บุคลากรทางการแพทย์กลายเป็นนักขาย แบบนี้ก็ได้เหรอ?

หากคุณเลื่อนหน้าฟีด Facebook ดูคลิปใน Youtube เห็นภาพจาก IG ค้นข้อมูลไปเจอในเว็บไซต์ แล้วพบข้อความเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหาร ยา หรือสิ่งของอุปโภคบริโภคต่างๆ ซึ่งมีผู้อ้างว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์แนะนำให้ใช้

“หมอใช้แล้วดี”
“เภสัชกรรับรอง”
“เรื่องนี้แพทย์แนะนำ”

สิ่งที่ควรจะทำ 3 อย่างคือ #ประการแรก สงสัยในผลิตภัณฑ์ ขณะที่ #ประการที่สอง คือ สงสัยว่านายแพทย์ คุณหมอ หรือบุคลากรทางการแพทย์เหล่านั้นเที่ยวโฆษณาสินค้าแบบนี้ได้ด้วยหรือ?

เภสัชกรหญิงกาญจนา ไชยประดิษฐ์ และ เภสัชกรหญิงกนกพร ธัญมณีสิน กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคามและขอนแก่น ได้ศึกษาเรื่อง ‘มาตรการทางกฎหมายในการจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพของผู้ประกอบวิชาชีพทางสื่อออนไลน์’

ข้อมูลที่พบคือ บุคลากรทางการแพทย์กำลังใช้ช่องทางออนไลน์มาขายของ ซึ่งนอกจากสร้างความสงสัยในคุณภาพของผลิตภัณฑ์แล้ว ยังผิดตาม พ.ร.บ.วิชาชีพด้วย

และเรื่องนี้นำมาซึ่ง #ประการที่สาม นั่นคือเราทุกคนควรร้องเรียนสภาวิชาชีพให้รับทราบ สอบสวน และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป เพราะโดยจรรยาบรรณวิชาชีพแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ต้องคุ้มครองดูแลผู้คน มิใช่ใช้ข้ออ้างในความสามารถตนไปเอื้อประโยชน์ต่อการค้า

เมื่อคน ‘ชุดกาวน์’ กลายเป็นนักขายชวนเชื่อ: ความท้าทายในจรรยาบรรณวิชาชีพ

เป็นที่ทราบกันดีกว่า บุคลากรวิชาชีพด้านสาธารณสุขทั้ง 7 สายงาน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ นักกายภาพบำบัด และนักวิชาการสาธารณสุข ล้วนมีหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับประชาชน โดยใช้ความรู้ ความสามารถ และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางช่วยรักษาผู้ป่วยให้หลุดพ้นจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ

แน่นอนว่าบุคลากรวิชาชีพเหล่านี้ย่อมถูกคาดหวังว่าจะต้องมีความรู้และความแม่นยำในเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ เป็นอย่างดี และไม่แปลกถ้าประชาชนจะเลือกเชื่อคำโฆษณาของผลิตภัณฑ์ที่มีแพทย์ออกมายืนยัน เพราะอย่างไรเสีย เชื่อหมอย่อมดีกว่าเสมอ

ด้วยเหตุผลนี้จึงเป็นที่มาของการศึกษา เรื่อง ‘มาตรการทางกฎหมายในการจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพของผู้ประกอบวิชาชีพทางสื่อออนไลน์’ โดย เภสัชกรหญิงกาญจนา ไชยประดิษฐ์ และ เภสัชกรหญิงกนกพร ธัญมณีสิน กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคามและขอนแก่น นำเสนอต่อวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) สภาเภสัชกรรม และแผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)

เภสัชกรหญิงกาญจนา ไชยประดิษฐ์

ทุกวันนี้การโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพนานาชนิด ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา เครื่องสำอาง ล้วนขยายปริมณฑลไปสู่ช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย ยิ่งยุคของเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำเช่นนี้ สื่อออนไลน์จึงกลายเป็นอีกช่องทางที่ได้รับความนิยมสูง หันซ้ายหันขวาก็เจอกับโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ไม่ยาก รวมถึงยังใช้กลยุทธ์ต่างๆ นานาเพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดความน่าเชื่อถือ โดยอาศัยภาพลักษณ์ของบุคลากรทางการแพทย์มาช่วยส่งเสริมการตลาด ทั้งช่วยโปรโมท เป็นพรีเซนเตอร์ ให้การรับรอง หรือเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์นั้นเสียเอง

แนวทางการศึกษาของกาญจนาและกนกพร มุ่งเน้นไปที่การศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ใช้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ร่วมโฆษณาในสื่อออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ยูทูบ และเว็บเพจต่างๆ โดยเจาะจงไปที่ 4 กลุ่มวิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล รวมถึงศึกษากระบวนการทางกฎหมายในการจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ

ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบวิชาชีพมีการโฆษณาผ่านช่องทางเฟซบุ๊คมากที่สุด คิดเป็น 36.49 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีการโฆษณามากที่สุดคือผลิตภัณฑ์ประเภทอาหาร คิดเป็น 80.56 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้พบว่า ผู้ประกอบวิชาชีพมักใช้วิธีโฆษณาโดยการถ่ายรูปตัวเองคู่กับสินค้าถึง 61.84 เปอร์เซ็นต์

เดิมทีการกำกับดูแลประเด็นนี้ อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติของแต่ละวิชาชีพอยู่แล้ว อาทิ พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มาตรา 31 ผู้ประกอบวิชาชีพต้องรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ตามข้อบังคับที่แพทยสภากำหนดไว้ ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2549 ข้อ 14 ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องระมัดระวังตามวิสัยที่พึงมี มิให้การประกอบวิชาชีพของตนแพร่ออกไปในสื่อมวลชนเป็นทำนองโฆษณาความรู้ความสามารถ

นอกจากนี้ ข้อบังคับของแพทยสภา ข้อ 21 ระบุด้วยว่า ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่หลอกลวงผู้ป่วยให้หลงเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ของตน เป็นต้น

จากการศึกษากระบวนการทางกฎหมายด้านจรรยาบรรณของสภาวิชาชีพ พบว่า ด้านโครงสร้างของคณะกรรมการทุกสภาวิชาชีพมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจรรยาบรรณ คณะอนุกรรมการสอบสวน เพื่อทำหน้าที่ในการสืบค้น สอบสวนหาข้อเท็จจริง รายงานและเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการสภาวิชาชีพ เพื่อวินิจฉัยชี้ขาดและพิจารณาลงโทษ

ทั้งนี้ทั้งนั้น มีการระบุใน พ.ร.บ.วิชาชีพของทุกสภา ว่า หลังการสอบสวนและแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาสามารถชี้แจง แสดงหลักฐาน เพื่อให้คณะอนุกรรมการสอบสวนทบทวนรายงานก่อนเสนอต่อสภาวิชาชีพให้วินิจฉัยชี้ขาด

จากการศึกษากรณีตัวอย่างการพิจารณาคดีจรรยาบรรณ พบว่า มีผู้ประกอบวิชาชีพกระทำความผิดจากการโฆษณาสุขภาพทางสื่อออนไลน์ โดยบทลงโทษมีตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักใช้ใบอนุญาต ต่ำสุด 3 เดือน สูงสุด 1 ปี จนถึงเพิกถอนใบอนุญาต โดยพิจารณาตามความหนักเบาจากเจตนาและความเสียหายที่เกิดขึ้น

บทสรุปของการศึกษาชิ้นนี้ คาดหวังเพียงให้สภาวิชาชีพหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง มองเห็นช่องโหว่และช่วยกันแก้ไข ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีสัญญาณแนวโน้มที่ดี หลังจากกรณีการจับกุมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชื่อดังที่ใช้ดารานักแสดงนักร้องทำการโฆษณาเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ทำให้การสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพที่ทำการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพมีจำนวนลดลง บวกกับการตื่นตัวของทุกภาคส่วน ทำให้เกิดการควบคุมมากขึ้น

เภสัชกรหญิงกาญจนา เชื่อว่าถ้าหมอ หมอฟัน เภสัชกร หรือวิชาชีพอื่นๆ เลือกที่จะไม่รับงานโฆษณาให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เสี่ยงผิดกฎมายและก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค ย่อมส่งผลให้ประชาชนลดการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นลงไปด้วย

หากคำนึงถึงความปลอดภัยและประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขควรทบทวนบทบาทและตระหนักในหน้าที่ของตัวเองเสมอว่า การโฆษณาเช่นนั้นเป็นการเอื้อประโยชน์ทางการค้ามากกว่าที่จะส่งเสริมสุขภาพของประชาชนหรือไม่

มูลนิธิเภสัชชนบทชี้ เภสัชนานาชาติในเอเชีย มุ่งแยกการสั่งใช้ยาโดยแพทย์กับการจ่ายยาโดยเภสัชกร

มูลนิธิเภสัชชนบท ชี้ เภสัชนานาชาติในเอเชีย มุ่งแยกการสั่งใช้ยาโดยแพทย์กับการจ่ายยาโดยเภสัชกร (Separation of Dispensing and Prescribing Practices, SDP) เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย

แถลงการณ์จากการประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็น “ความท้าทายต่อการใช้ยาอย่างปลอดภัยของประเทศในภาคพื้นเอเชีย : การแยกใบสั่งยาและการจ่ายยา” ซึ่งจัดโดย สมาพันธ์สมาคมเภสัชกรรมแห่งเอเชียร่วมกับสมาคมเภสัชกรรมแห่งมาเลเซีย เมื่อ 12-13 พค 2560

การแพทย์แผนปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงวิธีในการรักษาโรค การติดตามความปลอดภัยจากการใช้ยา เป็นขั้นตอนที่ได้บูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งการมาตรฐานการปฏิบัติทางคลินิก เพื่อที่จะทำให้เกิดคุณภาพที่ดีต่อการให้บริบาลทางการแพทย์ และการติดตามความปลอดภัยจากการใช้ยา  ทั้งยังช่วยในการวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลจากการใช้ยาอีกด้วย

การอนุมัติทะเบียนตำรับยาดำเนินการพิจารณาบนข้อมูลที่ได้มาในการศึกษาวิจัยยา และเมื่ออนุมัติทะเบียนตำรับยาไปแล้ว ยาดังกล่าวจะสามารถวางขายได้ในท้องตลาดซึ่งมีบริบทและสภาวะแวดล้อมในการใช้ยาแตกต่างจากสภาวะแวดล้อมตอนที่ทำการศึกษาวิจัยยา (ตอนที่ทำการศึกษาวิจัยยาจะมีการควบคุมคุณสมบัติของอาสาสมัคร สภาวะโรค และปัจจัยแวะล้อมอื่น ๆ อย่างเข้มงวด) ในจุดนี้เองเป็นจุดสำคัญที่จำเป็นต้องมีการติดตามความปลอดภัยและประสิทธิภาพของยาที่วางขายในท้องตลาดด้วยเช่นกัน

เภสัชกรเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่รับผิดชอบต่อการติดตามความปลอดภัยในการใช้ยาของผู้ป่วย และหน้าที่นี้เองทำให้เภสัชกรต้องใช้ทักษะทางวิชาชีพเพื่อให้การบริบาลทางเภสัชกรรมแก่ผู้ป่วย โดยมีการบริหารจัดการยาที่ใช้ในการรักษาอย่างเหมาะสม

โดยทั่วไปแล้ว บทบาทของเภสัชกรได้มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์จากอดีตสู่ปัจจุบัน โดยได้ปรับเปลี่ยนจากการทำหน้าที่เป็น เพียงผู้ส่งมอบยา ไปเป็น ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่ทำหน้าที่เพื่อให้การบริบาลผู้ป่วยโดยตรง

การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์นี้เองทำให้ผู้ป่วยได้รับการบริบาลและการรักษาที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงด้านเภสัชกรรมนี้ได้มีมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ดังจะเห็นได้ว่า ทำให้เกิดบทบาทของ เภสัชกรชุมชนขึ้นมา

นอกจากนี้การบริบาลทางเภสัชกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ยังทำให้เห็นว่าการให้คำปรึกษาด้านยาโดยเภสัชกรได้มีการพัฒนาจากการให้คำแนะนำสั้น ๆ ในขั้นตอนการจ่ายหรือซื้อยา ไปสู่การให้คำปรึกษาในเชิงลึกและพิจารณาประโยชน์และความจำเป็นจากการใช้ยาของผู้ใช้รายบุคคล ซึ่งการให้คำปรึกษาด้านยาของเภสัชกรชุมชนในลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้ทักษะและความรู้เฉพาะ

อย่างไรก็ตาม ในประเทศบนภาคพื้นเอเชียส่วนใหญ่ พบว่าลักษณะการจ่ายยาในระดับชุมชนยังคงมีลักษณะการทำงานแบบวัฒนธรรมดั้งเดิม คือ ผู้สั่งใช้ยาจะทำหน้าที่เบ็ดเสร็จทั้งการสั่งใช้ยาและดำเนินการจ่ายยาแทนเภสัชกร

ดังนั้นประเด็นในการแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา จึงเป็นประเด็นที่สำคัญมากในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่เพื่อการรักษาสิทธิให้แก่เภสัชกร  แต่เป็นไปเพื่อการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลและการใช้ยาอย่างมีคุณภาพอีกด้วย

เพื่อให้การพิจารณาในประเด็นการแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา ให้มีความครอบคลุมและมีหลักฐานสนับสนุนอย่างชัดเจน สมาพันธ์สมาคมเภสัชกรรมแห่งเอเชีย และ สมาคมเภสัชกรรมแห่งมาเลเซีย จึงได้จัดประชุมเภสัชกรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในภูมิภาคเอเซีย ขึ้น โดยมีผู้เข้าประชุมจำนวน 35 คน จาก 14 ประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก 6 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

 

 

การประชุมดังกล่าว ได้ผลสรุปที่สำคัญดังนี้

ที่ประชุม เห็นว่า :

ความปลอดภัยจากการใช้ยาเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในปัจจุบัน แม้ว่ามีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยจากใช้ยาดังกล่าว  แต่การแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา ก็เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยาในระดับชุมชน

เมื่อศึกษาในหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียพบว่าไม่ได้มีการแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา แพทย์ในคลินิกสามารถสั่งและจ่ายยาให้แก่คนไข้ของตนเองได้  การออกใบสั่งยาไม่ได้กำหนดเป็นกฎหมาย และกิจกรรมการจ่ายยามักจะดำเนินการโดยลูกจ้างหรือพนักงานที่ไม่ได้ผ่านการอบรมอย่างเพียงพอ การดำเนินการในลักษณะนี้ พบหลักฐานจากประเทศมาเลเซียว่า ผู้ป่วยที่ใช้บริการคลินิก มีการได้รับยาเกินจำเป็น มากกว่าที่ผู้ป่วยไปรับบริการกับเภสัชกรชุมชน

การไม่แบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา ทำให้เภสัชกรผู้ซึ่งผ่านการอบรมด้านนยามาอย่างมากมาย ไม่สามารถช่วยกลั่นกรอง ทบทวน สอบทานการใช้ยาของคนไข้ได้

การไม่แบ่งแยกหน้าที่นี้ เป็นการจำกัดโอกาสในการป้องกันปัญหาการสั่งใช้ยาที่ผิดพลาด ซึ่งโดยทั่วไปปัญหาการสั่งใช้ยาที่ผิดพลาดจะตรวจพบได้โดยเภสัชกรในขั้นตอนการจ่ายยาและได้รับการแก้ไขเพื่อให้มีการใช้ยาอย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

ดังนั้นการสร้างกลไกเพื่อการตรวจสอบซึ่งกันและกันโดยเภสัชกรนี้จะช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการสั่งใช้ยาได้

นอกจากนี้ การจ่ายยาโดยเภสัชกรยังเป็นขั้นตอนที่ผู้ป่วยจะได้รับข้อมูลและมีการใช้ยาอย่างปลอดภัยและเพียงพอ  หากไม่มีการตรวจรักษาและสั่งจ่ายยาโดยแพทย์แล้ว

ผู้ป่วยก็จะไม่ได้รับทราบสิทธิและแผนการรักษา ตลอดจนไม่ทราบว่าควรเลือกใช้ยาใดในปริมาณเท่าใดแต่หากแพทย์ดำเนินการจ่ายยาเองแล้ว ก็จะไม่มีขั้นตอนการตรวจสอบการสั่งใช้ยาด้วยเช่นกัน

ความปลอดภัยจากการใช้ยาของผู้ป่วยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เภสัชกรเป็นบุคคลหลักที่มีบทบาทที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้ยาอย่างปลอดภัย

 

ที่ประชุม ยอมรับว่า :

ความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา นานาชาติ และภูมิภาคต่าง ๆมีความสำคัญอย่างมากต่อการทำให้เกิดการแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีมีการแบ่งแยกหน้าที่ดังกล่าวมากว่า 15 ปี หรือในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ก็ได้แบ่งแยกหน้าที่ดังกล่าวมาอย่างยาวนานแล้ว แต่หลาย ๆ ประเทศในเอเชีย ไม่ได้มีการแบ่งแยกหน้าที่ดังกล่าว และคงยังอีกนานกว่าจะมีการแบ่งแยกหน้าที่ได้

การสร้าง The ‘Drug Profile Book’ ของประเทศญี่ปุ่นเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการริเริ่มเพื่อให้เกิดนโยบายดังกล่าวผ่านการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศลง

การแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา เป็นประโยชน์สาธารณะ ประสบการณ์ของไต้หวันและเกาหลีพบว่าภายหลังการดำเนินนโยบายการแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา ประชาชนมีการใช้ยาได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

 

ที่ประชุม ให้คำแนะนำดังนี้ :

♦ ควรจัดให้มีการรณรงค์ให้ข้อมูลแก่หน่วยงานด้านนโยบายระดับประเทศให้เห็นประโยชน์จากการแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยาจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแบ่งแยกหน้าที่ดังกล่าว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และ ไต้หวัน

♦ ดำเนินนโยบายในทันทีที่ทำได้เพื่อพัฒนาโปรแกรมการแบ่งแยกหน้าที่ในการสั่งใช้ยาและการจ่ายยา เพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยจากาการใช้ยาของประชาชนในประเทศ และฝึกอบรมเภสัชกรให้มีความพร้อมรองรับนโยบายดังกล่าว เช่น การประเมินอาการไม่พึงประสงค์ (ADR) การให้คำปรึกษาเป็นต้น

♦ สร้างความร่วมมือระหว่างเภสัชกรชุมชนและสถาบันการแพทย์ เพื่อให้สถาบันการแพทย์เป็นที่ปรึกษาทางวิชาการหรือร่วมดำเนินการอื่น ๆ ที่ เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างปลอดภัย เช่น การส่งต่อ การเกิดอาการไม่พึงประสงค์ หรือการร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วย รวมถึงการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับยา เป็นต้น

 

 

ที่มา:  แถลงการณ์จากการประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็น “ความท้าทายต่อการใช้ยาอย่างปลอดภัยของประเทศในภาคพื้นเอเชีย : การแยกใบสั่งยาและการจ่ายยา”

แปลโดย  ภก.กฤษดา ลิมปนานนท์  มูลนิธิเภสัชชนบท โทร 0946479111

ผู้ป่วยสุขภาพจิต กลุ่มเสี่ยงสารพัดโรคเรื้อรัง

โรคหัวใจ ความดันสูง ข้อต่ออักเสบ ปวดหลัง เบาหวาน หลอดลมอักเสบ ถุงลมโป่งพอง และมะเร็ง – ป่วยด้วยโรคเหล่านี้ก็ว่าหนักแล้ว แต่ที่หนักกว่าคือกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ได้รวมไปถึงคนที่มีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าด้วย

รายงานชิ้นใหม่ของหน่วยงานด้านนโยบายสุขภาพของออสเตรเลีย (Australian Health Policy Collaboration: AHPC) พบว่า การป่วยทางใจกลายเป็นเงื่อนไขในการเพิ่มความเสี่ยงต่อทุกอาการป่วยเรื้อรังหลักๆ และชาวออสเตรเลียราว 4 ล้านคนกำลังอยู่ในความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเรื้อรังและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แถมมากกว่า 2.4 ล้านคนกำลังมีปัญหาทั้งด้านสุขภาพกายและจิตไปพร้อมกัน

รายงานฉบับนี้ถือเป็นครั้งแรกของออสเตรเลียที่แสดงให้เห็นขอบเขตของปัญหา ตัวอย่างเช่น โรคระบบไหลเวียนโลหิตซึ่งคนมีปัญหาสุขภาพจิตมีโอกาสเป็นมากกว่า ไม่ว่าจะโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และเส้นเลือดอุดตัน โดยผู้ชายมีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นถึง 52 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มขึ้นในผู้หญิงถึง 41 เปอร์เซ็นต์

ปัจจุบัน มีชาวออสเตรเลียมากกว่าล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบบไหลเวียนโลหิตและอาการป่วยทางสุขภาพจิตไปพร้อมกัน โรคเหล่านี้กำลังเป็นเพชฌฆาตคร่าชีวิตประชากรในประเทศนี้

เพศและโอกาสป่วย

รายงานยังระบุว่า โอกาสของการป่วยโรคเรื้อรังเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความแตกต่างทางเพศด้วย โดยรวมแล้ว ผู้หญิงในออสเตรเลียมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าผู้ชาย ผู้หญิงจึงมีโอกาสมีโรคทางกายคู่ไปกับโรคทางใจมากกว่าผู้ชาย 23 เปอร์เซ็นต์

สำหรับโรคต่างๆ เช่น โรคหืด พบว่าผู้หญิงที่มีปัญหาสุขภาพจิตจะมีโอกาสเป็นหืดมากกว่าผู้หญิงทั่วไปราว 70 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้ชายมีโอกาส 49 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากแต่ละโรค ผู้ชายที่ป่วยทางใจกลับมีโอกาสป่วยทางกายได้มากกว่า เช่น อาการเจ็บปวดที่ลดความสามารถทางร่างกายลงอย่าง ข้อต่ออักเสบและอาการปวดหลัง

ผู้ชายที่มีปัญหาสุขภาพจิตมีโอกาสเป็นข้อต่ออักเสบถึง 66 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้หญิงมีโอกาส 46 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอาการปวดหลังมีโอกาสเกิดกับผู้ชายถึง 74 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้หญิงมีโอกาส 68 เปอร์เซ็นต์

แต่ความแตกต่างระหว่างเพศที่ใหญ่สุดอยู่ที่โรคมะเร็ง รายงานพบว่า ผู้ชายที่มีปัญหาสุขภาพจิตมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าประชากรทั่วไปถึง 84 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้หญิงมีโอกาสมากกว่าเพียง 20 เปอร์เซ็นต์

รายงานยังแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศใด ปัญหาสุขภาพจิตที่มาพร้อมอาการป่วยเรื้อรังจะส่งผลแย่ต่อคุณภาพชีวิต ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง ความต้องการการดูแลสุขภาพที่มากขึ้น และแน่นอน – ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น แต่ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตกลับมีโอกาสยากจนกว่า รวมถึงโอกาสในการทำงาน การได้รับการตรวจสุขภาพน้อยกว่า และที่น่าเศร้าคือ มีแนวโน้มได้รับการดูแลโรคทางกายภาพต่ำกว่ามาตรฐานด้วย

โดยเฉลี่ยแล้ว ปัญหาสุขภาพจิตทั่วไปอย่าง อาการวิตกกังวลและซึมเศร้ามีส่วนทำให้เกิดโรคเรื้อรัง นำไปสู่อัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เพิ่มมากขึ้น

ดูแลกายใจไปพร้อมกัน

สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ระบุว่า สามารถอนุมานโรคทางกายภาพได้เมื่อพิจารณาจากสุขภาพที่ย่ำแย่และปัจจัยเสี่ยงของปัญหาสุขภาพจิต เช่น รู้สึกไม่พอใจกับชีวิต รู้สึกไม่สงบ มีปัญหาการนอนหลับที่ส่งผลต่อการทำงาน มีความกังวลด้านการเงิน สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจตกต่ำ อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และพฤติกรรมสูบบุหรี่ เหล่านี้ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจทั้งสิ้น

ขณะเดียวกัน การเลือกปฏิบัติและการเมินเฉยในกระบวนการทางการแพทย์ ระบบการดูแลสุขภาพกายและใจที่ไม่ต่อเนื่องกันทำให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตส่วนใหญ่ในออสเตรเลียมักไม่ยอมรับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิต ไม่รับการทดสอบ และมีโอกาสน้อยที่จะเข้ารับการรักษา

ปัจจุบัน เกิดแรงกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิต องค์กรมากมายร่วมลงชื่อกับองค์กร Equally Well ซึ่งมีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนที่มีปัญหาสุขภาพจิต โดยจัดสรรการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ มีโครงการดีๆ ทั่วโลกที่เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตสามารถเข้าถึงความช่วยเหลือที่เหมาะกับปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น การลดน้ำหนัก หรือการสูบบุหรี่

ทั้งนี้ รายงานยังได้แนะนำว่า ควรประเมินสุขภาพกายของผู้ที่ใช้บริการดูแลด้านสุขภาพจิตอย่างสม่ำเสมอ และแจ้งปัญหาที่พบโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะกายและใจควรได้รับการดูแลไปพร้อมๆ กัน

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theconversation.com

อยากผอมทักด่วน อยากสวยทักเลย

เรื่องเศร้าเล่าซ้ำผ่านข่าวที่ปรากฎอยู่เนืองๆ ก็คือ ความเจ็บป่วย สูญเสียชีวิต อันเนื่องมาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อ้างสรรพคุณว่า #ลดความอ้วน ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็ไม่ได้ซุกซ่อนอยู่ที่ไหนไกล เพียงแค่เลื่อนเฟซบุ๊คเพียงครู่คราวเราก็จะพบว่าสินค้าเหล่านั้นโชว์หรา ดึงดูดคนอยากผอมให้ลองคลิก ลองซื้อ และลองใช้ได้ไม่ยาก

ในฐานะคนทำงานคุ้มครองผู้บริโภค เภสัชกรหญิงฐิติพร อินศร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ นำความสงสัยไปตั้งเป็นหัวข้อการศึกษา ‘แนวทางจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ไม่ปลอดภัยในสื่อสังคมประเภทเฟซบุ๊ค’

บนหน้าฟีดเหล่านั้นเขาขายอะไร ขายอย่างไร ใช้ถ้อยคำแบบไหน และสินค้าเหล่านั้นเจือปนด้วยสารใดจึงสามารถขายฝันให้คนอยากผอมง่ายดายเพียงนั้น

ผลการศึกษาด้วยระยะเวลา 6 เดือน จาก 178 เพจ 204 ผลิตภัณฑ์ และกว่า 13,000 ข้อความ อาจทำให้เราๆ ท่านๆ ต้องอึ้งกันถ้วนหน้า

ส่อง ‘เฟซบุ๊ค’ พื้นที่ขายฝันของคนอยากผอม

‘ผอมด่วนทันใจ’ … ‘สวยใสเหมือนพริตตี้’

ประโยคโดนๆ ที่มักจั่วอยู่ในคำโฆษณาของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดความอ้วน พบได้ทั่วไปบนหน้าฟีดเฟซบุ๊ค ทำหน้าที่เป็นถ้อยคำเชิญชวนให้ทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ลองซื้อหามารับประทาน เผื่อจะได้หุ่นดีแบบทันใจ

คนส่วนใหญ่มักเข้าถึงโฆษณาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้จากพื้นที่เฟซบุ๊คเป็นหลัก และถูกดึงดูดจากคำโฆษณาที่อวดอ้างเกินจริง ทำให้รู้สึกอยากลอง อยากหุ่นดีเหมือนดาราที่เป็นพรีเซนเตอร์ จนหลงเชื่อซื้อมารับประทาน กระทั่งส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต

แม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะมีข่าวเศร้าสลดให้เห็นเป็นอุทาหรณ์อยู่บ่อยครั้ง แต่นานวันเข้าข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏอาจทำให้ผู้คนรู้สึกชินชา จนหลงลืมถึงผลกระทบจากการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เป็นอันตรายต่อชีวิตเช่นนี้ก็ยังคงแพร่ระบาดอยู่ในแทบทุกช่องทางการสื่อสาร ยากที่จะควบคุมปราบปราม

ฐิติพร อินศร
เภสัชกรหญิงฐิติพร อินศร

จากผลการศึกษาเรื่อง ‘แนวทางจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ไม่ปลอดภัยในสื่อสังคมประเภทเฟซบุ๊ค’ ของ เภสัชกรหญิงฐิติพร อินศร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ ที่นำเสนอต่อวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) สภาเภสัชกรรม และแผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) พบข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและอวดอ้างสรรพคุณลดน้ำหนักมักใช้ช่องทางเฟซบุ๊ค เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและกว้างขวาง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบว่ามีการลักลอบใส่ยาควบคุมพิเศษและยาอันตราย ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับความเสี่ยง

เภสัชกรหญิงฐิติพรทำการเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2561 โดยใช้คำค้นว่า ‘อาหารเสริมลดน้ำหนัก (ตามด้วยชื่อยี่ห้อผลิตภัณฑ์ที่ถูก อย. ประกาศว่าเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่บริสุทธิ์)’ พบว่ามีทั้งสิ้น 22 ผลิตภัณฑ์ รวม 178 เพจ โดยสินค้าที่โฆษณาลงในเฟซบุ๊คทั้งหมดล้วนผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่มีการขออนุญาตทำการโฆษณาก่อน สิ่งที่ผู้ประกอบการมักจะนำมาอ้างให้ผู้บริโภครู้สึกอุ่นใจ มีเพียงตัวเลขที่จดแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้บ่งบอกว่าสินค้านั้นได้รับอนุญาตให้ทำการโฆษณาตามกฎหมายหรือไม่

ผลการศึกษาพบว่า ในเพจเฟซบุ๊คทั้ง 178 เพจ มีการโฆษณาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เคยถูก อย. ประกาศว่าเป็นอาหารที่ไม่บริสุทธิ์ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 14.05 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เพจที่มีการจำหน่ายก่อนมีประกาศ อย. คิดเป็น 72.47 เปอร์เซ็นต์ และเพจที่ปิดตัวไปแล้ว 13.48 เปอร์เซ็นต์

อันตรายที่แฝงอยู่ในผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีส่วนผสมของสารไซบูทรามีน (Sibutramin) ที่เคยถูกใช้เป็นยาลดน้ำหนักมาก่อน แต่หลังจากตรวจพบว่ามีผลอันตรายต่อร่างกาย อาจทำให้หัวใจวายได้ จึงเพิกถอนสารตัวนี้ออกไป แม้ไซบูทรามีนจะไม่ได้รับการอนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว แต่ยังคงพบการลักลอบนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่ม ที่โฆษณาว่ารับประทานแล้วจะน้ำหนักลด หุ่นสวย

ไซบูทรามีน เป็นสารอันดับหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคเสียชีวิตจากการหลงเชื่อว่าช่วยลดความอ้วน เมื่อได้รับสารนี้เข้าไปจะทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ ระบบหัวใจและสมองถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างหนัก นอกจากนี้ยังมียายอดฮิตไม่แพ้กันที่มักนำมาเป็นส่วนผสมในการขับไขมัน นั่นคือ เซนิคาล (Xenical) และ บิซาโคดิล (Bisacodyl) ซึ่งเป็นยาระบาย จึงทำให้ผู้ประกอบการนำยากลุ่มเหล่านี้มาเป็นคีย์เวิร์ดในการโฆษณาประชาสัมพันธ์อวดอ้างสรรพคุณลดน้ำหนัก ช่วยเร่งขับถ่าย ขับไขมัน ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตามท้องตลาด

“ก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ขอให้พึงสังเกตไว้เลยว่า คำโฆษณาใดก็ตามที่รู้สึกว่าฟังแล้วเกินจริง ขอให้คิดก่อนไว้เลยว่ามีสารอันตรายแน่นอน เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดใดที่จะทำให้ผอมได้จริงหรือสวยได้จริงในชั่วพริบตา ถ้าไม่ผสมสารอันตราย”

เภสัชกรหญิงฐิติพรบอกอีกว่า ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการใดที่จะควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพในช่องทางเฟซบุ๊คได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการซื้อขายกันโดยไม่มีหน้าร้านที่ชัดเจนเป็นอุปสรรคที่ทำให้เจ้าหน้าที่ค้นหาผู้กระทำผิดได้ยาก และถึงแม้จะมีกฎหมายหลักที่ดูแลเรื่องนี้ แต่ด้วยบทลงโทษที่ไม่รุนแรง มีแค่โทษปรับ ยังถือว่าเป็นโทษสถานเบาเมื่อเทียบกับอันตรายถึงแก่ชีวิต

มาตรการและแนวทางจัดการปัญหา เภสัชกรหญิงฐิติพรมีข้อเสนอแนะว่า สามารถเริ่มต้นได้จากตัวของผู้บริโภคเอง โดยการสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง มีการรณรงค์ต่อเนื่อง ให้ทุกคนดูแลเอาใจใส่คนในครอบครัว หมั่นสังเกตและพูดคุยกัน ที่สำคัญต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา คอยดูแลสอดส่องผลิตภัณฑ์ที่เป็นภัยต่อสังคม และช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องโดยใช้เครื่องมือสื่อสารให้เป็นประโยชน์

“สื่อเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาท ทุกคนต้องช่วยกันจับตามอง เฝ้าระวัง หากเห็นอะไรผิดสังเกตก็ต้องช่วยกันประโคมข่าว ให้หน่วยงานรัฐตื่นตัวและเร่งแก้ปัญหา เพื่อควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายในเฟซบุ๊คให้หมดไป”

ไปโดนตัวไหนมา! ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับใหม่

พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2530 เป็นกฎหมายเก่าแก่ที่บังคับใช้มานานกว่า 30-50 ปี ล้าสมัยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ปี 2557 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้รับผิดชอบเรื่องยา จึงมีความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย แต่ด้วยเนื้อหาในการยกร่างเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามจากแวดวงวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีอันต้องชะงักไป

ปี 2561 อย. พยายามปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง โดยล่าสุดได้เปิดรับฟังความเห็นในช่วงวันที่ 17-31 กรกฎาคม 2561 ผ่านทางเว็บไซต์ www.lawamendment.go.th พร้อมอ้างว่ามีความโปร่งใส ถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

หากเป็นจริงอย่างที่ อย. กล่าวอ้าง เหตุใดจึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง องค์กรวิชาชีพด้านเภสัชกรรมหลากหลายสถาบันต่างพากันตบเท้าคัดค้าน ลุกลามถึงขั้นเรียกร้องให้ต้องยกเลิการเสนอร่างกฎหมายต่อไปยัง ครม. ดังเช่นเครือข่ายเภสัชกรทั่วประประเทศที่ตั้งคำถามว่า ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับ ‘ลับ-ลวง-พราง’ ของ อย. เอื้อประโยชน์ประชาชนจริงหรือ

จุดเสี่ยง-จุดเสื่อมในร่าง พ.ร.บ.ยา

แปลกแต่จริง!

นานาประเทศทั่วโลกเขามีการจัดระบบหมวดหมู่ ‘ประเภทยา’ ที่เข้าใจง่าย ไม่คลุมเครือ มีการแบ่งหน้าที่กันชัดระหว่างผู้สั่งจ่ายยา ผู้ปรุงยา และผู้ขายยา

มีแต่ ‘ไทยแลนด์โอลี่’ ที่แบ่งประเภทยาออกเป็น 4 แบบ ดูแล้วแปลกพิลึก

ดราม่าร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับนี้ ผลดี-ผลร้าย ไม่ได้ตกอยู่ที่ใคร แต่ตกอยู่ที่ประชาชนผู้บริโภคยาอย่างเราๆ นี่เอง

โรงเรียนปลอดกาแฟในเกาหลีใต้

ปี 2013 เกาหลีใต้ห้ามขายกาแฟและเครื่องดื่มมีคาเฟอีนให้แก่นักเรียน แต่ในโรงเรียนไม่ได้มีแค่เด็ก เพราะผู้ต้องการเครื่องดื่มรสขมอีกกลุ่มหนึ่งก็คือครู ในโรงเรียนจึงมีตู้ขายกาแฟไว้บริการครู ซึ่งในทางปฏิบัติ นี่ก็เป็นช่องให้เด็กนักเรียนเข้าถึงกาแฟได้

เกาหลีใต้นับเป็นประเทศที่มีการแข่งขันด้านการศึกษาสูง เครื่องดื่มยอดฮิตในหมู่นักเรียนคือกาแฟและบรรดาเครื่องดื่มให้กำลังงานทั้งหลาย เพื่อให้รู้สึกตื่นตัว กะปรี้กะเปร่า โดยเฉพาะช่วงใกล้สอบ ที่พวกเขาต้องอดหลับอดนอนอ่านหนังสือเพื่อเข้าสู่สมรภูมิในวันรุ่งขึ้น

แต่หลัง 14 กันยายนเป็นต้นไป จะไม่มีการขายกาแฟในโรงเรียนประถมและมัธยม ทั้งในร้านค้าและตู้กดเครื่องดื่ม เรียกได้ว่าโรงเรียนกลายเป็นสถานที่ปลอดกาแฟ!

กระทรวงอาหารและยา (Ministry of Food and Drug Safety) พยายามเปลี่ยนมุมมองของเด็กและวัยรุ่นให้หันมาหาทางเลือกอื่นที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น โดยการห้ามขายกาแฟในโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลดการบริโภคอาหารแคลอรีสูงและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หลังมีรายงานว่าเด็กบางคนมีอาการใจสั่น หน้ามืด ตาพร่า และนอนไม่หลับ

นโยบายนี้เกิดขึ้นตามหลังการห้ามขายเครื่องดื่มให้กำลังงานเมื่อต้นปีที่ผ่านมา พร้อมๆ กับการห้ามโฆษณาฟาสต์ฟู้ดทางทีวี ขนมหวาน และเครื่องดื่มคาเฟอีนสูง ในช่วงเวลาที่เด็กๆ นั่งอยู่หน้าจอทีวี

กาแฟนับเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตในหมู่ชาวเกาหลีใต้ ตั้งแต่การเข้ามาของกองทัพสหรัฐในทศวรรษ 1950 ปลายปี 2016 ในกรุงโซลมีร้านกาแฟกว่า 18,000 แห่ง  ข้อมูลจาก The Korea International Trade Association ระบุว่า เกาหลีใต้นำเข้ากาแฟมากที่สุดอันดับ 7 ของโลก ในปี 2017 มูลค่าการนำเข้านี้สูงถึง 700 ล้านดอลลาร์ และบริษัทวิจัยด้านการตลาด Euromonitor ให้ข้อมูลว่า ชาวเกาหลีใต้ดื่มกาแฟเฉลี่ยต่อคนสูงที่สุดในเอเชีย 181 ถ้วยต่อปี เปรียบเทียบกับอังกฤษคือ 151 ถ้วย แต่ยังเป็นรองสหรัฐที่มีตัวเลขเฉลี่ยที่ 266 ถ้วยต่อคนต่อปี

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com
japantimes.co.jp

สรุปของสรุป พ.ร.บ.ยา ฉบับลับลวงพราง

พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2530 เป็นกฎหมายเก่าแก่ที่บังคับใช้มานานกว่า 30-50 ปี ล้าสมัยเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ปี 2557 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้รับผิดชอบเรื่องยา จึงมีความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย แต่ด้วยเนื้อหาในการยกร่างเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามจากแวดวงวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีอันต้องชะงักไป

ปี 2561 อย. พยายามปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง โดยล่าสุดได้เปิดรับฟังความเห็นในช่วงวันที่ 17-31 กรกฎาคม 2561 ผ่านทางเว็บไซต์ www.lawamendment.go.th พร้อมอ้างว่ามีความโปร่งใส ถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

หากเป็นจริงอย่างที่ อย. กล่าวอ้าง เหตุใดจึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง องค์กรวิชาชีพด้านเภสัชกรรมหลากหลายสถาบันต่างพากันตบเท้าคัดค้าน ลุกลามถึงขั้นเรียกร้องให้ต้องยกเลิการเสนอร่างกฎหมายต่อไปยัง ครม. ดังเช่นเครือข่ายเภสัชกรทั่วประประเทศที่ตั้งคำถามว่า ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับ ‘ลับ-ลวง-พราง’ ของ อย. เอื้อประโยชน์ประชาชนจริงหรือ

หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า ร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี ฉุดรั้งให้ประเทศถอยหลังแทนที่จะก้าวหน้า โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของระบบยา หลักการคุ้มครองผู้บริโภค และหลักการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างวิชาชีพ ซึ่งสรุปปัญหาสำคัญได้ ดังนี้

รับฟัง…แต่ไม่แก้ไข

ภายหลังจากการเปิดรับฟังความเห็นผ่านทางเว็บไซต์ นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการ อย. ยืนยันว่า ร่าง พ.ร.บ.ยา มีความเห็นที่ลงตัวแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อหาสาระทั้งหมด มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่ลงตัว และเชื่อมั่นว่ากฎหมายนี้มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในหลายประเด็น

ขณะที่คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาพัฒนาและติดตามกฎหมายหรือร่างกฎหมายที่มีผลต่อการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สภาเภสัชกรรม ได้มีความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.ยา โดยสรุปความได้ว่า แม้ อย. จะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ แต่กลับไม่ได้นำหลักการตามที่เสนอมาแก้ไขปรับปรุง มีเพียงการเลือกบางประเด็นมาแก้ไขปรับปรุง ทั้งยังตัดหลักการที่ดีในร่างกฎหมายฉบับที่เปิดรับฟังความคิดเห็นทิ้ง นั่นหมายถึง อย. ไม่ให้ความสำคัญกับหลักการของกฎหมาย และไม่ได้นำข้อเสนอจากการรับฟังความคิดเห็นไปทบทวนปรับปรุง

เมื่อขั้นตอนการรับฟังความเห็นไม่เป็นไปอย่างโปร่งใสเช่นนี้แล้ว จึงนำมาสู่การคัดค้านจากองค์กรวิชาชีพและภาคประชาสังคมอย่างที่เกิดขึ้นขณะนี้

แบ่งประเภทยาผิดเพี้ยน

ร่าง พ.ร.บ.ยา มีการ ‘แบ่งประเภทยา’ ผิดไปจากหลักสากล โดยแบ่งออกเป็น

  1. ยาควบคุมพิเศษ
  2. ยาอันตราย
  3. ยาที่ไม่ใช่ยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษ
  4. ยาสามัญประจำบ้าน

แตกต่างจากหลักการสากลที่แบ่งประเภทยาออกเป็น

  1. ยาที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ (Prescription Only Medicines)
  2. ยาที่เภสัชกรเป็นผู้จ่าย (Pharmacy Only Medicines)
  3. ยาที่ประชาชนเลือกซื้อได้เอง (General sale list)

การปล่อยให้มี ‘ยาประเภทที่ 3’ (ยาที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ) ซึ่งมีอันตรายมากกว่ายาสามัญประจำบ้าน แต่กลับได้รับการประกาศยกเว้น และการปล่อยให้ยาอันตรายหลายรายการปรับระดับมาเป็นยาประเภทนี้ รวมทั้งเป็น ‘ยาสามัญประจำบ้าน’ ทำให้ประชาชนมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากการใช้ยา

ใครๆ ก็จ่ายยาได้

ภก.ปรุฬห์ รุจนธำรงค์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า ร่าง พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ ถือเป็นการลดมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคลงหลายประการ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบวิชาชีพอื่น นอกเหนือจากแพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ มีอำนาจในการสั่งจ่ายยาได้

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวงการธุรกิจ จะทำให้คลินิกสุขภาพสามารถอ้างเรื่องการจ่ายยาสำหรับผู้ป่วยเฉพาะราย โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตขายยา และมีลักษณะการดำเนินธุรกิจในลักษณะเดียวกับร้านยา

ข้อสังเกตเรื่องนี้คือ ผู้ที่ได้รับการยกเว้นในการจ่ายยา มีมาตรฐานการควบคุมต่ำกว่าผู้รับใบอนุญาตขายยา และเมื่อทำผิดกลับได้รับโทษเบากว่าผู้รับใบอนุญาตขายยาซึ่งมีมาตรฐานสูงกว่า กล่าวคือต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท แต่ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแล้ว บางกรณีมีบทลงโทษถึงขั้นจำคุก และระวางโทษสูงกว่า 10 เท่า

ทำเพื่อพยาบาล/รพ.สต. หรือผู้ประกอบวิชาชีพสุขภาพอื่น จริงหรือ?

จากเหตุผลที่ อย. หยิบยกขึ้นมาว่า การเปิดช่องให้วิชาชีพอื่นมีอำนาจสั่งจ่ายยา ก็เพื่อเอื้อต่อการทำงานของพยาบาลในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้สามารถจ่ายยาได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีกฎหมายรองรับ

ภก.ปรุฬห์ อธิบายว่า ในความเป็นจริง การผลิตยา การขายยา รวมถึงการจ่ายยานั้น เป็นการกระทำโดยกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันหรือรักษาโรค จึงได้รับการยกเว้นใบอนุญาตอยู่แล้ว ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 13 (1) (3) ดังนั้น โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง รวมถึง รพ.สต. จึงได้รับการคุ้มครองโดยอัตโนมัติ คนที่ทำงานในสถานพยาบาลเหล่านี้ก็เช่นกัน การปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก็ได้รับความคุ้มครองโดยอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมายยาในส่วนนี้แต่อย่างใด

การแก้กฎหมายในส่วนนี้กลับจะทำให้คลินิก (สถานพยาบาลเอกชน) ได้รับการยกเว้นในการจ่ายยาที่เกินกว่าสมรรถนะด้านยาที่มีอยู่ และมีความเสี่ยงที่จะขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต (ทำเกินกว่าการ ‘จ่ายยาให้ผู้ป่วยเฉพาะราย’)

เปิดช่องโฆษณายาสะพัด

ในความเห็นของ ภก.ปรุฬห์ มองว่า ร่าง พ.ร.บ.ยา มีการลดมาตรฐานการอนุญาตโฆษณา จากเดิมที่ต้องขออนุญาตทั้งหมด โดยเปิดช่องให้มีการจดแจ้งโฆษณาซึ่งลดระดับความเข้มงวดในการตรวจสอบเนื้อหาก่อนการโฆษณา ทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงต่อการได้รับโฆษณาเกินจริงนำไปสู่การซื้อยามาใช้อย่างไม่ปลอดภัย

นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ.ยา ยังลดความเข้มงวดในการตรวจสอบเภสัชชีววัตถุซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน โดยกำหนดให้ใช้วิธีจดแจ้งแทนที่จะใช้วิธีการขึ้นทะเบียนตำรับยาซึ่งมีความเข้มงวดมากกว่า

เอื้อประโยชน์ใคร

อาจารย์คณะคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุด้วยว่า นอกจากร่าง พ.ร.บ.ยา จะไม่คำนึงถึงหลักการแบ่งแยกบทบาทหน้าที่ของวิชาชีพ เพื่อช่วยกันดูแลผู้ป่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยังขาดธรรมาภิบาล และมีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้สถานประกอบการเอกชนมากกว่าจะมีลักษณะคุ้มครองผู้บริโภคหรือสร้างความมั่นคงด้านยา รวมทั้งขาดมาตรการควบคุมการขายยาผ่านสื่อสารสนเทศต่างๆ เช่น e-commerce, telepharmacy โดยภาพรวม ร่าง พ.ร.บ.ยา จึงดูเหมือนเป็นเรื่องธุรกิจ แต่แฝงว่าต้องการคุ้มครองประชาชน

อ้างอิง: เอกสารเรื่อง ‘ถาม-ตอบ ไขประเด็นดราม่า (ร่าง) พ.ร.บ.ยา ฉบับใหม่’ โดย ภก.ปรุฬห์ รุจนธำรงค์ วันที่ 3 กันยายน 2561