วิกฤติ Covid-19 สั่นคลอนความมั่นคงทางอาหาร
การสร้างพื้นที่อาหารในเมืองควรจะเป็นเรื่องปกติ
คำถามก็คือ ทำอย่างไรเมืองและชุมชนจึงจะมีพื้นที่สร้างอาหาร
และเป็นอาหารที่ปลอดภัยแก่การบริโภค
NEWS post type
วิกฤติ Covid-19 สั่นคลอนความมั่นคงทางอาหาร
การสร้างพื้นที่อาหารในเมืองควรจะเป็นเรื่องปกติ
คำถามก็คือ ทำอย่างไรเมืองและชุมชนจึงจะมีพื้นที่สร้างอาหาร
และเป็นอาหารที่ปลอดภัยแก่การบริโภค
มหานครนิวยอร์คถือเป็นศูนย์กลางการระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกา โดยมีการประกาศพบผู้ติดเชื้อรายแรกอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2020 ซึ่งในวันที่ 7 มีนาคม แอนดรูว์ คูโอโม (Andrew Cuomo) ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน และมีประกาศปิดโรงเรียนทั้งหมดในนครนิวยอร์ค ในวันที่ 15 มีนาคม
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากชาวนิวยอร์คบางส่วนได้อพยพออกจากเมืองไปในช่วงเดือนมีนาคม จำนวนขยะในบางย่านลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ใครออกจากเมืองไปบ้าง และเรื่องนี้สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้อย่างไร
เควิน คีลลี (Kevin Quealy) จาก The New York Times กล่าวว่า ประชากรนครนิวยอร์คประมาณ 420,000 คน จากประชากรทั้งหมดประมาณ 8,400,000 คน ได้อพยพออกจากเมืองในระหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 1 พฤษภาคม 2020 โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านแมนฮัตตันที่ร่ำรวยที่สุดของเมือง ซึ่งตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของวิกฤติ COVID-19 มีจำนวนผู้อาศัยลดลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ย่านอื่นมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จาก 3 สำนัก ได้ทำการประเมินการเคลื่อนตัวของประชากรโดยใช้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือแบบไม่ระบุตัวตน เพื่อประเมินว่าคนนิวยอร์คเดินทางมากแค่ไหน และเดินทางไปที่ใด แม้ว่าข้อมูลประเภทนี้จะมีความคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง แต่บทวิเคราะห์ทั้ง 3 ชิ้นได้ผลออกมาใกล้เคียงกันคือ ประชากรทั้งเมืองลดลง 4-5 เปอร์เซ็นต์ โดยคนที่อพยพออกไปส่วนใหญ่มาจากย่านแมนฮัตตัน
คิม ฟิลลิปส์-ไฟน์ (Kim Phillips-Fein) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤติส่งผลกระทบต่อคนแต่ละชนชั้นไม่เท่ากัน แม้นครนิวยอร์คจะมีวาทกรรมที่ว่า ‘เราจะไม่ทิ้งกัน’ แต่นั่นไม่สะท้อนความเป็นจริง
ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านแมนฮัตตันนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว จบการศึกษาสูง พวกเขาสามารถเดินหรือปั่นจักรยานไปที่ทำงาน หรือเลือกทำงานที่บ้านได้ และพวกเขามีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าคนอื่นๆ ในนครนิวยอร์คถึง 2 เท่า (คนย่านแมนฮัตตัน 8 แสนคน มีรายได้เฉลี่ย 3,850,000 บาทต่อปี คนที่เหลือในนิวยอร์ค จำนวน 7.6 ล้านคน มีรายได้เฉลี่ย 1,940,000 บาทต่อปี)
นับตั้งแต่มีการระบาด ผู้มั่งคั่งในนครนิวยอร์คต่างย้ายไปอยู่ชานเมืองรอบๆ บ้างก็ไปหาเช่าหรือซื้อบ้านหลังที่สอง เพื่อหนีวิถีชีวิตที่แออัดในเมืองและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ บ้างก็มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่รัฐอื่น เช่น แถบชายหาดของรัฐฟลอริดา ซึ่งเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เกิดขึ้นช่วงหลังเหตุวินาศกรรม 9/11 ที่ขับเคลื่อนให้ตลาดบ้านชานเมืองนิวยอร์คคึกคักขึ้นมาพักหนึ่ง
การระบาดของโคโรนาไวรัสเปิดเผยให้เห็นสังคมสองชนชั้นในนครนิวยอร์ค ในย่านคนผิวขาวที่มั่งคั่งกว่าจะสังเกตได้ว่าสภาพท้องถนนว่างเปล่า ลานจอดรถโล่ง เพราะผู้คนอพยพออกไปยังบ้านชานเมือง หรือทำงานจากที่บ้านและสั่งอาหารมารับประทานได้
ในขณะที่ย่านที่ยากจนกว่า อย่างย่านบรองซ์ ที่มีคนผิวสีอยู่กว่า 84 เปอร์เซ็นต์นั้น ถนนยังเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องเดินทางไปทำงาน เมื่อก่อนคนนิวยอร์คเคยเรียกพวกเขาว่า ‘พนักงานบริการ’ แต่ตอนนี้พวกเขาถูกเรียกว่า ‘พนักงานทัพหน้า’ (essencial workers) และต้องออกไปทำงานโดยไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานเหล่านี้เป็นชาวแอฟริกันอเมริกัน หรือ ‘ชาวฮิสแปนิค’ และทำงานเป็น พยาบาล พนักงานรถไฟใต้ดิน พนักงานสุขาภิบาล พนักงานขับรถตู้ พนักงานขายของชำ คนทำความสะอาด คนส่งอาหาร และคนขับรถบรรทุก เป็นต้น
ความเหลื่อมล้ำในสังคมนิวยอร์คนั้นได้สะท้อนออกมาผ่านจำนวนผู้ติดเชื้ออีกด้วย โดยเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีรายงานว่าชาวแอฟริกันอเมริกันมีแนวโน้มที่จะป่วยหนักจาก COVID-19 และมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตมากกว่าคนผิวขาวถึง 2 เท่า ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักรองลงมาคือ กลุ่มคนผิวขาวและคนเอเชีย
อูเช แบล็คสต็อค (Uché Blackstock) แพทย์เวชบำบัดวิกฤติในนิวยอร์ค กล่าวว่า “การระบาดครั้งนี้เผยให้เห็นความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่ในนครนิวยอร์คมาตลอด ถ้าเราละเลยคนของเราและไม่ใส่ใจกับชุมชนของเรา นี่คือสิ่งที่เราได้รับ”
คคส. ร่วมกับ สภาเภสัชกรรมทำหนังสือถึงสภานายกพิเศษ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข) และเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แจ้งข้อเสนอต่อรัฐบาลเกี่ยวกับข้อห่วงกังวลของสภาเภสัชกรรม ต่อการบริหารจัดการโรคเรื้อรังในภาวะวิกฤติโควิด-19 ในวันที่ 10 เมษายน 2563 สรุปสาระดังนี้
1) รัฐบาลต้องจัดให้มีกลไกกลางในการจัดหาและกระจายยาในรายการที่จำเป็น โดยเชื่อมโยงการบริหารระดับนโยบาย ระดับบริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น องค์การเภสัชกรรม สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน สภาเภสัชกรรม และนักวิชาการด้านยา
2) กระทรวงสาธารณสุขต้องมีนโยบายให้สถานบริการสั่งซื้อยาล่วงหน้า 6 เดือน แต่ทยอยการจัดส่งทุก 1-2 เดือน เพื่อให้โรงงานเตรียมจัดหาวัตถุดิบในการผลิตล่วงหน้า
3) ให้สถานบริการเร่งรัดการจ่ายเงินให้รวดเร็วภายในไม่เกิน 1 เดือนหลังจากได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้อุตสาหกรรมยาสามารถสำรองวัตถุดิบยาได้ 6 เดือนที่นานกว่าการสำรองปกติที่ 3 เดือน
4) ในกรณีจำเป็นตามคำเรียกร้องของสมาคมผู้ผลิตยาแผนปัจจุบัน ให้รัฐบาลประสานกับประเทศจีน อินเดีย และประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบ เพื่อซื้อวัตถุดิบยา ในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจัดเครื่องบินไปรับวัตถุดิบยา ผลิตภัณฑ์ยา รวมถึงบรรจุภัณฑ์
5) ให้อุตสาหกรรมยาสำรองวัตถุดิบในการผลิตยา 6 เดือน รวมทั้งองค์การเภสัชกรรม
ซึ่งต่อมาในวันที่ 20 เมษายน 2563 เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้เชิญประชุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อนำข้อเสนอเชิงนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ
ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกพยายามคิดค้นวัคซีนเพื่อต่อสู้กับไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยเองก็ค้นพบว่าพืชสมุนไพรที่อยู่ใกล้ตัวเราอย่าง ‘ฟ้าทะลายโจร’ เป็นอีกหนึ่งความหวังที่อาจทำให้มนุษยชาติรอดพ้นจากมหันตภัยโรคระบาดครั้งนี้ได้
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มีคำอธิบายถึงผลการวิจัยในหลอดทดลองโดยความร่วมมือระหว่างกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เพื่อตอบคำถามสำคัญที่ว่า ฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณป้องกัน รักษา หรือฆ่าเชื้อ COVID-19 ได้จริงหรือไม่อย่างไร
ผลการศึกษาในครั้งนี้เป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ปัจจุบันอยู่ในขั้นศึกษาทดลองกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 คาดว่าอีกไม่กี่เดือนนับจากนี้ จะมีความคืบหน้าให้ติดตามต่อไป
นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยผลตรวจ ‘ถั่วเหลือง’ พบยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซตตกค้างใน 5 ผลิตภัณฑ์ จากทั้งหมด 8 ผลิตภัณฑ์ พร้อมเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายยืนยันมติเดิมที่ให้ยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตรพาราควอต คลอร์ไพริฟอส ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 โดยไม่มีการเลื่อนออกไป และให้เร่งพิจารณาเพิกถอนไกลโฟเซตโดยเร็วที่สุด
จากการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เมล็ดถั่วเหลือง โดยนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2562 จำนวน 8 ตัวอย่าง จากห้างค้าปลีกและค้าส่ง เพื่อตรวจหาสารตกค้างจากยาฆ่าหญ้าไกลโฟเซต ผลการทดสอบปรากฏดังนี้
ไม่พบสารไกลโฟเซต 3 ตัวอย่าง ได้แก่
พบสารไกลโฟเซตตกค้าง 5 ตัวอย่าง ได้แก่
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า แม้ปริมาณสารไกลโฟเซตที่ตรวจพบจะมีค่าไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานอาหารสากลที่กำหนด คือ 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (MRL CODEX: glyphosate 2006) แต่การที่มีไกลโฟเซตตกค้างในผลิตผลทางการเกษตรก็ทำให้เกิดความเสี่ยงและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับการคุ้มครองตามสิทธิอันพึงมี
สารีกล่าวว่า ไกลโฟเซตถือเป็นสารเคมีอันตราย เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2A การสัมผัสสารจะเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่งผลต่อต่อมไร้ท่อ ที่ผ่านมาพบว่ามีการตกค้างในเลือดแม่และสะดือทารกแรกเกิดสูงถึง 50.7 เปอร์เซ็นต์ และมีคดีที่ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฟ้องร้องบริษัท มอนซานโต้-ไบเออร์ มากกว่า 10,000 คดีในสหรัฐอเมริกา จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย เร่งรัดการยกเลิกการใช้ไกลโฟเซตโดยเร็วที่สุด รวมทั้งขอให้ยุติการเลื่อนการใช้สารเคมีอันตราย 2 รายการ ได้แก่ พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสด้วย
เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ประกอบการ ขอให้ระบุในฉลากให้ชัดเจน หากมีการใช้ไกลโฟเซตในการเพาะปลูกหรือมีการนำเข้า และเรียกร้องกระทรวงเกษตรฯ ต้องบังคับให้มีการแจ้งแหล่งที่มาของอาหาร โดยระบุว่า “มีการใช้สารไกลโฟเซตในกระบวนการผลิต” เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนที่จะเลือกซื้อ และเพื่อหลีกเลี่ยงการได้รับสารเคมีด้วยตนเอง
ทั้งนี้ ในวันที่ 30 เมษายน 2563 จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งคาดว่าอาจมีการพิจารณาเลื่อนการยกเลิกการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสออกไปเป็นปลายปี 2563 จากเดิมที่มีมติให้ยกเลิกการใช้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ส่วนสารไกลโฟเซตให้จำกัดการใช้ตามความเหมาะสม แต่ยังไม่มีมติให้เพิกถอน
องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน จึงได้ร่วมกับเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN) ได้จัดกิจกรรมเชิญชวนประชาชนร่วมกันชุมนุมออนไลน์ เพื่อแสดงพลังคัดค้านการเลื่อนการแบน 3 สารพิษ ด้วยการถ่ายรูปตัวเองหรือคนใกล้ชิด พร้อมติดแฮชแท็ก #MobFromHome #แบน3สารพิษเดี๋ยวนี้ #ครัวไทยต้องไม่ใช่ครัวโรค #อย่าฉวยโอกาสอ้างโควิดไม่แบน3สาร
เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ได้ติดตามมาตรการควบคุมการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต พบว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2563 ได้ปรากฏข่าวที่อ้างถึงหนังสือเลขที่ สค.065/2563 จาก นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อขอขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศในการกำหนดให้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 จากวันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็น 31 ธันวาคม 2563 หรือจนกว่าการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส (COVID-19) จะสิ้นสุดลง และมีผู้ประกอบการธุรกิจเคมีเกษตรติดตามการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย และการต่ออายุวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมหารือเพื่อเลื่อนการแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชดังกล่าว
ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง โดย นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ เป็นตัวแทนเข้ายื่นหนังสือถึง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อคัดค้านการเลื่อนการแบนสารเคมีด้านการเกษตรทั้งสองชนิด
รายละเอียดหนังสือถึงประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย ให้ความเห็นว่า
1) ข้ออ้างของ นายกลินท์ สารสิน ที่ให้ขยายเวลาการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสออกไปเป็นปลายปี 2563 โดยกังวลเรื่องการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้ง 2 ชนิด ในผลผลิตที่นำเข้าแล้วจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศนั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกแบนพาราควอตมากว่าทศวรรษ สหภาพยุโรปประกาศแบนคลอร์ไพริฟอสตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 หรือเวียดนามซึ่งแบนพาราควอตเมื่อปี 2560 และแบนคลอร์ไพริฟอสเมื่อต้นปี 2562 เป็นต้น ไม่มีประเทศใดอ้างปัญหาการตกค้างจนส่งผลกระทบต่อการผลิตและอุตสาหกรรมใดๆ เลย แม้กระทั่งจดหมายของสหรัฐเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ส่งมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อคัดค้านการแบนไกลโฟเซต แต่ก็ไม่ได้คัดค้านการแบนและอ้างการตกค้างของพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสแต่ประการใด
2) ไม่เห็นด้วยกับการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตราย และการต่ออายุวัตถุอันตรายเพิ่มเติม เนื่องจากเหตุผลหนึ่งที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ครั้งที่ 1-1/2562 วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 พิจารณาเลื่อนระยะเวลาการแบนออกไปอีก 6 เดือน เป็น 1 มิถุนายน 2563 เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนสามารถจำหน่ายสต็อคสารเคมีกำจัดศัตรูพืชคงค้าง โดยรัฐบาลไม่ต้องเสียค่าทำลาย การนำเข้ามาเพิ่มเติมเป็นการกระทำที่ขัดกับมติและเจตนาของการแบนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูงของคณะกรรมการฯ เอง และจะถูกครหาว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน โดยปราศจากเหตุผลที่ชอบธรรมรองรับ
3) เครือข่ายฯ ยืนยันข้อเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย กระทรวงอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการออกประกาศกระทรวงว่าด้วยบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายและออกมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย ในการประชุมครั้งที่ 41-9/2562 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นมติโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยให้ปรับวัตถุอันตรายพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตร จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามหนังสือเลขที่ มชว.-คตส. 013/2563 ลงวันที่ 15 เมษายน 2563
เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ระบุด้วยว่า
“ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤติ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจ เครือข่ายฯ หวังว่าจะไม่เกิดการซ้ำเติมปัญหาสุขภาพทั้งของเกษตรกรและผู้บริโภค โดยยื้อการแบนสารพิษร้ายแรงทั้ง 3 ชนิดออกไป
“ภายใต้วิกฤตินี้ ประเทศต้องทบทวนการผลิตพืชอุตสาหกรรมเชิงเดี่ยวที่ใช้สารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ปรับเปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมผสมผสานที่ลดการใช้สารเคมี ลดต้นทุนการผลิต และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับรายงานและข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ให้แบนสารเคมีร้ายแรงทั้ง 3 ชนิด และส่งเสริมเกษตรกรรมอินทรีย์และเกษตรกรรมยั่งยืนให้มีพื้นที่ 100 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เกษตรกรรมในปี 2573”
ขณะที่เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า นายกลินท์ สารสิน ชี้แจงเหตุผลในการทำหนังสือถึง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยขอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายที่จะประชุมในวันที่ 30 เมษายน นี้ พิจารณาผ่อนปรนขยายระยะเวลาบังคับใช้ประกาศแบนสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ออกไปก่อนชั่วคราว เพื่อหาทางออกสำหรับอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหาร โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปที่ยังจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ
“หากไทยแบนสารเคมีไปเลยอาจจะส่งผลให้อุตสาหกรรมขาดวัตถุดิบในการผลิต ดังนั้น ควรหาทางออกร่วมกัน เช่นว่า เป็นไปได้หรือไม่หากจะพิจารณาให้มีการจำกัดการใช้สารเคมี โดยยึดมาตรฐานสากล Codex ซึ่งได้กำหนดปริมาณขั้นต่ำ (minimum) ของสารเคมีในวัตถุดิบได้ ไม่ใช่เลิกเป็น 0 ไปเลย” นายกลินท์กล่าว
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 มีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทั้งสามชนิดภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 และยกระดับเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4
ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดใหม่ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรก โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธาน มีมติให้เลื่อนการแบน ‘พาราควอต’ และ ‘คลอร์ไพริฟอส’ ออกไปอีก 6 เดือน เป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ส่วน ‘ไกลโฟเซต’ ให้จำกัดการใช้และให้จัดอบรมการใช้อย่างเหมาะสม
ล่าสุดคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีการประชุมอีกครั้งในวันที่ 30 เมษายน 2563 ซึ่งคาดว่าจะมีการเลื่อนการแบนสารเคมีออกไปอีก 6 เดือน หรือปลายปี 2563
นักวิจัยซึ่งเป็นคณาจารย์จากมหาวิทยาลัย 6 มหาวิทยาลัย รวมตัวกันในนามคณะนักวิจัย โครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง ได้ร่วมกันจัดทำการสำรวจผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจของโรคระบาดโควิด-19 ต่อคนจนเมืองเป็นการเร่งด่วน เพื่อต้องการทราบสถานการณ์ของคนจนเมืองในภาวะวิกฤติโควิด-19 การเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือของรัฐ ตลอดจนเพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะทางนโยบายต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผลสำรวจพบว่า คนจนเมืองเกือบทั้งหมดของผู้ตอบแบบสอบถาม (89.90 เปอร์เซ็นต์) มีการดูแลตนเองด้วยการใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน พวกเขาแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนและมีราคาแพงด้วยการหันมาใช้หน้ากากผ้าที่มีราคาถูกกว่า บางครัวเรือนมีการปรับตัวมาเย็บหน้ากากอนามัยขายด้วย ข้อเท็จจริงนี้หักล้างความเข้าใจที่ว่า คนจนเป็นผู้ละเลยไม่ดูแลตนเองและอาจเป็นกลุ่มเสี่ยงของการแพร่เชื้อ ความเข้าใจที่ว่านี้เป็นความเข้าใจที่ผิด
คณะผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นเพราะเจลหรือแอลกอฮอล์มีราคาแพงกว่าหน้ากากอนามัยจึงมีผู้ใช้น้อยกว่า
ขณะที่สภาพที่อยู่อาศัยของคนจนเมืองไม่เอื้อให้จัดสรรพื้นที่ หากมีสมาชิกในครอบครัวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและต้องกักตนเอง
ข้อเท็จจริงประการนี้ สะท้อนว่า หากคนจนเมืองคนใดเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 รัฐจำเป็นต้องให้การดูแลให้การกักตนเองระหว่างดูอาการนั้นมีความเป็นไปได้ มิเช่นนั้น เขาอาจจะนำเชื้อไปเผยแพร่ให้สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวได้
ข้อมูลจากการสำรวจแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า มาตรการต่างๆ ของรัฐที่จำกัดการทำกิจกรรมนอกบ้านอย่างเข้มงวด โดยไม่มีการเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทำให้คนจนเมืองต่างประสบปัญหาความเดือดร้อนด้านเศรษฐกิจอย่างมากในหลายประการ
เมื่อไม่สามารถประกอบอาชีพได้ดังปกติจึงทำให้รายได้ลดลง
กล่าวได้ว่า คนจนเมืองมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากวิกฤติโควิด-19 มีเพียงผู้ที่ทำงานมีเงินเดือนประจำไม่ถึงร้อยละ 10 ของผู้ตอบแบบสำรวจที่ได้รับผลกระทบน้อยหรือไม่ได้รับผลกระทบเลย
หากคำนวณเป็นรายได้ที่ลดลงของผู้ตอบแบบสำรวจ คนจนเมืองมีรายได้ลดลงเฉลี่ย 70.84 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมรายได้เฉลี่ยของคนจนเมืองผู้ตอบแบบสอบถามก่อนวิกฤติโควิด อยู่ที่ 13,397 บาท ต่อเดือน ดังนั้นในช่วงระหว่างวิกฤติคนจนเมืองผู้ตอบแบบสอบถามรายได้ลดลง 70.84 เปอร์เซ็นต์ หรือ 9,490 บาท ต่อเดือน คงเหลือรายได้เพียง 3,906 บาท ต่อเดือน
จากรายได้ที่ลดลงราว 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้คนจนเมืองประสบความเดือดร้อนในรูปแบบต่างๆ
ส่วนข้อเสนอที่ให้มีการปรับตัวมาทำงานที่บ้านหรือ work from home นั้น คนจนเมืองผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 79 ตอบว่า อาชีพที่ตัวเองทำนั้นไม่สามารถปรับตัวมาทำงานที่บ้านได้ ข้อเท็จจริงนี้จึงเป็นการตอกย้ำว่า คนจนเมืองเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมาตรการของรัฐที่จำกัดการออกไปทำงานนอกบ้าน เพราะคนจนเมืองต่างจากชนชั้นกลางหรือผู้ประกอบอาชีพอื่น ที่สามารถปรับตัวจากการทำงานในสำนักงานโดยเครื่องมือสารสนเทศทำงานที่บ้านได้
คณะนักวิจัยตั้งข้อสังเกตจากข้อมูลว่า คนจนเมืองไม่ใช่เป็นคนฉวยโอกาส เพราะเกรงว่าหากไม่มีคุณสมบัติแล้วได้รับเงินจะมีความผิดในภายหลัง นอกจากนี้ ยังมีคนจนเมืองผู้ตอบแบบสอบถามอีก
คณะนักวิจัยได้ทำข้อเสนอต่อรัฐบาล ว่ารัฐควรปรับเปลี่ยนหลักคิดและวิธีการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในภาวะวิกฤตินี้จาก ‘การสงเคราะห์ผู้เดือดร้อน’ เป็น ‘การให้สวัสดิการถ้วนหน้า’ หรือเปลี่ยนวิธีการจาก ‘คัดคนเข้า’ เป็น ‘คัดคนออก’ กล่าวคือ แทนที่รัฐจะใช้วิธีการคัดกรองอย่างเข้มงวดว่า เฉพาะคนที่พิสูจน์และผ่านการตรวจสอบว่าได้รับผลกระทบจากมาตรการจำกัดการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างชัดเจนเท่านั้น จึงจะได้รับการสงเคราะห์ รัฐควรใช้หลักคิดใหม่ว่า คนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดต่างได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐทั้งสิ้น ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ คงมีเฉพาะคนส่วนน้อยที่ไม่ได้รับผลกระทบ เช่น ข้าราชการประจำและพนักงานประจำรายเดือนที่ไม่ถูกลดชั่วโมงการทำงาน ยังคงมีรายได้เท่าเดิม ที่จะถูก ‘คัดออก’ ไม่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ
ส่วนคนกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด หากอยู่ในวัยทำงาน คนกลุ่มนี้ควรได้รับการช่วยเหลือทุกคน ดังเช่น หลายประเทศอย่าง สิงคโปร์ ไต้หวัน และ สหรัฐอเมริกา ต่างดำเนินการในแนวทางนี้ และรัฐต้องตระหนักว่า ภาครัฐไม่มีข้อมูลของคนกลุ่มนี้อย่างครบถ้วนและทันสมัย จึงไม่ควรยึดฐานข้อมูลของรัฐเป็นเกณฑ์ในการตัดสิทธิประชาชน หากแต่รัฐควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างฐานข้อมูลและให้การช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด แน่นอนว่า การจ่ายเงินด้วยหลักคิดใหม่นี้ ผู้ประกอบอาชีพอิสระบางรายที่ยังมีรายได้ตามปกติจะหลุดลอดเข้ามาเป็นผู้รับประโยชน์บ้าง แต่โดยภาพรวมแล้ว คนส่วนใหญ่ที่เดือดร้อนจะได้รับความช่วยเหลืออย่างถ้วนหน้าและรวดเร็ว
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2562 ชี้ว่า ประเทศไทยมีแรงงานรวม 37.5 ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบมากกว่าครึ่งคือ 20.5 ล้านคน ซึ่งก็ใกล้เคียงกับตัวเลขผู้ลงทะเบียนในโครงการคนไทยไม่ทิ้งกัน หากรัฐให้การช่วยเหลือคนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน คือ 15,000 บาท ต่อคน ก็จะใช้เงินราว 300,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเพียงครึ่งหนึ่งของงบประมาณที่ตั้งไว้ 600,000 ล้านบาท ที่สำคัญจะเป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือประชาชนได้อย่างถ้วนหน้าและทันท่วงที
ตรงกันข้าม วิธีการที่กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้สะท้อนหลักคิดที่ผิดพลาด คือมุ่งคัดกรองเฉพาะคนผ่านตะแกรงร่อนมารับความช่วยเหลือ โดยไม่ได้ตระหนักว่า มาตรการที่เข้มงวดของรัฐ ทำให้ผู้ประกอบอาชีพนอกระบบต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า อีกทั้งวิธีการดังกล่าวยังล่าช้าและเกิดข้อผิดพลาดในหลายกรณี เพราะเชื่อมั่นในระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) มากเกินไป โดยไม่ได้ตระหนักว่าระบบ AI หากไม่มีฐานข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับมาตรการของภาครัฐ คณะนักวิจัยเสนอว่า รัฐควรผ่อนปรนเปิดพื้นที่ค้าขายและการใช้พื้นที่สาธารณะอย่างมีการจัดการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดได้คลี่คลายลงและการดำเนินชีวิตของประชาชนก็ต่างตื่นตัวในการป้องกันตนเอง ดังนั้นการเปิดพื้นที่สาธารณะ พื้นที่ค้าขายอย่างมีการจัดการ เช่น การสวมหน้ากากอนามัย มีเจลหรือแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างทั่วถึง
การจัดพื้นที่ไม่ให้ผู้คนอยู่ใกล้ชิดกัน การต่อคิวอย่างมีระยะห่าง ฯลฯ จะช่วยฟื้นชีวิตทางเศรษฐกิจให้คนจนเมืองและทำให้ผู้คนในเมืองมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และมีความปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน
ในช่วงภาวะวิกฤติ รัฐควรเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่รัฐให้แก่ผู้สูงอายุคนละ 600-800 บาท ต่อเดือนตามช่วงอายุ เป็น 2,000 บาท เพราะครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุต่างก็ประสบภาวะฝืดเคืองในช่วงภาวะวิกฤติ การเพิ่มเงินในส่วนนี้ขึ้นไประดับหนึ่งอย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาภาระของครัวเรือนต่างๆ ได้
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตรียมผลักดัน (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. … เรื่องการแสดงฉลากอาหารที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม หรือ GMO โดยกำหนดให้อาหารที่มีส่วนประกอบของ GMO เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ต้องแสดงข้อมูลบนฉลาก
พูดให้ชัดกว่านั้นคือ ผลิตภัณฑ์อาหารที่มี GMO ไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องติดฉลากให้ผู้บริโภครับรู้
คำถามมีอยู่ว่า เนื้อหาของร่างประกาศฉบับนี้เท่ากับเป็นการปิดบังข้อมูลแก่ผู้บริโภค อันเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภคที่จะได้รับข้อมูลการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัย ใช่หรือไม่?
‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ คัดค้านการตัดงบบัตรทองและงบสาธารณสุขรวมทั้งสิ้นกว่า 3,300 ล้านบาท เนื่องจากผิดหลักการโอนงบประมาณ กระทบต่อคุณภาพการให้บริการของโรงพยาบาลทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
การคัดค้านดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อนำมาจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. … ในกรอบวงเงิน 100,395 ล้านบาท โดยให้ตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) จำนวน 2,400 ล้านบาท และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท จากนั้นจะนำสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระที่ 1, 2 และ 3 วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 และคาดว่าจะประกาศบังคับใช้ประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2563
ทั้งนี้ ในการจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบฯ รัฐบาลอ้างว่าจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือเยียวยา และบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และปัญหาภัยพิบัติ ภัยแล้ง อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รวมทั้งกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรือจำเป็นอื่น
“พวกเรา ‘กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ’ เป็นประชาชนที่รวมตัวกันเพื่อสนับสนุนให้เกิดรัฐสวัสดิการและมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้มีความยั่งยืนมาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ขอคัดค้านมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยเฉพาะการตัดงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรืองบบัตรทอง และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข”
เนื้อหาในจดหมายเปิดผนึก ระบุเหตุผลว่า
“พวกเราในนามกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ขอเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีทบทวนรายละเอียดดังกล่าว โดยยกเลิกการตัดงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2,400 ล้านบาท และงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข 938.4 ล้านบาท ไปจัดทำร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย และขอให้การใช้จ่ายงบประมาณต่างๆ ตาม พ.ร.บ.โอนเงินฯ และ พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับ เป็นไปอย่างเปิดเผย เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของแผ่นดินเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะเป็นการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนในภาวะวิกฤติก็ตาม” กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ระบุ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เว็บไซต์กรมสรรพาวุธทหารบก ได้เผยแพร่ประกาศกองทัพบก เรื่อง เผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้าง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เกี่ยวกับการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง พร้อมระบบอาวุธ จำนวน 50 คัน วงเงิน 4,515 ล้านบาท คาดว่าจะมีการประกาศจัดซื้อจัดจ้างในช่วงเดือนเมษายนนี้ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19
อีกทั้งสำนักข่าวประชาไท ยังมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมา กรมสรรพาวุธทหารบก ได้มีประกาศเรื่องการจ้างซ่อมปรับปรุงปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานกว่า 446 ล้านบาท และแผนการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับสนับสนุนรถถังหลัก จำนวน 4 รายการ วงเงินเกือบ 200 ล้านบาทอีกด้วย
เราทั้งหมดมีความทึ่งใจมาก เป็นเรื่องแปลกใจมากที่ทุกอย่างจัดการได้อย่างรวดเร็ว และการดำเนินการเพื่อได้รับเงิน เตรียมตัววางแผนกันมาเป็นอย่างดีเยี่ยม
Laurenz Bostedt
ข้างต้นคือคำกล่าวของ Laurenz Bostedt ช่างภาพอิสระชาวเยอรมนี หลังจากประเทศเยอรมนีดำเนินนโยบายการเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส Covid-19
นอกจากเยอรมนี หลายประเทศทั่วโลกล้วนเผชิญกับสถานการณ์คล้ายคลึงกัน จึงจำเป็นต้องมีนโยบายช่วยเหลือประชาชน โอบอุ้มภาคธุรกิจ เพื่อพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำข้อมูลมาตรการการเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส Covid-19 ในประเทศต่างๆ
ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ละประเทศดำเนินนโยบายอย่างไร เพื่อทำให้คำว่า “เราไม่ทิ้งกัน” สมจริงและมีผลในทางปฏิบัติมากกว่าคำพูด