‘คลินิกกัญชา’ ความหวังบนทางท้าทาย

‘คลินิกกัญชา’ เป็นก้าวย่างสำคัญของการยกระดับกัญชาจากใต้ดินขึ้นสู่บนดิน ช่วงเวลาหลังจากนี้คือการพิสูจน์ตัวเองของกัญชาให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นในวงการแพทย์ และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วยทั้งโรคมะเร็ง ไมเกรน อัมพฤกษ์อัมพาต พาร์กินสัน และโรคอื่นๆ ที่ยังคงเฝ้ารอด้วยความหวัง

คลินิกกัญชาของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นอีกหนึ่งองคาพยพที่พยายามจะพิสูจน์ให้สังคมไทยเห็นว่า การรักษาตามแนวทางการแพทย์แผนไทยด้วยยาสมุนไพรจากกัญชา คือหนทางที่สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมานจากโรคร้ายลงได้ และมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ยาเป็นสำคัญ

ปันอาหาร ปันชีวิต สู้ COVID-19

วิกฤติ Covid-19 สั่นคลอนความมั่นคงทางอาหาร

การสร้างพื้นที่อาหารในเมืองควรจะเป็นเรื่องปกติ

คำถามก็คือ ทำอย่างไรเมืองและชุมชนจึงจะมีพื้นที่สร้างอาหาร

และเป็นอาหารที่ปลอดภัยแก่การบริโภค

ความเหลื่อมล้ำของโรคระบาด กับสองชนชั้นในนครนิวยอร์ค

แปลและเรียบเรียงโดย ดร.จิตติพร ฉายแสงมงคล

 

มหานครนิวยอร์คถือเป็นศูนย์กลางการระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกา โดยมีการประกาศพบผู้ติดเชื้อรายแรกอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2020 ซึ่งในวันที่ 7 มีนาคม แอนดรูว์ คูโอโม (Andrew Cuomo) ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน และมีประกาศปิดโรงเรียนทั้งหมดในนครนิวยอร์ค ในวันที่ 15 มีนาคม

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากชาวนิวยอร์คบางส่วนได้อพยพออกจากเมืองไปในช่วงเดือนมีนาคม จำนวนขยะในบางย่านลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ใครออกจากเมืองไปบ้าง และเรื่องนี้สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้อย่างไร

เควิน คีลลี (Kevin Quealy) จาก The New York Times กล่าวว่า ประชากรนครนิวยอร์คประมาณ 420,000 คน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 8,400,000 คน ได้อพยพออกจากเมืองในระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 1 พฤษภาคม 2020 โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านแมนฮัตตันที่ร่ำรวยที่สุดของเมือง ซึ่งตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของวิกฤติ COVID-19 มีจำนวนผู้อาศัยลดลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ย่านอื่นมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก 3 สำนัก ได้ทำการประเมินการเคลื่อนตัวของประชากรโดยใช้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือแบบไม่ระบุตัวตน เพื่อประเมินว่าคนนิวยอร์คเดินทางมากแค่ไหน และเดินทางไปที่ใด แม้ว่าข้อมูลประเภทนี้จะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง แต่บทวิเคราะห์ทั้ง 3 ชิ้นได้ผลออกมาใกล้เคียงกันคือ ประชากรทั้งเมืองลดลง 4-5 เปอร์เซ็นต์ โดยคนที่อพยพออกไปส่วนใหญ่มาจากย่านแมนฮัตตัน

ยิ่งในย่านนั้นมีคนรวยมากเท่าไหร่ ยิ่งมีคนอพยพออกไปมากเท่านั้น / ที่มา: https://www.nytimes.com/interactive/2020/05/15/upshot/who-left-new-york-coronavirus.html

รวยกว่า หนีก่อน

คิม ฟิลลิปส์-ไฟน์ (Kim Phillips-Fein) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤติส่งผลกระทบต่อคนแต่ละชนชั้นไม่เท่ากัน แม้นครนิวยอร์คจะมีวาทกรรมที่ว่า ‘เราจะไม่ทิ้งกัน’ แต่นั่นไม่สะท้อนความเป็นจริง

ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านแมนฮัตตันนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว จบการศึกษาสูง พวกเขาสามารถเดินหรือปั่นจักรยานไปที่ทำงาน หรือเลือกทำงานที่บ้านได้ และพวกเขามีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าคนอื่นๆ ในนครนิวยอร์คถึง 2 เท่า (คนย่านแมนฮัตตัน 8 แสนคน มีรายได้เฉลี่ย 3,850,000 บาทต่อปี คนที่เหลือในนิวยอร์ค จำนวน 7.6 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ย 1,940,000 บาทต่อปี)

นับตั้งแต่มีการระบาด ผู้มั่งคั่งในนครนิวยอร์คต่างย้ายไปอยู่ชานเมืองรอบๆ บ้างก็ไปหาเช่าหรือซื้อบ้านหลังที่สอง เพื่อหนีวิถีชีวิตที่แออัดในเมืองและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ บ้างก็มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่รัฐอื่น เช่น แถบชายหาดของรัฐฟลอริดา ซึ่งเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นช่วงหลังเหตุวินาศกรรม 9/11 ที่ขับเคลื่อนให้ตลาดบ้านชานเมืองนิวยอร์คคึกคักขึ้นมาพักหนึ่ง

กราฟแสดงร้อยละของผู้ที่อยู่บ้านจำแนกตามกลุ่มรายได้ ผู้มีรายได้สูงสุด 10 เปอร์เซ็นต์แรกในนิวยอร์ค เคลื่อนย้ายออกจากเมืองมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มวิกฤติ COVID-19 (แกนตั้งคือสัดส่วนคนที่อยู่บ้าน แกนนอนคือช่วงเวลาตั้งแต่ 1 มีนาคม – 1 พฤษภาคม 2020) / ที่มา: https://www.nytimes.com/interactive/2020/05/15/upshot/who-left-new-york-coronavirus.html

เรื่องของสองนคร

การระบาดของโคโรนาไวรัสเปิดเผยให้เห็นสังคมสองชนชั้นในนครนิวยอร์ค ในย่านคนผิวขาวที่มั่งคั่งกว่าจะสังเกตได้ว่าสภาพท้องถนนว่างเปล่า ลานจอดรถโล่ง เพราะผู้คนอพยพออกไปยังบ้านชานเมือง หรือทำงานจากที่บ้านและสั่งอาหารมารับประทานได้

ในขณะที่ย่านที่ยากจนกว่า อย่างย่านบรองซ์ ที่มีคนผิวสีอยู่กว่า 84 เปอร์เซ็นต์นั้น ถนนยังเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องเดินทางไปทำงาน เมื่อก่อนคนนิวยอร์คเคยเรียกพวกเขาว่า ‘พนักงานบริการ’ แต่ตอนนี้พวกเขาถูกเรียกว่า ‘พนักงานทัพหน้า’ (essencial workers) และต้องออกไปทำงานโดยไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานเหล่านี้เป็นชาวแอฟริกันอเมริกัน หรือ ‘ชาวฮิสแปนิค’ และทำงานเป็น พยาบาล พนักงานรถไฟใต้ดิน พนักงานสุขาภิบาล พนักงานขับรถตู้ พนักงานขายของชำ คนทำความสะอาด คนส่งอาหาร และคนขับรถบรรทุก เป็นต้น

ความเหลื่อมล้ำในสังคมนิวยอร์คนั้นได้สะท้อนออกมาผ่านจำนวนผู้ติดเชื้ออีกด้วย โดยเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีรายงานว่าชาวแอฟริกันอเมริกันมีแนวโน้มที่จะป่วยหนักจาก COVID-19 และมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตมากกว่าคนผิวขาวถึง 2 เท่า ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักรองลงมาคือ กลุ่มคนผิวขาวและคนเอเชีย

อูเช แบล็คสต็อค (Uché Blackstock) แพทย์เวชบำบัดวิกฤติในนิวยอร์ค กล่าวว่า “การระบาดครั้งนี้เผยให้เห็นความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่ในนครนิวยอร์คมาตลอด ถ้าเราละเลยคนของเราและไม่ใส่ใจกับชุมชนของเรา นี่คือสิ่งที่เราได้รับ”

อ้างอิง

การบริหารจัดการโรคเรื้อรังในภาวะวิกฤติโควิด-19

คคส. ร่วมกับ สภาเภสัชกรรมทำหนังสือถึงสภานายกพิเศษ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) และเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แจ้งข้อเสนอต่อรัฐบาลเกี่ยวกับข้อห่วงกังวลของสภาเภสัชกรรม ต่อการบริหารจัดการโรคเรื้อรังในภาวะวิกฤติโควิด-19 ในวันที่ 10 เมษายน 2563 สรุปสาระดังนี้

1) รัฐบาลต้องจัดให้มีกลไกกลางในการจัดหาและกระจายยาในรายการที่จำเป็น โดยเชื่อมโยงการบริหารระดับนโยบาย ระดับบริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น องค์การเภสัชกรรม สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน สภาเภสัชกรรม และนักวิชาการด้านยา

2) กระทรวงสาธารณสุขต้องมีนโยบายให้สถานบริการสั่งซื้อยาล่วงหน้า 6 เดือน แต่ทยอยการจัดส่งทุก 1-2 เดือน เพื่อให้โรงงานเตรียมจัดหาวัตถุดิบในการผลิตล่วงหน้า

3) ให้สถานบริการเร่งรัดการจ่ายเงินให้รวดเร็วภายในไม่เกิน 1 เดือนหลังจากได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้อุตสาหกรรมยาสามารถสำรองวัตถุดิบยาได้ 6 เดือนที่นานกว่าการสำรองปกติที่ 3 เดือน

4) ในกรณีจำเป็นตามคำเรียกร้องของสมาคมผู้ผลิตยาแผนปัจจุบัน ให้รัฐบาลประสานกับประเทศจีน อินเดีย และประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบ เพื่อซื้อวัตถุดิบยา ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจัดเครื่องบินไปรับวัตถุดิบยา ผลิตภัณฑ์ยา รวมถึงบรรจุภัณฑ์

5) ให้อุตสาหกรรมยาสำรองวัตถุดิบในการผลิตยา 6 เดือน รวมทั้งองค์การเภสัชกรรม

ซึ่งต่อมาในวันที่ 20 เมษายน 2563 เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้เชิญประชุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ

หนังสือสภาเภสัชกรรม ถึงสภานายกพิเศษแห่งสภาเภสัชกรรม (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) ข้อห่วงกังวลของสภาเภสัชกรรมต่อการบริหารจัดการโรคเรื้อรังในภาวะวิกฤติโควิด เรื่อง ขอนำส่งข้อห่วงกังวลของสภาเภสัชกรรมต่อการบริหารจัดการโรคเรื้อรังในภาวะวิกฤติโควิด-19

‘ฟ้าทะลายโจร’ ความหวังในวิกฤติ COVID-19

ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกพยายามคิดค้นวัคซีนเพื่อต่อสู้กับไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยเองก็ค้นพบว่าพืชสมุนไพรที่อยู่ใกล้ตัวเราอย่าง ‘ฟ้าทะลายโจร’ เป็นอีกหนึ่งความหวังที่อาจทำให้มนุษยชาติรอดพ้นจากมหันตภัยโรคระบาดครั้งนี้ได้

ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีคำอธิบายถึงผลการวิจัยในหลอดทดลองโดยความร่วมมือระหว่างกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เพื่อตอบคำถามสำคัญที่ว่า ฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณป้องกัน รักษา หรือฆ่าเชื้อ COVID-19 ได้จริงหรือไม่อย่างไร

ผลการศึกษาในครั้งนี้เป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ปัจจุบันอยู่ในขั้นศึกษาทดลองกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 คาดว่าอีกไม่กี่เดือนนับจากนี้ จะมีความคืบหน้าให้ติดตามต่อไป

 

ตรวจพบยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซตตกค้างใน ‘ถั่วเหลือง’

นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยผลตรวจ ‘ถั่วเหลือง’ พบยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซตตกค้างใน 5 ผลิตภัณฑ์ จากทั้งหมด 8 ผลิตภัณฑ์ พร้อมเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายยืนยันมติเดิมที่ให้ยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตรพาราควอต คลอร์ไพริฟอส ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 โดยไม่มีการเลื่อนออกไป และให้เร่งพิจารณาเพิกถอนไกลโฟเซตโดยเร็วที่สุด

จากการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เมล็ดถั่วเหลือง โดยนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2562 จำนวน 8 ตัวอย่าง จากห้างค้าปลีกและค้าส่ง เพื่อตรวจหาสารตกค้างจากยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซต ผลการทดสอบปรากฏดังนี้

ไม่พบสารไกลโฟเซต 3 ตัวอย่าง ได้แก่

  1. ถั่วเหลือง ตรา บิ๊กซี
  2. ถั่วเหลืองซีก ตรา ท็อปส์
  3. ถั่วเหลืองออร์แกนิค ตรา โฮม เฟรช มาร์ท

พบสารไกลโฟเซตตกค้าง 5 ตัวอย่าง ได้แก่

  1. ถั่วเหลือง ตรา ไร่ทิพย์ 0.53 มก./กก.
  2. ถั่วเหลือง ตรา ด็อกเตอร์กรีน 0.50 มก./กก.
  3. ถั่วเหลืองผ่าซีก ตรา แม็กกาแรต 0.24 มก./กก.
  4. ถั่วเหลืองซีก ตรา โฮม เฟรช มาร์ท 0.20 มก./กก.
  5. ถั่วเหลืองซีก ตรา เอโร่ 0.07 มก./กก.

ภาพ: นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า แม้ปริมาณสารไกลโฟเซตที่ตรวจพบจะมีค่าไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานอาหารสากลที่กำหนด คือ 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (MRL CODEX: glyphosate 2006) แต่การที่มีไกลโฟเซตตกค้างในผลิตผลทางการเกษตรก็ทำให้เกิดความเสี่ยงและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับการคุ้มครองตามสิทธิอันพึงมี

สารีกล่าวว่า ไกลโฟเซตถือเป็นสารเคมีอันตราย เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2A การสัมผัสสารจะเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่งผลต่อต่อมไร้ท่อ ที่ผ่านมาพบว่ามีการตกค้างในเลือดแม่และสะดือทารกแรกเกิดสูงถึง 50.7 เปอร์เซ็นต์ และมีคดีที่ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฟ้องร้องบริษัท มอนซานโต้-ไบเออร์ มากกว่า 10,000 คดีในสหรัฐอเมริกา จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย เร่งรัดการยกเลิกการใช้ไกลโฟเซตโดยเร็วที่สุด รวมทั้งขอให้ยุติการเลื่อนการใช้สารเคมีอันตราย 2 รายการ ได้แก่ พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสด้วย

เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ประกอบการ ขอให้ระบุในฉลากให้ชัดเจน หากมีการใช้ไกลโฟเซตในการเพาะปลูกหรือมีการนำเข้า และเรียกร้องกระทรวงเกษตรฯ ต้องบังคับให้มีการแจ้งแหล่งที่มาของอาหาร โดยระบุว่า “มีการใช้สารไกลโฟเซตในกระบวนการผลิต” เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนที่จะเลือกซื้อ และเพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับสารเคมีด้วยตนเอง

ทั้งนี้ ในวันที่ 30 เมษายน 2563 จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งคาดว่าอาจมีการพิจารณาเลื่อนการยกเลิกการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสออกไปเป็นปลายปี 2563 จากเดิมที่มีมติให้ยกเลิกการใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ส่วนสารไกลโฟเซตให้จำกัดการใช้ตามความเหมาะสม แต่ยังไม่มีมติให้เพิกถอน

องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน จึงได้ร่วมกับเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ได้จัดกิจกรรมเชิญชวนประชาชนร่วมกันชุมนุมออนไลน์ เพื่อแสดงพลังคัดค้านการเลื่อนการแบน 3 สารพิษ ด้วยการถ่ายรูปตัวเองหรือคนใกล้ชิด พร้อมติดแฮชแท็ก #MobFromHome #แบน3สารพิษเดี๋ยวนี้ #ครัวไทยต้องไม่ใช่ครัวโรค #อย่าฉวยโอกาสอ้างโควิดไม่แบน3สาร

‘คณะกรรมการวัตถุอันตราย’ ส่อเลื่อนแบนสารเคมีเกษตรอีก 6 เดือน อ้างพิษ COVID-19

เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ได้ติดตามมาตรการควบคุมการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต พบว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2563 ได้ปรากฏข่าวที่อ้างถึงหนังสือเลขที่ สค.065/2563 จาก นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศในการกำหนดให้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จากวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็น 31 ธันวาคม 2563 หรือจนกว่าการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส (COVID-19) จะสิ้นสุดลง และมีผู้ประกอบการธุรกิจเคมีเกษตรติดตามการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย และการต่ออายุวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต

นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมหารือเพื่อเลื่อนการแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชดังกล่าว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง โดย นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ เป็นตัวแทนเข้ายื่นหนังสือถึง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อคัดค้านการเลื่อนการแบนสารเคมีด้านการเกษตรทั้งสองชนิด

รายละเอียดหนังสือถึงประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย ให้ความเห็นว่า

1) ข้ออ้างของ นายกลินท์ สารสิน ที่ให้ขยายเวลาการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสออกไปเป็นปลายปี 2563 โดยกังวลเรื่องการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 2 ชนิด ในผลผลิตที่นำเข้าแล้วจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศนั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกแบนพาราควอตมากว่าทศวรรษ สหภาพยุโรปประกาศแบนคลอร์ไพริฟอสตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 หรือเวียดนามซึ่งแบนพาราควอตเมื่อปี 2560 และแบนคลอร์ไพริฟอสเมื่อต้นปี 2562 เป็นต้น ไม่มีประเทศใดอ้างปัญหาการตกค้างจนส่งผลกระทบต่อการผลิตและอุตสาหกรรมใดๆ เลย แม้กระทั่งจดหมายของสหรัฐเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ส่งมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อคัดค้านการแบนไกลโฟเซต แต่ก็ไม่ได้คัดค้านการแบนและอ้างการตกค้างของพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสแต่ประการใด

2) ไม่เห็นด้วยกับการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย และการต่ออายุวัตถุอันตรายเพิ่มเติม เนื่องจากเหตุผลหนึ่งที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ครั้งที่ 1-1/2562 วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 พิจารณาเลื่อนระยะเวลาการแบนออกไปอีก 6 เดือน เป็น 1 มิถุนายน 2563 เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนสามารถจำหน่ายสต็อคสารเคมีกำจัดศัตรูพืชคงค้าง โดยรัฐบาลไม่ต้องเสียค่าทำลาย การนำเข้ามาเพิ่มเติมเป็นการกระทำที่ขัดกับมติและเจตนาของการแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงของคณะกรรมการฯ เอง และจะถูกครหาว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน โดยปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรมรองรับ

3) เครือข่ายฯ ยืนยันข้อเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการออกประกาศกระทรวงว่าด้วยบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายและออกมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย ในการประชุมครั้งที่ 41-9/2562 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นมติโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยให้ปรับวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตร จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามหนังสือเลขที่ มชว.-คตส. 013/2563 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563

เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ระบุด้วยว่า

“ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤติ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ เครือข่ายฯ หวังว่าจะไม่เกิดการซ้ำเติมปัญหาสุขภาพทั้งของเกษตรกรและผู้บริโภค โดยยื้อการแบนสารพิษร้ายแรงทั้ง 3 ชนิดออกไป

“ภายใต้วิกฤตินี้ ประเทศต้องทบทวนการผลิตพืชอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวที่ใช้สารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมผสมผสานที่ลดการใช้สารเคมี ลดต้นทุนการผลิต และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับรายงานและข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ให้แบนสารเคมีร้ายแรงทั้ง 3 ชนิด และส่งเสริมเกษตรกรรมอินทรีย์และเกษตรกรรมยั่งยืนให้มีพื้นที่ 100 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เกษตรกรรมในปี 2573”

ขณะที่เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า นายกลินท์ สารสิน ชี้แจงเหตุผลในการทำหนังสือถึง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยขอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายที่จะประชุมในวันที่ 30 เมษายน นี้ พิจารณาผ่อนปรนขยายระยะเวลาบังคับใช้ประกาศแบนสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ออกไปก่อนชั่วคราว เพื่อหาทางออกสำหรับอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหาร โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปที่ยังจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ

“หากไทยแบนสารเคมีไปเลยอาจจะส่งผลให้อุตสาหกรรมขาดวัตถุดิบในการผลิต ดังนั้น ควรหาทางออกร่วมกัน เช่นว่า เป็นไปได้หรือไม่หากจะพิจารณาให้มีการจำกัดการใช้สารเคมี โดยยึดมาตรฐานสากล Codex ซึ่งได้กำหนดปริมาณขั้นต่ำ (minimum) ของสารเคมีในวัตถุดิบได้ ไม่ใช่เลิกเป็น 0 ไปเลย” นายกลินท์กล่าว

ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 มีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้งสามชนิดภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 และยกระดับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4

ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดใหม่ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรก โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธาน มีมติให้เลื่อนการแบน ‘พาราควอต’ และ ‘คลอร์ไพริฟอส’ ออกไปอีก 6 เดือน เป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ส่วน ‘ไกลโฟเซต’ ให้จำกัดการใช้และให้จัดอบรมการใช้อย่างเหมาะสม

ล่าสุดคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 30 เมษายน 2563 ซึ่งคาดว่าจะมีการเลื่อนการแบนสารเคมีออกไปอีก 6 เดือน หรือปลายปี 2563

สวัสดิการถ้วนหน้าคือวัคซีนฆ่าไวรัสความเหลื่อมล้ำ

นักวิจัยซึ่งเป็นคณาจารย์จากมหาวิทยาลัย 6 มหาวิทยาลัย รวมตัวกันในนามคณะนักวิจัย โครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง ได้ร่วมกันจัดทำการสำรวจผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจของโรคระบาดโควิด-19 ต่อคนจนเมืองเป็นการเร่งด่วน เพื่อต้องการทราบสถานการณ์ของคนจนเมืองในภาวะวิกฤติโควิด-19 การเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐ ตลอดจนเพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และบ้านของคนจนเมือง

ผลสำรวจพบว่า คนจนเมืองเกือบทั้งหมดของผู้ตอบแบบสอบถาม (89.90 เปอร์เซ็นต์) มีการดูแลตนเองด้วยการใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน พวกเขาแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนและมีราคาแพงด้วยการหันมาใช้หน้ากากผ้าที่มีราคาถูกกว่า บางครัวเรือนมีการปรับตัวมาเย็บหน้ากากอนามัยขายด้วย ข้อเท็จจริงนี้หักล้างความเข้าใจที่ว่า คนจนเป็นผู้ละเลยไม่ดูแลตนเองและอาจเป็นกลุ่มเสี่ยงของการแพร่เชื้อ ความเข้าใจที่ว่านี้เป็นความเข้าใจที่ผิด

  • 44.27 เปอร์เซ็นต์ พกเจลหรือแอลกอฮอล์ล้างมือทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
  • 29.45 เปอร์เซ็นต์ พกเจลหรือแอลกอฮอล์ล้างมือเป็นบางครั้งที่ออกจากบ้าน
  • 26.28 เปอร์เซ็นต์ ไม่พกเจลล้างมือหรือแอลกอฮอล์เมื่อออกจากบ้าน

คณะผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นเพราะเจลหรือแอลกอฮอล์มีราคาแพงกว่าหน้ากากอนามัยจึงมีผู้ใช้น้อยกว่า

ขณะที่สภาพที่อยู่อาศัยของคนจนเมืองไม่เอื้อให้จัดสรรพื้นที่ หากมีสมาชิกในครอบครัวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและต้องกักตนเอง

  • 43.79 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยเป็นที่กักสมาชิกในครอบครัวโดยแยกจากคนอื่น
  • 26.43 เปอร์เซ็นต์ ที่อยู่อาศัยไม่พร้อม แต่สามารถดัดแปลงได้
  • 29.78 เปอร์เซ็นต์ ที่อยู่อาศัยมีความเหมาะสมหากจะต้องใช้กักสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวแยกจากสมาชิกคนอื่นๆ

ข้อเท็จจริงประการนี้ สะท้อนว่า หากคนจนเมืองคนใดเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 รัฐจำเป็นต้องให้การดูแลให้การกักตนเองระหว่างดูอาการนั้นมีความเป็นไปได้ มิเช่นนั้น เขาอาจจะนำเชื้อไปเผยแพร่ให้สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวได้

อยู่บ้านเพื่อชาติ รายได้ลดลงเหลือเดือนละ 3,906 บาท

ข้อมูลจากการสำรวจแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มาตรการต่างๆ ของรัฐที่จำกัดการทำกิจกรรมนอกบ้านอย่างเข้มงวด โดยไม่มีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทำให้คนจนเมืองต่างประสบปัญหาความเดือดร้อนด้านเศรษฐกิจอย่างมากในหลายประการ

  • 18.87 เปอร์เซ็นต์ นายจ้างให้หยุดงานโดยสิ้นเชิง
  • 18.00 เปอร์เซ็นต์ นายจ้างให้ลดเวลาทำงานและรายได้ลดลง
  • 18.22 เปอร์เซ็นต์ ผู้ประกอบอาชีพค้าขายหาบเร่แผงลอยไม่สามารถค้าขายได้ เพราะพื้นที่ที่ค้าขายถูกจำกัด
  • 18.44 เปอร์เซ็นต์ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น ช่าง คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขับรถรับจ้าง รถตู้ ฯลฯ ก็ได้รับผลกระทบมีผู้ว่าจ้างน้อยลงหรือไม่มีเลย

เมื่อไม่สามารถประกอบอาชีพได้ดังปกติจึงทำให้รายได้ลดลง

  • 60.24 เปอร์เซ็นต์ รายได้ลดลงเกือบทั้งหมด
  • 31.21 เปอร์เซ็นต์ รายได้ลดลงราวครึ่งหนึ่ง

กล่าวได้ว่า คนจนเมืองมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากวิกฤติโควิด-19 มีเพียงผู้ที่ทำงานมีเงินเดือนประจำไม่ถึงร้อยละ 10 ของผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่ได้รับผลกระทบเลย

หากคำนวณเป็นรายได้ที่ลดลงของผู้ตอบแบบสำรวจ คนจนเมืองมีรายได้ลดลงเฉลี่ย 70.84 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมรายได้เฉลี่ยของคนจนเมืองผู้ตอบแบบสอบถามก่อนวิกฤติโควิด อยู่ที่ 13,397 บาท ต่อเดือน ดังนั้นในช่วงระหว่างวิกฤติคนจนเมืองผู้ตอบแบบสอบถามรายได้ลดลง 70.84 เปอร์เซ็นต์ หรือ 9,490 บาท ต่อเดือน คงเหลือรายได้เพียง 3,906 บาท ต่อเดือน

จากรายได้ที่ลดลงราว 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้คนจนเมืองประสบความเดือดร้อนในรูปแบบต่างๆ

  • 54.41 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีเงินชำระหนี้สิน ทั้งหนี้สินนอกระบบ หนี้รถจักรยานยนต์ หนี้รถปิคอัพ
  • 29.83 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีรายได้ถึงขนาดประสบปัญหาการกินอยู่ในชีวิตประจำวัน คนกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งดำรงชีพอยู่ได้จากการช่วยเหลือจากภาคเอกชน และบุคคลทั่วไปที่ทำอาหารแจกจ่ายให้ผู้เดือดร้อน
  • 33.82 เปอร์เซ็นต์ ต้องกู้หนี้ยืมสิน
  • 13.24 เปอร์เซ็นต์ ต้องนำข้าวของไปจำนำ
  • 26.05 เปอร์เซ็นต์ ประสบปัญหาไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าที่อยู่อาศัย ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะถูกเจ้าของบ้านหรือเจ้าของห้องขับไล่ให้กลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัย

ส่วนข้อเสนอที่ให้มีการปรับตัวมาทำงานที่บ้านหรือ work from home นั้น คนจนเมืองผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 79 ตอบว่า อาชีพที่ตัวเองทำนั้นไม่สามารถปรับตัวมาทำงานที่บ้านได้ ข้อเท็จจริงนี้จึงเป็นการตอกย้ำว่า คนจนเมืองเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมาตรการของรัฐที่จำกัดการออกไปทำงานนอกบ้าน เพราะคนจนเมืองต่างจากชนชั้นกลางหรือผู้ประกอบอาชีพอื่น ที่สามารถปรับตัวจากการทำงานในสำนักงานโดยเครื่องมือสารสนเทศทำงานที่บ้านได้

การเข้าถึงมาตรการเยียวยาของภาครัฐ

  • 66.67 เปอร์เซ็นต์ พยายามลงทะเบียนในโครงการคนไทยไม่ทิ้งกันของรัฐบาล
  • 51.87 เปอร์เซ็นต์ ลงทะเบียนสำเร็จ
  • 14.60 เปอร์เซ็นต์ ลงทะเบียนไม่สำเร็จ
  • 28.99 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ลงทะเบียน เพราะทราบว่าตนเองขาดคุณสมบัติ
  • 4.54 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่ทราบวิธีการในการลงทะเบียนจึงไม่ได้ลงทะเบียนขอรับสิทธิ

คณะนักวิจัยตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลว่า คนจนเมืองไม่ใช่เป็นคนฉวยโอกาส เพราะเกรงว่าหากไม่มีคุณสมบัติแล้วได้รับเงินจะมีความผิดในภายหลัง นอกจากนี้ ยังมีคนจนเมืองผู้ตอบแบบสอบถามอีก

เปลี่ยนการสงเคราะห์เป็นสวัสดิการถ้วนหน้า

คณะนักวิจัยได้ทำข้อเสนอต่อรัฐบาล ว่ารัฐควรปรับเปลี่ยนหลักคิดและวิธีการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในภาวะวิกฤตินี้จาก ‘การสงเคราะห์ผู้เดือดร้อน’ เป็น ‘การให้สวัสดิการถ้วนหน้า’ หรือเปลี่ยนวิธีการจาก ‘คัดคนเข้า’ เป็น ‘คัดคนออก’ กล่าวคือ แทนที่รัฐจะใช้วิธีการคัดกรองอย่างเข้มงวดว่า เฉพาะคนที่พิสูจน์และผ่านการตรวจสอบว่าได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างชัดเจนเท่านั้น จึงจะได้รับการสงเคราะห์ รัฐควรใช้หลักคิดใหม่ว่า คนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดต่างได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐทั้งสิ้น ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ คงมีเฉพาะคนส่วนน้อยที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น ข้าราชการประจำและพนักงานประจำรายเดือนที่ไม่ถูกลดชั่วโมงการทำงาน ยังคงมีรายได้เท่าเดิม ที่จะถูก ‘คัดออก’ ไม่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ

ส่วนคนกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด หากอยู่ในวัยทำงาน คนกลุ่มนี้ควรได้รับการช่วยเหลือทุกคน ดังเช่น หลายประเทศอย่าง สิงคโปร์ ไต้หวัน และ สหรัฐอเมริกา ต่างดำเนินการในแนวทางนี้ และรัฐต้องตระหนักว่า ภาครัฐไม่มีข้อมูลของคนกลุ่มนี้อย่างครบถ้วนและทันสมัย จึงไม่ควรยึดฐานข้อมูลของรัฐเป็นเกณฑ์ในการตัดสิทธิประชาชน หากแต่รัฐควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างฐานข้อมูลและให้การช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด แน่นอนว่า การจ่ายเงินด้วยหลักคิดใหม่นี้ ผู้ประกอบอาชีพอิสระบางรายที่ยังมีรายได้ตามปกติจะหลุดลอดเข้ามาเป็นผู้รับประโยชน์บ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว คนส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนจะได้รับความช่วยเหลืออย่างถ้วนหน้าและรวดเร็ว

จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2562 ชี้ว่า ประเทศไทยมีแรงงานรวม 37.5 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบมากกว่าครึ่งคือ 20.5 ล้านคน ซึ่งก็ใกล้เคียงกับตัวเลขผู้ลงทะเบียนในโครงการคนไทยไม่ทิ้งกัน หากรัฐให้การช่วยเหลือคนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน คือ 15,000 บาท ต่อคน ก็จะใช้เงินราว 300,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเพียงครึ่งหนึ่งของงบประมาณที่ตั้งไว้ 600,000 ล้านบาท ที่สำคัญจะเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนได้อย่างถ้วนหน้าและทันท่วงที

ตรงกันข้าม วิธีการที่กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้สะท้อนหลักคิดที่ผิดพลาด คือมุ่งคัดกรองเฉพาะคนผ่านตะแกรงร่อนมารับความช่วยเหลือ โดยไม่ได้ตระหนักว่า มาตรการที่เข้มงวดของรัฐ ทำให้ผู้ประกอบอาชีพนอกระบบต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า อีกทั้งวิธีการดังกล่าวยังล่าช้าและเกิดข้อผิดพลาดในหลายกรณี เพราะเชื่อมั่นในระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) มากเกินไป โดยไม่ได้ตระหนักว่าระบบ AI หากไม่มีฐานข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับมาตรการของภาครัฐ คณะนักวิจัยเสนอว่า รัฐควรผ่อนปรนเปิดพื้นที่ค้าขายและการใช้พื้นที่สาธารณะอย่างมีการจัดการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดได้คลี่คลายลงและการดำเนินชีวิตของประชาชนก็ต่างตื่นตัวในการป้องกันตนเอง ดังนั้นการเปิดพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ค้าขายอย่างมีการจัดการ เช่น การสวมหน้ากากอนามัย มีเจลหรือแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างทั่วถึง

การจัดพื้นที่ไม่ให้ผู้คนอยู่ใกล้ชิดกัน การต่อคิวอย่างมีระยะห่าง ฯลฯ จะช่วยฟื้นชีวิตทางเศรษฐกิจให้คนจนเมืองและทำให้ผู้คนในเมืองมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และมีความปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน

ในช่วงภาวะวิกฤติ รัฐควรเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่รัฐให้แก่ผู้สูงอายุคนละ 600-800 บาท ต่อเดือนตามช่วงอายุ เป็น 2,000 บาท เพราะครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุต่างก็ประสบภาวะฝืดเคืองในช่วงภาวะวิกฤติ การเพิ่มเงินในส่วนนี้ขึ้นไประดับหนึ่งอย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาภาระของครัวเรือนต่างๆ ได้

 

ความจริงที่ถูกซ่อน ใต้ฉลากอาหาร GMO

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตรียมผลักดัน (ร่าง)​ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. … เรื่องการแสดงฉลากอาหารที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม หรือ GMO โดยกำหนดให้อาหารที่มีส่วนประกอบของ GMO เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ต้องแสดงข้อมูลบนฉลาก

พูดให้ชัดกว่านั้นคือ ผลิตภัณฑ์อาหารที่มี GMO ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องติดฉลากให้ผู้บริโภครับรู้

คำถามมีอยู่ว่า เนื้อหาของร่างประกาศฉบับนี้เท่ากับเป็นการปิดบังข้อมูลแก่ผู้บริโภค อันเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภคที่จะได้รับข้อมูลการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัย ใช่หรือไม่?

ค้านรัฐบาลตัดงบบัตรทอง 2,400 ล้าน ไม่เห็นหัวประชาชน

‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คัดค้านการตัดงบบัตรทองและงบสาธารณสุขรวมทั้งสิ้นกว่า 3,300 ล้านบาท เนื่องจากผิดหลักการโอนงบประมาณ กระทบต่อคุณภาพการให้บริการของโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

การคัดค้านดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อนำมาจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. … ในกรอบวงเงิน 100,395 ล้านบาท โดยให้ตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) จำนวน 2,400 ล้านบาท และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท จากนั้นจะนำสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระที่ 1, 2 และ 3 วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 และคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2563

ทั้งนี้ ในการจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบฯ รัฐบาลอ้างว่าจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือเยียวยา และบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และปัญหาภัยพิบัติ ภัยแล้ง อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รวมทั้งกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็นอื่น

“พวกเรา ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ เป็นประชาชนที่รวมตัวกันเพื่อสนับสนุนให้เกิดรัฐสวัสดิการและมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้มีความยั่งยืนมาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ขอคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยเฉพาะการตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรืองบบัตรทอง และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข”

เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึก ระบุเหตุผลว่า

  1. งบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ งบบัตรทอง จำนวน 2,400 ล้านบาท คือเงินในส่วนที่เรียกว่า ค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 49 ล้านคน ถือเป็นงบกองทุนรักษาพยาบาล เป็นลักษณะรายจ่ายประจำที่เป็นไปเพื่อการจัดสวัสดิการแห่งรัฐ หรือค่าใช้จ่ายรายหัวตามสิทธิพื้นฐานจากการบริการของรัฐที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน อันเป็นหลักการสำคัญที่จะไม่นำงบประมาณรายจ่ายส่วนนี้ไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย ขณะที่งบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท งบลงทุนซ่อม-สร้างอาคาร ห้องพักผู้ป่วย ห้องพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ไม่ใช่งบประมาณค่าใช้จ่ายในการสัมมนา การฝึกอบรม การประชาสัมพันธ์ การจ้างที่ปรึกษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ หรืองบบริหาร ซึ่งหากมีการดึงงบประมาณส่วนนี้ไป ย่อมส่งผลกระทบกับโรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศและคุณภาพในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยโดยรวม
  1. ภายใต้วิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโครานาสายพันธุ์ใหม่นี้ อาจดูเหมือนว่าประชาชนมารับการรักษาพยาบาลตามหน่วยบริการต่างๆ น้อยลง แต่นั่นเป็นเพราะประชาชนได้รับคำแนะนำให้ชะลอการเข้ามารับการรักษาพยาบาล อีกทั้งโรงพยาบาลต้องดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดความแออัดของหน่วยบริการ เพื่อรองรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีที่สุด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ภาระโรค หรือภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประชาชนจะลดน้อยลงไป หากงบประมาณด้านรักษาพยาบาลถูกปรับลดลง จะสร้างภาระด้านการเงิน เพิ่มภาระการบริหารจัดการภายใน ส่งผลต่อภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลประชาชนในภาพรวมอย่างแน่นอน ดังนั้น แม้คณะรัฐมนตรีจะเตรียมงบประมาณสนับสนุนการรักษาพยาบาล COVID-19 ก็ไม่พึงตัดลดงบประมาณกองทุนบัตรทองและค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ

“พวกเราในนามกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ขอเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีทบทวนรายละเอียดดังกล่าว โดยยกเลิกการตัดงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2,400 ล้านบาท และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท ไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย และขอให้การใช้จ่ายงบประมาณต่างๆ ตาม พ.ร.บ.โอนเงินฯ และ พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับ เป็นไปอย่างเปิดเผย เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะเป็นการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนในภาวะวิกฤติก็ตาม” กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ระบุ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เว็บไซต์กรมสรรพาวุธทหารบก ได้เผยแพร่ประกาศกองทัพบก เรื่อง เผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เกี่ยวกับการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง พร้อมระบบอาวุธ จำนวน 50 คัน วงเงิน 4,515 ล้านบาท คาดว่าจะมีการประกาศจัดซื้อจัดจ้างในช่วงเดือนเมษายนนี้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19

อีกทั้งสำนักข่าวประชาไท ยังมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา กรมสรรพาวุธทหารบก ได้มีประกาศเรื่องการจ้างซ่อมปรับปรุงปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานกว่า 446 ล้านบาท และแผนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับสนับสนุนรถถังหลัก จำนวน 4 รายการ วงเงินเกือบ 200 ล้านบาทอีกด้วย