อาหารเสริมอันตรายในเทศกาลช็อปกระจาย 11.11

จากการเฝ้าระวังการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในเว็บไซต์ช็อปปิ้งออนไลน์ในเทศกาล 11.11 นั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) พบอาหารเสริมผสมสารอันตรายเพียบ ร้านค้าได้โอกาสเทล้างสต๊อก ขอให้ผู้ซื้อตั้งสติ ฉุกคิด อย่าตกหลุมพรางทางการตลาดบนโลกออนไลน์

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2561 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผยข้อมูลการเฝ้าระวังการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในห้างออนไลน์สามราย คือ Lazada Shopee และ JD Central พบว่ามีการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผิดกฎหมายจำนวนมาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้นทางกรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจพบสารยา ไซบูทรามีน (sibutramine) ซิลเดนาฟิล (sildenafil) และ ไบซาโคดิล (bisacodyl) ซึ่งเป็นยาอันตรายที่ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยออกประกาศเตือนภัยผู้บริโภคแล้ว แต่ผู้ประกอบการห้างออนไลน์ยังคงเพิกเฉย ไม่มีการตรวจสอบสินค้าผิดกฎหมาย ปล่อยให้มีการขายสินค้าอันตรายต่อชีวิตผู้บริโภค

นางสาวสถาพร อารักษ์วทนะ นักวิชาการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า หลุมพรางการตลาดบนโลกออนไลน์ในเทศกาลต่างๆ ล้วนแต่เป็นกลยุทธ์การฉวยโอกาสเพิ่มยอดขายให้สินค้า โดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ห้างออนไลน์ที่มีการขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและสุขภาพของผู้ซื้อ ทางห้างฯ จะมากล่าวอ้างไม่ได้ว่า ห้างฯ เป็นเพียงพื้นที่ส่วนกลางที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ขายมาขายเท่านั้น

นักวิชาการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวอีกว่า กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้ไซบูทามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์อันตรายในประเภทที่ 1 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2561 ความว่า

“ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือส่งออก มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 500,000 บาท – 2 ล้านบาท ผู้ขายมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 400,000 บาท – 2 ล้านบาท และผู้ครอบครอง มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท – 1 00,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

ส่วนเรื่องโฆษณานั้น พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้กำหนดบทลงโทษไว้ว่า ผู้ใดโฆษณาต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาท – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ยังฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง และถ้าการกระทำนั้นๆ เป็นการกระทำของเจ้าของสื่อโฆษณาหรือผู้ประกอบกิจการโฆษณาต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้โฆษณา

“เราขอเรียกร้องให้ อย. บังคับใช้กฎหมายโดยทันที โดยใช้บทลงโทษขั้นสูงสุดเพื่อแสดงความจริงใจในการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่ดีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้ประกอบการจะต้องมีระบบตรวจสอบรายชื่อผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย และรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ถูกเพิกถอนเลขอนุญาต ดังนั้นจะมากล่าวอ้างไม่ได้ว่า ไม่ทราบข้อมูล”

 

ประชุมวิชาการองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ และพิธีมอบใบประกาศรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพ

ประชุมวิชาการองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ เรื่อง องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ: ทิศทาง บทบาท และการสนับสนุน

และพิธีมอบใบประกาศรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพ

วันที่ 29-30 ตุลาคม 2561 ณ ห้องเมจิก 2 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น


สืบเนื่องจาก ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) ได้รับมอบภารกิจจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในการพัฒนาหลักเกณฑ์และกระบวนการในการพัฒนาองค์กรผู้บริโภคร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีความพร้อมเข้าสู่กระบวนการรับรององค์กรคุณภาพ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2558  โดยในปี 2561 มีองค์กรผู้บริโภคที่สมัครลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมในกระบวนการรับรองคุณภาพ และ คคส.ดำเนินการประเมินตามหลักเกณฑ์ ซึ่งผลการดำเนินการรับรององค์กรคุณภาพ มีองค์กรผู้บริโภคที่ผ่านการประเมินเป็นองค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูงจำนวน  19 องค์กร[i] และมีองค์กรผู้บริโภคผ่านการประเมินเป็นองค์กรผู้บริโภคขั้นพื้นฐานจำนวน 222 องค์กร[ii]  ส่วนองค์กรผู้บริโภคที่ยังไม่ผ่านการรับรองคณะผู้ประเมินได้ให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาต่อไป

นายพิทยา จินาวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 2 สสส. และวิทยากร

แผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มูลนิธิวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ (มวคบ) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มูลนิธิเภสัชชนบท (มภช)  ตระหนักถึงความสำคัญและบทบาทขององค์กรผู้บริโภคต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย และมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะประสานความร่วมมือในการพัฒนาระบบการรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพ จึงจัดประชุมวิชาการองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ เรื่อง องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ: ทิศทาง บทบาท และการสนับสนุน และพิธีมอบใบประกาศรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพ ระหว่างวันที่ 29-30 ตุลาคม 2561  ณ ห้องเมจิก 2โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

การจัดประชุมวิชาการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาองค์กรและเพื่อสร้างความเข้มแข็งของการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน และมอบใบประกาศรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูง และองค์กรผู้บริโภคขั้นพื้นฐาน ผู้เข้าสัมมนาวิชาการ ประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรผู้บริโภคขั้นพื้นฐานและขั้นสูง กรรมการจัดงานและเจ้าหน้าที่ผู้จัดประชุม รวม ผู้เข้าสัมมนาทั้งสิ้น 240 คน  และได้รับเกียรติจาก นายพิทยา จินาวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารแผน คณะที่ 2 สสส. เป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม

 

♦ ความก้าวหน้าร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ พ.ศ….

จากนั้นเป็นเวทีเสวนาความก้าวหน้าร่างพระราชบัญญัติสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ พ.ศ….  วิทยากรประกอบด้วย นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน, นางสาวทรงศิริ จุมพล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค, นางสาวศยามล  ไกรยูรวงศ์  สำนักงานปฏิรูปกฎหมาย, นางสาวริยา เด็ดขาด  คณะนิติรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และ นายไพศาล  ลิ้มสถิตย์   ศูนย์กฎหมาย สุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินรายการโดย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

และในช่วงบ่ายเป็นการประชุมวิชาการโดยมี 4 ห้องคือ 1) การพัฒนาโครงการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัยโดยองค์กรผู้บริโภคและการสนับสนุน โดย คคส. 2) การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การจัดการเชื้อดื้อยาภาคประชาชน โดย กพย. 3) การขับเคลื่อนกฎหมายสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ โดย มพบ. และ 4) การพัฒนาศักยภาพการประเมินและติดตามภายในของกลไกภาค

การพัฒนาโครงการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัยโดยองค์กรผู้บริโภค
การพัฒนาโครงการจัดการสินค้าไม่ปลอดภัยโดยองค์กรผู้บริโภค
การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การจัดการเชื้อดื้อยาภาคประชาชน
การขับเคลื่อนกฎหมายสภาองค์กรผู้บริโภคแห่งชาติ

 

♦ บทเรียนการพัฒนาองค์กรคุณภาพในภาคส่วนต่างๆ

ในวันที่ 30 ตุลาคม 2561  ช่วงเช้าเป็นเวทีเสวนา เรื่อง บทเรียนการพัฒนาองค์กรคุณภาพในภาคส่วนต่างๆ วิทยากรประกอบด้วย ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร มูลนิธิวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ, นางวรรณา ธรรมร่มดี บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด, นางสุภาพร ถิ่นวัฒนากุล มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา และ รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ กรรมการรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพ ดำเนินรายการและวิทยากรโดย รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ที่ปรึกษาแผนงาน คคส. เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาองค์กรคุณภาพในหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ด้าน โครงสร้าง กระบวนการ ผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นในมิติผลงาน มิติการจัดการ มิติบุคลากร และ มิติธรรมาภิบาล

 

♦ ความคาดหวัง ความร่วมมือ และการสนับสนุน ต่อองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ

จากนั้นเป็นเวทีเสวนาเรื่อง ความคาดหวัง ความร่วมมือ และการสนับสนุน ต่อองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ วิทยากรประกอบด้วย ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา, ทพ.อรรถพร  ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, ดร.ชุติเดช บุญโกสุมภ์ ผู้อำนวยการสำนักรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม สำนักงาน กสทช. และ นางสาวเบญญาภา เมธาวราพร นักวิชการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ดำเนินรายการ ผศ.ดร.ยุพดี สิริสินสุข รองผู้จัดการแผนงาน กพย. เพื่อแลกเปลี่ยนประเด็นความคาดหวัง ความร่วมมือ และการสนับสนุน ต่อองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ ของแต่ละหน่วยงาน

 

♦ ทิศทางและบทบาทองค์กรผู้บริโภคกับการพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค

นพ.มงคล ณ สงขลา

ในช่วงบ่าย นพ.มงคล ณ สงขลา กรรมการประสานยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพและการพัฒนาระบบยา สสส. และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปาฐกถาพิเศษเรื่อง ทิศทางและบทบาทองค์กรผู้บริโภคกับการพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค

นพ.มงคล กล่าวว่า การมอบใบประกาศรับรองให้กับองค์กรผู้บริโภคคุณภาพในวันนี้  ทุกองค์กรได้ผ่านเกณฑ์ประเมินที่ร่วมออกแบบโดยศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) และตัวแทนองค์กรผู้บริโภค  โดยมีเกณฑ์ทั้งด้านโครงสร้างองค์กร กระบวนการดำเนินงาน และผลลัพธ์การคุ้มครองผู้บริโภค โดยแบ่งระดับความเข้มแข็งขององค์กรคุณภาพเป็น 3 ระดับ คือ ขั้นพื้นฐาน ขั้นมีสิทธิ์ และขั้นสูง  ซึ่งในวันนี้ มีองค์กรผู้บริโภคที่ผ่านการรับรองคุณภาพขั้นสูง จำนวน 19 องค์กร ซึ่งจะเป็นตัวอย่างและเป็นพี่เลี้ยงให้กับองค์กรขั้นพื้นฐานและขั้นมีสิทธิ์ ในการพัฒนาองค์กรของตนเองให้มีระบบบริหารภายในที่เข้มแข็ง ตามหลักการบริหารสมัยใหม่ ควบคู่กับการมีระบบธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กร (Good governance) ทั้งนี้ ในปี 2561 มีองค์กรผู้บริโภคที่ผ่านการรับรองคุณภาพ 222 องค์กร จากที่สมัครเข้าร่วมการประเมิน 300 กว่าองค์กร นับเป็นการยกระดับความก้าวหน้าของระบบคุ้มครองผู้บริโภคไทยที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง นับแต่เริ่มมี พรบ. คุ้มครองผู้บริโภคใน ปี 2522 เป็นต้นมา

“องค์กรผู้บริโภคที่มีความเข้มแข็ง ถือเป็นหลักประกันสำคัญของประชาชนในด้านสิทธิผู้บริโภค ซึ่งความสำคัญไม่ได้อยู่ที่การมอบรางวัลในครั้งนี้ แต่กระบวนการประเมินจากหลักฐานผลงานขององค์กรผู้บริโภคที่ผ่านการรับรองดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการทำงานที่มีคุณภาพทั้งในระดับพื้นที่และระดับที่สูงกว่า เช่น จังหวัด ภูมิภาค ประเทศ รวมไปถึงระดับสากล อย่างเช่นมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) ซึ่งเป็นตัวอย่างองค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูง ที่มีความร่วมมือกับสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) ซึ่งมีส่วนช่วยยกระดับความสามารถขององค์กรผู้บริโภคภายในประเทศให้ทันต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก สะท้อนความเข้มแข็งของเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคไทยให้เป็นที่ประจักษ์ได้อย่างดี” นพ.มงคล กล่าว

♦พิธีมอบใบประกาศรับรององค์กรผู้บริโภค

จากนั้นเป็นพิธีมอบใบประกาศองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ โดยได้รับเกียรติจาก นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นประธาน ร่วมด้วย นางรัศมีวิศทเวท รองประธานคณะกรรมการประสานยุทธศาสตร์ฯ นายพิฆเนศ ต๊ะปวง รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผศ.ดร.รุ่งเพ็ชร สกุลบำรุงศิลป์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร ประธานมูลนิธิวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ และ ทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มอบใบประกาศฯ ให้องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ

องค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูง 19 องค์กร
องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ ภาคเหนือ
องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ ภาคใต้
องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ ภาคตะวันออก และ กลาง
องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ ภาคตะวันตก
องค์กรผู้บริโภคคุณภาพ กรุงเทพมหานคร

© ภาพพิธีมอบใบประกาศรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพ 2561

♦ ข่าวที่เกี่ยวข้อง


[i] องค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นสูง 19 องค์กร ได้แก่

  1. สมาคมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา
  2. มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา
  3. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ จังหวัดลำปาง
  4. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์จังหวัดลำพูน
  5. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดหนองบัวลำภู
  6. สมาคมผู้บริโภคจังหวัดขอนแก่น
  7. สมาคมผู้บริโภคจังหวัดร้อยเอ็ด
  8. สมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคภาคตะวันออก
  9. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดอ่างทอง
  10. สมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจังหวัดสมุทรสงคราม
  11. สมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตก
  12. ศูนย์คุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภค จังหวัดราชบุรี
  13. สมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
  14. สมาคมผู้บริโภคสุราษฎร์ธานี
  15. เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดกระบี่
  16. สมาคมประชาสังคมชุมพร
  17. สมาคมผู้บริโภคสงขลา
  18. สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดปัตตานี
  19. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดสตูล (ปัจจุบัน เปลี่ยนสถานะเป็น “สมาคมผู้บริโภคสตูล”)

[ii] องค์กรผู้บริโภคคุณภาพขั้นพื้นฐาน 222 องค์กร ได้แก่

  1. เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดกระบี่
  2. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอปลายพระยา
  3. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภออ่าวลึก
  4. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตคลองสาน
  5. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตจอมทอง
  6. ศูนย์สิทธิผู้บรโภคเขตทุ่งครุ
  7. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตธนบุรี
  8. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตบางขุนเทียน
  9. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตบางแค
  10. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตราษฎร์บูรณะ
  11. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตคลองสามวา
  12. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตประเวศ
  13. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตสะพานสูง
  14. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตมีนบุรี
  15. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตดุสิต
  16. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตบางเขน
  17. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตหลักสี่
  18. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตสายไหม
  19. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตจตุจักร
  20. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตดอนเมือง
  21. ศูนย์สิทธิผู้บริโภค เขตบางบอน
  22. ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค เขตตลิ่งชัน
  23. สมาคมเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค
  24. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคแรงงานนอกระบบภาค กรุงเทพมหานครฯ
  25. ชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย
  26. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตบางซื่อ
  27. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตพญาไท
  28. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตพระนคร
  29. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตหนองแขม
  30. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตบางกอกน้อย
  31. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตคันนายาว
  32. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตลาดกระบัง
  33. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตหนองจอก
  34. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตบึงกุ่ม
  35. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตบางพลัด
  36. ศูนย์สิทธิผู้บริโภคเขตบางรัก
  37. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคกาญจนบุรี
  38. ชมรม อสม.เทศบาลเมื่องกาญจนบุรี
  39. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดกาญจนบุรี
  40. เครือข่ายพลังสังคมจังหวัดกาญจนบุรี
  41. สมาคมคนพิการอำเภอไทรโยค
  42. สมาคมคนพิการจังหวัดกาญจนบุรี
  43. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีจังหวัดกาญจนบุรี
  44. ศูนย์คุ้มครองสิทธิตำบลปากแพรก
  45. กลุ่มคนรักสุขภาพบ้านเขาใหญ่
  46. ศูนย์ประสานงานสิทธิชุมชน
  47. เครือข่ายประชาชนคุ้มครองสิทธิ์ตำบลท่าเสา
  48. สมาคมผู้บริโภคจังหวัดขอนแก่น
  49. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดขอนแก่น
  50. ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบจังหวัดขอนแก่น
  51. ชมรมอาสาสมัครเพื่อผู้บริโภคอำเภอชุมแพ
  52. สมาคมคนพิการจันทบูร
  53. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดจันทบุรี
  54. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดจันทบุรี(ประเด็นเกษตร)
  55. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดฉะเชิงเทรา (ประเด็นเกษตร)
  56. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดฉะเชิงเทรา
  57. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดฉะเชิงเทรา(ประเด็นคนพิการ)
  58. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดชลบุรี (ประเด็นเด็กและเยาวชน)
  59. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดชลบุรี
  60. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร
  61. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนอำเภอปะทิว2 จังหวัดชุมพร
  62. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนอำเภอปะทิว1 จังหวัดชุมพร
  63. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนอำเภอเมือง จังหวัดชุมพร
  64. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนอำเภอพะโต๊ะ
  65. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนอำเภอละแม จังหวัดชุมพร
  66. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนอำเภอสวี จังหวัดชุมพร
  67. สมาคมประชาสังคมชุมพร
  68. ศูนย์ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบตำบลแม่อ้อ
  69. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดด์จังหวัดเชียงราย
  70. ศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดเชียงราย
  71. สมาคมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา
  72. ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ ตำบลแม่ไร่
  73. เครือข่ายแรงงานนอกระบบตำบลดอยงาม
  74. ศูนย์ประสานงานบริการชุมชนแม่สรวย
  75. กลุ่มมะขามป้อม อำเภอเวียงชัย
  76. ศูนย์ประสานงานและบริการชุมชน ตำบลสันติสุข
  77. เครือข่ายรักษ์สุขภาพตำบลทรายขาว
  78. เครือข่ายแรงงานนอกระบบตำบลต้า
  79. เครือข่ายแรงงานนอกระบบตำบลสันมะเค็ด
  80. กลุ่มสู่ขวัญดอยหลวง
  81. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ อำเภอดอยหล่อ
  82. มูลนิธิพัฒนาเครือข่ายเอดส์
  83. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพและศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคภาคประชาชนจังหวัดเชียงใหม่
  84. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ จังหวัดเชียงใหม่
  85. ชมรมใจเขาใจเรา
  86. ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ จังหวัดเชียงใหม่
  87. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดตราด (ประเด็นผู้ติดเชื้อ HIV)
  88. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดนครปฐม
  89. สถาบันการเงินชุมชนตำบลสวนป่าน
  90. ศูนย์ท่าจีนศึกษา จังหวัดนครปฐม
  91. สหภาคีความร่วมมือภาคประชาชน จังหวัดนครปฐม
  92. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดนนทบุรี
  93. “สมาคมเครือข่ายผู้บริโภคและสร้างเสริมสุขภาวะอำเภอเมืองบุรีรัมย์
  94. เครือข่ายตลาดนัดสีเขียวจังหวัดบุรีรัมย์
  95. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนตำบลโคกสะอาด
  96. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอกุยบุรี
  97. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอทับสะแก
  98. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอบางสะพาน
  99. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอบางสะพานน้อย
  100. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอปราณบุรี
  101. เครือข่ายองค์กรงดเหล้าจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
  102. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์
  103. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
  104. หน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียนลำดับที่ 28 ประจวบคีรีขันธ์
  105. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอสามร้อยยอด
  106. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอหัวหิน
  107. สมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
  108. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอโคกโพธิ์
  109. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอปะนาเระ
  110. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอเมืองปัตตานี
  111. สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดปัตตานี
  112. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอยะรัง
  113. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอหนองจิก
  114. กลุ่มสู่ชีวิตใหม่ อ.จุน
  115. มูลนิธิ YMCA จังหวัดพะเยา
  116. กลุ่มสายธารน้ำใจตำบลหนองหล่ม
  117. กลุ่มน้ำกว๊านหลากสี
  118. กลุ่มบานบุรี อำเภอปง
  119. กลุ่มสายธารสู่น้ำใจ อำเภอภูกามยาว
  120. กลุ่มฮักภูซาง
  121. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์จังหวัดพะเยา
  122. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชน จังหวัดพะเยา
  123. ศูนย์องค์รวมอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา
  124. ประชาคมเอดส์ตำบลบ้านต๊ำ
  125. มูลนิธิพะเยาเพื่อการพัฒนา
  126. กลุ่มเกษตรเพื่อการผลิตตำบลแม่สุก
  127. กลุ่มสร้างสรรค์พลังใจ 42 ตำบลแม่สุก
  128. กลุ่มหมอพื้นบ้านตำบลแม่สุก
  129. คณะกรรมการเอดส์ตำบลแม่สุก
  130. อสม.หมู่ 4 ต.ท่าคอย จังหวัดเพชรบุรี
  131. กลุ่มออมทรัพย์ไร่โคก
  132. ธนาคารขยะ หมู่ 6 บ้านนากระแสน
  133. กลุ่มนันทนาการไรเพนียด
  134. สภาองค์กรชุมชนตำบลไร่ส้ม
  135. กองทุนสวัสดิการตำบลไร่ส้ม
  136. กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านไร่กล้วย
  137. ชมรมจิตอาสาสร้างเสริมสุขภาพชุมชนคนบ้านหม้อ
  138. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดเพชรบุรี
  139. ชมรมคุ้มครองผู้บริโภคตำบลเทอดไทย อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด
  140. สมาคมผู้บริโภคร้อยเอ็ด
  141. ชมรมคุ้มครองผู้บริโภคบ้านขวาว
  142. ศูนย์ประสานงานหลัประกันสุขภาพประชาชนตำบลธงธานี
  143. ชมรมคุ้มครองผู้บริโภค ตำบลเชียงใหม่
  144. สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคภาคตะวันออก
  145. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดระยอง(ประเด็นผู้สูงอายุ)
  146. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดระยอง
  147. ศูนย์คุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภคจังหวัดราชบุรี มูลนิธิประชาคมราชบุรี
  148. กองทุนพัฒบทบาทสตรีตำบลบ้านคา
  149. กลุ่มศูนย์เรียนรู้สืบสานวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นกะเหรี่ยง
  150. ธนาคารขยะรีไซเคิล จังหวัดราชบุรี
  151. กองทุนที่ดินและที่อยู่อาศัยทุ่งหลวง
  152. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตำบลนาแส่ง
  153. สมาคมเครือข่ายคนรักสิ่งแวดล้อมลำปาง
  154. กลุ่มเขลางค์เพื่อการพัฒนา
  155. กลุ่มลำปางหนา
  156. เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ จังหวัดลำปาง
  157. ชมรมเพื่อนแก้ว
  158. กลุ่มชาววัง (วังเหนือ)
  159. กลุ่มรวมน้ำใจ
  160. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตำบลแม่กัวะ
  161. กลุ่มแสงตะวัน
  162. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตำบลหนองหล่ม
  163. ชมรมพลังใหม่2001
  164. ชมรมคนพิการตำบลแม่กวัะ
  165. กลุ่มทานตะวัน
  166. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคตำบลเสริมซ้าย
  167. ชมรมใจประสานใจ
  168. ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคตำบลต้นธงชัย
  169. กลุ่มฮ่วมใจ๋หล่ายดอย
  170. ศูนย์เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านตำบลป่าไผ่
  171. สมาคมสวัสดิการเพื่อผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสอำเภอลี้
  172. กลุ่มเอ็มลี้รักสุขภาพ
  173. กลุ่มพึ่งพาตนเองบ้านแม่ป๊อก
  174. กลุ่มอาสาสมัครเพื่อการพัฒนาชุมชนและการคุ้มครองสิทธิ (VCAP)
  175. เครือข่ายกะเหรียงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมจังหวัดลำพูน
  176. กลุ่มช่วยเพื่อนชาวลี้
  177. กลุ่มเยาวชนตำบลทากาศ
  178. กลุ่มฟ้าหลังฝน
  179. กลุ่มทอผ้าบ้านแม่ขนาด
  180. เครื่ข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ลำพูน
  181. สมาคมผู้บริโภคสงขลา
  182. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอกระแสสินธุ์
  183. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอคลองหอยโข่ง
  184. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอจะนะ
  185. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอนาหม่อม
  186. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอเมืองสงขลา
  187. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอรัตภูมิ
  188. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอสทิงพระ
  189. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอสะเดา
  190. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอสิงหนคร
  191. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอหาดใหญ่
  192. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอำเภอท่าแพ
  193. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอำเภอทุ่งหว้า
  194. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอำเภอมะนัง
  195. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดสตูล (ปัจจุบัน เปลี่ยนสถานะเป็น “สมาคมผู้บริโภคสตูล”)
  196. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอำเภอควนกาหลง
  197. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอำเภอควนโดน
  198. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอำเภอเมืองสตูล
  199. เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอำเภอละงู
  200. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดสมุทรปราการ (ประเด็นเกษตร)
  201. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดสมุทรปราการ(ประเด็นผู้สูงอายุ)
  202. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอบางคนที
  203. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภอเมืองสมุทรสงคราม
  204. สมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจังหวัดสมุทรสงคราม
  205. สมาคมผู้บริโภคภาคตะวันตก
  206. เครือข่ายผู้บริโภคอำเภออัมพวา
  207. ชมรมผู้สูงอายุตำบลบ้านบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร
  208. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดสมุทรสาคร
  209. สถานีวิทยุชุมชนปฐมสาคร
  210. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดสระแก้ว
  211. ศูนย์เพื่อผู้บริโภคจังหวัดสุพรรณบุรี
  212. สมาคมผู้บริโภคสุราษฎร์ธานี
  213. ศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคอำเภอคีรีรัฐนิคม
  214. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอท่าชนะ
  215. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
  216. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอท่าฉาง
  217. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอพุนพิน
  218. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอำเภอไชยา
  219. ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนจังหวัดหนองบัวลำภู
  220. สมาคมคนพิการจังหวัดหนองบัวลำภู
  221. ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดอ่างทอง
  222. เครือข่ายPHAจังหวัดแพร่

แร่ใยหิน : ภัยเงียบที่องค์กรผู้บริโภคคุณภาพต้องรู้

หมอปอดหวั่น 7 ปี ยังแบน “แร่ใยหิน” ไม่สำเร็จ ถามต้องสังเวยอีกกี่ชีวิตแบบญี่ปุ่น ถึงจะแบนสำเร็จ ชี้ 60 กว่าประเทศแบนก่อนไม่รอแล้ว ใช้เวลากว่า 20 ปี อุบัติการณ์ป่วยถึงลด ห่วงไทยวินิจฉัยโรคได้น้อย เหตุรอยโรคคล้ายโรคอื่น ระยะฟักตัวนานมากกว่า 10 ปี พบคนไทยป่วยชัดๆ แล้ว 28 ราย ทั้งมะเร็งเยื่อหุ้มปอด พังผืดในปอด และเยื่อหุ้มปอดหนา 

ผศ.ดร.นพ.ณรงค์ภณ ทุมวิภาต

 

ผศ.ดร.นพ.ณรงค์ภณ ทุมวิภาต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยาย เรื่อง แร่ใยหิน: ภัยเงียบที่องค์กรผู้บริโภคต้องรู้ ภายในงานประชุมวิชาการองค์กรผู้บริโภคคุณภาพ เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า ประเทศไทยไม่มีแร่ใยหิน จึงต้องนำเข้า ซึ่งอุตสาหกรรมหลักที่มีการใช้แร่ใยหิน คือ กระเบื้องมุงหลังคา เบรกและคลัตช์รถยนต์ จากข้อมูลระดับโลก พบว่า มีคนประมาณ 125 ล้านคนทั่วโลก สัมผัสแร่ใยหินจากที่ทำงาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากแร่ใยหินราว 1 แสนคนต่อปี โดยโรคที่เกิดจากแร่ใยหิน ได้แก่ ภาวะผิดปกติที่เยื่อหุ้มปอด เช่น มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ปอดแฟบเป็นก้อน เยื้อหุ้มปอดหนาตัวเป็นหย่อม เยื้อหุ้มปอดหนาตัวทั่วไป เกิดพังผืดในปอดจากแร่ใยหิน รวมไปถึงโรคอันตราย เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อเลื่อม (เมโสเธลิโอมา) ประกอบด้วย มะเร็งเยื่อหุ้มปอด มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง และมะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจ รวมไปถึงมะเร็งกล่องเสีย และมะเร็งรังไข่

ผศ.ดร.นพ.ณรงค์ภณ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย จากโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคเหตุแร่ใยหิน โดย ศ.นพ.สุรศักดิ์ บูรณตรีเวทย์ ซึ่งได้อาศัยข้อมูล Health Data Center ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ปี 2558-2559 พบว่า มีการรายงานจำนวนผู้ป่วยโรคเหตุแร่ใยหิน 385 ราย แต่จากการที่แพทย์อาชีวเวชศาสตร์ดำเนินการยืนยันความถูกต้อง พบว่า มีผู้ป่วยโรคเหตุใยหินจริง 28 ราย แบ่งเป็นมะเร็งเยื่อเลื่อม 26 ราย ประกอบด้วย มะเร็งเยื่อหุ้มปอด 21 ราย มะเร็งเยื่อบุช่องท้อง 3 ราย มะเร็งเยื่อหุ้มหัวใจ 1 ราย และมะเร็งที่อัณฑะ 1 ราย พังผืดในปอดจากแร่ใยหิน 1 ราย และเยื่อหุ้มปอดหนาตัวเป็นหย่อม 1 ราย ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสแร่ใยหินจากการประกอบอาชีพ

ผศ.ดร.นพ.ณรงค์ภณ กล่าวว่า ประเทศไทยมีปัญหาการวินิจฉัยโรคจากแร่ใยหินได้น้อยกว่าความเป็นจริง เนื่องจากมีข้อจำกัด คือ รอยโรคปอดจากแร่ใยหินมีความคล้ายกับโรคปอดชนิดอื่น อาจทำให้แพทย์คาดไม่ถึงว่า เกิดจากแร่ใยหิน ประกอบกับโรคที่เกิดขึ้นมีระยะฟักตัวของโรคนานมากกว่า 10 ปีขึ้นไป เช่น พังผืดในปอดจากแร่ใยหินใช้เวลา 20-40 ปี มะเร็งปอดมากกว่า 15 ปี มะเร็งเยื่อหุ้มปอดยิ่งน่ากลัว เพราะใช้เวลามากกว่า 40 ปี และยังหาการสัมผัสแร่ใยหินขั้นต่ำที่ทำให้เกิดโรคไม่ได้ เป็นต้น จนทำให้ผู้ป่วยหลงลืม ทำให้ไม่สามารถซักประวัติโดยละเอียดได้ เพราะคนที่เคยสัมผัสแร่ใยหินอาจมีการเปลี่ยนงานมานาน รวมถึงอาจมีพฤติกรรมเสี่ยงจากปัจจัยอื่น เช่น สูบบุหรี่ ทำให้ไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ชัดเจน ทำให้คนที่ไม่อยากแบนแร่ใยหิน เอาข้อมูลนี้มาบอกผิดๆ ว่า คนป่วยไม่เคยสัมผัสแร่ใยหินมาก่อน จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย หากไม่เคยสัมผัสคงไม่ป่วย และย้ำว่า การไม่มีประวัติสัมผัสไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการสัมผัสมาก่อน เพราะการซักประวัติอาจไม่ละเอียดพอ ทำให้ไม่มีการบันทึกในข้อมูลผู้ป่วย

“ขณะนี้กว่า 60 ประเทศทั่วโลกก็แบนแร่ใยหินแล้ว แม้แต่ประเทศส่งออกอย่างแคนาดาและบราซิลก็ประกาศยกเลิก ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและเวียดนามก็ประกาศจะยกเลิกในปี 2020 และ 2023 ซึ่งเมื่อต่างประเทศมีการแบนแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยจะไม่แบนแร่ใยหิน อย่ารอให้ต้องเจอปัญหาอย่างประเทศญี่ปุ่นที่พยายามแบนมานาน แต่ไม่สำเร็จ แต่กลับสำเร็จด้วยการที่โรงงานแห่งหนึ่งปล่อยแร่ฟุ้งกระจายรอบเมืองในปี 2005 จนทำให้มีผู้ป่วยมะเร็งเยื่อเลื่อมถึง 90 ราย และมีผู้เสียชีวิต ซึ่งไม่ใช่แค่คนที่ทำงาน แต่ยังรวมไปถึงคนในครอบครัวคนงาน และคนที่อาศัยใกล้ๆ ด้วย และมาแบนสำเร็จในปี 2006 เราต้องการให้มีคนป่วยตายเช่นนี้ก่อนหรือ” ผศ.ดร.นพ.ณรงค์ภณ กล่าว

เมื่อถามว่าประเทศไทยยังแบนไม่สำเร็จทั้งแร่ใยหินและสารเคมี ผศ.ดร.นพ.ณรงค์ภณ กล่าวว่า จริงๆ แล้วทั้งแร่ใยหินและสารเคมีมีความน่ากลัวไม่ต่างกัน เพราะทำลายสุขภาพของคนสัมผัส อย่างแร่ใยหินมีมติ ครม.ให้แบนตั้งแต่ปี 2554 แต่จนทุกวันนี้ก็ยังแบนไม่สำเร็จ ถือว่าน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม จุดที่แตกต่างคือ แร่ใยหินมีสารทดแทนแล้ว ซึ่งอดีตอาจบอกว่ามีราคาแพง แต่ทุกวันนี้มีการพัฒนาจนราคาถูกกว่าแร่ใยหินอีก ก็ควรจะมีการแบนได้แล้ว ส่วนสารเคมีอาจยังมีสารทดแทนที่ไม่ดีพอหรือไม่ หรือบางตัวก็ยังไม่มีสารทดแทนหรือไม่ จึงทำให้ยังเป็นปัญหา แต่ยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นแร่ใยหินหรือสารเคมี เมื่อต่างประเทศมีการแบนแล้ว ประเทศไทยก็ควรแบนเช่นกัน เพราะอย่างแร่ใยหินเมื่อแบนแล้วกว่าโรคจะลดลงก็ใช้เวลา 20-30 ปี เช่น กลุ่มสแกนดิเนเวียแบนตั้งแต่ราวปี 1980 กว่าๆ โรคจากแร่ใยหินเพิ่งจะลดลงเมื่อปี 2010 ส่วนอังกฤษโรคน่าจะลดลงช่วงปี 2020 ดังนั้น หากประเทศไทยเริ่มแบนแร่ใยหินตั้งแต่วันนี้ ก็จะเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นในรุ่นลูกรุ่นหลาน

 

ที่มา: 7 ปียังแบน “แร่ใยหิน” ไม่สำเร็จ ต้องสังเวยอีกกี่ชีวิต ชี้ 20 ปีหลังแบน อุบัติการณ์ป่วยถึงลดเผยแพร่: 31 ต.ค. 2561, ผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/qol/detail/9610000108678?fbclid=IwAR2UzNK5u0Hlu9z7qWIEbFkqRhKtI4cr5xdR117K3SK1PsvGo5ZHglD2USE

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
1. เอกสารบรรยาย เรื่อง แร่ใยหิน: ภัยเงียบที่องค์กรผู้บริโภคต้องรู้

2. ถอดบทเรียน: องค์กรปกครองท้องถิ่น ต้นแบบร่วมตระหนักแร่ใยหิน

3.โปสเตอร์ เรื่อง รื้อถอน-ซ่อมอาคาร ระวังมะเร็งจากแร่ใยหิน

4. โปสเตอร์ เรื่อง 9 วิธี หนีภัยมะเร็งจากแร่ใยหิน

5. คู่มือแร่ใยหิน 101 (ฉบับเรียนลัด)

 

คน ปลา ไมโครพลาสติก มหาสมุทร และดวงดาว

สหประชาชาติเคยแถลงอย่างโรแมนติกว่า ‘หากนับเฉพาะขยะจำพวกไมโครพลาสติกในมหาสมุทร ปริมาณของมันมากกว่าจำนวนดวงดาวในกาแล็กซีเสียอีก’

เป็นถ้อยแถลงที่โรแมนติก แต่ก็เป็น ดาร์กโรแมนติก

นี่คือ fun facts เกี่ยวกับความเข้าใจผิดของสัตว์ทะเลที่นึกว่าพลาสติกคืออาหารของมัน

มีพลาสติกมากกว่าเหยื่อที่ผิวน้ำของแพขยะแปซิฟิก (Great Pacific Garbage Patch) หมายถึงสัตว์แถบนั้นจะมีอาหารที่ปนเปื้อนพลาสติก เช่น เต่าทะเลที่อยู่รอบๆ แพขยะอาจต้องกินอาหารเป็นพลาสติกถึง 74 เปอร์เซ็นต์

ปลาที่เป็นอาหารของมนุษย์เคยกินเม็ดพลาสติกเป็นอาหารอย่างน้อยๆ หนึ่งครั้งในช่วงชีวิตของมัน

ขยะจำพวกไมโครพลาสติกในมหาสมุทรมีปริมาณมากกว่าจำนวนดวงดาวในกาแล็กซี

มนุษย์ – สิ่งมีชีวิตจำนวนเพียงน้อยนิดในกาแล็กซี กลับสร้างผลสะเทือนได้ตั้งแต่ในมหาสมุทรถึงดวงดาว

แต่ในฐานะผู้บริโภค มนุษย์สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

 

การเดินทางของไมโครพลาสติก: จากห้องน้ำสู่มหาสมุทร, จากมหาสมุทรถึงอุจจาระของมนุษย์

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งกรุงเวียนนา (Medical University of Vienna) และสำนักสิ่งแวดล้อมของออสเตรีย (Environment Agency Austria) พบไมโครพลาสติก 20 อนุภาค ในอุจจาระทุกๆ 10 กรัมของผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวน 6 คน

ผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้ง 6 ต่างมีไลฟ์สไตล์ข้องแวะกับพลาสติก เช่น บริโภคอาหารที่ห่อด้วยพลาสติก ดื่มน้ำจากขวดพลาสติก บริโภคปลาทะเล

ไมโครพลาสติกอยู่ใกล้ตัวเราอย่างแนบชิด ‘ไมโครบีดส์’ (Microbeads) หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ‘เม็ดบีดส์’ ที่มักเป็นส่วนผสมสำคัญของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลร่างกายกว่า 10 ประเภท อาทิ ยาสีฟัน ครีม/โฟมล้างหน้า โลชั่น ครีมอาบน้ำ ฯลฯ

ด้วยขนาดที่เล็กเทียบเท่าเม็ดทรายของไมโครบีดส์ ทำให้มันเป็นปัญหา เพราะสามารถเล็ดลอดผ่านตัวกรองทุกชนิดของโรงงานบำบัดน้ำเสีย รวมถึงท่อน้ำทิ้งภายในบ้านเรือนของเราลงสู่แหล่งน้ำได้

ทำให้ทะเลและมหาสมุทรกลายเป็นแหล่งสะสมสารพิษปริมาณมหาศาล เมื่อสัตว์น้ำในทะเล เช่น ปลา หอย และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ กินไมโครพลาสติกเข้าไป ก่อนที่จะกินกันเป็นทอดๆ อันตรายของเม็ดไมโครพลาสติกจึงสามารถกระจายตัวไปตามลำดับของห่วงโซ่อาหาร และในที่สุดก็จะย้อนกลับเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ซึ่งเป็นผู้บริโภคลำดับสุดท้าย

ล่าสุด สภายุโรปมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา สำหรับร่างกฎหมายห้ามการใช้พลาสติกประเภท ‘ใช้ครั้งเดียวทิ้ง’ อย่างเช่น หลอด ช้อนส้อมพลาสติก คอตตอนบัต ก้านลูกโป่ง ฯลฯ โดยมีเป้าหมายบังคับใช้ภายในปี 2021

ขณะที่ประเทศแคนาดาประกาศห้ามใช้ไมโครพลาสติกประเภทไมโครบีดส์เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายมาหลายปีแล้ว เช่นเดียวกับบางรัฐในสหรัฐอเมริกาที่ออกกฎหมายห้ามใช้ไมโครบีดส์แล้ว

ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการควบคุมเม็ดพลาสติกจิ๋วจำนวนมหาศาลเหล่านี้ ในวันที่พวกมันกำลังเดินทางออกจากท่อน้ำทิ้งในบ้านของเราลงสู่มหาสมุทร ก่อนที่จะย้อนกลับมาหาเราอีกครั้ง

และนักวิจัยพบพวกมันในอุจจาระของมนุษย์

 

เมื่ออาดัมและอีฟกินผลไม้ปนเปื้อนสารเคมี

มติไม่เป็นเอกฉันท์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 คณะกรรมการวัตถุอันตรายเสียงข้างมากมีมติไม่แบนสารเคมีอันตราย 3 ตัว ประกอบด้วย พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ด้วยเหตุผลว่า ยังไม่มีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและผลกระทบมากพอ โดยให้จำกัดการใช้สารเคมีเหล่านี้ในพืชเศรษฐกิจ

แต่มีงานวิจัยหลายชิ้นที่เผยให้เห็นผลกระทบของสารเคมีเหล่านี้ เช่น สารพาราควอตที่ตกค้างในร่างกายมารดาสามารถถ่ายทอดไปยังทารกได้ ในงานวิจัย ‘การตกค้างของสารกำจัดศัตรูพืชในแม่และทารก’ โดย ศาสตราจารย์ ดร.พรพิมล กองทิพย์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ประกอบการสำรวจการปนเปื้อนของสารกำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้ของ ‘เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช’ (Thai-PAN) พบสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้างเกินมาตรฐาน หรือคิดเป็น 63.3% ของจำนวนตัวอย่างทั้งหมด

ผักและผลไม้ที่สำรวจพบการปนเปื้อน ล้วนแต่เป็นผักที่ผู้บริโภคหาซื้อได้ง่ายในท้องตลอด เช่น ถั่วฝักยาว คะน้า กะเพรา ชะอม เป็นต้น

สารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีพิษร้ายแรงเหล่านี้ถูกดูดซึมมาทางรากของพืชสวนครัว

ภาคประชาชนและเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารเคมีพิษร้ายแรงกว่า 700 องค์กร จึงเตรียมหลักฐานยื่นฟ้องศาลปกครอง โดยมีมูลเหตุว่ามติดังกล่าวอาจไม่โปร่งใส และคณะกรรมการวัตถุอันตรายไม่คุ้มครองและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

นี่คือสิ่งที่ภาคประชาชนพอจะทำได้

เมื่อสารเคมีถูกอนุญาตให้ใช้ต่อไป และอาดัมและอีฟยังคงต้องกินผักและผลไม้ปนเปื้อนสารเคมี แน่ล่ะว่าหากทั้งสองแต่งงานและมีบุตร ก็น่ากลัวว่า สารเคมีนั้นจะถ่ายทอดไปยังคนรุ่นลูก

กระท่อม-กัญชา​ ถึงเวลาต้องตัดสินใจ

เส้นแบ่งระหว่างยาเสพติดกับยารักษาโรคของพืชในตำนานอย่างกัญชา-กระท่อม ในประเทศไทยยังคงถกเถียงกันว่า เราควรจัดให้พืชชนิดนี้อยู่ในหมวดหมู่ใดกันแน่ ขณะที่หลายประเทศได้ยกระดับสู่การศึกษาวิจัย และนำไปใช้ในทางการแพทย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วงสัมมนาวิชาการ​ ‘การใช้กัญชา​ กระท่อม ในการบำบัดโรค​: ปัญหาและทางออก’ ซึ่งจัดโดยคณะนิติศาสตร์​ มหาวิทยาลัย​ธรรมศาสตร์​ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่​ 12​ ตุลาคม​ 2561 ที่ผ่านมา​ มีประเด็นสำคัญอยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า การใช้กัญชาและกระท่อมเพื่อบำบัดโรคนั้นนำไปสู่ทางเลือกเช่นไรระหว่างปัญหาหรือทางออก?

​แม้ว่าสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) จะเสนอแนวคิดในการถอดถอนพืชกระท่อมและกัญชาให้พ้นจากบัญชียาเสพติดมาเป็นยารักษาโรค แต่สำหรับประเทศไทยยังคงเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์​ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มองว่า ปัญหาในการพิจารณาให้กัญชา​-กระท่อม ออกจากบัญชียาเสพติดประเภท​ 5 มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. เป็นแม่งานหลัก​ ทว่าโครงสร้างของ ป.ป.ส. นั้นเทอะทะ และการประชุมเกี่ยวกับปัญหายาเสพติดยังคงมุ่งไปที่การปฏิบัติมากกว่าการพิจารณาเชิงนโยบาย

กระท่อม กัญชา
นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์

ในแง่ข้อกฎหมายก็ยังมีอุปสรรคด้วยเช่นกัน​ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ที่ขัดแย้งกับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ​ พ.ศ.​ 2522 ทาง สนช. จึงเสนอให้มีการปฏิรูปกฎหมาย​ แต่สิ่งที่ นพ.เจตน์ พบคือเป็นเรื่องยากในการนำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง​ 7 ฉบับ มามัดรวมเป็นเล่มเดียว ​จึงเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ​ พ.ศ. 2522 โดยมีใจความสำคัญอยู่ที่มาตรา​ 5 ที่ระบุว่า​ “… เพิ่มเติมให้คณะกรรมการ​ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจกำหนดพื้นที่เพื่อทดลองปลูกพืชที่เป็นหรือให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท​ 5 ​ผลิตและทดสอบยาเสพติดประเภท​ 5 ​หรือกำหนดเขตพื้นที่ให้เสพหรือครอบครองยาเสพติดประเภท​ 5 ​ในปริมาณที่กำหนดได้​ โดยให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและต้องมีมาตรการควบคุมตรวจสอบด้วย”

“ร่างแก้ไขนี้เราได้นำเสนอสภาแล้ว แต่กำลังอยู่ในขั้นตอนประชาพิจารณ์ตามมาตรา 77 วรรค 2 ปลายเดือนตุลาคมนี้ โดยหวังว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคมก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า” นพ.เจตน์ กล่าว

ขณะที่​ ผศ.ภญ.นิยดา​ เกียรติยิ่งอังศุลี​ ผู้จัดการศูนย์​วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา​ (กพย.) ​จุฬาลงกรณ์​มหาวิทยาลัย​ กล่าวถึงสถานการณ์​ล่าสุดว่า มติ ครม. ได้มีการอนุญาตให้องค์การเภสัชกรรมสามารถปลูกเพื่อใช้ในการรักษาได้​ ส่วนที่ประเทศแคนาดาเตรียมประกาศใช้กัญชาในการรักษาได้ทุกรูปแบบในวันที่​ 17 ตุลาคมนี้ รวมถึงประเทศอังกฤษ​ แพทย์จะสามารถสั่งยาโดยให้ใช้กัญชาเพื่อรักษาผู้ป่วยได้ในเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป​ แม้ในภาพรวมของ​สหภาพยุโรป (EU) จะยังคงจำกัดการใช้กัญชาและกระท่อม​ แต่ก็ให้สิทธิ์แต่ละประเทศในการออกนโยบายเกี่ยวกับการใช้กัญชา​เพื่อการรักษาทางการแพทย์ได้

“เวลาที่เราพูดถึงประเด็นนี้ ควรมองที่สุขภาพของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทั้งเรื่องการเข้าถึงและการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นสำคัญด้วย”

ความเห็นของ​ ผศ.นพ.ปัตพงษ์​ เกษสมบูรณ์ ​จากคณะแพทยศาสต​ร์ มหาวิทยาลัย​ขอนแก่น​ มองในแง่มุมประวัติศาสตร์​ว่า ในอดีตมีการใช้กัญชามายาวนานนับพันปีแล้ว จนมาถึงยุคที่เริ่มมีการผลิตยาแผนปัจจุบันมากขึ้น ยาแผนโบราณต่างๆ​ โดยเฉพาะกัญชาจึงถูกทำให้กลายเป็นยาเสพติด​ ผู้เข้ารับการรักษาถูกทำให้กลายเป็นผู้เสพ เพื่อกีดกันยาแผนโบราณออกไป

“เราต้องรู้ก่อนว่าปัญหาของประเทศไทยเราคืออะไร และเกาให้ถูกที่คัน เราต้องกลับมามองประวัติศาสตร์ที่กัญชาเคยถูกใช้เป็นยารักษาโรคได้ เพียงแต่เราต้องระมัดระวังว่าจะเปิดกว้างแค่ไหน เพราะบริษัทยาก็จ้องจะนำกัญชามาใช้ในการทำยาสังเคราะห์ ซึ่งผมอยากเสนอให้มีการปฏิรูปกฎหมายด้วย”

กระท่อม กัญชา
ผศ.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์

สิทธิบัตรกระท่อม

วิฑูรย์​ เลี่ยนจำรูญ​ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี​ (ไบโอไทย)​ มองในแง่สิทธิบัตรที่ไทยจะเสียผลประโยชน์​ โดยขณะนี้ญี่ปุ่นได้จดสิทธิบัตรใบกระท่อมในสกุล​ mitragyna (พืชสกุลนี้ประกอบด้วย​ กระทุ่มใบเล็ก กระทุ่มใบเนิน และกระท่อม)​ เพื่อนำไปใช้ในกลุ่มประเทศที่อยู่ภายใต้สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (Patent Cooperation Treaty: PCT) ทั้ง​ 150 ประเทศ​ รวมถึงประเทศไทย ​แต่ยังติดข้อกฎหมายบางประการ ทำให้ญี่ปุ่นยังไม่สามารถนำไปใช้ได้​

​ประโยชน์ทางการแพทย์​ที่จะได้จากพืชกระท่อมนี้ วิฑูรย์​มองว่า หากมีการถอดพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ไม่เพียงจะนำมาสู่ผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่​ยังส่งผลไปถึงสุขภาพของประชาชนด้วย

“โดยสรุปผมเห็นด้วยในการถอดกระท่อมออกจากยาเสพติดประเภท 5 เพราะเราใช้กันมาแต่ดั้งเดิม ฉะนั้น เราจะต้องสนับสนุนให้เกิดหมอพื้นบ้าน และมีการวิจัยต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ในวงกว้าง”

กระท่อม กัญชา
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ

เปลี่ยนมุมมองกฎหมายยาเสพติด

เบื้องหลังแนวคิด พ.ร.บ.ยาเสพติด แต่เดิมมีไว้เพื่อลดปัญหาด้านอาชญากรรม ​เพราะเชื่อว่าการเสพกัญชา​-กระท่อม จะนำมาสู่ปัญหาด้านอาชญากรรม​

จากการศึกษาของ​ พ.ต.ท.หญิง​ ชลิดา​ อุปัญญ์ สารวัตรฝ่ายกฎหมายและวินัย​ โรงพยาบาลตำรวจ (นักศึกษา​ปริญญาเอก​คณะนิติศาสตร์​ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร​ศาสตร์)​ มองว่า​ต้องมีการลดทอนความเป็นอาชญากรรมควบคู่กับหลักการอื่นๆ​ เช่น​ การไม่ตีตรา ​ไม่เลือกปฏิบัติ​ เปิดโอกาสให้คนผันตัวจากอาชญากรมาสู่ผู้บำบัด โดยมีโมเดลจากต่างประเทศที่ใช้กัญชาในการรักษาทางการแพทย์​ เช่น​ ในสหรัฐแบ่งออกเป็นในทางนิตินัยและพฤตินัย​ โดยในทางนิตินัย ระดับมลรัฐสามารถใช้กัญชาทางการแพทย์และการเสพเพื่อสันทนาการได้ ขณะที่ในทางพฤตินัย หากพบว่ามีการครอบครองกัญชาจะต้องไม่นำไปสู่การลงโทษด้วยกระบวนศาล แต่ตำรวจจะต้องใช้ดุลยพินิจผ่านทางเลือกอื่นแทนการจำคุก​ รวมไปถึงการกำหนดเพดานอายุผู้มีไว้ในครอบครอง ต้องมีอายุ​ 21 ปีขึ้นไป ​ปลูกกัญชาได้ไม่เกิน​ 6 ต้น​ และการขนส่งกัญชาที่ถูกกฎหมายไม่เกิน​ 1 ออนซ์ หรือ​ ​​28 กรัม

กระท่อม กัญชา
พ.ต.ท.หญิง ชลิดา อุปัญญ์

ไม่ว่ากัญชา-กระท่อมจะถูกตีตราเป็นยาเสพติดให้โทษ หรือเป็นพืชยารักษาโรค สุดท้ายขึ้นอยู่กับทัศนคติและมุมมองว่าจะเปิดกว้างแค่ไหน หากมีการศึกษาวิจัยอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เราอาจพบคำตอบที่ดีกว่า หาไม่แล้วประเทศไทยคงย่ำอยู่กับที่

 

ข้อเสนอในการรับฟังความคิดเห็นเพื่อการปรับปรุงและแก้ไข ร่าง พระราชบัญญัติยา พ.ศ…ฉบับ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ (สลค.ส่งถามความเห็นหน่วยงาน)

ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จัดทำ ข้อเสนอในการรับฟังความคิดเห็นเพื่อการปรับปรุงและแก้ไข ร่าง พระราชบัญญัติยา พ.ศ…ฉบับ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ (สลค.ส่งถามความเห็นหน่วยงาน) ใน ๑๑ ประเด็น

๑. เหตุผลของการตรากฎหมาย

โดยที่พระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน บทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน …จึงสมควรยกร่างกฎหมายโดยปรับปรุงบทนิยาม การแบ่งประเภทยา อำนาจรัฐมนตรีในการออกประกาศกำหนด รูปแบบของคณะกรรมการซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการยาแห่งชาติและคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง การกำหนดยาที่ให้จ่ายในร้านขายปลีกยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาที่จ่ายโดยเภสัชกรหรือยาตามใบสั่งยา รวมถึงยาที่จ่ายโดยผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ในสถานที่ขายยาสาหรับสัตว์เป็นการเพิ่มเติม การขออนุญาตและการอนุญาต กระบวนการพิจารณาอนุญาตยา หน้าที่ของผู้รับอนุญาต และผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ การขึ้นทะเบียนตำรับยา การทบทวนทะเบียนตำรับยา และการจดแจ้ง การพักใช้และการเพิกถอนใบอนุญาต การโฆษณา การควบคุมยา พนักงานเจ้าหน้าที่ และการอุทธรณ์ ตลอดจนปรับปรุงบทกำหนดโทษและอัตราค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

            เหตุผล: ปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อเสนอในการรับฟังความคิดเห็น

๒. นิยามศัพท์ (มาตรา ๔)

.๑ ยาควบคุมพิเศษและยาอันตราย

“ยาควบคุมพิเศษตามใบสั่งยา” หมายความว่า ยาที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาควบคุมพิเศษ ที่ต้องจ่ายตามใบสั่งยา

“ยาอันตรายที่จ่ายโดยเภสัชกร” หมายความว่า ยาที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาอันตรายที่ต้องจ่ายโดยเภสัชกร

            เหตุผล: การเขียนนิยามศัพท์ในลักษณะนี้ จะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติเนื่องจากยาทุกรายการสามารถเขียนในใบสั่งยาได้และเภสัชกรสามารถจ่ายได้  ประชาชนผู้รับยาจะเกิดความสับสนว่าเป็นยาประเภทใด มีความอันตรายมากหรือน้อยอย่างไร และปัจจุบันประชาชนคุ้นเคยกับคำว่า “ยาควบคุมพิเศษ” “ยาอันตราย” ซึ่งปรากฏในฉลากมาเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการใช้ยาของประชาชน  และข้อความประเภทยาดังกล่าว ถูกบังคับให้เขียนในฉลากยาซึ่งผู้ประกอบการต้องพิมพ์ลงในฉลาก อาจส่งผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในการเปลี่ยนฉลากยา จึงควรคงชื่อเดิมคือ “ยาควบคุมพิเศษ” “ยาอันตราย” ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.๒๕๑๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

หมายเหตุ: กรณีที่คงชื่อประเภทยาตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.๒๕๑๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ต้องไปแก้ไขในมาตราที่เกี่ยวข้อง

.๒ ยาแผนปัจจุบันและยาแผนไทย

“ยาแผนปัจจุบัน” หมายความว่า ยาที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนปัจจุบันเวชกรรม การพยาบาล การผดุงครรภ์ การพยาบาลและการผดุงครรภ์ ทันตกรรม เภสัชกรรม และกายภาพบาบัดตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ยาที่ได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นยาแผนปัจจุบัน หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นยาแผนปัจจุบัน

“ยาแผนไทย” หมายความว่า ยาที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยหรือการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ยาที่ได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นยาแผนไทย หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นยาแผนไทย

เหตุผล: การเขียนนิยามศัพท์ในลักษณะนี้ ครอบคลุมเกินกว่าผู้ที่อำนาจสั่งใช้ยาและจ่ายยา จึงแก้ไขนิยามศัพท์ให้เหมือนพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งกำหนดความครอบคลุมเฉพาะวิชาชีพการแพทย์ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น


.๓ การขายส่ง

“ขายส่ง”หมายความว่า ขายตรงต่อผู้รับอนุญาตขายยา ผู้รับอนุญาตขายส่งยา กระทรวง ทบวง กรม สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม ผู้ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล ผู้ประกอบวิชาชีพการผดุงครรภ์ ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม หรือผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ หรือการขายจำนวนมากโดยมีวัตถุประสงค์ที่มิใช่เป็นการขายโดยตรงต่อประชาชนผู้ใช้ยา

เหตุผล: การขายส่ง ควรเป็นการขายให้เฉพาะสถานที่ที่ได้รับอนุญาต และขายตรงต่อผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ที่มีสถานที่ประกอบวิชาชีพเท่านั้น ไม่ควรกำหนดกว้างเกินไป เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและป้องกันการกระจายยาอย่างไม่เหมาะสม

๓.การยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตประกอบการ (มาตรา ๒๒ มาตรา ๑๑๗ และมาตรา ๑๖๑)

มาตรา ๒๒ บทบัญญัติมาตรา ๒๑ ไม่ใช้บังคับกับ

……

ผู้ผลิต ขาย หรือนำเข้ายาที่ได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่ง ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง และผู้ที่ได้รับยกเว้นตาม (๔) (๕) ให้มีหน้าที่เช่นเดียวกับผู้รับอนุญาตตามมาตรา ๓๕(๙) ๓๗(๒) (๓) และผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๔๐(๖)

เหตุผล: ผู้ที่ได้รับยกเว้นตาม (๔) (๕) ตามกฎหมายนี้ คือผู้ที่ได้รับยกเว้นการขออนุญาตประกอบการ แต่หน้าที่ในการคุ้มครองผู้บริโภคยังต้องมีอยู่ตามที่กฎหมายกำหนด จึงควรดำเนินการเช่นเดียวกับผู้รับอนุญาตและผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ

มาตรา ๑๖๑ ผู้ผลิต ขาย หรือนำเข้ายาที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา ๒๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) หรือ (๙) ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๒ หรือตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในมาตรา ๒๒ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

เหตุผล: การประกอบการผลิต ขาย และนำเข้าที่ได้รับการยกเว้น บางกรณีไม่จำเป็นต้องมีการกำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องเขียนบทลงโทษให้ครอบคลุมทุกข้อยกเว้น และเพิ่มเติมบทกำหนดโทษให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายที่เพิ่มเติม

มาตรา ๑๑๗ เมื่อมีประกาศตามมาตรา ๖ (๗) แล้ว การจ่ายยาอันตรายที่จ่ายโดยเภสัชกร ต้องกระทำโดยเภสัชกร ณ สถานที่ตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต เว้นแต่เป็นการจ่ายยาในสถานพยาบาลประเภทที่ไม่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล

เหตุผล: มาตรา ๑๑๗ ยกเว้นการประกอบการผลิต ขาย นำเข้า เช่นเดียวกับมาตรา ๒๒ จึงควรตัดออก เพราะบทบัญญัติซ้ำซ้อนและเปิดกว้างให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ทุกสาขาที่มีคลินิคสามารถจ่ายยาอันตรายได้

๔.การยกเลิกร้านขายยาประเภทขายยาบรรจุเสร็จที่มิใช่ยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษ (มาตรา ๒๔ มาตรา ๒๕ มาตรา ๒๖ วรรคสาม มาตรา ๒๒๘ และค่าธรรมเนียม)

มาตรา ๒๔ ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา ๒๓ (๑๑) ต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม เว้นแต่

(๓) การขายปลีกยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาที่จ่ายโดยเภสัชกรหรือยาตามใบสั่งยา ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการจะเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ หรือผู้ผ่านการอบรมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ก็ได้

มาตรา ๒๕ ใบอนุญาตเกี่ยวกับยาแผนปัจจุบัน ยาแผนไทย และยาแผนทางเลือก ให้แบ่งเป็นประเภท ดังต่อไปนี้

(๖) ใบอนุญาตขายปลีกยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาที่จ่ายโดยเภสัชกรหรือยาตามใบสั่งยา

มาตรา ๒๖ ผู้รับอนุญาตผลิตหรือนำเข้ายาแผนปัจจุบัน ยาแผนไทย หรือยาแผนทางเลือก ให้ถือว่าเป็นผู้รับอนุญาตขายส่งยาแผนปัจจุบัน ยาแผนไทย หรือยาแผนทางเลือกที่ตนผลิตหรือนำเข้าด้วย

………..

ผู้รับอนุญาตขายปลีกยาแผนปัจจุบัน ให้ถือว่าเป็นผู้รับอนุญาตขายปลีกยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาที่จ่ายโดยเภสัชกรหรือยาตามใบสั่งยา หรือผู้รับอนุญาตขายปลีกยาแผนไทย หรือผู้รับอนุญาตขายปลีกยาแผนทางเลือกด้วย

            มาตรา ๒๒๘ ผู้ได้รับใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตราย หรือยาควบคุมพิเศษที่ออกให้ตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ และผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการประจำสถานที่ขายยาดังกล่าว ให้ถือเป็นผู้รับใบอนุญาตขายปลีกยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ ให้มีสิทธิขายยาได้ตามรายการยาที่รัฐมนตรีประกาศ และให้มีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับที่มีอยู่ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ ต่อไปอีกเจ็ดปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับจนกว่าผู้รับอนุญาตเสียชีวิต และมีหน้าที่เช่นเดียวกับผู้รับอนุญาตขายปลีกยาแผนปัจจุบัน และต้องเข้ารับการอบรมตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยากำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

กรณีผู้รับอนุญาตเสียชีวิต หากทายาทประสงค์จะขายยาที่เหลือของผู้รับอนุญาตดังกล่าว ต้องขายให้แก่ผู้รับอนุญาตอื่น หรือบุคคลที่ผู้อนุญาตเห็นสมควรภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้รับอนุญาตเสียชีวิต

ค่าธรรมเนียม

(๑๐) ใบอนุญาตขายปลีกยาแผนปัจจุบันที่ไม่ใช่ยาที่จ่ายโดยเภสัชกรหรือยาตามใบสั่งยา

ฉบับละ ๕,๐๐๐ บาท

เหตุผล: สืบเนื่องจากการที่พระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้กำหนดให้สถานที่รับอนุญาตขายยาบรรจุเสร็จที่มิใช่ยาอันตรายและยาควบคุมพิเศษ (ขย.๒) ดำรงอยู่มาเป็นเวลานานถึง ๓๑ ปี และมีขบวนการช่วยให้ปรับสถานะเป็นสถานที่รับอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน (ขย.๑) โดยคณะเภสัชศาสตร์ต่างๆรับทายาทของผู้รับอนุญาตร้าน ขย.๒ เข้าศึกษาในคณะเภสัชศาสตร์โดยโควต้าพิเศษนับตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ เป็นต้นมา และมีการจำกัดไม่ให้เปิดร้าน ขย.๒ เพิ่มจากเดิม ร้าน ขย.๒ จึงเหลือจำนวนไม่มากนัก ประกอบกับเทคโนโลยีทางยามีความก้าวหน้า ซับซ้อน และยามีอันตรายมากขึ้น จึงไม่ควรให้มีประเภท ร้าน ขย.๒ ซึ่งมีเพียงบุคคลผู้ได้รับการอบรมความรู้เรื่องยาไม่กี่วัน (“หมอตี๋”) บริการยาอีกต่อไป เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยในการใช้ยาของประชาชน ทั้งนี้ไม่เป็นการรอนสิทธิของผู้รับอนุญาต ขย.๒ จึงให้โอกาสในการประกอบการขายยาต่อไปอีก ๗ ปี และเปิดโอกาสให้เปลี่ยนประเภทการประกอบการเป็นร้าน ขย.๑ ได้

๕.การขึ้นทะเบียนตำรับเภสัชชีววัตถุ/ยา การทบทวนทะเบียนตำรับยา และการยกเลิกทะเบียนตำรับยา

.๑ การขึ้นทะเบียนตำรับเภสัชชีววัตถุ (มาตรา ๔๒ และมาตรา ๙๕)

มาตรา ๔๒ ผู้รับอนุญาตผู้ใดประสงค์จะขึ้นทะเบียนตำรับยาและเภสัชชีววัตถุ ให้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยา และเมื่อผู้อนุญาตออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาให้แล้วจึงจะผลิตหรือนำเข้ายานั้นได้ ทั้งนี้ ในการผลิตหรือนำเข้ายาต้องดำเนินการตามมาตรา ๒๑

มาตรา ๙๕ ผู้รับอนุญาตผู้ใดประสงค์จะจดแจ้งเภสัชเคมีภัณฑ์ เภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสาเร็จรูป เภสัชชีววัตถุ หรือเภสัชสมุนไพร ให้ยื่นคำขอจดแจ้ง และเมื่อผู้อนุญาตออกใบรับจดแจ้งให้แล้วจึงจะผลิตหรือนำเข้าได้ ทั้งนี้ ในการผลิตหรือนำเข้าต้องดำเนินการตามมาตรา ๘๐

เหตุผล: เพิ่มการขึ้นทะเบียนตำรับเภสัชชีววัตถุ เช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ.๒๕๑๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากเภสัชชีววัตถุมีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกับชีววัตถุและมีความเสี่ยงสูงกว่ายาประเภทอื่น

.๒ รายละเอียดการขึ้นทะเบียนตำรับยา (มาตรา ๔๔ และมาตรา ๕๒)

มาตรา ๔๔ การขอขึ้นทะเบียนตำรับยาตามมาตรา ๔๒ ต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้

(๑๐) เอกสารการได้มาซึ่งสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตร ในกรณีเป็นยาที่ได้รับสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตร หรือข้อมูลสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ในกรณีเป็นยาแผนไทยที่ได้จดทะเบียนสิทธิ….

            …..

        ความใน (๑๐) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ต้องแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทราบโดยไม่ชักช้า

            มาตรา ๕๒ ยาที่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้แล้ว หากภายหลังปรากฏกรณีดังต่อไปนี้ ให้ผู้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมีอานาจสั่งเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยานั้นได้

                   (๔) ยานั้น ผู้รับอนุญาตทะเบียนตำรับยาไม่ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ตามมาตรา ๔๔(๑๐)

เหตุผล: การกำหนดให้แจ้งข้อมูลตามมาตรา ๔๔(๑๐) นั้น เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีข้อมูลการเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่เป็นปัจจุบัน เพื่อให้สามารถนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนยาจำเป็นได้ ประชาชนจะได้เข้าถึงยา หากไม่กำหนดการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลที่แจ้ง ณ เวลาขึ้นทะเบียนจะไม่มีประโยชน์

.๓ การทบทวนทะเบียนตำรับยา (มาตรา ๔๗)

           มาตรา ๔๗ ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาให้มีอายุเจ็ดปีนับแต่วันที่ออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา เมื่อใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยามีอายุครบเจ็ดปีและเมื่อผู้รับอนุญาตร้องขอ ผู้อนุญาตอาจอนุญาตให้ต่ออายุใบสำคัญไปอีกครั้งละไม่เกินเจ็ดปี

การอนุญาตต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาให้ผู้อนุญาตพิจารณาจากข้อมูล คุณภาพ  ความปลอดภัย  ประสิทธิภาพ  ข้อมูลอื่นเกี่ยวกับยาที่ผู้อนุญาตได้จากการทบทวนทะเบียนตำรับยาหรือจัดให้มีขึ้นจากระบบการเฝ้าระวังหรือวิธีการอื่น และข้อมูลที่ผู้รับอนุญาตจัดหามาให้ โดยชนิด  ประเภท และลักษณะของข้อมูลและวิธีการจัดหาข้อมูลของผู้รับอนุญาตให้เป็นไปตามที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนด

 การขอและการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

เหตุผล: การเพิ่มเติมการทบทวนทะเบียนตำรับยา ควรเป็นหน้าที่ของผู้อนุญาต (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค หากไม่กำหนดจะไม่สามารถทราบได้ว่า ทะเบียนตำรับยาที่จะต่อทะเบียนนั้นมีปัญหาหรือไม่ และการดำเนินการสั่งแก้ไขรายการทะเบียนตำรับยาจะไม่สามารถกระทำได้ รวมทั้งการให้คณะกรรมการให้ความเห็นชอบแผนการประเมินทบทวนทะเบียนตำรับยาตามมาตรา ๑๔(๑๗) จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

.๔ การยกเลิกทะเบียนตำรับยา (มาตรา ๑๐๙/๑)

มาตรา ๑๐๙/๑ ยาที่มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นยาที่ทะเบียนตำรับยาถูกยกเลิก

       (๑) ยาที่ขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้ว แต่ไม่ได้ต่ออายุทะเบียนตำรับยา

        (๒) ยาที่ผู้รับอนุญาตขอยกเลิกทะเบียนตำรับยา

เมื่อปรากฏว่า ยาตามวรรคหนึ่ง  เป็นยาที่ไม่ปลอดภัยหรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยา ให้ผู้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยานั้นได้

เหตุผล: ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับยาที่ทะเบียนตำรับยาถูกยกเลิก จึงร่างขึ้นใหม่ เพื่อประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมาย และเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องในพระราชบัญญัติยา พ.ศ.๒๕๑๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เช่น กรณียาไซบรูทามีน ที่เป็นปัญหา

๖. การประกอบการเกี่ยวกับยาสัตว์ (มาตรา ๕๘)

มาตรา ๕๘ ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการในหมวดนี้ ต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม เว้นแต่  

  • (๓) การนำเข้ายาสำหรับสัตว์ ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการจะเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่งก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

เหตุผล: ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการในการนำเข้ายา ต้องมีความรู้ทางวิชาการเภสัชกรรมเกี่ยวกับตัวยาสำคัญและส่วนประกอบต่างๆ จึงไม่สามารถยกเว้นให้ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่งได้ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิภาพ ของยา

๗. ยกเว้นการขายยาชุด (มาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๖)

มาตรา ๑๑๔ ห้ามมิให้ผู้ใดขายยาหลายขนานโดยจัดเป็นชุดในคราวเดียวกัน มีเจตนาให้ผู้ซื้อใช้รวมกันเพื่อบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรค หรืออาการของโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ

            ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับแก่ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สำหรับผู้ซื้อเฉพาะรายหรือผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรมซึ่งจ่ายเฉพาะสำหรับคนไข้ของตน หรือผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ สำหรับสัตว์ที่ตนบำบัดโรค ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้ยาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

            มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมีอำนาจประกาศกำหนด ดังต่อไปนี้

            (๒๖) หลักเกณฑ์และวิธีการในการขายยาหลายขนานโดยจัดเป็นชุดในคราวเดียวกัน สาหรับผู้ซื้อเฉพาะรายที่มีข้อจากัดในการใช้ยา

            เหตุผล: ผู้ร่างไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างคำว่า “ยาชุด” และ “Unit Dose (ยูนิตโด๊ส)” ในทางเภสัชกรรม ผู้ร่างจึงยกเว้นการขายยาชุดให้กับผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือความไม่ปลอดภัยในการใช้ยาได้ ยาชุดจะเป็นยาหลายชนิด ใส่ในซองเดียวกัน รักษา ๑ อาการ แต่ยูนิตโด๊สเป็นยาหลายชนิด ใส่ในซองเดียวกัน รักษาหลายอาการตามที่ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมซักถามอาการและเห็นว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาตามอาการเหล่านั้น จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีข้อจำกัดในการใช้ยา  ดังนั้นจึงไม่สมควรยกเว้นการขายยาชุดให้กับผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์

๘. กระบวนการพิจารณายา (มาตรา ๑๓๓)

มาตรา ๑๓๓  เงินค่าขึ้นบัญชีและค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เป็นของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจในอำนาจหน้าที่…โดยไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และให้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(๑) เป็นค่าตอบแทนบุคคล องค์กร หรือหน่วยงานตามมาตรา ๑๓๑ (๓)

(๒) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการที่เป็นประโยชน์สาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยา และการพัฒนาระบบยา

……..

การใช้เงินตามวรรคหนึ่ง  ให้เสนอแผนปฏิบัติการการใช้งบประมาณและวงเงินต่อรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ และจัดทำรายงานการใช้จ่ายเสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อทราบ

เหตุผล: เงินค่าขึ้นบัญชีและค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด นอกจากนำไปใช้ประโยชน์ตามที่กำหนดแล้ว  ควรนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาระบบยา และควรมีการควบคุมการใช้เงินโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เกิดธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการใช้เงิน

๙. การโฆษณายา (มาตรา ๑๓๘)

มาตรา ๑๓๘ ห้ามผู้ใดโฆษณายาหรือวัตถุใดในลักษณะดังต่อไปนี้

         …..

(๑๐) กระทำโดยวิธีแถมพก ชิงรางวัล ออกสลากรางวัล หรือวิธีการอื่นใดในทำนองเดียวกัน

                   (๑๑) กระทำโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการโฆษณา หรือส่งเสริมการขาย ตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องประกาศกำหนด

ความใน (๑๐) ไม่ใช้บังคับแก่วัตถุใด ความใน (๔) และ (๕) ไม่ใช้บังคับแก่ข้อความในฉลากหรือเอกสารกำกับยา  และความใน (๑) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ไม่ใช้บังคับแก่การโฆษณาซึ่งกระทำโดยตรงต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประเภทเวชกรรมไทยและประเภทเภสัชกรรมไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์

เหตุผล: การห้ามโฆษณาแถมพก ชิงรางวัล ออกสลากรางวัล หรือวิธีการอื่นใดในทำนองเดียวกันควรบังคับกับวัตถุด้วย เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติในพระราชบัญญัติยา พ.ศ.๒๕๑๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค

๑๐. การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต (มาตรา ๑๔๑)

มาตรา ๑๔๑ เมื่อปรากฏต่อผู้อนุญาตว่า ผู้รับอนุญาตขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๓ มาตรา ๕๗ หรือมาตรา ๘๓  แล้วแต่กรณี หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๒ ฝ่าฝืนคำสั่งพักใช้ใบอนุญาตตามมาตรา ๑๔๐ หรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ผู้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได

เหตุผล: การแก้ไขปัญหาผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการอยู่ประจำสถานที่รับอนุญาตโดยการให้ผู้รับอนุญาตควบคุมดูแลนั้น หากจะสามารถบังคับใช้กฎหมายได้จริง ควรกำหนดมาตรการทางปกครอง (การเพิกถอนใบอนุญาต) ร่วมด้วย

๑๑. อื่นๆ

            มาตรา ๑๒๖ เมื่อปรากฏว่ายาใดมีคุณภาพ หรือประสิทธิผลไม่ตรงตามที่ขึ้นทะเบียน หรือจดแจ้งไว้ หรือไม่ปลอดภัย หรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยา ให้เลขาธิการมีอำนาจ ดังต่อไปนี้ ….

            เหตุผล: การกำหนดข้อความ “ไม่ปลอดภัย” ในทางปฏิบัติ จะต้องมีการพิสูจน์ยา แต่การเติมข้อความ “หรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ยา” เช่นเดียวกับในพระราชบัญญัติยา พ.ศ.๒๕๑๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ จึงควรเติมข้อความดังกล่าวในบทบัญญัติ

download : ข้อเสนอในการรับฟังความคิดเห็นเพื่อการปรับปรุงและแก้ไข ร่าง พระราชบัญญัติยา พ.ศ…

หลอดพลาสติกหลอดสุดท้ายในมาเลเซีย

1 สิงหาคมที่ผ่านมาคือวันที่แมคโดนัลด์ มาเลเซีย ประกาศแคมเปญ ‘Say No to Straws’ ซึ่งก่อนจะเริ่มการหยุดใช้หลอดพลาสติกอย่างเป็นทางการ แมคโดนัลด์บางสาขาในบังซาและปีนังได้ขึ้นป้ายบอกลูกค้าล่วงหน้าแล้วว่า จะหยุดบริการหลอดพลาสติก นอกจากจะมีการร้องขอเป็นพิเศษเท่านั้น ตามนโยบายการลด/เลิกการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งของรัฐบาล

“ปี 2017 มาเลเซียเป็นผู้ส่งออกพลาสติกอันดับ 4 ของอาเซียน และอยู่ในลำดับที่ 25 ในผู้ส่งออกพลาสติกทั่วโลก”

คือส่วนหนึ่งแผนงานที่ โย บี หยิน (Yeo Bee Yin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Ministry of Energy, Science, Technology, Environment and Climate Change: MESTECC) ประกาศเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา

หนึ่งวันในมาเลเซีย หลอดพลาสติก 31 ล้านอันถูกทิ้งเป็นขยะ ทำให้รัฐบาลมีแผนจะยกเลิกการใช้หลอดและถุงพลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งภายในปี 2030 โดยโรดแมปนี้เริ่มต้นแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

“ทางกระทรวงไม่ได้ต้องการจะทำลายอุตสาหกรรมพลาสติก แต่กำลังบอกพวกเขาให้เตรียมตัวผลิตสิ่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”

แม้ว่าหลอดพลาสติกจะเป็นส่วนเล็กๆ ของขยะพลาสติกบนโลก แต่หลอดเพียงหนึ่งหลอดก็ใช้เวลาในการย่อยสลายถึง 200 ปี ทำให้มาเลเซียเริ่มลดปริมาณขยะพลาสติกด้วยการหาวัสดุทดแทนบรรจุภัณฑ์พอลิสไทรีน (polystyrene) แบบใช้แล้วทิ้ง (expanded polystyrene: EPS) และถุงพลาสติกที่ไม่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้

ต้นปี 2019 คือวันเริ่มต้นที่รัฐบาลประกาศแบนหลอดพลาสติกทั่วกัวลาลัมเปอร์ ปุตราจายา และลาบวน ก่อนจะค่อยๆ บังคับใช้ทั่วประเทศ หลังจากนั้นถ้าตรวจพบว่าร้านค้าหรือภัตตาคารใดใช้หลอดพลาสติก ก็อาจโดนยึดใบอนุญาต

นอกจากหลอดพลาสติก ถุงพลาสติกก็เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ทางมาเลเซียพยายามควบคุมการใช้งาน ภายในปี 2030 ถุงพลาสติกจะไม่ใช่ของฟรี เพราะทางการมาเลเซียจะออกกฎให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าถุงพลาสติก

“โรดแมปนี้จะรวมถึงนโยบายเก็บค่าถุงพลาสติกในร้านค้าหรือสถานที่ที่ไปจับจ่ายสินค้า” รัฐมนตรีโย บี หยิน กล่าว

ปี 2009 แคมเปญ ‘Say No to Plastic Bags’ เริ่มขึ้นที่ปีนัง เมื่อรัฐบาลออกมาตรการให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงิน 20 เซ็น หรือราว 1.50 บาท เป็นค่าถุงพลาสติก

สมาคมผู้บริโภคมุสลิมมาเลเซีย (Malaysian Muslim Consumers Association: PPIM) สนับสนุนการแบนหลอดดูดพลาสติก

ดาตุก นัดซิม โจฮัน (Datuk Nadzim Johan) แกนนำนักกิจกรรมสมาคมผู้บริโภคมุสลิมมาเลเซีย (Malaysian Muslim Consumers Association: PPIM) บอกว่าความพยายามของรัฐบาลคือการรักษาสิ่งแวดล้อมและการให้ความรู้กับสังคม

“น่าชื่นชมรัฐบาลสำหรับความพยายามของเขา และเราเรียกร้องให้ทุกคนสนับสนุนโครงการของพวกเขา”

เช่นเดียวกับ โมฮัด ยูซอฟ อับดุล ราห์มาน (Mohd Yusof Abdul Rahman) รองประธานสหพันธ์ผู้บริโภค (Federation of Malaysian Consumers Associations: FOMCA) ที่กล่าวสนับสนุนวัสดุทางเลือกที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ

“ผู้บริโภคน่าจะตระหนักเรื่องนี้กันมากขึ้น ถ้ามีการบวกราคาหลอดเข้าไปด้วย”

นอกจากนี้ อับดุล ราห์มาน ยังบอกว่า ในมาเลเซีย วัสดุทางเลือกนั้นยังหาซื้อได้ยากและราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหลอดพลาสติก “ควรจะมีวัสดุที่ย่อยสลายได้อย่างหลอดที่ทำจากไม้ไผ่ กระดาษ วางขายในท้องตลาดในราคาที่ถูก เพื่อกระตุ้นการใช้งานมากขึ้น”

 

‘ก้นบุหรี่’ คู่แข่งถุงพลาสติกในสนามขยะอมตะ

กระแสงดรับ งดใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกกำลังคืบหน้าไปมาก หลายคนกลับมาพกขวดน้ำ หยิบถุงผ้ากลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการไม่รับหลอดพลาสติกอย่างพร้อมเพรียง จนหลายประเทศเริ่มแบนพลาสติกกันอย่างจริงจัง แต่ไม่ใช่แค่ถุง ขวด หรือหลอดพลาสติกเท่านั้นที่น่ากังวล เพราะชายหาดและมหาสมุทรทั่วโลกตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยก้นบุหรี่สารพัดสัญชาติ

นักวิชาการด้านอุตสาหกรรมยาสูบ สมาชิกสภาผู้แทนในแคลิฟอร์เนีย และหลายหน่วยงาน กำลังถกเถียงกันถึงการยกเลิกก้นบุหรี่ จนเกิดการรณรงค์โดยหวังว่าจะได้แรงหนุนจากทั้งนักเคลื่อนไหวด้านสุขภาพและกลุ่มที่เน้นด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น

“มันชัดเจนอยู่แล้วว่าก้นบุหรี่ไม่ได้มีผลดีอะไรกับสุขภาพ เป็นแค่เครื่องมือทางการตลาด และทำให้คนสูบบุหรี่ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น” โธมัส โนโวทนี (Thomas Novotny) ศาสตราจารย์ด้านสาธารณสุข มหาวิทยาลัยซานดิเอโก (San Diego State University) บอก “ส่วนประกอบหลักของมันยังเป็นพลาสติกอีกด้วย ผมจึงไม่เห็นความจำเป็นที่เราจะอนุญาตให้ยังมีมันต่อไป”

ที่สหรัฐ สมาชิกสภาผู้แทนในแคลิฟอร์เนียได้เสนอให้ยกเลิกบุหรี่ที่มีก้นกรอง แต่ไม่ผ่านการอนุมัติ วุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์คร่างกฎหมายระบุถึงส่วนลดสำหรับการคืนก้นกรอง แต่แนวคิดนี้ก็ถูกดองไว้ ส่วนซานฟรานซิสโกได้บวกราคาบุหรี่ไปอีกซองละ 60 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นเงินในการทำความสะอาดก้นกรอง

ขยะที่เรี่ยราดที่สุดในโลก

แต่ละปีมีการบริโภคบุหรี่ในอเมริกาถึงกว่า 56,000 ล้านตัว และแต่ละตัวก็มาพร้อมก้นกรองที่ทำจากเซลลูโลสอะซีเตท (cellulose acetate) หรือพลาสติกที่ผลิตจากพืชซึ่งใช้เวลาย่อยสลายนานกว่า 10 ปี และ 2 ใน 3 ของก้นกรองเหล่านั้นถูกทิ้งเรี่ยราดในทุกๆ ปี

Ocean Conservancy องค์กรอนุรักษ์ทรัพยากรทางน้ำและทะเลที่ไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐอเมริกา ส่งเสริมการทำความสะอาดชายหาดมาตั้งแต่ปี 1986 เปิดเผยว่า ตลอด 32 ปีที่ผ่านมา ขยะที่ถูกพบบนชายหาดมากที่สุดในโลกคือก้นบุหรี่ ด้วยจำนวนมากกว่า 60 ล้านชิ้น ถือเป็น 1 ใน 3 ของขยะที่พบทั้งหมด และยังมากกว่าพวกห่อพลาสติก ฝาขวดน้ำ ภาชนะอาหารกับน้ำดื่มรวมกันเสียอีก

แม้คนที่มักทิ้งขยะบนชายหาดจะมีเพียงกลุ่มหนึ่ง ท่อระบายน้ำ ลำธาร และแม่น้ำทั่วโลก ก็ยังเป็นเส้นทางที่คอยพัดก้นบุหรี่ที่ถูกทิ้งเรี่ยราดลงไปรวมอยู่ในทะเล ซึ่งสัตว์จะกินขยะที่แตกตัวเป็นไมโครพลาสติกได้ง่าย ทีมนักวิจัยได้พบเศษของขยะเหล่านี้ในท้องนกทะเลจำนวน 70 เปอร์เซ็นต์และในเต่าทะเล 30 เปอร์เซ็นต์

“เรายังต้องการงานวิจัยอีกมากเพื่อหาข้อสรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องทั้งหมดนี้” นิค มัลลอส (Nick Mallos) หัวหน้าโครงการรณรงค์ทะเลปลอดขยะ (Trash Free Seas) ของ Ocean Conservancy บอก “คำถามคือ ไมโครพลาสติกเหล่านี้และขยะอื่นๆ จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อสุขภาพของมนุษย์”

ก้นบุหรี่และการตลาด

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เหล่าบริษัทบุหรี่เริ่มลองใช้ก้นกรองกับบุหรี่ โดยมองว่าเป็นวิธีลดความกังวลเรื่องผลกระทบของบุหรี่ต่อสุขภาพ

ขณะที่อีกทางหนึ่งมีงานวิจัยแนะนำว่า ก้นกรองไม่สามารถควบคุมสารก่อมะเร็งจากบุหรี่ได้เพียงพอ แบรดฟอร์ด แฮร์ริส (Bradford Harris) จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เขียนไว้ในงานวิจัยของเขาเองว่า “จากนั้น ก้นกรองจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการตลาด ที่ออกแบบมาเพื่อต้อนและทำให้นักสูบยังคงสูบต่อไป”

ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญที่เขี่ยบุหรี่พกพาของบริษัท R.J. Reynolds Tobacco ในปี 1991 หรือป้ายบิลบอร์ดที่พาดคำตัวเบ้อเริ่มว่า “Don’t Leave Your Butt on the Beach” ติดตั้งในเมืองชายฝั่ง 30 แห่งเมื่อปี 1992 รวมถึงบริษัท Santa Fe Natural Tobacco ที่เปิดตัวก้นกรองแบบรีไซเคิล และจัดรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องขยะในวันคุ้มครองโลก

โฆษกของ Philip Morris อีกบริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่ ออกมาบอกคำเตือนเกี่ยวกับบุหรี่เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ เช่นเดียวกับการส่งเสริมให้ใช้ที่เขี่ยบุหรี่แบบพกพา และสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยขยะมูลฝอย แต่นักวิชาการที่ตามเรื่องแคมเปญเหล่านี้บอกว่า นักสูบส่วนใหญ่ชอบทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นมากกว่า

นักสูบบางคนบอกว่า พวกเขาคิดว่าก้นกรองสามารถย่อยสลายได้ และอาจทำมาจากฝ้าย คนอื่นๆ บอกว่า พวกเขาต้องทิ้งลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ติดไฟขึ้นมาอีก บ้างก็บอกว่าไม่ชอบกลิ่นที่เขี่ยบุหรี่ ทำให้กลุ่มบริษัทบุหรี่มองหาทางออกที่ก้าวหน้าขึ้นมาหน่อย

ในช่วง 1990 บริษัท R.J. Reynolds Tobacco ประกาศว่า ทางบริษัทจะหาวิธีใช้ไส้กรองที่กินได้ อาจเป็นลูกกวาดรสมินต์หรือแครกเกอร์ รวมถึงทางออกที่พอจะเป็นไปได้อย่าง ไส้กรองเป็นกระดาษ แต่ตัวต้นแบบทำให้รสชาติบุหรี่แย่มาก ส่วนวัสดุอื่นๆ เช่น ฝ้าย ก็ออกมาไม่น่าพอใจเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม เมอร์วิน วิเธอร์สปูน (Mervyn Witherspoon) นักเคมีชาวอังกฤษที่เคยทำงานกับผู้ผลิตตัวกรองในบุหรี่บอกว่า “ความสนใจในการหาตัวกรองที่ย่อยสลายได้ของอุตสาหกรรมนี้ มาแล้วก็จากไป เพราะไม่มีแรงกดดันใดๆ ให้พวกเขาพยายามทำอย่างจริงจัง”

ปัจจุบัน วิเธอร์สปูน ทำงานให้กับ Greenbutts สตาร์ทอัพที่เน้นพัฒนาก้นกรองจากวัสดุออร์แกนิกที่สามารถย่อยสลายได้รวดเร็วในดินหรือน้ำ โดยอาจทำจากเยื่อไม้ ป่าน ใยผ้าเทนเซล (tencel) และผสานกันด้วยแป้งธรรมชาติ

“เรายังคงทำงานเรื่องนี้ต่อไปและพยายามหาหลายๆ ทางออก แต่บริษัทเหล่านี้ก็หาสิ่งที่น่าสนใจกว่าและเลื่อนประเด็นนี้ออกไปอีกเรื่อยๆ”

อ้างอิงข้อมูลจาก:
nbcnews.com