‘ซูเปอร์มาร์เก็ต’ กับความรับผิดชอบต่อสังคม

ในห่วงโซ่ ‘ธุรกิจค้าปลีกอาหาร’ ก่อนจะเดินทางมาถึงมือผู้บริโภค ต้องผ่านสายพานการผลิตที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน เริ่มตั้งแต่เกษตรกร แรงงาน ผู้ผลิต ผู้ค้า จนถึงห้างซูเปอร์มาร์เก็ต

เราจะมั่นใจได้อย่างว่า ระหว่างทางก่อนที่สินค้าอาหารจะส่งตรงมาถึงมือเรานั้นไม่ได้เอารัดเอาเปรียบใคร

โครงการ ‘ซูเปอร์มาร์เก็ตที่รัก’ โดยความร่วมมือระหว่างเครือข่ายกินเปลี่ยนโลก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และอ็อกแฟมในประเทศไทย ได้ทำการศึกษาประเมินนโยบายด้านสังคม (Supermarkets Scorecard) ของ 7 ซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ในเมืองไทย เพื่อจะตอบคำถามข้างต้น

อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อจะได้รู้ว่า เบื้องหลังของราคาสินค้าที่ผู้บริโภคจับจ่ายมานั้น มีความเหมาะสมเป็นธรรมต่อผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานนี้มากน้อยแค่ไหน

บนสมมุติฐานที่ว่า อำนาจต่อรองของผู้บริโภคจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้กับผู้ประกอบการได้

แบน ‘ไขมันทรานส์’ ต้านโรคร้าย

หลังมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย น้ำมันหรืออาหารที่มีไขมันทรานส์ ลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อีก 180 วันข้างหน้า ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า ไขมันทรานส์อันตรายแค่ไหน และมีโทษต่อร่างกายอย่างไร

Infographic ชิ้นนี้ชี้ให้เห็นสถิติโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ อันเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงสุดของคนไทย ไม่ว่าโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ความดัน

แน่นอนว่า ไขมันทรานส์คือตัวแปรสำคัญที่เป็นปัจจัยเร่งอย่างหนึ่งต่อการเกิดโรคที่ว่านี้

กล่องแพนโดราที่ชื่อว่าร่างกาย

เรื่อง: ลีนาร์ กาซอ

 

แม้การตรวจสุขภาพจะช่วยชีวิตคนได้มากมายเพราะได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หลายคนกลับพูดตรงกันว่า การทดสอบบางอย่างเช่น สแกนร่างกาย อาจทำให้พบอาการบางอย่างที่ทำให้วิตกกังวล ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แถมอาจส่งผลเสียต่อร่างกายอีก

แล้วการตรวจร่างกายยังจำเป็นหรือไม่?

การตรวจสุขภาพส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อการค้นหาสัญญาณเริ่มต้นของโรคที่นำขบวนมาด้วยโรคหัวใจและมะเร็ง 1 ใน 4 ของการเสียชีวิตมาจากหัวใจล้มเหลว และประมาณ 50-80 เปอร์เซ็นต์สามารถป้องกันได้ ซึ่งการตรวจร่างกายทำให้รู้วิธีดูแลตัวเองได้เร็ว

แมตต์ เคียร์นีย์ (Matt Kearney) อายุรแพทย์และผู้อำนวยการศูนย์สาธารณสุขแห่งชาติเพื่อการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด (The National Clinical Director for Cardiovascular Disease Prevention) ดีใจที่คนหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกการทดสอบจะให้ผลดีอย่างเดียว

“เราควรเปิดเผยให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลสุขภาพได้ เช่น หมอต้องยินยอมให้ผู้รับบริการรู้ทางเลือกและรายละเอียดมากกว่านี้”

ระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติของอังกฤษแนะนำให้คนที่มีอายุ 40-74 ปี ตรวจสุขภาพทุกห้าปี เพื่อเช็คสัญญาณเสี่ยงของโรคเส้นเลือดตีบ เบาหวาน ภาวะสมองเสื่อม รวมถึงโรคเกี่ยวกับไตและหัวใจ เคียร์นีย์บอกว่า มีคำอธิบายชัดเจนถึงสาเหตุสนับสนุนการตรวจเช็คสัญญาณเหล่านี้ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่าทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรและขาดหลักฐานบ่งชี้ที่มีประสิทธิภาพ

“การตรวจเช็คและช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มตรวจร่างกายในระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติจะอ้างอิงจากหลักฐานทั้งหมด แม้ตอนนี้จะยังไม่ปรากฏหลักฐานถึงประโยชน์ในระยะยาว แต่เรามีจำนวนผู้ป่วยโรคที่ป้องกันได้อย่างเบาหวานเพิ่มขึ้น ตอนนี้จึงต้องทำอะไรสักอย่างบ้าง”

โรคที่ไม่มีเชื้อให้ตรวจพบอย่างความดันโลหิตสูง กำลังเกิดขึ้นในวงกว้าง มูลนิธิหัวใจของอังกฤษประเมินว่า ผู้คนราว 7 ล้านคนไม่รู้ว่าตัวเองมีความดันเลือดสูง ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือหลอดเลือดอุดตันจึงเพิ่มขึ้น ในจำนวนผู้ใหญ่ 1.5 ล้านคนในอังกฤษที่ตรวจร่างกายกับบริการสาธารณสุขแห่งชาติ จะพบคนที่มีความดันเลือดสูง 1 คนในทุกๆ 27 คน โดยที่ไม่รู้ตัวมาก่อน แม้การรักษาจะยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่เคียร์นีย์คาดว่า การดูแลและปฏิบัติตัวที่ดีขึ้นจะช่วยป้องกันคนกลุ่มนี้จากโรคหลอดเลือดตีบได้ราว 14,500 คน และโรคหัวใจได้อีก 9,710 คน ภายในสามปีข้างหน้า

แต่ด้วยโรคที่พัฒนาไปตามยุคสมัย ทำให้หลายคนกังวลกับโรคระดับรุนแรงและเป็น rare item อย่าง มะเร็งต่อมไทรอยด์ เนื้องอกในสมอง ทำให้การสแกนร่างกายกลายเป็นที่นิยม รวมถึงการตรวจเลือด ทดสอบปอดและหัวใจ แถมยังมีการทดสอบเฉพาะเพศ เช่น การตรวจรังไข่และเต้านมของผู้หญิง การตรวจอัณฑะและต่อมลูกหมากของผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายที่มักถูกชวนให้ตรวจเลือดเพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากและแถมช่วยให้เห็นสัญญาณของโรคมะเร็งได้ด้วย

แต่ ศาสตราจารย์ทิโมธี วิลท์ (Timothy Wilt) จากวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา ไม่แนะนำให้ทำอย่างนั้น

“เพราะได้รับประโยชน์น้อยและมีความเสี่ยงมาก ผลจากการทดลองสองครั้งใหญ่แสดงให้เห็นว่า การสแกนร่างกายไม่ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก”

ศาสตราจารย์กิลเบิร์ต เวลช์ (Gilbert Welch) จากสถาบันเพื่อนโยบายด้านสุขภาพและเวชปฏิบัติดาร์ทมัธ (The Dartmouth Institute for Health Policy and Clinical Practice) คิดว่าต้องมีการเฝ้าระวังกันหน่อย เพราะมีงานวิจัยพบว่า ในกลุ่มวัยกลางคนสุขภาพดีกว่า 1,000 คน การสแกนร่างกายทำให้พบความผิดปกติโดยเฉลี่ย 2.8 แห่งในแต่ละครั้ง กว่า 1 ใน 3 ของพวกเขาต้องได้รับการติดตามอาการต่อไป

การสแกนร่างกายอาจกระตุ้นอาการและจบลงด้วยการผ่าตัด ร่างกายมนุษย์เต็มไปด้วยสิ่งผิดปกติมากมายและการฉายภาพสมัยใหม่นั้นละเอียดอ่อนมาก เราไม่รู้จะตีความทุกสิ่งที่เราเห็นยังไง

ผลการศึกษาของ เวลช์ พบว่า อเมริกามีการสแกนร่างกายโดยไม่จำเป็นเสมอ และมีอัตราการผ่าตัดไตสูงด้วย เขาคิดว่ามีความเชื่อมโยงกันในระหว่างสองเหตุการณ์นี้

“การสแกนร่างกายอาจเหมือนเปิดกล่องแพนโดรา ทำให้เกิดจุดบนตับ ปอด ต่อมหมวกไต ต่อมไทรอยด์ รังไข่ ตับอ่อน และไต หมอเองยังไม่แน่ใจว่าคืออะไร เราจึงตั้งใจตรวจสอบซึ่งทั่วไปแล้วก็ต้องใช้เนื้อเยื่อและทำให้คุณต้องขึ้นเตียงผ่าตัด ยากที่จะรู้ว่ามีคนได้รับการช่วยเหลือจากขั้นตอนนี้แค่ไหน แต่เห็นได้ง่ายว่าพวกเขาได้รับผลเสีย ทั้งความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น การผ่าตัดที่ไม่ต้องมีก็ได้ และแม้การเสียชีวิตจะเกิดขึ้นได้ยากจากขั้นตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย”

นอกจากนี้ มาร์กาเร็ต แม็คคาร์ทนีย์ (Margaret McCartney) อายุรแพทย์ผู้ทำสารคดีเกี่ยวกับการสแกนร่างกาย ชี้ให้เห็นว่า การวินิจฉัยที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ดีกว่า เช่น กรณีการสแกนร่างกายครั้งใหญ่เพื่อเช็คมะเร็งต่อมไทรอยด์ในเกาหลีใต้ ซึ่งตรวจพบผู้ป่วยมากกว่าการทดสอบครั้งก่อนหน้านั้นถึง 15 เท่า แต่อัตราการเสียชีวิตยังคงเดิม

แม็คคาร์ทนีย์คิดว่า ผู้คนยังไม่ได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทดสอบที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น ความเครียดและความกังวล

อย่างไรก็ตาม เคียร์นีย์บอกว่า ทุกคนควรได้มีสิทธิเลือกการตรวจร่างกาย และใครที่พบอาการที่อธิบายไม่ได้หรือน่ากังวล มีประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัวที่น่าเป็นห่วงก็ควรได้มีโอกาสพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพบ่อยๆ ไม่ว่าจะตรวจร่างกายหรือไม่ก็ตาม โดยความเห็นส่วนใหญ่ของผู้เชี่ยวชาญดูจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ อยากตรวจอะไรก็ได้ แต่ก็ควรระมัดระวังให้มากๆ ด้วย

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com

ถามถึง ‘ซูเปอร์มาร์เก็ตที่รัก’ เธอมีหัวใจบ้างไหม?

ในโลกปัจจุบันต้องยอมรับว่า ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจการค้าปลีกค้าส่ง เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้บริโภคอย่างมาก โดยเฉพาะในแง่ปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตและการกินอยู่

ที่ผ่านมาผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่ธุรกิจค้าปลีกเหล่านี้ คือผู้กำหนดกติกาหลักให้กับสังคมมาตลอด โดยที่ผู้บริโภคซึ่งอยู่ในระดับปลายน้ำไม่ได้เข้ามามีบทบาทในเกมนี้อย่างที่ควรจะเป็น เมื่ออำนาจต่อรองระหว่างผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้บริโภค ขาดสมดุล จึงเกิดร่องรอยของความไม่เป็นธรรม

“ที่ผ่านมาเราสนใจเพียงแค่ที่มาของอาหาร แต่กลับไม่สนใจคนในกระบวนการที่นำมาซึ่งอาหารเหล่านั้น เราจึงพยายามสร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดใหญ่หรือซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อหาแนวทางพัฒนา สร้างความเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมอย่างทั่วถึงกัน” กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา เครือข่ายกินเปลี่ยนโลก กล่าว

นี่จึงเป็นที่มาของโครงการ ‘ซูเปอร์มาร์เก็ตที่รัก’ เพื่อประเมินนโยบายด้านสังคม (Supermarkets Scorecard) ของ 7 ซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ในเมืองไทย โดยความร่วมมือระหว่างเครือข่ายกินเปลี่ยนโลก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และอ็อกแฟมประเทศไทย

 

ส่วนแบ่งผลประโยชน์ในห่วงโซ่ค้าปลีกอาหาร

ตลาดธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่มีมูลค่าสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท (2559) คิดเป็นสัดส่วนราว 15 เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นอกจากมีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่แล้ว ยังมีส่วนสำคัญต่อตลาดแรงงาน โดยมีอัตราจ้างงานร้อยละ 15 ของการจ้างงานในประเทศ และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดสิบปีที่ผ่านมา

จากการศึกษาข้อมูล กิ่งกรระบุว่า ขนาดของธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากภาคอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน ภาคเกษตร ภาคการผลิตอาหาร กลับมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ โดยมีการเติบโตไม่ถึง 9 เปอร์เซ็นต์ ทว่าในความใหญ่โตของธุรกิจค้าปลีกกลับพบว่ามีผู้เล่นเพียงไม่กี่รายที่ได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากเค้กก้อนนี้

“จากมูลค่าตลาดปีละ 2.2 ล้านล้าน ในจำนวนนี้เป็นห้างใหญ่ 5 แสนล้าน และมีสัดส่วนรายได้จากการค้าปลีกคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์จากมูลค่าการขายทั้งหมด ซึ่งเรายังไม่สามารถจำแนกได้ชัดว่าเป็นหมวดอาหารจำนวนเท่าไร แต่เมื่อดูจากมูลค่าการใช้จ่ายของคนไทยโดยเฉลี่ย เราพบว่าเงินในกระเป๋า 100 บาท คิดเป็นค่าอาหารประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 3 ของค่าใช้จ่าย เมื่อเราซื้อของกินหรือจับจ่ายของกินจากห้างมากขึ้น มูลค่าของตลาดการค้าปลีกในหมวดอาหารก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ”

ตัวแทนจากเครือข่ายกินเปลี่ยนโลกซึ่งดำเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคมาโดยตลอด กล่าวต่ออีกว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตมีความสำคัญอย่างมากในการเชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้บริโภค ขณะนี้ประเทศไทยมีเกษตรกร 20 ล้านคน มีผู้บริโภค 65 ล้านคน ตรงกลางคือผู้ประกอบการ ผู้ค้า ผู้แปรรูปอาหาร และพ่อค้าคนกลางทั้งรายเล็กรายใหญ่ ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าผู้บริโภค จะเห็นว่ามีผู้เล่นในกระบวนการค้าอาหารจำนวนไม่มากนัก แต่เชื่อมโยงผู้คนมหาศาลเข้าด้วยกัน ฉะนั้น ผู้บริโภคจึงควรเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงกระบวนการเหล่านี้ด้วย

ซูเปอร์มาร์เก็ต
กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา

พลังผู้บริโภคมีอยู่จริง

ข้อมูลของอ็อกแฟมประเทศไทย ได้ทำการศึกษาตัวอย่าง 64 ราย จากประมงพื้นบ้าน พบว่าอยู่ในภาวะที่เรียกว่าไม่มั่นคงทางอาหารค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลการศึกษาในต่างประเทศก็พบเช่นเดียวกันว่า ผู้แปรรูปหรือแรงงานในการผลิตอาหารขนาดเล็กกำลังตกอยู่ในภาวะที่ไม่มั่นคงทางอาหารหรืออาหารไม่เพียงพอ ซึ่งหมายความว่าภาคการผลิตกำลังประสบปัญหา เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม

“เราจำเป็นต้องสร้างความตื่นตัวให้กับผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคมีพลังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไปห้างเจ้าประจำ แล้วห้างนั้นทำดีมากขึ้น เราก็จะมีความสุข จึงเป็นที่มาในการเรียกร้อง ‘ซูเปอร์มาร์เก็ตที่รัก’ ของเรา ซูเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นเจ้าประจำของเรา ถ้าสามารถปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดหา ปรับปรุงกระบวนการทำงานกับผู้ประกอบการ กระบวนการทำงานกับผู้ผลิตรายย่อยให้มีความเป็นธรรมในห่วงโซ่อาหารมากขึ้น ก็จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในมิติทางสังคมของเรา”

สมมุติฐานที่ว่า อำนาจต่อรองของผู้บริโภคสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้กับผู้ประกอบการได้ ทัศนีย์ แน่นอุดร บรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยืนยันว่า พลังของผู้บริโภคนั้นมีอยู่จริง

“เราอาจจะคิดว่าแค่คนหนึ่งคนจะทำอะไรได้บ้าง แต่จริงๆ เราทำได้มาก เพราะสิ่งแรกที่เราปะทะอยู่เสมอคือ เงินที่เราจ่ายไปได้ของมาคุ้มค่าไหม สินค้าได้มาตรฐานบริการไหม และถ้ามองไปไกลว่านั้นจะพบว่า แม้เราจะได้สินค้าที่มีคุณภาพและบริการที่เหมาะสมกับเงินที่จ่ายไปแล้ว แต่สิ่งที่เราทำได้มากกว่าคือเบื้องหลังของบริการเหล่านั้นไปเอาเปรียบใครหรือเปล่า”

ในกระบวนการประเมินความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประประกอบการ ทัศนีย์กล่าวว่า ต้องพิจารณาจากแนวนโยบายของผู้ประกอบการแต่ละราย ซึ่งนอกจากจะต้องอาศัยข้อมูลเป็นตัวชี้วัด ยังต้องขึ้นอยู่กับความจริงใจในการเปิดเผยข้อมูล

เราเข้าถึงข้อมูลนั้นได้โดยการที่เขาเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่กับผู้ประกอบการบางรายเราอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะเขาไม่เปิดเผยข้อมูลสาธารณะ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ตระหนักในมิติเหล่านี้ หรือตระหนักแล้ว แต่เราไม่รู้ เราเข้าไม่ถึง ฉะนั้น สิ่งที่เราอยากเสนอสำหรับเขา ในฐานะที่เป็นผู้จัดซื้อรายใหญ่ของผู้บริโภคก็คือ เราอยากให้เขาขยายมิติในเรื่องการคุ้มครองแรงงาน เรื่องความโปร่งใสในนโยบาย เรื่องเกษตรกรรายย่อย และสิทธิสตรี”

ทัศนีย์กล่าวด้วยว่า สิ่งที่นิตยสารฉลาดซื้อพยายามนำเสนอมาโดยตลอดคือ การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อให้ทุกคนใช้ข้อมูลนั้นประกอบการตัดสินใจที่จะเลือกบริโภค โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมส่วนรวม และส่งผลให้เกิดการยกระดับสินค้าให้ดียิ่งขึ้น

ซูเปอร์มาร์เก็ต
ทัศนีย์ แน่นอุดร

4 มิติของความยั่งยืน

ธีรวิทย์ ชัยณรงค์โสภณ ตัวแทนจากอ็อกแฟมประเทศไทย กล่าวถึงกรอบการประเมินนโยบายสาธารณะด้านสังคมของบริษัทค้าปลีกไทยเพื่อความเป็นธรรมและยั่งยืน มิใช่การพิจารณาเฉพาะเรื่องอาหารและความปลอดภัย แต่เกณฑ์การประเมินจะมุ่งเน้นมิติด้านความยั่งยืนเป็นหลัก โดยอาศัยกรอบการประเมินจากองค์การอ็อกแฟมในต่างประเทศ

นอกจากนี้ การประเมินดังกล่าวยังมีความสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยคำนึงถึง 4 มิติ ได้แก่ 1) มิติด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบ ว่ามีการออกนโยบาย การกำกับดูแลประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อาหาร 2) มิติด้านแรงงาน ประกอบไปด้วยประเด็นที่เกี่ยวกับแรงงาน อาทิ แรงงานบังคับหรือแรงงานเด็ก เสรีภาพในการสมาคมและสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรอง สถานที่ทำงานที่มีความปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ รวมถึงการมีนโยบายแรงงานตามมาตรฐานขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ 3) มิติด้านผู้ผลิตรายย่อย มีองค์ประกอบสำคัญของการประเมินคือ การประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน (Human Right Impact Assessment: HARIAs) ในกิจกรรมห่วงโซ่อุปทานที่มีต่อผู้ผลิตรายย่อย และ 4) มิติด้านสตรี โดยมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความเท่าเทียมกันของสิทธิระหว่างชายและหญิง ตลอดจนบทบาทของสตรีในห่วงโซ่อุปทาน

กรอบการประเมินดังกล่าวได้ถูกพัฒนาอย่างเป็นระบบ จากผู้เชี่ยวชาญของอ็อกแฟมและองค์กรภาคประชาสังคมในสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีการตรวจสอบให้สอดคล้องและเทียบเคียงกับการประเมินชั้นนำอื่นๆ

“กรอบในการประเมินครั้งนี้ เราดูจากนโยบายสาธารณะหรือข้อมูลสาธารณะที่เราสามารถเข้าถึงได้ หมายความว่าเป็นข้อมูลที่คนทั่วไปหรือผู้บริโภคสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มาจากเว็บไซต์ รายงานประจำปี รายงานด้านความยั่งยืนขององค์กร รวมไปถึงข่าวสารหรือสถานการณ์ต่างๆ” ธีรวิทย์อธิบาย

“เมื่อเรามีตัวชี้วัดที่ดี มีวิธีการที่ดี อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือขั้นตอนการทำงาน เราไม่ได้ทำงานแบบเชิงรุกเพียงฝ่ายเดียว หรือการตอบแบบสอบถาม แต่เราเน้นการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรภาคประชาสังคมกับซูเปอร์มาร์เก็ต มีการส่งจดหมายแจ้งว่าเราจะทำการประเมิน เพื่อเปิดโอกาสให้ห้างเหล่านั้นได้นำเสนอผลงานหรือสื่อสารนโยบายต่อสาธารณะ”

ซูเปอร์มาร์เก็ต
ธีรวิทย์ ชัยณรงค์โสภณ

เปิดผลคะแนน 7 ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่

ในการประเมินครั้งนี้ ธีรวิทย์เล่าว่า ภาคประชาสังคมไม่สามารถที่จะประเมินทุกห้างได้ทั้งหมด จึงเริ่มจากขนาดธุรกิจ มูลค่า หรือรายได้ ยิ่งสเกลใหญ่ยิ่งมีความสำคัญ โดยเฉพาะแบรนด์ที่ผู้บริโภครู้จัก จึงเป็นที่มาของการประเมินซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหมด 7 ราย ได้แก่ Big C, CP Fresh Mart, Foodland, Gourmet Market, Makro, Tesco Lotus และ Vila Market

ผลการประเมินพบว่า ในมิติด้านความโปร่งใสหรือความรับผิดชอบ มี 3 รายที่ได้แต้มนี้คือ CP Fresh Mart, Makro และ Tesco Lotus จากการที่บริษัทได้ออกมาประกาศในรายงานความยั่งยืน สนับสนุนหลักการสิทธิมนุษยชน บริษัทมีการระบุรายชื่อผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบด้านสิทธิมนุษยชน

มิติด้านแรงงาน ธีรวิทย์ กล่าวว่า “ผู้เล่นหน้าเดิม รายเดิมก็จะได้แต้ม ได้แก่ CP Fresh Mart, Makro และ Tesco Lotus ถามว่าในหมวดนี้คนที่ได้คะแนนทำอะไรบ้าง อย่างแรกที่เราเห็นชัดคือ บริษัทมีนโยบายด้านสิทธิแรงงานและนำมาปรับใช้กับ Supplier เพื่อเป็นหลักปฏิบัติว่าต้องไม่มีการใช้แรงงานบังคับ ต้องไม่มีการใช้แรงงานเด็ก มีการจ่ายค่าจ้างที่เหมาะสม แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี”

มิติด้านการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ผลิตรายย่อย นอกจากผู้ประกอบการทั้ง 3 รายแล้ว ยังมีห้าง Big C ที่ได้คะแนนในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน

“มิตินี้มีความโดดเด่นมากในซูเปอร์มาร์เก็ตไทย เราจะเห็นข้อมูลของห้างเยอะมาก มีห้างหลายห้างที่ทำงานกับภาครัฐหรือทำงานกับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย มีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรกร เช่น นโยบายการรับซื้อที่เป็นธรรม สนับสนุนให้ผู้ผลิตรายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการสนับสนุนในเรื่องความรู้และเทคโนโลยี”

สำหรับมิติด้านสิทธิสตรี ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเป็นวาระสำคัญในระดับสากล แต่ในหมวดนี้มีห้างที่ได้คะแนนเพียงรายเดียวคือ Tesco Lotus

ซูเปอร์มาร์เก็ต

จากผลการประเมินทั้งหมดชี้ให้เห็นว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตไทยสามารถขยายมิติของการแสดงความรับผิดชอบ (Corporate Social Responsibility) ครอบคลุมทั้งในด้านแรงงาน ด้านเกษตรกรรายย่อย ด้านสตรี และด้านความโปร่งใสของนโยบายในภาพรวมได้อีกมาก

ทัศนีย์ แน่นอุดร กล่าวเสริมขึ้นว่า หลังจากการประเมินครั้งนี้แล้วผู้บริโภคยังสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลการดำเนินกิจการของผู้ประกอบการห้างค้าปลีกผ่านทางเว็บไซต์ที่ชื่อ dearssupermarkets.com โดยผู้บริโภคสามารถที่จะแสดงความคิดเห็น เสนอแนวทางการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในมิติอื่นๆ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ผู้บริโภคจะสามารถแสดงพลังได้

“ถ้าผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าสินค้านี้มีที่มาที่ไป ไม่ได้เอาเปรียบใคร ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับผู้เกี่ยวข้องในระบบการผลิต เราก็สามารถเลือกได้ เปรียบเทียบได้ ฉะนั้น ขอให้ใช้พลังของท่านให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าคิดว่าเราเป็นคนเล็กคนน้อยที่ทำอะไรไม่ได้” ทัศนีย์กล่าวทิ้งท้าย

เวลาหน้าจอของเด็กๆ รุ่นใหม่…แค่ไหนถึงพอดี?

เอาล่ะ ว่ากันตามตรง อุปกรณ์ไอทีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป ไอแพด แท็บเล็ต หรือแก็ดเจ็ตมากมาย ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตปกติของเราไปแล้ว ภาพที่เด็กเล็กได้เห็นระหว่างเติบโตขึ้นมาคือ ภาพที่ผู้ใหญ่กด ไถ จิ้ม พิมพ์ คุยกับอุปกรณ์เหล่านี้

คำถามอมตะคือ “แล้วไอทีกับเด็กน้อยควรได้พบกันหรือไม่”

“สมาร์ทโฟนกลายเป็นชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่จำเป็นที่สุดที่เราครอบครอง มันเชื่อมต่อเรากับเพื่อนๆ ทำให้เราอัพเดทกับทั่วโลก และทำให้เราได้เก็บช่วงเวลายิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตได้” เลียม ฮาวลีย์ (Liam Howley) กล่าว เขาเป็นหนึ่งในทีม musicMagpie เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ที่ควบคุมการสำรวจนี้

“ขณะที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ในการสำรวจของเราบอกว่า อายุ 11 ปีเป็นวัยที่พอรับได้สำหรับเด็กในการเป็นเจ้าของโทรศัพท์ เราได้เห็นว่า 25 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบต่างมีโทรศัพท์มือถือในครอบครอง และเกือบครึ่งของเด็กเหล่านี้ใช้เวลามากกว่า 21 ชั่วโมงต่อสัปดาห์กับอุปกรณ์ของพวกเขา”

อายุของเด็กๆ ที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์เครื่องแรกน้อยลงเรื่อยๆ และหลายคนต่างคิดว่าไม่มีอายุจำกัดที่เหมาะสมแน่นอนกับการเป็นเจ้าของมือถือ มีพ่อแม่อีกมากที่จำกัดเวลาการใช้เพื่อให้แน่ใจว่า เด็กๆ ไม่ได้อยู่แต่กับหน้าจอ รวมถึงสำรวจสิ่งที่พวกเขาดาวน์โหลด และอีกหลายขั้นตอนที่ใช้จำกัดการใช้งาน

ขณะเดียวกัน มีรายงานจาก วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน (London School of Economics) ชี้แจงว่า การใช้สื่อดิจิตอลไม่ได้ทำให้เด็กสิงอยู่แต่ในห้องนอนกับจอของเขา ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต อันที่จริงแล้ว เด็กๆ จะช่วยดึงครอบครัวให้มาอยู่ร่วมกัน เช่น ดูหนังด้วยกัน เล่นเกมด้วยกัน และใช้แอพส่งข้อความกับลูกๆ ของพวกเขา

“เราพบว่าความกังวลของผู้ปกครองเรื่องการกำหนดเวลาใช้จอนั้นไปไกลกว่าความกังวลเกี่ยวกับเนื้อหาที่เด็กๆ ได้รับรู้” อลิเซีย บลูมรอสส์ ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยกล่าว “แทนที่จะห่วงเรื่องกำหนดเวลา ฉันอยากกระตุ้นให้พ่อแม่คิดว่าเด็กๆ ได้เรียนรู้หรือเปล่า แล้วมันช่วยให้เขาเชื่อมโยงกับโลกได้ไหม”

มุมมองของเธอสะท้อนถึงการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่ขยายตัวมากขึ้น เมื่อปี 2016 สถาบันกุมารแพทย์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics) ได้แก้ไขคำแนะนำเรื่องเวลาหน้าจอของเด็กๆ จากเคยบอกว่า เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบควรอยู่ห่างจากหน้าจอเหล่านั้นไปเลย เปลี่ยนเป็นอนุญาตให้เด็กอายุไม่เกิน 5 ขวบใช้เวลากับหน้าจอได้วันละไม่เกินหนึ่งชั่วโมง และเป็นครั้งแรกที่แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างสื่อดิจิตอลรูปแบบดั้งเดิม เช่น การ์ตูนในโทรทัศน์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เมื่อเทียบกับสื่อดิจิตอลรูปแบบอื่นที่สามารถโต้ตอบและมีศักยภาพในการสร้างสรรค์มากขึ้น

เจนนี แรเดสกี (Jenny Radesky) กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม หนึ่งในทีมผู้เขียนรายงานนโยบายคำแนะนำดังกล่าว ระบุว่า “พ่อแม่ควรเป็นที่ปรึกษาด้านสื่อให้กับลูกๆ ของพวกเขา นั่นหมายถึงการสอนให้เด็กๆ รู้จักใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ เรียนรู้ และเชื่อมโยง”

สำหรับเด็กอายุมากกว่า 2 ปี มีการศึกษาที่แนะนำว่า พวกเขาสามารถสรุปความรู้เกี่ยวกับโลกได้ผ่านกิจกรรมบนหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วรรณกรรม ทักษะทางสังคม และพฤติกรรมที่เหมาะสม อันที่จริงแล้ว การเขียนโปรแกรมได้อยู่ในหลักสูตรระดับประถมของอเมริกันมาตั้งแต่ปี 2014 เพื่อเป็นการรับรองว่า เด็กๆ ทุกวันนี้จะเติบโตขึ้นในโลกและการจ้างงานที่มีสื่อดิจิตอลเป็นผู้กำหนด

ย้อนกลับไปในปี 2013 ผลการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์วิศวกรรม มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้คาดการณ์ว่า 47 เปอร์เซ็นต์ของงานในปัจจุบันอาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ภายใน 20 ปี หากต้องการให้เด็กๆ โตขึ้นมาเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์ ไม่ใช่ถูกพวกมันแทนที่ เราก็ต้องสอนให้พวกเขาเรียนรู้ในสื่อดิจิตอล

นอกจากนี้ รายงานชิ้นใหม่จากจากยูนิเซฟก็ได้เปิดเผยผลสำรวจประสบการณ์ออนไลน์ของเยาวชนทั่วโลก และพบว่าวัยรุ่นใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อกันมากที่สุด 1 ใน 3 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกคือกลุ่มที่อายุน้อยกว่า 18 ปี โดยพวกเขาสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลสื่อดิจิตอลเพื่อการศึกษาและทำงาน บางครั้งวัยรุ่นก็ใช้เพื่อมีส่วนร่วมกับสังคมมากขึ้นด้วย

แต่เมื่อมีด้านสว่างก็ย่อมมีด้านมืด – โลกออนไลน์ยังคงมีเรื่องของการล่วงละเมิดทางเพศ สื่ออนาจารเด็ก และการค้ามนุษย์ ซึ่งอินเทอร์เน็ตมีส่วนทำให้ประเด็นเหล่านี้รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่น่าเป็นห่วงเพราะพ่วงการใช้อินเทอร์เน็ตกับผลต่อปัญหาทางจิตใจ เช่น ภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้าไปด้วย

ทีมผู้เขียนรายงานของยูนิเซฟระบุว่า กุญแจสำคัญคือ “ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป” และ“ใส่ใจกับสิ่งที่เด็กๆ ทำในโลกออนไลน์มากขึ้น ใส่ใจกับช่วงเวลาที่พวกเขาออนไลน์ให้น้อยลง”

อ้างอิงข้อมูลจาก:
independent.co.uk
telegraph.co.uk

4 สงสัย 2 ส่งต่อ: ผลิตภัณฑ์สุขภาพไม่น่าไว้ใจ

นาทีนี้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพกำลังลุกลามแพร่ระบาดไปทั่วสังคมไทย ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน แฝงมาในรูปของเครื่องสำอาง เครื่องประทินผิว สมุนไพรครอบจักรวาล ยาลดน้ำหนัก และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณต่างๆ นานา

ภัยเงียบเหล่านี้กำลังคุกคามทำร้ายผู้บริโภค ทำร้ายคนใกล้ชิด ครอบครัว เพื่อนฝูง หลายกรณีรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต

การหยุดยั้งผลิตภัณฑ์ลวงโลกจึงจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือบางอย่าง เพื่อให้ผู้บริโภคใช้ป้องกันตัวเองและเพื่อนร่วมโลกมิให้ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป เริ่มต้นง่ายๆ คือ ‘สงสัย’ และ ‘ส่งต่อ’


ที่มา https://waymagazine.org/curiousandshare/

‘เมจิกสกินโมเดล’ สังคายนาระบบหยุดยั้งสินค้าหลอกลวง

ความเสียหายครั้งมโหฬารที่นำมาสู่การกวาดล้างผลิตภัณฑ์ในเครือ ‘เมจิกสกิน’ อาจนับได้ว่าเป็นทั้งบทเรียนครั้งใหญ่ และเป็นโอกาสสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้หันกลับมาสังคายนาระบบการควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

การประชุมโต๊ะกลม ‘ความร่วมมือในการควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณา เพื่อความยั่งยืนในการคุ้มครองผู้บริโภค’ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2561 จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อสุขภาพ (คคส.) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) และหน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์ (วจภส.)

หัวใจของการจัดประชุมครั้งนี้มีด้วยกัน 3 ข้อ

  1. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการบริหารงานขององค์กรรับผิดชอบระบบควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาทุกหน่วยงาน
  2. ชี้เป้าสำคัญของปัญหา ข้อเสนอความร่วมมือ และมาตรการการจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งอาหารและเครื่องสำอาง
  3. กระตุ้นให้องค์กรผู้บริโภคและประชาชนตื่นตัว ตระหนักถึงปัญหาการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่โอ้อวดเกินจริง และร่วมกันเฝ้าระวังเตือนภัย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์เภสัชกรหญิง รุ่งเพ็ชร สกุลบำรุงศิลป์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกริ่นนำถึงสถานการณ์ผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาเกินจริง ซึ่งขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของคนไทยอย่างรุนแรงและกว้างขวาง โดยผลิตภัณฑ์อาหารบางประเภทยังมีการอวดอ้างสรรพคุณเป็นยารักษาโรคได้ ขณะที่บางผลิตภัณฑ์ก็มีการปลอมปนยาอันตราย เช่น ซิลเดนาฟิล (Sildenafil) ยาควบคุมพิเศษอย่างสเตียรอยด์ (Steroids) ไซบูทรามีน (Sibutramine) หรือที่รู้จักในฐานะของยาลดความอ้วนที่ทั่วโลกยกเลิกทะเบียนตำรับแล้ว

“วาระการประชุมในครั้งนี้จึงนับเป็นการพลิกวิกฤติให้กลายเป็นการสร้างโอกาสร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการกำกับควบคุมผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณา”

ขณะที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์เภสัชกรหญิง นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย. กล่าวชี้แจงความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของการประชุมครั้งนี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะผลักดันวาระต่างๆ เพื่อสร้างกลไกคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งเป็นมหากาพย์ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน และตลอดเวลาที่ผ่านมา กพย. ได้พยายามขับเคลื่อนมาโดยตลอด อีกทั้งมีการเสนอเข้าสู่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ รวมไปถึงการร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการหามาตรการใหม่ๆ เพื่อควบคุมสถานีโทรทัศน์ทั้งฟรีทีวี เคเบิลทีวี และทีวีดิจิตอล ให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในการเผยแพร่โฆษณาที่ผิดกฎหมาย

หลายท่านคงทราบแล้วว่าปัญหาโฆษณาทุกวันนี้มีเยอะมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น และมีตัวละครที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ฉะนั้น ทำอย่างไรที่เราจะใช้โอกาสนี้แก้ปัญหาในภาพรวมได้ จึงจำเป็นต้องสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อช่วยกันระดมความเห็น และนำไปสู่ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานต่างๆ โดยทุกความเห็นที่เกิดขึ้นในการประชุมครั้งนี้จะมีการสะท้อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ท่านมีความตั้งใจอย่างไรในสิ่งที่ได้ทำไปแล้วและกำลังจะทำต่อไปอย่างไรบ้าง นี่คือหัวใจสำคัญที่อยากให้ทุกท่านช่วยกันระดมทั้งฝ่ายกฎหมาย ทั้งผู้เฝ้าระวัง

 

โมเดลการทำงาน 7 ระบบ

เภสัชกรวรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร

ลำดับถัดมา เภสัชกรวรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร ในฐานะอุปนายกสภาเภสัชกรรม นำเสนอร่างโมเดลการทำงาน 7 ระบบ เพื่อใช้ควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ โฆษณา และฉลาก ที่แต่ละหน่วยงานสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที พร้อมมีกฎหมายรองรับ ประกอบด้วย

1.    ระบบการขึ้นทะเบียน การอนุญาต

มีข้อเสนอให้เพิ่ม QR Code บนฉลากและสื่อโฆษณา ทั้งผลิตภัณฑ์อาหาร ยา และเครื่องสำอาง โดยสัญลักษณ์นี้สามารถนำไปใช้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ได้ง่ายและรวดเร็ว ผู้บริโภคสามารถสแกนเพื่อตรวจสอบได้ด้วยตนเอง ว่าฉลากถูกต้องตามที่ อย. ประกาศไว้หรือไม่

2.    ระบบเฝ้าระวัง ตรวจสอบ

เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบได้ โดยลำดับแรกหน่วยงานรัฐต้องมีการกำหนดกรอบกติกาให้ชัดเจน อาทิ การใช้ ‘คำ’ หรือ ‘ข้อความ’ อันหลอกลวงเป็นเท็จ หรือข้อความอื่นที่มีความหมายในทำนองเดียวกัน ตลอดจนการใช้ภาพในลักษณะที่สื่อว่าเป็นผลมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ก่อนและหลัง (Before-After)  นอกจากนี้ยังรวมไปถึงห้ามนำบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข หรือทำให้เข้าใจว่าเป็นบุคลากรดังกล่าวมาแนะนำ รับรอง หรือเป็นผู้แสดงแบบ

3.    ระบบแจ้งเตือนภัย

หากระบบเฝ้าระวัง ตรวจสอบ มีความเข้มแข็งแล้ว จะนำมาสู่ระบบแจ้งเตือนภัยซึ่งหน่วยงานภาครัฐจะรับไปดำเนินการต่อ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ‘ทันการณ์-ถึงกลุ่มเป้าหมาย-ทั่วถึง’ เช่น เมื่อตรวจพบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย เลขาธิการ อย. จะเป็นผู้ประกาศผลการตรวจพิสูจน์ เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน

4.    ระบบเก็บสินค้าไม่ปลอดภัยออกจากตลาด

เมื่อมีการตรวจพิสูจน์และประกาศเตือนภัยแล้ว เป็นหน้าที่ของสาธารณสุขจังหวัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ และร้านค้า ที่จะต้องเร่งดำเนินการเก็บคืนผลิตภัณฑ์อันตรายเหล่านั้นออกจากท้องตลาดโดยเร็ว

กรณีศึกษาของ ‘เมจิกสกิน’ ที่ตกเป็นข่าวในขณะนี้ อย. สามารถออกประกาศเพิกถอนใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง และให้เรียกเก็บคืนสินค้าเพื่อทำลายเครื่องสำอางทั้ง 227 รายการ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558

5.    ระบบการสั่งระงับการกระทำผิด พักใช้-เพิกถอนใบอนุญาต และดำเนินคดี

การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด สามารถใช้กฎหมายเฉพาะเรื่อง ร่วมกับกฎหมายอื่นได้ เช่น หากกระทำผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร มีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ซึ่งนับว่าโทษยังน้อยเกินไป แต่หากพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 236 และมาตรา 238 จะมีอัตราโทษที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กระทำผิดเกิดความยำเกรงต่อกฎหมาย

 

6.    ระบบเยียวยาผู้เสียหาย

อาศัยกลไกจาก พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายจากสินค้าไม่ปลอด พ.ศ.2551 (Product Liability Law: PL LAW) และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 รวมไปถึงการรวมตัวฟ้องร้องเจ้าของผลิตภัณฑ์เป็นกลุ่มได้

 

7.    ระบบเสริมพลังประชาสังคม

ต้องมีการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนของสังคมเข้ามาร่วมมือกัน รวมถึงผู้ประกอบการที่ดียังมีอยู่มากมาย แต่อาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับการสร้างความรู้ สร้างกลไกการทำงาน และสร้างภูมิคุ้มกันผู้บริโภค ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบจากราคาสินค้าที่สูงเกินจริง และเพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัย ไม่ตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อโฆษณาหลอกลวงต่างๆ

ที่สำคัญคือ องค์กรผู้บริโภค และหน่วยงานต่างๆ เป็นหัวใจสำคัญ ถ้าร่วมมือกันด้วยดี จะสามารถยับยั้งการกระทำผิดได้ และยังเป็นการยกระดับคุณภาพของสินค้าไทยให้เป็นที่เชื่อถือทั้งในและต่างประเทศ

Regulator โมเดล

 

เภสัชกรประพนธ์ อางตระกูล

 

ในส่วนถัดมา วงประชุมได้เปิดโอกาสให้ผู้แทนส่วนต่างๆ ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อร่วมกันสร้างหลักประกันการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเภสัชกรประพนธ์ อางตระกูล ผู้แทนเลขาธิการ อย. ให้ความเห็นไว้ว่า ที่ผ่านมารากเหง้าของปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้นมานาน จึงจำเป็นต้องแก้ไขทั้งระบบ ไม่เพียงเท่านั้นปัญหาของการโฆษณาสินค้าที่ผิดกฎหมายยังแตกต่างจากในอดีต จึงจำเป็นต้องมีการส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชน รวมไปถึงสร้างทัศนคติที่ถูกต้อง

จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือหน่วยงานราชการ จะออกมาพูดหรือเตือนอย่างไร ก็ยังพบว่ามีประชาชนหลงเข้าไปอยู่ในวังวนนี้ไม่ใช่น้อย พอเห็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงทางสังคมออกมาแนะนำสินค้าก็ไปซื้อตาม ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เชิญผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้มาให้ปากคำ ก็พบว่าบางคนเคยใช้ผลิตภัณฑ์แค่ไม่กี่ครั้ง หรือแทบจะไม่เคยใช้เลย

ทั้งนี้ ภก.ประพนธ์ มองกลับมายังจุดอ่อนของส่วนราชการเองที่มักบอกแต่ข้อห้ามให้กับประชาชน แต่ไม่บอกทางเลือก หรือไม่ได้บอกวิธีที่ถูกต้องที่สุดในการลดน้ำหนักคืออะไร วิธีที่ปลอดภัยที่สุดจะต้องทำอย่างไร

เราอาจลืมไปว่าเยาวชนของเรา เขายอมสวยในชาตินี้นะครับ

นอกจากทัศนคติต่อประชาชนและส่วนราชการเองแล้ว ภก.ประพนธ์ ยังมองไปถึงโมเดลต้นแบบในการจัดทำ QR-Code แม้จะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็อาจปลอมแปลงได้

สิ่งสำคัญที่ควรต้องทำก็คือ ฐานข้อมูลการโฆษณา แต่ยังติดปัญหาเรื่องความไม่เสถียรของระบบไอที ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เลขาธิการ กสทช. และเลขาธิการ อย. ได้จับมือกันว่า เรื่องการโฆษณาทางสื่อทีวี ไม่ว่าจะเป็นฟรีทีวี ดาวเทียม จะให้เจ้าหน้าที่ อย. ไปร่วมตรวจสอบที่ กสทช. ด้วย ถ้าดูแล้วเห็นว่าผิดกฎหมายก็จะส่งหนังสือร้องเรียนถึง กสทช. โดยตรง

 

อัชญา บุญสุวรรณ

ขณะที่ตัวแทนหน่วยงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค อัชญา บุญสุวรรณ ผู้แทนเลขาธิการ สคบ. แสดงทัศนะว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีหน่วยงานไปทำหน้าที่ตรวจสอบต้นทุนของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ว่ามีสินค้าจำนวนเท่าไร ซึ่งจะโยงไปถึงการจ่ายผลตอบแทนที่ทำให้เกิดกรณีแชร์ลูกโซ่ในธุรกิจขายตรงหรือการขายสินค้าเกินจริงตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

ดังนั้น หน้าที่ของ สคบ. ก็จะเข้าไปดูตรงนี้ ไปดูบัญชีรายรับ-รายจ่าย ไปดูผลตอบแทน และดูสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง นอกเหนือจากนี้ ถ้าจะมีการโฆษณา สคบ. ก็ควรดูก่อน คุณจะโฆษณาอะไร ผ่านช่องทางไหน จะใช้ข้อความอะไร ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค หรือไม่ หรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่างๆ ไหม

ทว่าปัญหาที่อัชญามองอีกส่วนคือ การให้ใบอนุญาตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งส่วนมากแล้ว สคบ. จะไม่ได้ทำการตรวจสอบกลับไปยัง อย. เพราะเชื่อถือในเอกสารราชการว่าได้รับรองอย่างถูกต้องแล้ว และนั่นกลายเป็นช่องทางให้เกิดการปลอมแปลงเกิดขึ้น

จิราวุสฐ์ สุขได้พึ่ง


ปัญหาที่เราพบในขณะนี้คือ เรื่องการตรวจสอบสินค้าต่างๆ เมื่อประชาชนตรวจพบสินค้าไม่ปลอดภัยแล้วสามารถแจ้งเตือนเองได้ไหม” จิราวุสฐ์ สุขได้พึ่ง อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ให้ความเห็นในแง่ข้อกฎหมายที่อาจเกี่ยวข้องกับระบบการแจ้งเตือนภัย เมื่อประชาชนตรวจสอบพบว่า สินค้าในท้องตลาดมีการโฆษณาเกินจริง ผิดจากข้อบังคับทางกฎหมาย ประชาชนจะสามารถแจ้งเตือนได้หรือไม่

“ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมว่าได้ และเรื่องนี้ถือเป็นสิทธิผู้บริโภคที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค มาตรา 4 ที่บอกไว้ชัดเจนว่าสิทธิของผู้บริโภคคืออะไร”

 

พลโทพีระพงษ์ มานะ


อาจกล่าวได้ว่า ประเด็นการโฆษณาคือปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือในการแก้ไข พลโทพีระพงษ์ มานะกิจในฐานะตัวแทนกรรมการ กสทช. ให้ความเห็นว่า ที่ผ่านมามีเสียงสะท้อนของผู้ประกอบการต่างๆ ที่ยอมรับว่า หากไม่มีโฆษณาจำพวกนี้แล้ว รายได้ที่เข้ามาสู่องค์กรจะหดหายไปค่อนข้างมาก

เดิม กสทช. ได้ร่วมมือกับ อย. ในระดับหนึ่ง คือเมื่อก่อนใช้วิธีส่งเอกสารกันไปมา ถ้า กสทช. จะออกคำสั่งระงับการโฆษณาออกอากาศ ก็ต้องมีการพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าตัวสินค้าเท็จหรือจริง ซึ่งหน่วยงานที่มีอำนาจตรวจพิสูจน์ก็คือ อย. ฉะนั้น เมื่อ กสทช. ตรวจพบว่าเข้าข่ายน่าสงสัยก็ต้องส่งไปที่ อย. ก่อน ส่งกันไปส่งกันมา รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 7 เดือน นี่คือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นพลโทพีระพงษ์เล่าย้อนถึงรากปัญหาการทำงานในช่วงก่อนหน้านี้

จนกระทั่งเมื่อเกิดกรณีเมจิกสกินขึ้นมา กสทช. และ อย. จึงตกลงกันว่าจะไม่ใช้วิธีการทำงานแบบเดิมที่ล่าช้าไปกว่า 7 เดือน และระหว่างนั้นผู้ผลิตสินค้าก็ยังสามารถโฆษณาต่อไปได้ ทำให้ประชาชนได้รับการผลิตซ้ำทางโฆษณาจนเกิดความหลงเชื่อ แต่หลังจากนี้ อย. จะเข้ามานั่งดูโฆษณาต่างๆ ไปพร้อมกันกับ กสทช.

ในกรณีง่ายๆ อย่างเช่นโฆษณาอาหารที่ไม่ได้เป็นการอวดอุตริ ท่านก็ชี้มาเลย แต่ถ้ามันซับซ้อนกว่านั้น ท่านก็กลับไปทำการบ้านและเซ็นกลับมาสามคน พอมีลายเซ็นทั้งสามคน ผมก็ทำงานง่ายขึ้นแล้ว ผมก็ออกคำสั่งให้ระงับการกระทำไว้ก่อน โดยให้อำนาจเลขาธิการ กสทช. สั่งการไปยังสถานีโทรทัศน์ที่มีการโฆษณาสินค้าชิ้นนี้ให้ยุติไว้ก่อน เพื่อที่เราจะได้ใช้อำนาจกฎหมายในการเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาให้ปากคำ เช่น มีการจัดทำโฆษณาให้คนนั่งรถเข็น พอกินยาตัวนี้เข้าไป เขาลุกขึ้นเดินได้ แถมยังขี่จักรยานได้ ซึ่งน่าเหลือเชื่อ ถ้าใครดูโฆษณานี้แล้วคุณไม่รู้หรือไงว่านี่มันแหกตาแล้ว วิญญูชนพึงรู้ว่านี่มันหลอกลวงประชาชน

พลโทพีระพงษ์ยังกล่าวอีกว่า แม้โดยส่วนตัวแล้วจะเห็นใจผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียงต่างๆ ในแง่การหารายได้ขององค์กร แต่หากมีการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โอ้อวดเกินจริง กสทช. ก็ไม่อาจปล่อยให้มีการโฆษณาต่อไปได้ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก

ผู้เขียน   นิธิ นิธิวีรกุล
ที่มา https://waymagazine.org/magicskin_model/
วันที่ 31 May 2018

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
1. ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร เสนอระบบควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาฯ
2.ระบบควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาที่พึงประสงค์ของสังคมไทย

สมองต้องการพัก ผลลัพธ์เสพข่าวจนใจและกายด้านชา

ความเครียด

ขอบคุณโลกาภิวัตน์ ขอบคุณเทคโนโลยีและโลกอินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้เราเข้าถึงเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้กันแค่ไหน เราก็จะได้รับข้อมูลข่าวสารชุดเดียวกัน แม้จะเป็นเรื่องดี ในทางกลับกัน สิ่งที่เราได้รับตลอดทั้งวันมักเป็นเชิงลบ ไม่ว่าจะเป็นไซโคลนจากอีกฟากหนึ่งของโลกกวาดล้างบ้านเมืองจนพังทลาย น้ำแข็งในแอนตาร์กติกากำลังละลายอย่างรวดเร็ว สัตว์บางชนิดที่กำลังสูญพันธุ์ สงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุดในบางประเทศ ประชาธิปไตยที่หายไป ภาวะเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพงไปจนถึงสุนัขกัดกัน

เมื่อสำนักข่าวทั่วโลกรันข่าวตลอด 24 ชั่วโมงแทบไม่เว้นช่วงหายใจ ผู้บริโภคอย่างเราจะจัดการกับสภาวะอารมณ์ตัวเองอย่างไร ไม่ให้หัวร้อนเกินจนกลายเป็นผลกระทบทางอารมณ์และร่างกายตามมา

เมื่อข่าวร้ายกำลังทำเราหัวหมุน

ผลสำรวจจากเอ็นจีโอสหรัฐอเมริกา Pew Research Center เมื่อปี 2015 ระบุว่า จำนวนผู้ใหญ่ที่ใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น 65 เปอร์เซ็นต์ โดยส่วนใหญ่เป็นการเสพข่าวผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์มเป็นหลัก

ซูซาน บับเบ (Susanne Babbe) นักจิตบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูสภาวะบอบช้ำทางจิตใจ อธิบายถึงการตอบสนองของมนุษย์เราเมื่อรับรู้ข้อมูลดังกล่าวมากเกินไปว่า

“ทุกครั้งที่เราเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจหรือได้ยินข้อมูลเชิงลบ มนุษย์เราจะเข้าสู่สภาวะเครียดทันที อาจจะรู้สึกด้านชา (numb) หรือตอบสนองด้วยท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกเกินกว่าเหตุ สรีรวิทยาของเราจะเร่งกระตุ้นให้ปลดปล่อยฮอร์โมนเครียดขึ้นมา เช่น คอร์ติซอล (cortisol) หรืออะดรีนาลีน (adrenaline) และเมื่อเราได้รับประสบการณ์ดังกล่าวซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ต่อมหมวกไต (adrenal glands) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนสำคัญๆ หลายชนิด เช่น อะดรีนาลีน ก็ทำงานหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้สมรรถภาพการทำงานของมันลดลง อาการทางร่างกายที่ตามมา เช่น ตื่นนอนมาแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า นอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียด และอาการซึมเศร้า เป็นต้น”

หลายคนไม่รู้ตัวว่าสะสมความเครียดต่างๆ ไว้ ผ่านการเสพข่าวในโซเชียลมีเดียจนเกินไปซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่อาการป่วยไข้ทางร่างกายและจิตใจตามมา

อันตรายกว่านั้น งานวิจัยดังกล่าวยังค้นพบว่า กลุ่มที่จะตอบสนองต่อความเครียดดังกล่าวรุนแรงมากกว่าคือกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มสุขภาพไม่ดี เปรียบเทียบกับกลุ่มเด็กและเยาวชนและกลุ่มที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

ดูแลใจตัวเอง: หันหลังไม่สนบ้างก็ได้

น่าเศร้าที่ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคเป็นคนตัวเล็กๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขความบิดเบี้ยวของโลกใบนี้ได้ การเสพข้อมูลเชิงลบมากๆ จนกระทบต่อจิตใจและร่างกายตัวเอง จุดนี้บับเบแนะนำว่า ผู้บริโภคต้องรู้จักลิมิตในการบริโภคข้อมูลหรือข่าวสารเอง โดยการเซ็ตลิมิตว่าเราควรบริโภคข่าวสารในโซเชียลมีเดียแต่ละวันในปริมาณเท่าไรจะช่วยสร้างพื้นที่และให้เวลากับระบบประสาท (nervous system) เรากลับไปทำงานเหมือนเดิม

“หนึ่งในวิธีการจัดการไม่ให้เกิดความรู้สึกเสพข้อมูลจนโอเวอร์โหลดและกระทบกับร่างกาย คือการหาให้เจอว่าลิมิตตรงนั้นของเราอยู่ตรงไหน ซึ่งแต่ละคนก็มีลิมิตที่ต่างกัน เมื่อเรารู้สึกว่า ‘พอ’ เมื่อไร นั่นแหละคือสัญญาณให้หยุดเสพได้แล้ว เช่น การปิด notification บางแอพฯ หรือการกำหนดเวลาชัดเจนสำหรับการบริโภคหรือรับรู้เหตุการณ์ความเป็นไปในโลก”

นอกจากวิธีการดังกล่าวแล้ว บับเบยังเสนอวิธีการจัดการกับความเครียดพื้นฐาน ไมว่าจะเป็นการออกกำลังกาย พบปะเพื่อนฝูง ใช้เวลากับครอบครัว ก็เป็นกิจกรรมคลายความเครียดที่ดี

Self-care: ใจเราเข้มแข็ง ใจเธอก็เข้มแข็ง

อย่างไรก็ดี การดูแลใจตัวเอง (self-care) ด้วยวิธีการดังกล่าวกลับมีข้อโต้แย้งว่า เรากำลังเห็นแก่ตัวหรือสนใจแต่เรื่องของตัวเองเกินไปหรือเปล่า เทอร์รี ออสบอร์น (Terry Osborne) ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติแห่งวิทยาลัยดาร์ทมัธ (Dartmouth College) ชี้แจ้งว่า ความท้าทายคือการถือความเจ็บปวดนั้นไว้ แต่อย่าให้มันมาทำร้ายคุณ

“การดูแลใจตัวเองอาจฟังดูเห็นแก่ตัวหรือหมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง ปัญหาส่วนตัวของเราอาจเป็นเรื่องเล็กจิ๋วหากเทียบกับปัญหาทั่วโลกที่รายล้อมเรา แต่ในสภาวะวิกฤตินั้น การดูแลใจตัวเองเป็นวิธีการที่ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากที่สุด กล่าวคือ การฝึกตัวเองให้มีความสามารถในการสงบจิตใจลงด้วยตนเอง (self-soothing) และพัฒนาการตอบสนองต่อความเครียดของตัวเองเป็นอย่างดีจะช่วยเป็นเหมือนกันชนป้องกันผลกระทบจากความเครียดเชิงลบและช่วยให้เราช่วยคนอื่นได้ การฝึกให้ตัวเองสามารถสงบจิตใจลงได้ด้วยตนเองก็เหมือนกับการสร้างกล้ามเนื้อ ยิ่งแข็งแรงมากเท่าไรก็ยิ่งรับมือกับสถานการณ์หรือวิกฤติต่างๆ ได้ดี”


ที่มา: edition.cnn.com

วิตามินอาหารเสริมไม่ได้เป็นทุกอย่างให้เธอขนาดนั้น

เรื่อง: เวชะรดา มะเวชะ

 

‘ผลิตภัณฑ์วิตามินอาหารเสริม’ อย่างวิตามิน D ที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย วิตามิน C ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กและเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจน แคลเซียมช่วยในการบำรุงกระดูกและฟัน รวมถึง ‘วิตามินรวม’ ซึ่งอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ของวิตามินหลากหลายชนิดเม็ดเดียวจบ แทบจะกลายเป็นของติดบ้านไปสำหรับครอบครัวยุคใหม่ แถมบางตัวยังอ้างคุณสมบัติต้านโรคได้อีกต่างหาก จึงทำให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นล้วนต่างเผชิญกับข้อกังขาถึงคุณประโยชน์ว่า ‘ช่วยบำรุง’ ได้จริงหรือไม่

หลังถกเถียงกันมาเนิ่นนานในวงการวิทยาศาสตร์และสุขภาพเกี่ยวกับประโยชน์ของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมดังกล่าว ล่าสุดผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีข้อสรุปออกมาว่า วิตามินรวม, วิตามิน D, วิตามิน C และแคลเซียมไม่ได้มีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากเท่าที่เราคิด

ผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ Journal of the American College of Cardiology เป็นการร่วมมือกันระหว่างคณะนักวิจัยจากโรงพยาบาลเซนต์ไมเคิล (St. Michael’s Hospital) และมหาวิทยาลัยโตรอนโต (University of Toronto) โดยได้วิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่มกราคม 2012 – สิงหาคม 2017 ร่วมกับข้อมูลจากโครงการสำรวจโภชนาการและสุขภาพแห่งชาติ (National Health and Nutrition Examination Survey: NHANES) ระหว่างปี 1999-2012 พบว่าในสหรัฐมีการบริโภคผลิตภัณฑ์วิตามินกันมากในปี 2012 โดยวิตามินยอดนิยมได้แก่ วิตามินรวม มีการบริโภคสูงที่สุดประมาน 31 เปอร์เซ็นต์, วิตามิน D 19 เปอร์เซ็นต์, แคลเซียม 14 เปอร์เซ็นต์ และวิตามิน C 12 เปอร์เซ็นต์

“จากการสำรวจเราพบว่า เมื่อคุณกินวิตามินรวม, วิตามิน D, วิตามิน C หรือแคลเซียมนั้น มันไม่ได้เกิดผลร้ายอะไรแก่ร่างกาย แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์ที่แน่ชัดเหมือนกัน” นายแพทย์เดวิด เจนกินส์ (Dr.David Jenkins) หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว

สอดคล้องกับข้อมูลเมื่อปี 1998 นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ (The University of Leicester) พบว่า การรับวิตามิน C เกิน 500 มิลลิกรัมต่อวันนั้นเป็นอันตรายต่อยีนในร่างกาย! เพราะวิตามิน C มีส่วนช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กซึ่งส่งผลต่อการกดภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ หากได้รับมากเกินไปก็อาจทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย

ไม่เพียงเท่านั้น ทีมวิจัยยังพบว่าวิตามิน E ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเบตาแคโรทีน (beta-carotene) ที่ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ ไม่ได้มีส่วนช่วยในการบำรุงรักษาร่างกายเท่าไรนัก เช่น ปี 1994 พบสิงห์อมควันคนหนึ่งซึ่งบริโภคเบตาแคโรทีนเป็นประจำนานกว่าแปดปี แต่นั่นก็ไม่สามารถช่วยให้เขารอดจากมะเร็งปอดไปได้

“ผลวิจัยเหล่านี้ชี้ให้เราทุกคนตระหนักถึงประโยชน์และสรรพคุณของผลิตภัณฑ์วิตามินอาหารเสริมต่างๆ ที่พวกเขาจะบริโภคและต้องมั่นใจได้ว่าพวกเขาได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องผู้ให้บริการด้านสุขภาพอย่างแท้จริง” เจนกินส์อธิบาย

แม้ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่าปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์วิตามินอาหารเสริมนั้นถูกกระตุ้นจากใคร แต่ขณะเดียวกันมูลค่าในอุตสาหกรรมยาเพิ่มสูงถึง 82,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2013 เฉพาะสหรัฐอเมริกาเองมีมูลค่าเพิ่ม 28 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ Internal Medicine เผยแพร่บทความเรื่อง ‘พอได้แล้ว! หยุดเสียเงินให้วิตามินและอาหารเสริมสักที’ (Enough Is Enough: Stop Wasting Money on Vitamin and Mineral Supplements.) หลังจากพบว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนอายุระหว่าง 24-30 ปีในสหรัฐบริโภควิตามินรวม ขณะที่กลุ่มคนอายุ 15-18 ปีมีผู้บริโภคมากถึง 39 เปอร์เซ็นต์ ในระดับนานาชาติเองไม่แพ้กัน สินค้าเหล่านี้ทำให้มูลค่าของอุตสาหกรรมยาทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 6 ล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2007-2012

อย่างไรก็ดีนายแพทย์เจนคินส์แนะนำว่า หากต้องการรับวิตามินให้เพียงพอในแต่ละวัน ควรรับประทานอาหารจำพวกผลไม้และผักสดมากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะในผักและผลไม้นั้นสารต้านอนุมูลอิสระรวมไปถึงวิตามินที่เพียงพอต่อชีวิตประจำวันอยู่แล้ว

จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีผลการวิจัยไหนที่แสดงให้เห็นว่าการใช้อาหารเสริมให้ผลดีกว่าอาหารปลอดสารพิษอย่างผัก ผลไม้ และถั่ว

นายแพทย์เจนกินส์ทิ้งท้าย


อ้างอิงข้อมูลจาก:
salon.com
vice.com

ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร เสนอระบบควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาฯ


เภสัชกรวรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร นำเสนอ ร่างโมเดล ระบบควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณาที่พึงประสงค์ของสังคมไทย ในการประชุมโต๊ะกลม เรื่องความร่วมมือในการควบคุมกำกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและการโฆษณา
เพื่อความยั่งยืนในการคุ้มครองผู้บริโภค วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 เวลา ณ ห้องประชุมสารนิเทศ (ชั้น 2) หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ซึ่งระบบควบคุมประกอบด้วย 7  ระบบ ได้แก่
1) ระบบการขึ้นทะเบียนอนุญาต
2) ระบบเฝ้าระวังตรวจสอบ
3) ระบบแจ้งเตือนภัย
4) ระบบจัดเก็บสินค้าไม่ปลอดภัยออกจากตลาด
5) ระบบการสั้งระงับการกระทำผิด พักใช้-เพิกถอนใบอนุญาตและดำเนินคดี
6) ระบบเยียวยาผู้เสียหาย
7) ระบบเสริมพลังประชาสังคม