอ และอาการเกี่ยวกับระบบหายใจอื่นๆ เช่น ไอ”

ฟิสค์บอกว่า อาการนี้ “อาจจะขึ้นอยู่กับความชื้นของเครื่องปรับอากาศ ที่ทำให้ผู้คนสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียเพิ่มขึ้น โรคภูมิแพ้ และอาการระคายเคือง”

“ระบบเครื่องปรับอากาศไวต่อการสะสมเชื้อโรคและภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น” วาซิม ลาบากี (Wasim Labaki) ศาสตราจารย์ด้านอายุรศาสตร์และโรคปอด จากวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทย์มิชิแกน (Michigan Medicine University of Michigan) บอก

“อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาระบบเหล่านี้ให้เหมาะสม รวมถึงการเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศ ก็จำเป็นสำหรับการป้องกันการหมุนเวียนของอากาศที่ไม่ดีต่อสุขภาพ”

ข้อดีกับร่างกายของเครื่องปรับอากาศและห้องที่เป็นระบบปิดก็มีเหมือนกัน งานศึกษาของมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) แอร์ช่วยลดความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยและการเสียชีวิตเนื่องจากโรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ

“แอร์ถูกคาดหวังว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของ heat stroke และความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเนื่องจากคลื่นความร้อน ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติในสภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง” ฟิสค์กล่าว

และสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ การเปิดแอร์แทนที่จะเปิดหน้าต่างรับอากาศภายนอก จะป้องกันอนุภาคต่างๆ ลดอาการแพ้ลงได้ “แอร์ยังทำให้หน้าต่างถูกปิด และแอร์มีระบบกรองอากาศที่สามารถกรองอนุภาคเล็กๆ ออกจากอากาศที่ไหลผ่าน มลภาวะจากภายนอก เช่น อนุภาค และเชื้อภูมิแพ้ต่างๆ จะถูกทำให้ลดลง”

มาร์ค อาโรนิกา (Mark Aronica) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันและโรคภูมิแพ้ จาก Cleveland Clinic สนับสนุนว่า “สำหรับคนไข้ภูมิแพ้หรือมีอาการแฝงของโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น หลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) หรือ ถุงลมโป่งพอง การอยู่ในตัวอาคาร เปิดเครื่องปรับอากาศและปิดหน้าต่าง จะช่วยลดการสัมผัสละอองและมลภาวะต่างๆ ได้”

นอกจากทางกาย อุณหภูมิในห้องแอร์ยังมีผลด้านจิตวิทยา ประสิทธิภาพการทำงานจะอยู่ในระดับสูงนานขึ้นเมื่ออยู่ในห้องที่มีในอุณหภูมิสบายๆ ไม่ใช่ร้อนเหงื่อแตกหรือหนาวจนขนลุก

“ส่วนสำคัญของงานวิจัยชี้ว่าประสิทธิภาพของการทำงานในออฟฟิศจะสูงที่สุดเมื่ออุณหภูมิถูกรักษาไว้ที่ประมาณ 21.6 องศาเซลเซียส หรือบวกลบไม่เกิน 1 หรือ 2 องศา”

อีกด้านหนึ่ง มองในมุมประหยัดพลังงาน หากคิดว่าแอร์ช่วยทำให้บิลค่าไฟมีตัวเลขน่าปวดหัว วิธีทำให้ห้องเย็นโดยไม่ต้องเลือกแอร์เป็นชอยส์แรกก็มีไม่น้อย เช่น การใช้วัสดุกันความร้อนบนหลังคา ผนัง ป้องกั้นแสงแดด มีช่องเปิดที่เหมาะสม แม้แต่การเปิดพัดลมแทน ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ตลอดเวลา

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
huffpost.com

 

เสพติดซีรีส์ ระวัง! Computer Vision Syndrome

อาการเสพติดซีรีส์เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัยในยุคดิจิตอล และสิ่งที่ตามมาคือโรค Computer Vision Syndrome จากการจ้องหน้าจอเป็นเวลานานเกินควร

ไม่เฉพาะแฟนคลับซีรีส์เท่านั้นที่เสี่ยงต่อโรคตา กับคนวัยทำงานที่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวัน หรือเด็กวัยเรียนที่ใช้สมาร์ทโฟนมากจนเกินพอดี ก็เสี่ยงที่จะทำให้ดวงตาเสื่อมได้ง่ายๆ
จะดีกว่าไหม หากรู้จักใช้เทคโนโลยีเพื่อความบันเทิงอย่างพอเหมาะพอควร เพื่อถนอมดวงตาให้อยู่กับเราไปนานๆ

ฟังคำแนะนำจาก รศ.นพ.อนุชิต ปุญญทลังค์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ว่าเราควรอยู่อย่างไรในยุคดิจิตอล

เมื่อ ‘ที่ว่าง’ บนเครื่องบินมีราคา ที่นั่งของเราก็แคบลง…แคบลง

การหั่นราคาอย่างดุเดือดระหว่างสายการบินต้นทุนต่ำ (low-cost airline) ทำให้ผู้คนเข้าถึงการเดินทางด้วยเครื่องบินได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน สายการบินทั่วโลกเปลี่ยนมาลดค่าธรรมเนียมตั๋ว แล้วหันมาคิดเงินเพิ่มจากสินค้าและบริการเล็กๆ น้อยๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยให้บริการฟรี

หนึ่งในสินค้าที่สายการบินเหล่านี้เสนอขายก็คือ ‘ที่ว่าง’

ในขณะที่สายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติมาเลเซียอย่าง Air Asia แก้ปัญหาคนล้นเครื่องด้วยการซื้อเครื่องบินใหม่ที่ลำใหญ่ขึ้น สายการบินอื่น เช่น Cathay Pacific ที่เคยขึ้นชื่อด้านอำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร ก็ตัดสินใจเพิ่มที่นั่งบนเครื่องบิน ด้วยการขยับที่นั่งผู้โดยสารชั้นประหยัดให้เลื่อนเข้ามาชิดกันประมาณ 1 นิ้ว

การลดพื้นที่วางขา (legroom) กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของสายการบินต้นทุนต่ำเพื่อกวาดผู้โดยสารต่อเที่ยวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

แม้เสียงตอบรับจากผู้โดยสารและนักวิจารณ์จะไม่น่าปลื้มนัก แต่การเพิ่มยอดผู้โดยสารด้วยวิธีนี้ก็ช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมการบินเชิงพาณิชย์ในสหรัฐได้ โดยเฉพาะสายการบินต้นทุนต่ำที่มีกลุ่มผู้โดยสารหลักเป็นชนชั้นกลาง ให้ความสำคัญกับราคาตั๋วมากกว่าความสะดวกสบายระหว่างบิน ตรงกับที่ ไมค์ ซุกส์ (Mike Szucs) ที่ปรึกษาผู้บริหารสูงสุดของ Cebu Pacific ประกาศในอีเมลว่า “เราคำนึงถึงความสะดวกสบายและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าเป็นอันดับแรก แต่สิ่งที่ลูกค้ามักคำนึงถึงคือราคาค่าโดยสาร”

ราคาตั๋วเครื่องบินจากเซี่ยงไฮ้ไปมะนิลาของ Cebu Pacific ราคาเพียง 100 ดอลลาร์ หรือราวๆ 3,000 บาท แต่ยังไม่รวมราคาที่มองไม่เห็น เช่น การนั่งเบียดบนที่นั่งขนาดกว้าง 16 นิ้วครึ่ง หรือเล็กกว่าความกว้างของฝ่ามือมนุษย์สองข้างเมื่อกางเต็มที่ และสูง 18 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ผู้ผลิตอย่าง Airbus แอร์บัส อ้างว่า “นั่งได้สบายๆ”

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Cebu Pacific ยังออกมาประกาศอีกว่าได้ซื้อเครื่องบิน Airbus A330neo ลำใหม่ ที่ห้องครัวและห้องน้ำจะถูกปรับตำแหน่งเพื่อเพิ่มยอดที่นั่งผู้โดยสารให้แตะ 460 ที่นั่ง แม้ว่าเครื่องบินลำนี้ปกติจุเพียง 260-300 ที่นั่ง และจุได้สูงสุดชนิดแน่นเอี้ยดเพียง 440 ที่นั่งเท่านั้น โดย Cebu Pacific วางแผนจะจัดที่นั่งตามนี้ทันทีที่ผังการแบ่งระหว่างเคบินชั้นหนึ่ง ชั้นธุรกิจ และชั้นประหยัดผ่านการพิจารณา

ทั้งนี้ องค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อผู้โดยสารเครื่องบิน Flyers Rights ระบุว่า ในสมัยต้นยุคปี 2000 ระยะห่างระหว่างที่นั่ง (pitch) ของผู้โดยสารชั้นประหยัดมักกว้าง 34-35 นิ้ว และปรับลดลงมาเรื่อยๆ จนถึง 30-31 นิ้วในปัจจุบัน หรือ 28 นิ้วสำหรับเที่ยวบินระยะสั้น เบาะนั่งเองก็ปรับขนาดเล็กลงจากเดิม 18 นิ้ว อยู่ที่เฉลี่ย 17 นิ้วต่อที่นั่ง

อย่างไรก็ตาม เจเน็ต เบดนาเร็ก (Janet Bednarek) นักประวัติศาสตร์การบินจากมหาวิทยาลัยเดย์ตัน (University of Dayton) รัฐโอไฮโอ กล่าวว่า การลดขนาดเบาะนั่งไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของชาวเอเชียที่ ‘รูปร่างเล็ก’ กว่าชาวยุโรปสหรัฐ

“คนจำนวนมากเต็มใจสละความสบายแลกกับราคาที่ถูกลง” เบดนาเร็กกล่าว

ที่นั่งกึ่งยืน SkyRider 3.0
ที่นั่งกึ่งยืน SkyRider 3.0

แนวคิดการลดพื้นที่พักขาและขนาดเบาะแลกกับค่าโดยสารที่ถูกลงยังคงมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ เมื่อเดือนเมษายน งานจัดแสดงผลิตภัณฑ์ตกแต่งภายในเครื่องบินที่เมืองฮัมบูร์ก เยอรมนี ได้เปิดตัว ‘ที่นั่งกึ่งยืน’ รุ่น SkyRider 3.0 ออกแบบโดย Aviointeriors บริษัทสัญชาติอิตาเลียน ซึ่งผู้โดยสารจะต้องนั่งลงบนเก้าอี้ที่ค่อนข้างชันในท่าคล้ายกำลังขี่ม้า ระยะห่างระหว่างที่นั่งแต่ละแถวถูกลดเหลือเพียง 23 นิ้ว ซึ่งจะช่วยให้สายการบินสามารถเพิ่มผู้โดยสารต่อเที่ยวได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในระดับการบริการที่ผู้โดยสารแต่ละคนยังสามารถ ‘นั่งได้อย่างสะดวกสบายพอสมควร’

และถึงแม้ว่าจะยังไม่มีใครเอาด้วยกับไอเดีย ‘ที่นั่งกึ่งยืน’ ก็ยังน่าติดตามอยู่ดีว่าสุดท้ายการต่อรองระหว่างราคากับความสะดวกสบายของผู้โดยสารในตลาดการบิน จะปิดดีลที่ ‘ที่ว่าง’ ขนาดกี่นิ้ว

 

 

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
bloomberg.com
airbus.com
independent.co.uk
airasia.com
content.nokair.com
lionairthai.com
seatguru.com

 

ขาดผักขาดผลไม้ ร่างกายเหมือนใจจะขาด

ผักและผลไม้คือสิ่งจำเป็น สารอาหารในผักและผลไม้อยู่ในรายการอาหารหลักห้าหมู่ ไม่ว่ายุคสมัยไหน ก็ยังมีคนไม่น้อยไม่ชอบกินผลไม้ ผักเขียวยิ่งแล้วใหญ่ เด็กบางคนถึงขั้นเบือนหน้าหนีน้ำตาซึม

นิสัยไม่ชอบกินผักและผลไม้อาจติดมาจนโตเป็นผู้ใหญ่ และหากคนเราบริโภคผักและผลไม้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นจะเกิดอะไรขึ้น

ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่การไม่กินผักผลไม้เป็นประจำทำให้สุขภาพไม่แข็งแรง แต่งานวิจัยล่าสุดที่จะนำเสนอในการประชุม Nutrition 2019 ประจำปีของ American Society for Nutrition ระบุลงไปชัดกว่านั้นว่า คนจำนวน 2.8 ล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง ทั้งหมดนี้มีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงพฤติกรรมการกินที่ไม่สมดุล – ใช่ กินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ

ย้อนดูข้อมูลในปี 2010 มีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ 1.8 ล้านคนเพราะกินผลไม้น้อยเกินไป ขณะที่อีก 1 ล้านคนเสียชีวิตจากสาเหตุเดียวกันเพราะกินผักไม่เพียงพอ

“ผลไม้และผักเป็นส่วนประกอบของมื้ออาหารที่ส่งผลป้องกันการเสียชีวิตในคนทั่วโลก” วิคตอเรีย มิลเลอร์ (Victoria Miller) หัวหน้าทีมวิจัยด้านโภชนาการจากสถาบันวิทยาศาสตร์โภชนาการฟรีดแมน (Friedman School of Nutrition Science and Policy) มหาวิทยาลัยทัฟต์ส (Tufts University) กล่าว

ทีมวิจัยใช้ข้อมูลจากปี 2010 เป็นพื้นฐานในการทำงาน ผลที่ออกมาคือ

  • คนไม่ชอบกินผลไม้ 1.3 ล้านคนเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง และ 520,000 จากโรคหัวใจ
  • คนไม่ชอบกินผัก 200,000 คนเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง และ 800,000 คนจากโรคหัวใจ

สำหรับงานวิจัย ทีมใช้คู่มือแนวทางโภชนาการและงานศึกษาความเสี่ยงต่อโรคหัวใจซึ่งเกี่ยวข้องกับการบริโภค พบว่า

  • ปริมาณที่เหมาะสมของการบริโภคผลไม้คือ 300 กรัมต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณแอปเปิลลูกเล็ก 2 ผล
  • ปริมาณที่เหมาะสมของการบริโภคผักและพืชตระกูลถั่วคือ 400 กรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับแครอทประมาณ 3 ถ้วย

ตัวเลขอ้างอิงนี้มาจาก 113 ประเทศ หรือ 82 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โดยประเทศแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และซับซาฮารา มีอัตราการบริโภคผลไม้ต่ำ มักป่วยด้วยโรคเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดสมอง ประเทศในเอเชียกลางและโอเชียเนียบริโภคผักน้อย ทำให้มีอัตราการป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่า

แผนที่ด้านล่างแสดงให้เห็นเปอร์เซ็นต์ของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด cardiovascular deaths (CVD) อ้างอิงจากภาวะการบริโภคผักและผลไม้ไม่เพียงพอในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

แผนที่แสดงการบริโภคผลไม้ไม่เพียงพอในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
แผนที่แสดงการบริโภคผักไม่เพียงพอในประเทศต่างๆ ทั่วโลก

“การให้ความสำคัญกับสารอาหารทั่วโลกทุกวันนี้โดยปกติแล้วจะดูที่แคลอรี อาหารเสริมวิตามิน และการลดวัตถุปรุงแต่งเช่นน้ำตาลและเกลือ” แดเรียช โมซาฟฟาเรียน (Dariush Mozaffarian) คณบดีของสถาบันวิทยาศาสตร์โภชนาการฟรีดแมน หนึ่งในผู้ทำงานวิจัยกล่าว

“การค้นพบครั้งนี้ทำให้เห็นว่าความต้องการที่ต้องไปโฟกัสเรื่องการเพิ่มจำนวนให้เข้าถึงได้และการบริโภคการเข้าถึงอาหารป้องกันเช่นผลไม้ ผัก และพืชตะกูลถั่ว เรื่องนี้มาพร้อมกับความเป็นไปได้ที่จะทำให้สุขภาพโลก (global health) ดีขึ้น”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
treehugger.com