ถอดบทเรียนโครงการต้นแบบการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย โดย กลไก พชอ.

คคส.ได้ริเริ่ม ชุดโครงการต้นแบบการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย โดยกลไกคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.)โดยสนับสนุนทุนให้แก่ภาคีเครือข่ายประมาณ 40 พื้นที่ ให้ดำเนินโครงการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัยที่ขับเคลื่อนงานโดยกลไกคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ซึ่งเป็นกลไกที่มีศักยภาพในการพัฒนาสุขภาวะระดับชุมชน มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 15 เดือน โดยสิ้นสุดลงในเดือนมกราคม 2563

เพื่อให้ชุดโครงการที่มีสถานะเป็น “ต้นแบบ” ของการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคผ่านกลไก พชอ. นี้เกิดคุณค่าในการขยายผลไปสู่พื้นที่อื่น ๆ สมดังเป้าหมายที่ตั้งไว้ คคส. จึงเห็นควรให้มีการจัดกระบวนการถอดบทเรียนการดำเนินงานจากพื้นที่ปฏิบัติการ และนำความรู้ที่ได้ไปเรียบเรียงให้อยู่ในรูปของคู่มือเชิงปฏิบัติการ เพื่อเผยแพร่สู่ผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคผ่านกลไก พชอ. ในพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป

ในการจัดกิจกรรมถอดบทเรียนโครงการต้นแบบการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย โดยกลไกคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ระหว่างวันที่ 12-13 มีนาคม 2563  ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 45 คน จาก 27 โครงการ ได้รับเกียรติจาก น.ส.อภิญญา ตันทวีวงศ์ นายยุทธดนัย สีดาหล้า และ ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร เป็นวิทยากรกระบวนการตลอดการประชุม

ผลจากการประชุมนำไปสู่โครงร่างคู่มือเชิงปฏิบัติการการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคผ่านกลไก พชอ. ในพื้นที่ จากนั้นจะดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึก ใน 4 พื้นที่ต่อไป

ผู้เข้าร่วมกระบวนการถอดบทเรียนโครงการต้นแบบการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัย โดยกลไก พชอ.
อภิญญา ตันทวีวงศ์

 

ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร

องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคคุณภาพ จังหวัดศรีสะเกษ

คคส.ร่วมกับ สำนักงาน​สาธารณสุข​จังหวัด​ศรีสะเกษ​ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการคณะทำงานจัดตั้งองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคคุณภาพจังหวัด​ศรีสะเกษ​ ​เพื่อเตรียมความพร้อมทีมพี่เลี้ยง และแกนนำองค์กรผู้บริโภคเพื่อพัฒนาศักยภาพ​องค์กร​ผู้บริโภคในพื้นที่​ทั้ง​ 22​ อำเภอ โดยผู้เข้าร่วมจำนวน​ 150  คน​ ซึ่งประกอบด้วย​ แกนนำองค์กรผู้บริโภค จาก 40 องค์กร เภสัชกรโรงพยาบาล​ สำนักสาธารณสุข​อำเภอ​ เจ้าหน้าที่​รพ.สต.

ทั้งนี้ได้รับเกียรติ​จาก​ นพ.ทนง วีระแสง รองนายแพทย์​สาธารณสุข​จังหวัด​ศรีสะเกษ ​เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม​ จากนั้น​ รศ.ดร.ภญ.วรร​ณา​ ศรีวิริยานุภาพ​ ​แล บรรยาย​เรื่อง​ การตรวจสอบเอกสารองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ และ ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร และ ภก.บรรเจิด เดชาศิลปชัยกุล ร่วมเป็นวิทยากรฝึกปฏิบัติการตรวจเอกสารจริงเพื่อประเมินองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ

ประชุมเชิงปฏิบัติการคณะทำงานจัดตั้งองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคคุณภาพจังหวัดศรีสะเกษ
นพ.ทนง วีระแสง รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ

นำเสนอผลการจัดการความรู้ หลักสูตร นคบส.รุ่น ๖

คคส. ร่วมกับวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) สภาเภสัชกรรม จัดประชุมนำเสนอผลงานจัดการความรู้หลักสูตรการฝึกอบรมเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วยคณาจารย์วิทยาลัยฯ และผู้รับการอบรมฯ รวม ๓๐ คน

การประชุมนำเสนอผลงานจัดการความรู้ครั้งนี้ เป็นการนำเสนอผลงาน จำนวน ๑๗ เรื่อง ประกอบด้วย การนำเสนอวิชาความชำนาญด้านนโยบายและการบริหารระบบยาเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๓ เรื่อง และการนำเสนอวิชาความชำนาญทางระบาดเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๑๔ เรื่อง ซึ่งคณาจารย์วิทยาลัยฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงผลงานจัดการความรู้เพื่อให้ผลงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น

คณาจารย์ และ ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตร นคบส.รุ่น ๖
คณาจารย์ และผู้เข้ารับการอบรม หลักสูตร นคบส.รุ่น ๖

สรุปบทเรียนการเรียนรู้ นจพบ. รุ่นที่ 4

คคส. ร่วมกับมูลนิธิเภสัชชนบท จัดการนำเสนอผลงานและสรุปบทเรียนการเรียนรู้โครงการอบรมหลักสูตรพัฒนาผู้นำการจัดการเพื่อผู้บริโภค (นจพบ) รุ่น ๔  ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓  ณ ห้องเลอเบลแอร์ โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต ดอนเมือง กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหลักสูตร เพื่อพัฒนาและเสริมศักยภาพบุคคลซึ่งเป็นแกนนำในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพให้มีความรู้ทั้งด้านวิชาการและการปฏิบัติ

การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วยภาคีเครือข่ายภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคประชาชน จาก ๔ ภูมิภาค ๒๙ คน และได้รับเกียรติจาก ภก.ภาณุโชติ ทองยัง กรรมการมูลนิธิเภสัชชนบท และประธานหลักสูตร เป็นวิทยากรตลอดการอบรม

ผลจากประชุม ผู้เข้าร่วมได้ถอดบทเรียนการดำเนินโครงการในประเด็น (๑) รูปแบบการดำเนินโครงการ (๒) ปัจจัยสำเร็จ หรืออุปสรรคในการดำเนินโครงการ (๓) นวัตกรรม พื้นที่ต้นแบบ (๔) สิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดหลักสูตรอบรม และข้อเสนอแนะในการพัฒนาหลักสูตรในรุ่นต่อไป

ผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตร นจพบ.รุ่น ๔
ภก.ภาณุโชติ ทองยัง ประธานหลักสูตรฯ
รศ.ดร.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ ผู้จัดการแผนงาน คคส.

ในแต่ละวัน เราควรล้างมือเวลาไหน

การล้างมือด้วยสบู่ป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ได้จริงหรือ? – คือคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งท่ามกลางสถานการณ์โรคติดต่ออุบัติใหม่ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก

ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ว่าคนรู้หรือไม่รู้ แต่ปัญหาคือเมื่อรู้แล้วลงมือทำอย่างเคร่งครัดหรือไม่ต่างหาก

ที่จริงแล้วการล้างมือบ่อยๆ เป็นหนึ่งในมาตรการที่ได้ผลดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ รวมถึงโคโรนาไวรัส หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกล้วนให้คำแนะนำตรงกันว่า การล้างมือด้วยสบู่เป็นหนึ่งในวิธีป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด และใช้เวลาน้อยที่สุดเพียงแค่ 20 วินาทีเท่านั้นเอง

Infographic ชิ้นนี้เป็นการย้ำเตือนให้เกิดความตระหนัก และหากนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นกิจวัตรก็จะมีส่วนช่วยตัดวงจรการแพร่ระบาดของเชื้อโรคลงได้

COVID-19: กับโลกของคนไร้บ้าน

การระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกป้องกันตนเองอย่างตื่นตัว แต่สำหรับคนไร้บ้าน พวกเขาใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวัน ราวกับว่าโรค COVID-19 ไม่สามารถระบาดเข้ามาในโลกของพวกเขา

และในขณะเดียวกัน มาตรการจากภาครัฐก็ไม่มี ‘พวกเขา’ อยู่ในแผนการควบคุมการระบาด

 

สบู่กำจัดโคโรนาไวรัสได้อย่างไร

ไวรัสทำงานอยู่นอกร่างกายมนุษย์ได้เป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน ทั้งน้ำยาฆ่าเชื้อ ทิชชูเปียก เจลล้างมือ และครีมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ต่างก็มีประโยชน์มากในการกำจัดเชื้อไวรัส แต่ก็ยังไม่ดีเท่าสบู่ธรรมดาๆ

ช่วงที่ผ่านมาเราคงได้ยินผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหลายคนออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าคุณติดไวรัสตัวนี้แล้ว ยาอะไรก็ฆ่ามันไม่ได้ แต่สบู่ธรรมดาๆ บนชั้นวางในบ้านของคุณนี่แหละที่กำจัดมันได้

คำถามคือ ทำไมสบู่จึงจัดการโคโรนาไวรัส (และไวรัสอื่นๆ) ได้ดีที่สุด?

เล่าแบบสั้นๆ ก็เพราะไวรัสคือการรวมกลุ่มกันของอนุภาคเล็กจิ๋วที่มีเยื่อไขมันห่อหุ้มไว้ แน่นอน เราใช้สบู่ละลายไขมัน และเมื่อเยื่อไขมันถูกทำลาย โครงสร้างของไวรัสก็ทลายและตาย หรือถ้าให้ถูก ต้องกล่าวว่าไวรัสหยุดทำงาน เพราะมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต จึงไม่อาจตายได้

หากเล่าให้ยาวกว่าเดิมอีกหน่อยก็คือ ไวรัสประกอบด้วย 3 โครงสร้างหลัก ได้แก่ กรดไรโบนิวคลีอิก (RNA) โปรตีน และไขมัน องค์ประกอบเหล่านี้ไม่ได้มีพันธะโควาเลนต์ (พันธะภายในโมเลกุลชนิดหนึ่ง) คอยยึดพวกมันไว้ คุณจึงไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่รุนแรงในการแยกทั้งสามสิ่งนี้ออกจากกัน

เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสจะผลิตองค์ประกอบทั้งสามอย่างนี้และสร้างไวรัสตัวใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อเซลล์ที่ติดเชื้อตายลง ไวรัสตัวใหม่ก็จะหนีไปแพร่เชื้อให้กับเซลล์อื่นๆ ต่อไป จนบางส่วนลงเอยไปอยู่ในปอด

เมื่อคุณไอหรือจาม ฝอยละอองขนาดเล็กจะกระจายไปในอากาศได้ไกลถึง 10 เมตร แต่ละอองขนาดใหญ่ที่มีเชื้อไวรัสอยู่จะไปได้ไกลอย่างน้อยที่สุดคือ 2 เมตร

ละอองพวกนั้นจะไปเกาะอยู่บนพื้นผิวต่างๆ ถึงแม้มันจะแห้งเร็ว แต่ไวรัสยังคงทำงานอยู่ เมื่อคุณไปสัมผัสกับพื้นผิวพวกนั้น ไวรัสก็จะทำปฏิกิริยากับโปรตีนและกรดไขมันในเซลล์ที่ตายแล้วบนผิวหนัง ทำให้ไวรัสเกาะแน่นอยู่บนผิวเหมือนกับกาว ก่อนจะถูกส่งผ่านมาด้วยมือของคุณเอง

ถ้าคุณยกมือขึ้นมาสัมผัสกับใบหน้า โดยเฉพาะดวงตา รูจมูก หรือปาก คุณก็มีโอกาสติดเชื้อ และปรากฏว่าคนส่วนใหญ่มักจะใช้มือจับหน้าตัวเองอย่างน้อย 1 ครั้งในทุกๆ 2-5 นาที

การกำจัดไวรัสด้วยการล้างมือกับน้ำเปล่าไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะว่าไวรัสนั้นเกาะหนึบอยู่บนผิวหนังเราเหมือนกาว ไม่สามารถชะล้างได้ด้วยน้ำเปล่า

แต่น้ำสบู่นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง สบู่จะมีสสารคล้ายไขมันที่เรียกว่า ‘แอมฟิไฟล์ (Amphiphile)’ ที่มีโครงสร้างบางส่วนคล้ายกับไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์ของไวรัสมาก ทำให้โมเลกุลของสบู่สามารถกำจัดไขมันในเยื่อหุ้มเซลล์ของไวรัสได้ คล้ายๆ กับวิธีการที่สบู่กำจัดสิ่งสกปรกธรรมดาออกจากผิวหนังของเรานั่นแหละ

สบู่ไม่ได้เพียงแต่สลาย ‘กาว’ ที่เชื่อมไวรัสกับผิวหนังไว้อย่างเหนียวแน่นเท่านั้น แต่ยังสลายปฏิกิริยาที่ยึดโครงสร้างหลักของไวรัสอย่างโปรตีน ไขมัน และกรดไรโบนิวคลีอิกเข้าด้วยกันได้อีกด้วย เอาง่ายๆ ก็คือ สบู่ไม่ได้แค่ล้างไวรัสออกไปจากมือ แต่ฆ่ามันให้ตายได้เลยอีกต่างหาก

ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อ หรือเจลล้างมือที่มีเปอร์เซ็นต์แอลกอฮอล์สูง (ส่วนใหญ่จะประมาณ 60-80 เปอร์เซ็นต์) ก็สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ในรูปแบบคล้ายๆ กัน แต่สบู่จะดีกว่าตรงที่มันสามารถถูให้ทั่วทั้งมือได้ง่ายๆ ด้วยปริมาณเพียงนิดเดียวเท่านั้น ในขณะที่การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือไม่ได้การันตีว่าไวรัสที่อยู่ในทุกซอกทุกมุมบนมือของคุณเปียกชุ่มไปด้วยเอทิลแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากพอ

ดังนั้น สบู่นี่แหละ ดีที่สุด แต่ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สะดวกจะใช้สบู่ ก็ใช้เจลแอลกอฮอล์ไปก่อนก็ได้

 

ที่มา: theguardian.com

Side effect ของโคโรนาไวรัส: ฉันแก่ในสมัย COVID-19 ระบาด

ข้อมูลผู้ติดเชื้อทั้งหมดในประเทศจีน สามารถแบ่งอาการได้ดังนี้

81 เปอร์เซ็นต์ อาการน้อย หรือไม่มีอาการเลย

14 เปอร์เซ็นต์ มีอาการ รู้ตัว ต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล

5 เปอร์เซ็นต์ อาการหนัก รักษาใน ICU

จากตัวเลขดังกล่าว ผู้ติดเชื้อ 3 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิต ช่วงวัยส่วนใหญ่ที่เสียชีวิต คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป

 

ผู้สูงวัยคือกลุ่มเสี่ยง

2 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตคือผู้ที่มีโรคประจำตัว เหตุที่ทำให้เสียชีวิตเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ 1. การมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน มะเร็ง หรือมีการกินยากดภูมิคุ้มกัน 2. การเกิดโรคแทรกซ้อนที่ปอดหรือปอดอักเสบทำให้ขาดออกซิเจนและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อัตราการตายสูงถึง 14.8 เปอร์เซ็นต์

ในเคสของประเทศจีน จำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปีที่ติด COVID-19 ทั้งหมดไม่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตเลยแม้แต่เคสเดียว ไม่ว่าจะเป็นเคสเด็กทารก 3 อาทิตย์ หรือ 8 อาทิตย์ ล้วนหายจากไวรัสตัวนี้โดยไม่มีอาการมาก เด็กที่อายุระหว่าง 11-20 ปี มีจำนวนต่ำกว่า 0.2 เปอร์เซ็นต์ ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต เพราะฉะนั้นกลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยงการติดเชื้อให้ได้มากที่สุดคือ กลุ่มผู้สูงวัย

ขาขึ้นของการระบาด ขาลงของชีวิต

ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายของคนสูงวัยเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลุ่มอายุนี้มีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากไวรัส COVID-19 รวมถึงการมีโรคประจำตัวต่างๆ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเหตุผลทางสังคม

ผู้สูงวัยมักจะอาศัยอยู่ในสถานพยาบาล บ้านพักคนชรา และอาศัยอยู่กับครอบครัว ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานการณ์ที่แออัด จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ในหลายสังคม ผู้สูงวัยมีแนวโน้มยากจน พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงสิ่งที่จำเป็นในการดูแลรักษาตัวเอง ดูเหมือนว่าความชราและความยากจนคือสิ่งท้าทายระบบสาธารณสุข

สถานการณ์การระบาดในประเทศไทย กำลังอยู่ใน ‘ระยะขาขึ้น’ ข้อมูลการติดเชื้อ ณ วันที่ 19 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ เพิ่ม 60 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 272 ราย ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว มาจากการรวมกลุ่มกันของคนจำนวนมาก เช่น เคสสนามมวย มีการคำนวณตามสมการการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 คาดว่า ผู้ติดเชื้อในสนามมวยมีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งกระจายไปตามที่ต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เคสนี้น่าจะแพร่ไปในวงกว้างยิ่งกว่าอาจุมม่าแทกูของเกาหลีใต้

ผลข้างเคียงของการระบาด

ผลข้างเคียงของการระบาด คือบุคลากรทางการแพทย์ เวชภัณฑ์ และโรงพยาบาล ต้องรับมือกับการระบาด แต่ผู้สูงอายุมักจะเป็นกลุ่มที่ต้องไปโรงพยาบาล ในภาวะปกติผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเจ็บป่วยสูงที่สุด ข้อมูลในปี พ.ศ. 2558 อัตราการเจ็บป่วย 46,357 ต่อแสนประชากร หรือเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ต่อปี

สิ่งที่ชวนให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็คือ คนชราที่เป็นโรคหัวใจที่อาศัยในเมืองที่กำลังมีโรคระบาดรุนแรง ย่อมมีแนวโน้มที่จะได้รับการรักษาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะระบบสาธารณสุขและการแพทย์ ไม่สามารถรองรับได้ตามมาตรฐานในภาวะปกติ

คำถามที่ตามมาก็คือ คนชราที่มีนัดตรวจสุขภาพกับหมอในช่วงการระบาด พวกเขาควรไปไหม ซึ่งอาจจะต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงของการได้รับการติดเชื้อไวรัสกับประโยชน์ของการพบแพทย์ ช่วงนี้พวกเขาอาจพิจารณาเพียงแค่อยู่บ้าน ดังนั้นมันเป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่แท้จริง การให้บริการทางการแพทย์ทางไกลก็เป็นสิ่งที่หลายประเทศเริ่มดำเนินการ แต่สิ่งเหล่านี้ก็อาจยังเป็นเรื่องยากสำหรับผู้อาวุโสในการเข้าถึง

ข้อแนะนำสำหรับผู้สูงวัยในการระบาด

มีข้อแนะนำแก่ผู้สูงวัยในช่วงเวลาของการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่จำเป็นต่อการที่ผู้สูงวัยจะต้องดูแลตัวเอง รวมถึงลูกหลานที่ดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว

  • สำหรับคนที่ใกล้ชิดผู้สูงวัย หากมีไข้ ไอ ต้องไม่เข้าไปคลุกคลีกับผู้สูงวัย โดยเฉพาะเด็กวัยเรียน เพราะอาจจะติดมาจากโรงเรียน
  • ป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยในช่วงการระบาด เพราะโรงพยาบาลอาจจะแน่นมาก
  • หากต้องรับประทานยาต่อเนื่องและหยุดไม่ได้ ควรจะขอแพทย์เพิ่มเวลานัดให้ยาวขึ้น เช่น 3 เดือน รับยามาล่วงหน้า เก็บให้ถูกต้อง โดยเฉพาะยาฉีด กินยาให้สม่ำเสมอ
  • หากต้องไปฉีดยา ให้ลองหาโรงพยาบาล สถานบริการใกล้บ้านที่ไม่ค่อยยุ่งมาก ไปสอบถามว่ามาฉีดยาได้ไหม
  • งดรับประทานอาหารที่อาจจะทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย
  • ห้ามล้ม!!!! จากข้อมูล ทุกวันมีผู้สูงอายุล้มจนต้องเข้าโรงพยาบาล ถึง 140 คน/วัน
  • ทุกวันก่อนออกจากบ้าน ให้ท่านยิ้มให้ดูหน่อย ยิ้มหวานสุดชึวิต หากพบมุมปากเบี้ยว หรือ ยกแขนขาไม่มีแรง ให้นึกถึงหลอดเลือดในสมองตีบ ไปโรงพยาบาลให้ทันใน 4 ชั่วโมง มีโอกาสหายดี เดินได้
  • งดไปกินสุกี้ ชาบู หมูกระทะ เพราะน้ำจิ้ม น้ำซุปอาจมีเกลือ/ผงชูรสมาก หากท่านเป็นโรคหัวใจ โรคไตวายเรื้อรัง อาจจะเกิดการคั่งของน้ำ แล้วหอบเหนื่อยได้ ควรให้ชั่งน้ำหนักทุกวัน หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นรวดเร็ววันละ 1 กิโลกรัม ให้ระวังน้ำมากเกิน
  • ตรวจสอบการได้รับวัคซีน ผู้สูงวัยควรจะได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในเดือนเมษายนนี้ สามารถใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า เข้ารับบริการวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้เช่นกัน
  • อย่าไปเชื่อ fake news เช่น ออกไปยืนตากแดดจะฆ่าไวรัส, เครื่องรางของขลังป้องกันเชื้อได้, อมน้ำส้มสายชูในลำคอ 4 นาที ฯลฯ
  • การสร้างระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ไม่ได้เหมาะกับคนวัยทำงานเท่านั้น แต่เหมาะกับคนทุกวัยรวมถึงผู้สูงอายุด้วย
  • หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านเว้นแต่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น ซื้ออาหารร้านใกล้บ้าน หรือนัดพบแพทย์ที่จำเป็นจริงๆ และหลีกเลี่ยงการรวมตัวของคนจำนวนมาก
  • เมื่อกลับบ้าน หรืออยู่บ้าน ควรล้างมือด้วยสบู่สม่ำเสมออย่างน้อย 15 วินาที

รอบบ้านทั้ง 4 ทิศ สำรวจ COVID-19 ใน 7 ประเทศอาเซียน

ฉันคิดว่าพม่าไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยพอจะรู้ว่ามีเชื้อไวรัสอยู่ที่นี่แล้วหรือยัง

ข้างต้นคือคำกล่าวของศัลยแพทย์แห่งโรงพยาบาลมัณฑะเลย์ แม้จะถูกประชาชนตั้งคำถามมากมาย รัฐบาลเมียนมาร์ก็ยังยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ภายในประเทศ เมียนมาร์เป็น 1 ใน 2 ประเทศในอาเซียนที่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อ อีกประเทศคือประเทศลาว ขณะที่มาเลเซียพบผู้ติดเชื้อสูงที่สุดในอาเซียน แน่นอน สิงคโปร์ได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติในการควบคุมการระบาดและการจัดการในสถานการณ์วิกฤติ

และนี่คือการสำรวจสถานการณ์การระบาดและการควบคุมไวรัส C0VID-19 ใน 7 ประเทศอาเซียน

มาเลเซีย

  • บ่ายวันที่ 18 มีนาคม พบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพิ่ม 120 คน ทำให้ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 673 คน มาเลเซียจึงเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
  • ผู้ติดเชื้อ 438 คน จากทั้งหมด 673 คน ได้รับเชื้อจากการรวมตัวกันของคน 16,000 คน ในการประกอบกิจกรรมทางศาสนาในมัสยิดบริเวณกัวลาลัมเปอร์ ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 1 มีนาคม
  • มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 แล้ว 2 คน คนแรกคือชายวัย 34 ปี เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาดังกล่าว คนที่สองคือชายวัย 60 ปี ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคเรื้อรังมาก่อน
  • มีผู้ป่วย 12 คนต้องเข้ารับการรักษาในห้อง ICU และมีผู้ป่วย 49 คนได้รับการรักษาจนหายแล้ว
  • นายกรัฐมนตรีประกาศปิดประเทศ (Lockdown) เป็นเวลา 2 อาทิตย์ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2020 โดยมีมาตรการดังนี้
    • ห้ามจัดงานชุมนุมทั่วประเทศ ให้ปิดศาสนสถานและธุรกิจต่างๆ ยกเว้นซูเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านสะดวกซื้อที่ขายของใช้จำเป็น และงดกิจกรรมทางศาสนาสำหรับชาวมุสลิม
    • ชาวมาเลเซียที่เดินทางกลับเข้าประเทศจะต้องได้รับการตรวจสุขภาพและกักตัว 14 วัน
    • ห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ
    • ปิดสถานศึกษาทั้งหมด
    • ปิดสถานที่ทั้งหมดทั้งของรัฐและเอกชน ยกเว้นบริการที่จำเป็น เช่น โทรคมนาคม การขนส่ง น้ำมัน แก๊ส เชื้อเพลิง น้ำ ไฟ โรงพยาบาล ธนาคาร เป็นต้น

กัมพูชา

  • พบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในวันที่ 17 มีนาคม จำนวน 21 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมที่เดินทางไปร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่มาเลเซีย และมีคนไทย 1 คน รวมผู้ติดเชื้อขณะนี้มีทั้งหมด 33 คน
  • ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่น หรือชาวกัมพูชาที่เดินทางมาจากประเทศอื่น โดยก่อนหน้านี้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ได้รับการรักษาจนหาย และกลับประเทศตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
  • ผู้โดยสาร 781 คนบนเรือสำราญ Westerdam ที่ได้รับอนุญาตให้จอดเทียบท่าที่กัมพูชา ได้รับการวินิจฉัยว่า ไม่พบไวรัส COVID-19 และเริ่มนำตัวขึ้นฝั่ง
  • นายกรัฐมนตรีสั่งห้ามประชาชนเดินทางไปยุโรป อเมริกา และอิหร่าน ส่วนผู้ที่เดินทางกลับมาจากยุโรป อเมริกา อิหร่าน จะต้องกักตัว 14 วัน
  • ประกาศแบนนักท่องเที่ยวจากอิตาลี เยอรมนี สเปน ฝรั่งเศส อเมริกา เป็นเวลา 30 วัน
  • กระทรวงการศึกษาฯ ประกาศปิดโรงเรียนทั่วประเทศ

ฟิลิปปินส์

  • มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 202 คน ได้รับการรักษาจนหายแล้ว 7 คน เสียชีวิตแล้ว 17 คน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กหญิงวัย 13 ปี ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยที่สุดในฟิลิปปินส์
  • ประกาศ Lockdown เมโทรมะนิลา และเกาะลูซอน 1 เดือน
  • ประธานาธิบดีประกาศให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน ยกเว้นบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเท่านั้น พร้อมขอความร่วมมือจากบริษัทธุรกิจต่างๆ ให้พนักงานทำงานที่บ้าน
  • แบนการเดินทางภายในประเทศ
  • เทศบาลท้องถิ่นจะได้รับมอบหมายให้บริการจัดส่งอาหารให้กับประชาชน
  • วันที่ 16 มีนาคม ชาวฟิลิปปินส์ 444 คนที่ติดอยู่บนเรือสำราญ Grand Princess ที่แคลิฟอร์เนีย เดินทางกลับมายังฟิลิปปินส์เรียบร้อยแล้ว หลังได้รับการตรวจสุขภาพกับทางการของสหรัฐ และทั้งหมดจะต้องได้รับการกักตัวอีก 14 วันที่หมู่บ้านนักกีฬาใน New Clark City จังหวัดตาร์ลัก

สิงคโปร์

  • มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 243 คน (ข้อมูลจากวันที่ 16 มีนาคม 2020) มี 5 คนเป็นชาวสิงคโปร์ที่เดินทางไปเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่มาเลเซีย
  • ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อ 47 คนที่มาจากการจัดงานดินเนอร์ฉลองปีใหม่จีนของกลุ่มนักร้องชาวฮกเกี้ยน ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ Safra Jurong โดยมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 400 คน
  • ประกาศปิดมัสยิดทั่วประเทศถึงวันที่ 26 มีนาคม 2020
  • วันที่ 17 มีนาคม ลอว์เรนซ์ หว่อง (Lawrence Wong) รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาประเทศ กล่าวว่า สิงคโปร์ยังไม่มีมาตรการ Lockdown ประเทศ เนื่องจากมองว่า ตอนนี้รัฐบาลยังคงรับมือกับสถานการณ์ได้ดีอยู่ ทั้งการควบคุมคนเข้าออกประเทศ การรักษาระยะห่างระหว่างคนในสังคม (Social Distancing) และการติดตามผู้ติดต่อ (Contact Tracing) ซึ่งเป็นการตรวจสอบการเดินทางของผู้ป่วยเพื่อตรวจหาผู้ที่อาจติดเชื้อรายต่อไป หากสิ่งเหล่านี้ยังคงทำได้โดยเคร่งครัด ประเทศก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรการที่สุดโต่งอย่างการ Lockdown
  • ส่วนมาตรการสั่งปิดโรงเรียน รัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาประเทศ ก็กล่าวว่ายังไม่มีเช่นกัน โดยทางรัฐบาลกำลังประเมินถึงประสิทธิภาพที่จะชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสหากมีการสั่งปิดโรงเรียนอยู่
  • ก่อนหน้านี้ สิงคโปร์ได้รับการยกย่องจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีในการตรวจหาและสกัดไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อินโดนีเซีย

  • บ่ายวันที่ 17 มีนาคม พบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 เพิ่มอีก 38 คน ทำให้มีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 172 คน โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อยู่ในเมืองจาการ์ตา
  • รัฐบาลจะประสานงานกับองค์กรบริหารและตำรวจของเมืองจาร์กาตาในการทำ Contact Tracing หรือการติดตามผู้ติดต่อ ตรวจสอบเส้นทางการเดินทางและผู้ที่ติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยเพื่อหาผู้ที่อาจติดเชื้อรายอื่นๆ และขอความร่วมมือให้ผู้ที่ได้รับผลวินิจฉัยเป็นลบหรือไม่มีเชื้อไวรัสให้แยกตัวอยู่ที่บ้าน
  • ผู้ที่อยู่ในอิตาลี วาติกัน สเปน ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ อิหร่าน จีน และเกาหลีใต้ภายใน 14 วันก่อนมาถึงอินโดนีเซียจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ
  • ชาวอินโดนีเซียที่เดินทางกลับมาจากประเทศดังกล่าว หากมีอาการว่าติดเชื้อไวรัสจะต้องได้รับการกักตัวอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล ส่วนผู้ที่ไม่แสดงอาการจะต้องกักตัวเองอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน
  • รัฐบาลมีมาตรการลดจำนวนรถโดยสารทั้งรถไฟฟ้าและรถเมล์ลงเพื่อลดการใช้บริการ ทำให้วันจันทร์ที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมามีประชาชนที่ต้องเดินทางไปทำงานได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากต้องต่อคิวรอรถเป็นเวลานานกว่าเดิม บางป้ายสถานีมีคนต่อคิวยาวถึง 1 กิโลเมตร

ลาว

  • เป็นหนึ่งในสองประเทศของภูมิภาคอาเซียนที่ยังไม่มีรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19
  • เมื่อวันที่ 16 มีนาคม มีรายงานว่านักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 3 คนที่เดินทางไปยังประเทศลาวได้รับการตรวจแล้วว่าไม่พบเชื้อไวรัส COVID-19 เช่นเดียวกับนักเรียนอีก 6 คนที่เพิ่งเดินทางกลับจากเวียดนามและกักตัวอยู่บ้านแล้ว 14 วัน ก็ได้รับผลการตรวจว่าไม่พบเชื้อไวรัส COVID-19 เช่นกัน
  • ระงับไฟลต์บินที่จะเดินทางไปยังประเทศจีนแล้ว
  • สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าไปในประเทศลาว หากไม่มีอาการว่าติดเชื้อไวรัส จะต้องกักตัวเองไว้ที่บ้าน 14 วัน แต่หากมีอาการเข้าข่ายว่าติดเชื้อ จะถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยทันที
  • มีการปิดด่านชายแดนบ้านฮวก จังหวัดพะเยา และด่านชายแดนที่ติดกับกัมพูชาและเวียดนาม 14 จุด
  • นายกรัฐมนตรีสั่งปิดโรงเรียนอนุบาลทั่วประเทศ

เมียนมาร์

  • แม้จะถูกประชาชนตั้งคำถามมากมาย รัฐบาลเมียนมาร์ก็ยังยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ภายในประเทศ
  • Aung Aung ศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลมัณฑะเลย์ ให้สัมภาษณ์กับ New York Times ว่า “ฉันคิดว่าพม่าไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยพอจะรู้ว่ามีเชื้อไวรัสอยู่ที่นี่แล้วหรือยัง”
  • มีผู้ป่วยที่กำลังกักตัว 10 คนอยู่ระหว่างรอผลตรวจเชื้อไวรัส COVID-19
  • นักท่องเที่ยวที่เคยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงเช่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เมืองแทกูและคยองบก ประเทศเกาหลีใต้ ภายใน 14 วันก่อนมาถึงพม่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ และจะถูกส่งไปกักตัวภายใต้ความดูแลของรัฐบาล 14 วัน เช่นเดียวกับผู้ที่เคยอยู่ในอิตาลี อิหร่าน ฝรั่งเศส สเปน และเยอรมนี จะต้องได้รับการกักตัวภายใต้ความดูแลของรัฐบาล 14 วันด้วย
  • ทั้งประชาชนชาวพม่าและนักท่องเที่ยวที่เคยอยู่ในเมืองอื่นๆ ของประเทศเกาหลีใต้ 14 วันก่อนมาถึงพม่าจะต้องกักตัวเองไว้ที่บ้าน 14 วัน และต้องได้รับใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าไม่มีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่รุนแรง
  • ยกเลิก Visa on Arrival (VOA) จากประเทศจีน
  • เลื่อนการจัดงานหรือเทศกาลต่างๆ ในเดือนเมษายนทั้งหมด

 

อ้างอิง

ภูเขาขยะทางการแพทย์ ปัญหาใหม่ของอู่ฮั่นหลังวิกฤติ COVID-19

วันที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ออกตรวจเยี่ยมเมืองอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของจีน สถานที่อันเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 (COVID-19) และได้ประกาศผ่อนปรนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด ด้วยพบตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวว่า สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่นและมณฑลหูเป่ยในเบื้องต้นไว้ได้แล้ว ความสำเร็จในเบื้องต้นนี้ทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพในมณฑลหูเป่ยและเมืองอู่ฮั่น

เป็นที่แน่นอนแล้วว่า ช่วงวิกฤติสูงสุดของการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ผ่านพ้นไปจากเมืองอู่ฮั่น และดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทว่าปัญหาใหญ่ที่กำลังตามมา คือภูเขาขยะทางการแพทย์ที่กำลังส่งสัญญาณถึงเค้าลางหายนะทางระบบนิเวศ หากไร้มาตรการจัดการอย่างรัดกุม

อู่ฮั่นซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 สร้างขยะทางการแพทย์มากกว่าสถานการณ์ปกติถึง 6 เท่า

คือเสียงสะท้อนจากเจ้าหน้าที่เมืองอู่ฮั่นต่อสถานการณ์ขยะที่ล้นเมือง

เจ้า คุนหยิง (Zhao Qunying) รัฐมนตรีกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินกล่าวว่า

โรงพยาบาลในเมืองอู่ฮั่น มีขยะทางการแพทย์ถึง 240 ตันต่อวันในช่วงที่ระบาดหนัก เทียบกับสถานการณ์ปกติที่มีเพียง 40 ตันต่อวันเท่านั้น

แน่นอนว่านี่คือปัญหาใหญ่ ซึ่งทางรัฐบาลกลางของจีนได้ส่งศูนย์จัดการขยะทางการแพทย์เคลื่อนที่กว่า 46 แห่งไปยังเมืองต่างๆ และสร้างศูนย์จัดการขยะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับขยะเพิ่มอีก 30 ตันภายใน 15 วัน รัฐมนตรีกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน กล่าวว่า “เราได้อัพเกรดศูนย์จัดการขยะอันตรายให้สามารถจัดการขยะทางการแพทย์ มาตรการนี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มจำนวนการจัดการขยะของเมืองจาก 50 ตันต่อวันให้เป็น 263 ตัน”

รัฐมนตรีกระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ได้เจาะจงว่าเมืองไหนที่ขยะล้นหรือใกล้เต็มความจุ แต่การจัดการขยะทางการแพทย์ในจีน เป็นปัญหาที่มีมาเป็นเวลานานแล้ว ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2018 ระบุว่า มีการสร้างขยะทางการแพทย์กว่า 2 ล้านตัน ซึ่งในช่วงที่รัฐบาลแนะนำให้ทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส ก็เป็นการเพิ่มจำนวนของขยะทางการแพทย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การระบาดใหญ่ครั้งนี้ได้แพร่เชื้อไปกว่า 80,000 คน มีผู้เสียชีวิตถึง 3,000 คน และกระจายไปกว่า 100 ประเทศ ซึ่งหลังผ่านพ้นช่วงวิกฤติสูงสุดของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น โจทย์สำคัญต่อมาคือวิธีการจัดการกับขยะทางการแพทย์

การกำจัดของเสียทางการแพทย์เป็นส่วนสำคัญของการต่อสู้กับการระบาด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลเร่งสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่และการวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีการบำบัดของเสีย

ตู้ หัวเจิ้ง (Du Huanzheng) ผู้อำนวยการสถาบันเศรษฐกิจรีไซเคิลแห่งมหาวิทยาลัยถงจี้ (Tongji University) กล่าว

การแพร่ระบาดของโควิด-19 คือตัวเร่งให้เกิดการเพิ่มขึ้นของขยะและของเสียทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญจากจีนได้กล่าวว่า การเผายังคงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการควบคุมจำนวนขยะที่เพิ่มขึ้น และความกังวลที่ตามมาคือเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

กรณีดังกล่าว สะท้อนคำถามถึงบ้านเราได้อย่างดี ว่าในสถานการณ์แพร่ระบาดในประเทศที่ข้อมูลยังคงคลุมเครือเช่นนี้ มีมาตรการรับมือกับสถานการณ์ที่จะตามมาอย่างไร

อ้างอิง

https://www.scmp.com