Esketamine: ยาต้านเศร้าหน้าใหม่ในขวดสเปรย์พ่นจมูก

นอกจากยาต้านเศร้าแบบกินแล้ว องค์การอาหารและยาสหรัฐ (The Food and Drug Administration: FDA) เพิ่งรับรองตัวยา Esketamine ยาต้านเศร้าแบบใหม่ใส่ขวดเป็นสเปรย์พ่นจมูกสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชนิดรักษายากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นๆ

ปี 2017 อเมริกามีคนพยายามฆ่าตัวตาย 1.4 ล้านคน และมี 47,173 คนที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสำเร็จ ข่าวการรับรองตัวยานี้ทำให้ทั้งจิตแพทย์และผู้ป่วยทั่วอเมริกาเริ่มมีหวังกันมากขึ้น เพราะวิธีรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถเยียวยาผู้ป่วยซึมเศร้าชนิดรักษายากกว่า 5 ล้านคนในอเมริกา ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความเสี่ยงของผลกระทบร้ายแรง และ ‘ความเป็นไปได้ในการนำยาไปใช้ในทางที่ผิด’ FDA จึงประกาศว่าต้องควบคุมการใช้ยาอย่างเข้มงวด

เจฟฟรีย์ ลีเบอร์แมน (Jeffrey Lieberman) จิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) สำทับว่า นี่เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ แต่ก็ย้ำว่ายังไม่รู้ข้อมูลของผลในระยะยาวเกี่ยวกับยาตัวนี้มากนัก “แพทย์จึงต้องใช้ยาอย่างรอบคอบและระมัดระวังที่สุด”

Esketamine

โปรดอ่านคำเตือนบนฉลากทุกครั้ง

หนึ่งในข้อได้เปรียบสำคัญของสเปรย์พ่นจมูกคือช่วงเวลาออกฤทธิ์เร็วกว่ายากิน ช่วยหยุดความคิดฆ่าตัวตายได้เร็วขึ้น ขณะที่ยาแบบดั้งเดิมมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันและอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะเริ่มออกฤทธิ์

แต่ใช่ว่ายาตัวนี้จะใช้ได้ทั่วไป จากเงื่อนไขการอนุมัติของ FDA ระบุว่า Esketamine ต้องได้รับการควบคุมดูแลภายใต้มุมมองทางการแพทย์ สามารถใช้ได้แค่ในสำนักงานแพทย์หรือคลินิกที่ได้รับการรับรองเท่านั้นและต้องใช้ร่วมกับยาต้านเศร้าชนิดกินด้วย

ตัวยา Esketamine ที่เพิ่งได้รับอนุมัติภายใต้ชื่อฉลาก Spravato เป็นของ Janssen Pharmaceuticals ในเครือของบริษัท Johnson & Johnson มีคำเตือนอยู่ในกรอบสีดำ ซึ่งเป็นคำเตือนด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุดจาก FDA โดยเตือนว่าอาจมีผลต่อการกดประสาท มีปัญหาด้านสมาธิ และอาจส่งผลต่อความคิดทำร้ายหรือฆ่าตัวตายได้

ทิฟฟานี ฟาร์คิโอเน (Tiffany Farchione) จากศูนย์วิจัยและพัฒนายาของ FDA บอกว่า “สามารถใช้ยาผ่านระบบการกระจายยาอย่างจำกัด ต้องได้รับการดูแลในสถานที่ที่ผ่านการรับรอง และผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพสามารถตรวจสอบผู้ป่วยได้”

ผู้รับยาต้องได้รับการตรวจสอบอย่างน้อยสองชั่วโมงหลังใช้สเปรย์แต่ละครั้ง คนทั่วไปจะนำสเปรย์กลับบ้านเองไม่ได้ และต้องลงชื่อยืนยันว่าจะไม่ขับรถหรือใช้เครื่องจักรกลหนักเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหลังรับยา

แต่ความกังวลต่อยาตัวนี้ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะความซับซ้อนยิ่งกว่าคือมันมีส่วนประกอบของ ยาเค หรือ เคตามีน (Ketamine) ยาเสพติดยอดนิยมช่วงปี 1990-2000 ในชื่อ Special K

ลี ฮอฟเฟอร์ (Lee Hoffer) นักมานุษยวิทยาการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเคสเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ (Case Western Reserve University) ที่ศึกษาการเสพติดและการใช้ยาผิดกฎหมาย บอกว่า เคตามีนทำให้เกิดอาการประสาทหลอน มีทัศนวิสัยที่แคบลงเรื่อยๆ ส่งผลต่อบุคลิกแตกแยก ทำให้ผู้เสพไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัว

ถึงอย่างนั้น ฮอฟเฟอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะที่ปรึกษาของ FDA ก็บอกว่า ไม่กังวลเท่าไหร่ เพราะมาตรการความปลอดภัยในการใช้ยา ต่างจากใบสั่งยาที่สามารถนำกลับบ้านและอาจถูกนำไปใช้ผิดๆ ได้

“มีความเสี่ยงที่เกี่ยวโยงกับตัวยา แต่ผมคิดว่าประโยชน์ที่จะได้รับมีน้ำหนักมากกว่า”

Esketamine

การทดสอบตัวยาและราคาที่ต้องจ่าย

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 คณะที่ปรึกษา FDA ลงคะแนนเสียง 14 ต่อ 2 เพื่อแนะนำให้รับรองยาตัวนี้ แม้ว่าหลักฐานบ่งชี้จะยังไม่แน่ชัดเท่ากับยาต้านเศร้าตัวอื่นๆ

ยาต้านเศร้าทั่วไปจะได้รับอนุมัติบนฐานของการทดลองในระยะสั้นที่ได้ผลเป็นบวกสองครั้ง แต่มีการทดลองใช้เพียงแค่ครั้งเดียวสำหรับ Esketamine

สเปรย์ต้านเศร้าตัวนี้ได้รับการประเมินจากการทดลองแบบสุ่มระยะสั้นสามครั้งเป็นเวลาสี่สัปดาห์ และทดลองในระยะที่ยาวกว่าหนึ่งครั้ง โดยวัตถุประสงค์ของการทดลองระยะยาวคือทดสอบ ‘การคงอยู่ของผลที่เกิดขึ้น’ เท่านั้น

การทดลองระยะยาวครั้งที่สองถูกถอดออกจากการศึกษา และ FDA ชี้แจงว่า มิติด้านจิตเวชของผลิตภัณฑ์ไม่เคยถูกนำมาพิจารณาในการศึกษาในฐานะหลักฐานปฐมภูมิเพื่อขอรับรองตัวยา

คิม วิทแช็ค (Kim Witczak) ตัวแทนผู้บริโภคในคณะที่ปรึกษาผู้ลงคะแนนค้านการรับรองได้เขียนไว้ที่ madinamerica.com ซึ่งเป็นบล็อกของเธอ ถึงความกังวลต่อการชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงด้านความปลอดภัยกับ “ผลการทดสอบอย่างจำกัดที่ออกมาในเชิงบวกอย่างมาก”

“ความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของฉันอยู่ดี และฉันไม่รู้สึกว่าผู้ผลิตจะคิดแบบเดียวกัน เพราะดูเหมือนเขาจะเร่งให้สเปรย์พ่นจมูก Esketamine ออกตลาดเร็วๆ”

ราคายาตัวนี้จะอยู่ที่ 590-885 ดอลลาร์ต่อระยะเวลาการรักษาขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับซึ่งจะแตกต่างกันระหว่างผู้ป่วย ในช่วงเดือนแรกของการบำบัด ราคาอาจขึ้นไปถึง 4,720-6,785 ดอลลาร์ หลังจากเดือนแรก การคงสภาพการรักษาอาจทำให้ราคาอยู่ที่ 2,360-3,540 ดอลลาร์

เดวิด ฮัฟ (David Hough) หัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนา Esketamine ของ Janssen กล่าวว่า ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาสัปดาห์ละสองครั้งภายในหนึ่งเดือน ร่วมกับการรักษาด้วยยาชนิดกิน

“ส่วนระยะเวลาที่ผู้ป่วยต้องใช้ยา ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่รักษาและตัวผู้ป่วยเอง”

อ้างอิงข้อมูลจาก:
sciencealert.com
medicalnewstoday.com

ความจริงขมๆ ในผักหวานๆ

สังคมไทยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร จุดที่การกินผักและผลไม้เพื่อสุขภาพอาจทำร้ายสุขภาพ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-Pan ทำการสุ่มตรวจสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างในผักและผลไม้ ประจำปี 2562 ไม่ว่าจะกวางตุ้ง คะน้า กะเพรา พริก กะหล่ำ ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง องุ่น มะละกอ ล้วนแล้วแต่มีสารเคมีตกค้าง สารพิษตกค้างในผักและผลไม้เหล่านี้เป็นสารดูดซึม (Systemic) ซึ่งล้างไม่ออก

ไม่ว่าจะพลิกแพลงเมนูเพื่อกระจายความหลากหลายให้อาหารแต่ละมื้อ กะเพราหมูสับ คะน้าหมูกรอบ แกงผักกาดแบบทางเหนือ จับฉ่ายใส่สารพัดผัก น้ำพริกกะปิกับผักลวกเยอะๆ ก็หนีไม่พ้นสารพิษตกค้าง นอกจากวิมินและเกลือแร่ที่ได้จากผักและผลไม้ เรายังอาจได้ Carbendazim, Methamidophos, Carbofuran, Methomyl และสารอื่นๆ อีกกว่า 150 ชนิด

ไม่ว่าจะซื้อจากตลาดที่ขอนแก่น เชียงใหม่ ยโสธร โลตัส บิ๊กซี ท็อป แมคโค ก็ล้วนแต่มีสารพิษตกค้างในผักและผลไม้

เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และเราจะไปออกไปจากจุดนี้ได้อย่างไร

 

 

เข้าใจวัยรุ่น เข้าใจโรคซึมเศร้า

แรปเปอร์กับจิตแพทย์ ดูเหมือนจะอยู่ในโลกคนละใบ แต่สิ่งที่ทั้งคู่กำลังพูดถึงคือเรื่องเดียวกัน โรคเดียวกัน -​ ซึมเศร้า

’36 MAN’ แรปเปอร์หนุ่มจากเชียงใหม่ แต่งเพลงที่ชื่อ SOS จากประสบการณ์ตรงที่น้องสาวของเขาต้องเผชิญกับภาวะของโรคนี้

อีกคนคือ ‘นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์’ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กลั่นความรู้ทางวิชาการในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า เพื่อจะบอกว่าบนโลกใบนี้ยังมีใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังพวกเขาอยู่

และเหตุการณ์ฆ่าตัวตายต่อเนื่อง ไม่ควรเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ติดตามฟังผลงานเพลงของ ’36 MAN’ ทั้ง 2 บทเพลงที่ว่าด้วยโรคซึมเศร้าและการให้กำลังใจผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้ที่นี่

 

ทิศทางการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค : พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค

 

สไลด์นำเสนอ เรื่อง “ทิศทางการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค : พระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค”

โดย  รศ.ภก.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์  ผู้อำนวยการสำนักงานแผนงานสนับสนุนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งชาติระดับโลก ภายใต้กองทุนศตวรรษที่ 2 (C2F) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในการประชุมสมัชชาผู้บริโภคสากล ประจำปี  2562 “Better Digital World” วันที่ 14  มีนาคม 2562 ณ ห้องประชุม Hydrangea 2-3 ชั้น 6 อาคารแกรนด์ คอนเวนชั่น โรงแรมที เค  พาเลซ กรุงเทพมหานคร

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

  1. มพบ. จัดเสวนา “ทิศทางการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค” แนะหน่วยงานและองค์กรผู้บริโภค เตรียมพร้อมสำหรับการจัดตั้งสภาองค์กรฯ
  2. บันทึกประชุมสมัชชาผู้บริโภคสากล ประจำปี  2562

อาหารออร์แกนิคลดสารพิษในร่างกายได้หรือไม่

ตอนที่ อันเดรนา เฟเบรส์ (Andreina Febres) แม่ลูกสองจากโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ลงชื่อเข้าร่วมในงานวิจัยเรื่องอาหารออร์แกนิคกับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในร่างกาย เธอไม่รู้ว่าทีมนักวิจัยจะมองหาอะไรจากสมาชิก 16 คนของสี่ครอบครัวจากโอ๊คแลนด์ มินนีแอโพลิส บัลติมอร์ และแอตแลนตา – แต่เธอก็เข้าร่วมเพราะอยากรู้ เช่นเดียวกับอีกสามครอบครัว

ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ (University of California, Berkeley) และองค์กร Friends of the Earth ได้ติดตามระดับสารเคมีในสมาชิกทั้งสี่ครอบครัวนานสองสัปดาห์ สัปดาห์แรก ครอบครัวเหล่านี้กินอาหารทั่วไปที่ไม่ใช่อาหารออร์แกนิค สัปดาห์ต่อมา ทีมได้ให้พวกเขากินอาหารออร์แกนิคเต็มรูปแบบ

หลังจากวิเคราะห์ตัวอย่างปัสสาวะก็พบสารเคมีถึง 40 ชนิด แต่สารเคมีเหล่านั้นลดลงโดยรวม 60.5 เปอร์เซ็นต์ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่หลังกินอาหารออร์แกนิคติดกันหกวัน

แม้จะมีหลายเสียงี่แย้งว่าการทดสอบนี้ยังตัดสินไม่ได้ แม้จะถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Environmental Research แต่รายงานผลวิจัยนี้ยังอยู่ในช่วงที่เพิ่งผ่านขั้นตอนการทบทวนจากผู้เชี่ยวชาญ (peer-reviewed) ขณะที่เฟเบรส์บอกว่า ดีใจที่เห็นปริมาณสารเคมีลดลงเร็วมากหลังผ่านไปแค่สัปดาห์เดียว

“ฉันอยากเอาสารเคมีพวกนี้ออกไปจะแย่ ทั้งจากร่างกายของฉันและของคนในครอบครัวด้วย”

สารเคมีหน้าใหม่ ปัญหาหน้าเดิม

ทีมนักวิจัยบอกว่า การศึกษานี้เน้นให้ข้อมูลสำคัญต่อผู้บริโภคที่กังวลเรื่องการสัมผัสสารกำจัดศัตรูพืชหลายร้อยล้านปอนด์ที่ถูกใช้ในอเมริกาในปัจจุบัน

“เราได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่คุณเอาเข้าสู่ร่างกายนั้นสามารถเอาออกได้ในเวลาไม่กี่วัน ปัญหาคือเรากินอาหารตลอดจนเราสัมผัสสารพิษเหล่านั้นทุกวัน แม้จะมีการขับถ่ายออกมาก็ตาม” เคนดรา ไคลน์ (Kendra Klein) หนึ่งในทีมเขียนรายงานฉบับนี้ และนักวิทยาศาสตร์จาก Friends of the Earth บอก

ถึงจะอ้างอิงจากงานวิจัยก่อนหน้านี้ แต่ที่ผ่านมาผลการศึกษาเน้นแค่ผลจากสารพิษกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (organophosphate) เช่น คลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos) อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดได้ขยายไปทดสอบสารเคมีกลุ่มใหม่อย่าง นีโอนิโคตินอยด์ (Neonicotinoids) และไพรีทรอยด์ (Pyrethroid) ที่ใช้กันแพร่หลายในอเมริกาด้วย

“จนถึงตอนนี้ เราแค่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีใหม่ๆ อย่างเพียงพอ” คาร์ลี ไฮแลนด์ (Carly Hyland) หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว “และการศึกษาครั้งนี้ก็เน้นไปที่การสร้างฐานความรู้เพิ่มขึ้น”

แต่สำหรับเป้าหมายที่กว้างกว่านั้น ไคลน์บอกว่า “เราอยากทำความเข้าใจชนิดของยาฆ่าแมลงที่ผู้คนสัมผัสผ่านอาหาร รวมถึงความเป็นไปได้ในการลดช่องทางเหล่านั้นลง”

“หลายครอบครัวต้องการข้อมูลประเภทนี้” ถึงไม่ได้มีส่วนในงานวิจัยนี้แต่ บรูซ แลนเฟียร์ (Bruce Lanphear) ศาสตราจารย์คณะวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยไซมอนเฟรเซอร์ (Simon Fraser University) ก็ให้ความเห็นว่า “เมื่อไม่มีระบบการดูแลผู้บริโภคที่ดีพอ งานวิจัยแบบนี้จึงจำเป็นต่อการตัดสินใจในหลายครอบครัว”

ส่วนกลุ่มบริษัทผลิตยาฆ่าแมลงต่างๆ อย่าง Dow Dupont ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น ส่วน Syngenta ออกมาบอกว่า จะไม่ให้ความเห็นใดๆ จนกว่าจะได้อ่านผลการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์นี้ ขณะที่ วิลเลียม รีฟส์ (William Reeves) จาก Bayer Crop Science บอกว่า สารกำจัดศัตรูพืชถูกใช้ทั้งในเกษตรแบบทั่วไปและเกษตรอินทรีย์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารธรรมดาหรือปลอดสาร ทาง EPA (United States Environmental Protection Agency – สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ) และหน่วยงานอื่นๆ ต่างก็มีกฎเข้มงวดในเรื่องสารตกค้าง…ข้อมูลจากหน่วยงานในยุโรป แคนาดา และอเมริกา แสดงให้เห็นว่าปริมาณสารกำจัดศัตรูพืชในอาหารอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ต้องกังวล

“เมื่ออุตสาหกรรมและรัฐบาลบอกว่า ไพรีทรอยด์ (Pyrethroids) ปลอดภัย สิ่งที่พวกเขาหมายถึงจริงๆ คือเรายังไม่ได้ทำวิจัยว่ามันปลอดภัยกับมนุษย์หรือไม่” ไคลน์บอก

ช่องว่างของราคาอาหารออร์แกนิค

“อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับอาหารออร์แกนิคมีไม่พอแล้ว หลายคนยังเข้าไม่ถึงด้วยซ้ำ ท่ามกลางเงินภาษีที่ไหลไปอุดหนุนการเกษตรที่ใช้ยาฆ่าแมลงเข้มข้น ขณะที่โครงการและการวิจัยเกษตรอินทรีย์ได้รับงบประมาณต่ำเตี้ยเรี่ยดิน” ไคลน์บอก

ค่าใช้จ่ายเป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ทำให้หลายครอบครัวไม่สามารถเปลี่ยนไปเลือกบริโภคอาหารออร์แกนิคได้ โดยอาหารออร์แกนิคที่ได้รับการรับรองมีราคาโดยเฉลี่ยมากกว่าอาหารทั่วไปถึง 47 เปอร์เซ็นต์

นักการเมืองรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรง อเล็กซานเดรีย โอกาซิโอ-คอร์เทส (Alexandria Ocasio-Cortez) ตัวแทนพรรคเดโมแครต ได้ยกประเด็นขึ้นว่า สังคมสมัยใหม่ไม่ควรมีใครยากจนเกินกว่าจะซื้ออาหารปลอดสารพิษได้ และทุกคนควรมีอำนาจสนับสนุนห่วงโซ่อาหารที่คุ้มครองสุขภาพของเกษตรกรและชุมชนที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีเหล่านี้เป็นด่านแรก

“ทุกคนควรได้ซื้ออาหารที่ทำให้เกษตรกรเลี้ยงชีพได้” ไคลน์บอก “แต่คนที่กำลังจะถูกบีบให้ลดต้นทุนเรื่องของสารอินทรีย์กลับเป็นเกษตรกรเอง” ดังนั้น การผลักดันตลาดอาหารออร์แกนิคจึงไม่ใช่คำตอบที่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง “มันต้องเปลี่ยนแปลงการแข่งขันและระบบสนับสนุนของรัฐบาล”

ทั้งนี้ แม่อีกคนหนึ่งที่ร่วมเป็นตัวอย่างในงานวิจัยบอกว่า “สุขภาพไม่ควรถูกจำกัดด้วยรายได้ การศึกษา เชื้อชาติ เพศสภาพ หรือตำแหน่งที่อยู่ ฉันว่าทุกคนมีสิทธิเข้าถึงอาหารสะอาดและปลอดสารเคมีได้เหมือนกัน”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
civileats.com
theguardian.com 

 

คุยเรื่อง ‘ทำแท้งปลอดภัย’ กับ ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ

ในอดีตหากผู้หญิงต้องการทำแท้งจะต้องใช้วิธีการขูดโพรงมดลูก ซึ่งมีความอันตราย เสี่ยงต่อภาวะมดลูกเน่า ตับวาย ไตวาย และอาการบาดเจ็บต่างๆ

ปัจจุบันจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีดูดตัวอ่อนผ่านหลอดสูญญากาศหรือรับประทานยาบางชนิดเพื่อการยุติการตั้งครรภ์ พบว่า วิธีนี้ทำให้ผู้หญิงปลอดภัยมากขึ้น

จากสถิติความย้อนแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีการห้ามทำแท้งอย่างเข้มงวด พบว่าประเทศนั้นจะมีอัตราการทำแท้งสูง

ที่น่าเศร้าคือผู้หญิงเสียชีวิตจากการทำแท้งไม่ปลอดภัย 70,000 คน/ปี โดย 95% มาจากประเทศที่กำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทย

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราทุกคน รวมถึงบุคลากรในระบบสุขภาพ พร้อมจะทำความเข้าใจ ‘การทำแท้งปลอดภัย’ เพื่อรักษาชีวิตและสุขภาพของผู้หญิง

 

 

ทลายกำแพงเมืองป่วยสู่เมืองแห่งสุขภาวะ

กรุงเทพฯ – มหานครที่อยู่ท่ามกลางฝุ่นผง PM 2.5 ปัญหารถติด ที่อยู่อาศัยแออัด ตลอดจนการแย่งชิงทรัพยากรต่างๆ นำมาสู่ประเด็นที่ชวนใคร่ครวญว่า เราต่างกำลังอาศัยอยู่ในเมืองที่ควรมีความหมายถึงการมีความสุขหรือเมืองที่ป่วยไข้กันแน่?

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จึงจัดเวที ‘สช.เจาะประเด็น สานพลังเปลี่ยนเมืองป่วย’ เพื่อสางประเด็นของปัญหาผ่านการชำแหละสภาพปัญหาเขตเมืองสู่วิกฤติสุขภาพไทย โดยมีการเรียนรู้ต้นแบบโครงการพัฒนาเมืองสำหรับทุกคนจาก ‘นครสวรรค์โมเดล’ ไปจนถึงการพัฒนาพื้นที่ภายใต้แนวคิดเมืองสุขภาวะจากภาคเอกชน และถอดบทเรียนเมืองสุขภาวะจากต่างประเทศ เพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในประเทศไทย

ภารนี สวัสดิรักษ์ รองประธานกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2561-2562 กล่าวว่า การจะตอบว่าเมืองป่วยหรือไม่นั้น ต้องมองให้เห็นเกี่ยวข้องต่อเรื่องต่างๆ ว่าทำให้เกิดภาวะที่ไม่ปกติหรือไม่ เพราะเมืองนั้นเปรียบเสมือนคน ประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่าง ทั้งเมือง ชุมชน คน สิ่งแวดล้อม กิจกรรมต่างๆ รวมทั้งธรรมชาติของเมืองแต่ละเมือง ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่าเป็นภาวะไม่ปกติ ก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเมืองเริ่มมีสุขภาวะที่ไม่ดี

ภารนี สวัสดิรักษ์

ระดับของความป่วย

อาการผิดปกติหรือความป่วยของเมืองในมุมของภารนี ถ้าจะมองให้เห็นถึงระดับของความป่วย ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าปัจจัยการกำหนดสุขภาพการอยู่อาศัยที่ดีในเมือง แบ่งออกเป็นหลายเรื่องคือ ตัวบุคคล ตัวชุมชน พฤติกรรม เช่น เราบริโภคอาหารที่ปลอดภัยในเมืองหรือไม่ หรือสถานที่จำหน่ายอาหารมีการจัดการสุขภาวะที่ดีหรือเปล่า จากนั้นจึงมองให้เห็นในระดับชุมชน เช่น ที่อยู่อาศัย มีพื้นที่ มีทางเดิน มีการจัดการบ้านเรือนให้มีความปลอดภัยเพียงใด อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย การก่อสร้าง การใช้วัสดุที่เป็นอันตราย การกำหนดโซนนิ่ง เช่น บ่อขยะ เหล่านี้เป็นปัจจัยกำหนดสุขภาพ ซึ่งแต่ละปัจจัยก็จะมีการวัดในหลายๆ แบบ

“ปัจจัยกำหนดสุขภาวะมันเกี่ยวกันหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องของคน เรื่องของภารกิจร่วม และไม่ใช่เป็นของทุกคน เพราะฉะนั้นคำถามว่าใครทำให้เมืองป่วย มันไม่ใช่เรื่องของการกล่าวโทษกัน แต่เป็นเรื่องที่ว่าใครควรจะเป็นผู้ที่มีส่วนทำให้เมืองมีสุขภาวะแข็งแรงตามปัจจัยกำหนดสุขภาพ ถ้าเมืองป่วย คนป่วย โรค NCD (กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) เราจะเห็นว่าผู้เกี่ยวข้องนั้นมีหลายเรื่อง เช่น โรคไม่ติดต่อที่มีสาเหตุมาจากการไม่ยอมออกกำลังกาย แต่บางทีเมืองก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เอื้อต่อการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นนี่เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายภาคส่วนต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับพื้นที่สาธารณะ ที่ควรจะต้องเอื้อให้เกิดการทำกิจกรรมทางกายที่ทำให้ผู้คนไม่ป่วยด้วยโรค NCD เป็นต้น”

จิตตเกษมณ์ นิโรจน์ธนรัฐ

เมืองสำหรับทุกคน

“เป็นที่ทราบกันดี นครสวรรค์เราเป็นเมืองที่น้ำท่วมตลอด สมัยก่อนๆ ห้าปีจะมีท่วมใหญ่ครั้งหนึ่ง เราก็พยายามที่จะพัฒนาเมืองเรา เรามีเขื่อนป้องกันน้ำท่วม ตอนนี้มีแล้วรอบเมือง รวมทั้งระบบป้องกันเรียบร้อยหมด ผมคิดว่าเราเองก็เคยเจ็บป่วย”

เพื่อฉายให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการเยียวยาเมืองป่วยจนนำไปสู่เมืองที่มีสุขภาวะที่ดีได้ จิตตเกษมณ์ นิโรจน์ธนรัฐ นายกเทศมนตรีนครนครสวรรค์ เล่าอดีตของจังหวัดนครสวรรค์ตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา ว่าได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนเมืองซึ่งเคยเจ็บป่วยด้วยการสร้างสวนสาธารณะที่เป็น Green City มีสวนสาธารณะอุทยานสวรรค์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นครสวรรค์เป็นเมืองที่สภาพอากาศดี มีการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน

วิธีเยียวยา

จิตตเกษมณ์กล่าวว่า เมื่อตนได้มาเป็นนายกเทศมนตรี ก็เกิดความคิดว่าทำอย่างไรให้คนนครสวรรค์มีสุขภาวะที่ดี ประชาชนไม่ป่วย จึงเกิดความคิดในการทำลานออกกำลังกายทั่วอุทยานสวรรค์ พร้อมกับการปลูกต้นไม้ เพื่อให้ประชาชนได้มาออกกำลังกาย

“เราทำเรื่องน้ำด้วย เราได้รับรางวัลอาเซียนเรื่องน้ำ คือหนึ่ง – น้ำประปาของเราดื่มได้ เราได้รับการรับรองจากกรมอนามัย สอง – เรื่องน้ำเสีย เราบำบัดน้ำเสียวันละ 36,000 คิว ก่อนที่จะปล่อยลงแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเราก็เอาน้ำเสียมารีไซเคิลใช้ในอุทยานสวรรค์ของเรา นอกจากนี้เรายังทำเรื่องขยะด้วย เรามีบ่อบำบัด 266 ไร่ ที่ให้ อปท. ทั้งหมดมาทิ้งร่วมกับเราได้ และฝังกลบอย่างถูกต้อง เหล่านี้ก็คือสิ่งที่เราทำอยู่ในเมืองของเรา”

หากแต่การสร้างสุขภาพผ่านลานออกกำลังกายและการบำบัดน้ำเสียยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของการพัฒนาเมืองในมุมของจิตตเกษมณ์ จึงนำไปสู่การปรับปรุงที่อยู่อาศัยในชุมชน เพื่อป้องกันไม่ให้เมืองป่วย ผ่านความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชนลงไปสู่ชุมชนต่างๆ ทั้งหมด 71 ชุมชน โดยมีประมาณ 40 ชุมชนให้ความร่วมมือในการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพราะไม่อยากให้อาการป่วยของเมืองกลับมาอีกครั้ง

“เรากำลังเน้นว่า หนึ่ง – เมืองน่าอยู่ที่เราอยากจะทำต้องเป็นเมือง safety สอง – ต้องเป็นพื้นที่ wealthy มีสุขภาพที่ดี สาม – ต้องมี wealthy ต้องมีเศรษฐกิจที่ดีด้วย แล้วก็เป็นเมืองที่สะอาด เพราะฉะนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ประชาชนต้องเข้ามาร่วมกัน ซึ่งต้องลงไปในชุมชนต่างๆ ให้เขาทราบว่าเราต้องการการมีส่วนร่วม”

พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์

ศักยภาพเอกชนเพื่อพัฒนาเมืองสุขภาวะ

ตัวแทนจากภาคเอกชน พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย บอกว่า ในมุมมองของตนนั้นไม่จำกัดแค่เมืองเท่านั้น แต่ยังมองไปถึงประเทศป่วย ประชาชนทุกคนป่วย ทั้งป่วยกายและป่วยใจ โดยมีระบบราชการเป็นตัวการสำคัญของอาการป่วยไข้ที่ดื้อยา และยังไม่ยอมรับการรักษา เพราะราชการในมุมของพรนริศต้องการเพียงแค่การลงนามในฐานะเอกชนคู่สัญญามากกว่าสนใจข้อเสนอแท้จริง

“อันที่จริงแล้ว เอกชนจะอยู่เฉยๆ ก็ได้ ซื้อที่ไปเรื่อยๆ ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำไป จะมีกี่คนกันที่กล้าออกมาบอกว่า คุณทำให้อาการป่วยของเมืองกระจายตัวออกไป”

ผลของการขยายตัวของเมืองที่ป่วยไข้ออกไป ภาคเอกชนเองย่อมได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ตัวอย่างเช่น หากคุณภาพของเมืองไม่ดี ไม่มีสุขภาวะ ผู้อยู่อาศัยก็จะมีสุขภาพแย่ตามไปด้วย เงินที่หามาได้ต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล ผู้คนไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย เอกชนก็ขายสินค้าไม่ได้ ดังนั้นคุณภาพเมืองย่อมส่งผลต่อทุกๆ สมาชิกในเมืองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

“ภาคเอกชนจึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับการพัฒนาเมือง โดยปัจจุบันเรามีการตั้งบริษัทพัฒนาเมืองขึ้นมาในจังหวัดต่างๆ เช่น ขอนแก่นพัฒนาเมือง ภูเก็ตพัฒนาเมือง เชียงใหม่พัฒนาเมือง ทำหน้าที่เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองตามบริบทของแต่ละท้องถิ่น โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือสร้างเมืองที่มีสุขภาวะที่ดี”

ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล

ถอดบทเรียนเมืองสุขภาวะจากต่างประเทศ

ในขณะที่สุขภาพของคนเมืองย่ำแย่ไปพร้อมๆ กับสภาพเศรษฐกิจ ผศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) กล่าวว่า คงไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าเมืองมีผลต่อคนผู้อยู่อาศัยอย่างไร การดูเมืองเมืองหนึ่ง เราต้องดูว่าคนที่นั่นมีชีวิตอย่างไร ผู้คนส่วนใหญ่ต้องใช้รถยนต์ หรือสามารถเดินไปไหนมาไหนได้หรือไม่

“ดังนั้นเมื่อไรที่เรารู้สึกว่าเราจน เราอ้วน อย่าเพิ่งโทษตัวเองนะคะ ให้โทษโครงสร้างเมืองก่อน ดูก่อนว่ามันเป็นสาเหตุให้เราจน อ้วน หรือเปล่า ซึ่งเมืองเป็นของคู่กันกับโรคภัยอยู่แล้ว ถ้าคุณอยู่ในเมืองที่สามารถเดินออกกำลังกายได้ สัดส่วนของคนที่มีอัตราเสี่ยงเป็นโรคอ้วนจะลดลงถึง 10 เปอร์เซ็นต์

“เรื่องเศรษฐกิจสำคัญ เมืองที่คนเดินได้เดินดี โอกาสที่จะกระจายความมั่งคั่งก็จะไม่ได้หยุดอยู่แค่ผู้ประกอบการรายใหญ่ โอกาสในการจับจ่ายใช้สอย ห้างไม่ใช่คำตอบเดียว ยกตัวอย่างเช่น เมืองปารีส ที่เดินมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันก็ยังไม่ลดละที่จะทำให้เมืองเป็นเมืองที่เอื้อต่อการเดินและไม่ใช้รถยนต์

“ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ก็เป็นปัญหาใหญ่ของปารีสเช่นกัน ซึ่งการใช้จักรยานหรือการเดินนั้นใช้พื้นที่น้อย เพราะเขาทราบดีว่าเครื่องยนต์นั้นผลิตควันพิษออกมา เพราะฉะนั้นเรื่องของการลงทุนสาธารณะที่นำไปสู่การส่งเสริมสิ่งแวดล้อม การเดิน และการปั่นจักรยานยังมีมากอยู่ ซึ่งเหล่านี้เป็นความคาดหวังที่เราควรจะมี ในฐานะที่เราเป็นผู้อยู่อาศัยในเมืองเมืองหนึ่งและเป็นผู้เสียภาษี”

ทลายกำแพงเมืองป่วย

การสะสางประเด็นให้เห็นถึงการที่เมืองเมืองหนึ่งป่วยไข้ นำไปสู่หนทางแก้ และมีตัวอย่างที่สำเร็จแล้ว ภารนีมองปัจจัยที่จะทำให้เมืองหายจากอาการป่วยไข้แล้วฟื้นกลับมาเป็นเมืองที่มีสุขภาวะได้นั้น กำแพงหนึ่งที่คนในสังคมจะต้องทลายลงให้ได้ คือกำแพงของตัวเราเอง เราจะต้องทลายกำแพงของตัวเองก่อน เช่นที่ภาคเอกชนและท้องถิ่นทำ

“คือลงมือทำเองเลย ซึ่งมันอาจจะมีกำแพงของเรื่องงบประมาณ กำลังพล ข้อกฎหมาย แต่ถ้าเราคิดว่าปัญหาอยู่ที่คนอื่น แล้วเราปล่อยให้เขาแก้ มันจะไม่เกิด เช่น ในนครนายก ที่ไม่ได้ใช้การทลายกำแพง แต่ใช้กลไกที่เรียกว่ากระบวนการมีส่วนร่วมของคนที่อยู่ในมุมต่างๆ ของเมืองเข้ามาร่วมคิด ว่าเราจะทำให้เกิดสุขภาวะที่ดีของเมืองได้อย่างไร”

ฝากถึงรัฐบาลใหม่

ช่วงใกล้การเลือกตั้ง ภารนีมีประเด็นที่อยากฝากไปถึงรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับสุขภาวะของคนเมือง โดยกล่าวว่า แม้ในตอนนี้ประเทศจะมียุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติ แต่รัฐบาลใหม่อย่าได้แยกเรื่องของสุขภาพกับเรื่องของเมืองเป็นแค่เรื่องการก่อสร้าง

“อยากให้นำมิติสุขภาพ มิติการสร้างพลังทางสังคมเข้าไปอยู่ในเรื่องของเมืองอัจฉริยะด้วย ไม่ใช่มองแค่การก่อสร้าง ความทันสมัย หรือตอบโจทย์เศรษฐกิจอย่างเดียว”

ขณะที่นิรมลสะท้อนมุมมองจากต่างประเทศ และชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ระบบราชการแบบเดียวกับที่พรนริศมองไว้ คืออยากให้ว่าที่รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งช่วยกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นแบบเป็นรูปธรรม คือให้อำนาจไปพร้อมกับให้เงินตามไปด้วย ก่อนจะทิ้งท้ายว่า

“เมืองสวยๆ ที่เราเห็นอย่างปารีส ญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี 1975 มันเกิดการกระจายอำนาจลงไปสู่ท้องถิ่น เขตแต่ละเขตจะเลือกตั้งนายกฯ เขต แต่ของเราเป็น ผอ.เขต ที่มาจากการแต่งตั้ง ถามว่าเรารู้จักชื่อ ผอ.เขตของเราไหมคะ ไม่มีทาง เพราะว่าเป็นการแต่งตั้งลงมาแล้วย้ายบ่อย ทั้งยังขึ้นตรงกับปลัดและผู้ว่าฯ แต่ที่ญี่ปุ่น ปี 1975 เขามีการเลือกตั้ง ผอ.เขตเล็กๆ ทำให้เกิดการกระจายอำนาจ และคนญี่ปุ่นสามารถร่วมกันพัฒนาประเทศได้อย่างพลิกฟ้าพลิกดิน เปรียบเทียบกับกรุงเทพฯ ที่เป็นหน่วยปกครองท้องถิ่นพิเศษ ซึ่งมีท่านผู้ว่าฯ คนเดียวดูแลทั้งเมือง ต่อให้เก่งขนาดไหน ภายใต้ระบบราชการแบบนี้ก็อาจจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทุกอย่างเป็นปัญหาหมด”

เช่นนี้แล้ว การจะแก้ปัญหาเมืองป่วย นอกจากจะต้องทลายกำแพงตัวเองแล้ว อีกกำแพงที่จำเป็นจะต้องทลาย คือกำแพงของการหวงแหนอำนาจรัฐไว้ที่รัฐบาลส่วนกลาง เลิกตั้งโจทย์ที่จะพัฒนาเมืองโดยเอากรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง แต่ให้เมืองแต่ละจังหวัด แต่ละท้องถิ่นได้บริหารจัดการตัวเอง ให้แต่ละเมืองได้มีโอกาสหายป่วย เพื่อฟื้นสู่เมืองที่เต็มไปด้วยสุขภาวะแท้จริง

#FreePeriods เพื่อผ้าอนามัยฟรีและสิทธิการเรียนของเด็กทุกคน

ลำพังแค่ตอนมีประจำเดือนก็ใช้ชีวิตลำบากกันอยู่แล้ว แต่ให้ลองผ่านช่วง ‘วันแดงเดือด’ โดยไม่มีผ้าอนามัยสักชิ้นใส่แล้วยังต้องไปโรงเรียนอีก – สยองเลยล่ะ ไม่เชื่อลองถามสาวๆ คนไหนก็ได้ โดยเฉพาะสาวๆ วัยรุ่นในสหราชอาณาจักร

หลังอ่านพบว่า เด็กหลายคนต้องขาดเรียนช่วงมีประจำเดือนเพราะไม่สามารถซื้อผ้าอนามัยได้ เดือนเมษายน 2017 เอมิกา จอร์จ (Amika George) วัย 17 ปีในขณะนั้นรู้สึก ‘ไม่โอเค’ จนลุกขึ้นมาเริ่มแคมเปญ #FreePeriods ในห้องนอนของเธอ ก่อนขยายความเคลื่อนไหวผ่านโลกออนไลน์ เดินหน้าต่อสู้ให้วัยรุ่นหญิงที่ขาดโอกาสมีสิทธิรับผ้าอนามัยฟรีและสามารถไปเรียนหนังสือได้

จากเป้าหมายแรกที่ต้องการแค่ 10 รายชื่อในคำร้องต่อ นายกรัฐมนตรีเธเรซา เมย์ แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น คำร้องของเธอมีคนลงชื่อกว่า 2,000 คน หนึ่งปีต่อมารายชื่อพุ่งไปถึง 200,000 คน

จนถึงตอนนี้ แคมเปญของเธอได้รับความสนใจจากทั่วโลก รวมถึงได้รับรางวัล Goalkeepers Award จาก บิลล์ เกตส์ และชื่อของเธอก็ติดหนึ่งใน 25 วัยรุ่นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกของนิตยสาร Time

ย้อนกลับไปในห้องนอนตอนนั้น เธอคิดว่า “น่ารังเกียจมากที่ไม่มีความช่วยเหลือมาถึงพวกเธอ”

#FreePeriod
เอมิกา จอร์จ

เมื่อประจำเดือนกระทบชีวิตผู้หญิง

รายงานข่าวจาก Metro เปิดเผยว่า ครูหลายคนได้ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างการโดดเรียนของเด็กหญิงกับช่วงเวลามีประจำเดือน ผลสำรวจจากองค์กรธนาคารอาหารดาร์ลิงตัน (Darlington Salvation Army Food Bank) ระบุว่า ผู้หญิงในสหราชอาณาจักรหลายคนต้องใช้ระดาษหนังสือพิมพ์ ผ้าเช็ดหน้า หรือถุงเท้าเก่าแทนผ้าอนามัยราคามหาโหด

“ในฐานะเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ฉันกลัวว่าระบบทางชีววิทยาตามธรรมชาติของผู้หญิงจะกลายเป็นอุปสรรคในการศึกษาและการไปถึงเป้าหมายทางการเรียนอย่างเท่าเทียม ท่าทีนิ่งเฉยของรัฐบาลต่อปัญหานี้ทำให้ฉันเดินหน้าแคมเปญมอบผ้าอนามัยฟรีให้กับเด็กๆ จากครอบครัวที่มีรายได้ต่ำด้วย

“เด็กเหล่านี้ต้องอยู่กับความวิตกกังวลอย่างหนักตลอดการนั่งในห้องเรียน กลัวว่าประจำเดือนจะเลอะชุดนักเรียนและนำไปสู่การล้อเลียนหรือรังแก ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือไม่ไปโรงเรียนเสียเลย”

การกำหนดราคาของผ้าอนามัยทั้งแบบแผ่นและแบบสอดกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าเหล่านี้ยังคงถูกเก็บภาษีและจัดให้อยู่ในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งที่ผู้หญิงจำเป็นต้องใช้ สำนักข่าว Huffington Post เคยคำนวณว่า ตลอดชีวิต ผู้หญิงจะต้องจ่ายเงินค่าผ้าอนามัยเฉลี่ย 1,383 ปอนด์ หรือประมาณ 55,700 บาท

นอกจากนี้ ผลสำรวจจากเว็บไซต์ OnePoll พบว่า 44 เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่เคยขาดแคลนผ้าอนามัยต่างมีปัญหาในการหางานทำด้วย สูงกว่ากลุ่มผู้หญิงที่สามารถซื้อผ้าอนามัยได้ตามปกติถึง 20 เปอร์เซ็นต์

#FreePreriod

ขบวนประท้วงสีแดง

เดือนธันวาคม 2017 จอร์จ และผู้คนกว่า 2,000 คนยืนรวมตัวอยู่นอกบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง หรือทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ทั้งหมดสวมชุดสีแดงและโบกธงที่มีถ้อยคำเกี่ยวกับประจำเดือน เรียกร้องให้รัฐบาลเคลื่อนไหวเพื่อยุติการขาดแคลนผ้าอนามัยเนื่องจากปัญหาทางการเงิน

ไม่กี่เดือนหลังจากการเดินขบวนครั้งนั้น รัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรได้ประกาศว่า จะมอบเงินภาษีจากผ้าอนามัย 1.5 ล้านปอนด์หรือราว 60 ล้านบาทให้การกุศลเพื่อแสดงถึงการรับรู้ปัญหานี้ เธอเองก็ดีใจกับความสำเร็จครั้งนี้แม้จะเล็กน้อยก็ตาม แต่เธอยังอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายด้วย

“การขาดเรียนหมายถึงการหล่นไปรั้งท้ายในกระบวนการการศึกษา และเด็กเหล่านี้ต้องพบว่าตนเองอยู่ห่างจากเป้าหมายและความทะเยอทะยานก็ช่วยให้ตามทันแทบไม่ได้ แค่เพราะพวกเธอมีเลือดออกตามธรรมชาติเท่านั้น”

จนถึงตอนนี้ #FreePeriods ได้จับมือกับ Red Box Project และ Pink Protest เปิดตัวการรณรงค์ครั้งใหม่ที่พุ่งเป้าไปที่ด้านกฎหมาย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเด็กคนไหนต้องขาดเรียนเพราะไม่มีเงินซื้อผ้าอนามัยอีก เป้าหมายต่อไปของเธอจึงเป็นการระดมเงินทุนเพื่อรณรงค์ด้านกฎหมาย ผลักดันให้โรงเรียนและวิทยาลัยทุกแห่งในอังกฤษมอบทุนเพื่อจัดสรรผ้าอนามัยให้กับนักเรียนนักศึกษาทุกคนที่ต้องการ

เดือนสิงหาคม 2018 รัฐบาลสกอตแลนด์เริ่มต้นแจกผ้าอนามัยฟรีในทุกโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย โดยมีให้หยิบฟรีในห้องน้ำทุกแห่ง เช่นเดียวกับสบู่และกระดาษชำระ รวมถึงแจกให้กับประชาชนที่มีรายได้ต่ำ ส่วนเวลส์ก็ยังให้สัญญาว่าจะมอบเงิน 1 ล้านปอนด์สำหรับแก้ไขปัญหาการขาดแคลนผ้าอนามัย

จอร์จบอกว่า อยากทำให้ปี 2019 ไปไกลกว่าเดิม โดยพยายามผลักดันให้เด็กทุกคนในสหราชอาณาจักรมีสิทธิได้รับการศึกษา โดยไม่ถูกขัดขวางจากร่างกายของตัวเอง

“ไม่มีใครควรขาดเรียนเพราะมีประจำเดือน” เธอบอก

อ้างอิงข้อมูลจาก:
standard.co.uk
theguardian.com
freeperiods.org

บทเรียนจากฝุ่น PM2.5 ภัยสุขภาพที่ต้องเรียนรู้

มหันตภัยฝุ่น PM2.5 ในช่วงเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ให้บทเรียนอะไรเราบ้าง

อย่างน้อยที่สุดประการแรกก็ทำให้รู้ว่า นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ แต่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ทุกคนต้องเรียนรู้ร่วมกัน

ประการต่อมา ฝุ่น PM2.5 ที่จางหายไป ไม่ใช่เพราะการสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และมาตรการฉีดพ่นละอองน้ำบนดาดฟ้าก็ไม่ได้ช่วยแก้ไขอะไรมาก

นั่นทำให้เราได้เรียนรู้เพิ่มว่า การช่วยเหลือตนเองคือสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าเด็ก สตรีมีครรภ์ คนชรา และผู้มีโรคประจำตัว จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพและปกป้องตนเองมากกว่าปกติในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ

ไม่แบนพาราควอต! เครือข่ายประชาชนผิดหวังมติ คกก.วัตถุอันตราย เพิกเฉยสารพิษร้ายแรง

หลังการประชุมนัดสำคัญของคณะกรรมการวัตถุอันตรายในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อพิจารณาลงมติว่าจะยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือไม่นั้น ที่สุดมติคณะกรรมการมีมติ “ไม่แบนพาราควอต” ทั้งที่มีข้อมูลจากนักวิชาการที่ชี้ให้เห็นปัญหาและความอันตรายของสารเคมีที่ส่งผลร้ายต่อประชาชน เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษร้ายแรง 686 องค์กร จึงออกแถลงการณ์ต่อมติดังกล่าว พร้อมแสดงความผิดหวังต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการที่เพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องขององค์กรต่างๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยในแถลงการดังกล่าวระบุข้อความพร้อมเหตุผลดังนี้

แถลงการณ์
กรณีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะกรรมการวัตถุอันตราย
ไม่แบนพาราควอต

เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษร้ายแรง 686 องค์กร รู้สึกผิดหวังและเศร้าสลดที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติไม่แบนพาราควอต สารพิษร้ายแรงที่มากกว่า 50 ประเทศทั่วโลกห้ามใช้แล้ว สวนทางกับข้อเสนอของ (1) กระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง (2) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (3) คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข (4) คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (5) ผู้ตรวจการแผ่นดิน (6) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (7) สภาเกษตรกรแห่งชาติ (8) สภาเภสัชกรรม (9) แพทยสภา (10) เครือข่ายประชาคมวิชาการ (11) เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (12) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) เป็นต้น ที่เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการยกเลิกสารพิษนี้ภายในปี 2562

เครือข่ายฯ ผิดหวังเป็นที่สุดต่อบทบาทของนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และข้าราชการระดับสูงกลุ่มหนึ่งในกระทรวงดังกล่าว ซึ่งมีบทบาทอย่างสำคัญที่ทำให้ตัวแทนของกระทรวงเกษตรฯ ทั้ง 5 คน ในคณะกรรมการวัตถุอันตรายเสนอให้มีการใช้พาราควอตต่อไป โดยจะให้มีการพิจารณาเรื่องนี้ใหม่เมื่อพ้นระยะ 2 ปีไปแล้ว การกระทำดังกล่าวถือเป็นการเพิกเฉยต่อข้อมูลทางวิชาการอันหนักแน่นและเสียงเรียกร้องขององค์กรต่างๆ ปล่อยให้มีการใช้สารพิษร้ายแรงซึ่งคุกคามต่อชีวิตของเกษตรกร ผู้บริโภค และเด็กทารกทุก 1 ใน 2 คนที่จะลืมตามาดูโลก

รัฐบาล คสช. ซึ่งมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ กำกับดูแลหน่วยงานของรัฐ โดยมีกรรมการที่มาจากหน่วยงานของรัฐมากถึง 19 คน จากกรรมการวัตถุอันตรายทั้งหมด 29 คน ต้องมีส่วนในความรับผิดชอบในการลงมติที่เอื้อต่อประโยชน์ของบริษัทสารพิษกำจัดศัตรูพืชในครั้งนี้ และประชาชนควรจะเป็นผู้ตัดสินใจให้บทเรียนกับผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจทางนโยบายที่ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ต้องกระทำ รวมทั้งมีมาตรการที่เหมาะสมต่อหน่วยงานและผู้ที่ลงมติไม่แบนสารพิษร้ายแรงครั้ังนี้จำนวน 16 คนด้วย

เครือข่ายฯ ขอขอบคุณ กรรมการวัตถุอันตรายเสียงข้างน้อย จำนวน 5 คน ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุขและ รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ที่ลงมติให้มีการคุ้มครองชีวิตของประชาชนและปกป้องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากสารพิษโดยการเสนอให้มีการแบนสารพิษดังกล่าว

เครือข่ายฯ ขอประกาศว่า จะเดินหน้าเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการยกเลิกพาราควอตและสารพิษร้ายแรงอื่นๆ ต่อไป โดยสนับสนุนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการยื่นเรื่องนี้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง รณรงค์ไม่สนับสนุนสินค้าและบริการจากผู้ผลิตและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนสารพิษร้ายแรง และร่วมกันรณรงค์ไม่ให้บุคคล กลุ่มบุคคล ที่เลือกข้างกลุ่มทุนสารพิษ ไม่ให้เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศอีก

ปัญหาอุปสรรคในการแบนสารพิษร้ายแรง สะท้อนให้เป็นความอัปลักษณ์ของกฎหมายวัตถุอันตรายที่ให้อำนาจการแบนสารพิษไปไว้ในมือของหน่วยงานที่ปราศจากความรู้และความตระหนักในเรื่องความสำคัญของสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งผลประโยชน์ทับซ้อนของบุคลากรบางกลุ่มในคณะกรรมการกับบริษัทสารพิษ ซึ่งสังคมไทยต้องใช้ความรู้และพลังของประชาชนเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้อย่างถึงราก

เราเห็นการเติบโตและตื่นขึ้นของพลังประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศ เราเห็นการลุกขึ้นขององค์กรและสภาวิชาชีพต่างๆ ที่ลุกขึ้นเปล่งเสียงเรียกร้องให้ยุติการใช้สารพิษร้ายแรงซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อระบบเกษตรกรรม อาหาร และชีวิตของพวกเราทั้งหมด พลังเหล่านี้จะเติบโตขยายตัวมากขึ้น

เราเชื่อมั่นในพลังของประชาชนว่า จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้

เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง 686 องค์กร
14 กุมภาพันธ์ 2562