กัญชา กระท่อม จากยาเสพติดสู่ ‘พืชยา’ รักษาโรค

นี่อาจเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเด็น พ.ร.บ.กระท่อมและกัญชา ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนเสนอเป็นร่างกฎหมายเพื่อพิจารณาให้กระท่อมและกัญชาย้ายจากสารเสพติดประเภท 5 มาสู่ประเภทที่ 2 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการวิจัย โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การรักษาคนไข้ เป็นที่มาของวงประชุมแลกเปลี่ยน ณ อาคารนวัตกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561

ในฐานะประชาชนธรรมดาที่ล้วนได้ยินได้ฟังต่อเรื่องราวของกระท่อมและกัญชามาไม่มากก็น้อย ทำไมพืชทั้งสองชนิดนี้ถึงสำคัญจนต้องนำไปสู่การเสนอกฎหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงประเภทของสารเสพติดทั้งในกระท่อมและกัญชา?

เพื่อจะตอบคำถามนี้ ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา จึงแถลงถึงจุดประสงค์ในการจัดประชุม โดยเบื้องต้น ภญ.นิยดาบอกว่า เดิมทีเรื่องพืชกัญชาและกระท่อมมีประเด็นคาบเกี่ยวทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายวิชาการ รวมถึงผู้ป่วย ที่ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้พอสมควร และในฐานะที่เป็นผู้จัดการแผนงานศูนย์วิชาการ จึงเชิญสื่อมวลชนมาร่วมรับฟังการประชุม เพื่อติดตามสถานการณ์ปัจจุบันและทำความเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง

“เพื่อให้เป็นปากเสียงแทนผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้พืชทั้งสองชนิดนี้ เพื่อผู้ป่วย และเพื่อความมั่นคงของประเทศด้วย”

สถานการณ์ล่าสุด

กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ในฐานะผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุดว่าในตอนนี้มีการแก้ พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายยาเสพติดโดยผ่าน สนช. วาระแรกตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ในวาระสองท่าทีของรัฐบาลยังไม่รับรองให้ผ่านออกมาได้อย่างง่ายนัก ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2561 สนช. 41 คนได้ให้การรับรอง พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายยาเสพติด ให้สามารถปลูกพืชกัญชาเพื่อทำการวิจัยได้ รวมไปถึงการใช้มาตรา 44 มาเป็นขุนค้อนสำคัญในการทุบให้กฎหมายนี้คลอดออกมา อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรา 44 กับเรื่องพืชยานี้ยังไม่มีความชัดเจน

ทว่าการรับรองที่ว่ายังคงเน้นไปที่กัญชาในฐานะที่เป็นสารสกัดในการรักษาโรคมะเร็งมากกว่ากระท่อม

กัญชา กระท่อม
ผศ.ดร.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี

‘พืชยา’ คำสำคัญของกัญชาและกระท่อม

กรรณิการ์กล่าวต่ออีกว่าสิ่งสำคัญที่อยากจะเน้นย้ำนอกเหนือจากข้อมูลในวงประชุม คำสำคัญของกัญชาและกระท่อม อยากให้สื่อมวลชนเน้นไปที่คำว่า ‘พืชยา’ เพื่อสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นต่อสาธารณชนในวงกว้าง หรืออย่างน้อยที่สุดคือในจำนวนผู้ที่ติดตามช่องทางสื่อสารต่างๆ ของสื่อแต่ละสำนักจะสามารถเกิดความเข้าใจในเรื่องกัญชาและกระท่อมมากขึ้นกว่าด้วย

“ในแวงวงวิชาการ กัญชาและกระท่อมไม่ใช่ยาเสพติด ยิ่งไม่ใช่ยาเสพติดประเภทที่ 5 ด้วย ถ้าจะช่วยสร้างวาทกรรมนี้ก็ฝากด้วยนะคะ”

โดยผู้ที่จะมาช่วยสะสางถึงประโยชน์ ข้อดี/ข้อเสีย/ข้อควรระวัง ของพืชยากัญชาและกระท่อม คือ ภญ.วีรยา ถาอุปชิต นักวิจัยแผนงานศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา

ภญ.วีรยากล่าวว่า จากข้อมูลที่มีจำนวนมากเรื่องสรรพคุณทั้งในส่วนของพืชยากระท่อมที่ปลูกกันค่อนข้างมากในภาคใต้และกัญชาแล้ว รัฐบาลควรจะฟันธงลงมาแล้วว่าพืชยากระท่อมและกัญชามีข้อดีอะไรบ้างที่สามารถขยายผลไปสู่การวิจัยเพื่อพัฒนาด้านการแพทย์ได้ และมีข้อเสียอะไรบ้างที่ควรระวัง

ตำรายาจากโบราณ

“จากที่เราได้ประมวลมานะคะ อันดับหนึ่งเลยคือประมวลยาที่มีมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์มีการรวบรวมออกมาเป็นตำรายาพื้นบ้านอยู่ ถัดไปคือประสิทธิผลที่มีคนวิจัยรับรอง ที่เด่นๆ จะขออนุญาตยกมาเบื้องต้นก่อนนะคะ หนึ่งแก้ปวด พูดง่ายๆ คือทั้งกระท่อมและกัญชามีประสิทธิผลในการบรรเทา-แก้ปวดได้ ดีถึงขั้นบางคนบอกว่าดีกว่ามอร์ฟีนที่ใช้อยู่เดิมด้วยซ้ำ อันที่สองมีการวิจัยอยู่หลายชิ้นที่แม้หลายคนจะบอกว่ายังไม่แน่นอนนัก คือรักษามะเร็ง”

นอกจากนี้ ภญ.วีรยายังระบุไว้ในเอกสารที่แจกจ่ายให้สื่อมวลชนอีกว่า กัญชายังมีหลักฐานคุณภาพที่น่าเชื่อได้ว่าสามารถใช้รักษาอาการปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการปวดจากปลายประสาท (neuroleptic pain) หรือปวดจากโรคมะเร็ง (cancer pain) รวมไปถึงการรักษาภาวะกล้ามเนื้อเกร็งเนื่องจากภาวะปลอกประสาทอักเสบ (spasticity due to multiple sclerosis)

ภญ.วีรยาระบุ ผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงที่อาจเกิดจากการใช้กัญชาในการรักษาในระยะสั้น เช่น ทำให้เกิดอาการมึนงง ปากแห้ง เหนื่อยเพลีย สับสน สูญเสียการทรงตัว ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่พบได้ในยาทั่วไป

ในขณะที่ ภญ.สำลี ใจดี ประธานมูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา บอกว่าพืชยากระท่อมนั้นเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้าน และทั้งสองชนิดเป็นพิษและทรมานน้อยกว่าเหล้า

“เหล้าเรายังเก็บภาษีได้ กระท่อมกินไม่ได้ แต่กระทิงแดงกินได้ มันเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเราเห็นว่ามันผิดปกติ ตั้งแต่สมัยยาทัมใจ ชาวบ้านบอกว่ากินกระท่อมก็ได้ แต่กฎหมายไม่อนุญาตให้กิน ซึ่งยาเหล่านี้ทางอีสานคนติดเยอะมาก กระเพาะทะลุกันเยอะมาก”

ภญ.สำลีกล่าวว่า คนในพื้นที่ภาคใต้และอีสานจะรับประทานกระท่อมเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยต่างๆ แทนยา โจทย์ของการประชุมในวันนี้จึงเป็นเรื่องเร่งรัดให้รัฐบาลรับรองหลักการแห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. … เพื่อให้นำกระท่อมออกมาจากยาเสพติดประเภท 5

“พวกเราต้องไปถามทางสภาเหมือนกัน เขาเอามาเข้าสภา ใช้มาตรา 44 เพื่อสกัดกัญชาตัวเดียว ไม่เอากระท่อม”

“องค์การเภสัชเผอิญมีบอร์ดเป็นอดีตปลัดฯ ไม่ว่าบอร์ดขององค์การเภสัชจะเป็นอะไรมาก่อนก็แล้วแต่ ก็ยังอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน การขออะไรต่างๆ ต้องเสมอภาคกัน ซึ่งองค์การเภสัชเวลาขออะไรจะขอทีเดียวได้ ซึ่งถามว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือเปล่าในแง่กฎหมาย”

กัญชา กระท่อม
ภญ.สำลี ใจดี

ภญ.สำลีสรุปทิ้งท้ายว่า หลักใหญ่ใจความสำคัญในการนำพืชยากัญชาและกระท่อมออกจากยาเสพติดประเภท 5 มาสู่ประเภท 2 ก็เพราะในส่วนของยาเสพติดประเภท 2 นั้นเป็นยาเสพติดทั่วๆ ไป อยู่ในกลุ่มเดียวกับมอร์ฟีน ซึ่งเป็นยาเดียวที่สามารถนำมาใช้ได้

“พอไปถึงประเภทที่ 2 มันจะโยงถึงประเภทที่ 3 ด้วย ก็คือจะโยงเรื่องของตำรับยา เพราะว่าประเภทที่ 3 มันเขียนว่าเป็นยาเสพติดชนิดให้โทษที่เขียนว่าเป็นตำรับยา และมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 ผสมอยู่ กล่าวคือ ถ้าอยู่ในประเภทที่ 2 จะพ่วงประเภทที่ 3 มาด้วย ก็คือเป็นตำรับยาที่มีส่วนผสมอื่นได้”

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงสถานการณ์ล่าสุด ว่ามีการรวบรวมการนำกัญชาไปใช้ ผลปรากฏว่ามีผู้ป่วยเข้าร่วมจำนวนมาก หากกล่าวถึงอาการข้างเคียงระหว่างการรักษาโรคมะเร็ง เช่น นอนไม่หลับ อาการปวด ภาวะความเครียด อ่อนแรง คลื่นไส้ รวมถึงการไม่เจริญอาหาร พบว่าผู้เข้าร่วมมีอาการเหล่านี้ลดลง 95.9 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงว่าเกือบทั้งหมดมีอาการดีขึ้น

“อันที่สองที่น่าสนใจก็คือ ประมาณ 45 คนในจำนวนนี้ หรือประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รู้สึกว่าไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย จำนวนนี้ 0.3 เปอร์เซ็นต์ที่รู้สึกว่ามันไม่ส่งผลดี สรุปก็คือเกือบทั้งหมดให้ผลดีอย่างยิ่งกับผู้ป่วยมะเร็ง

“ที่ผมจะพูดก็คือ เหตุที่กัญชามีผลดีกว่ากระท่อมในช่วงปีที่ผ่านมา เพราะผู้เสียชีวิตอันดับที่หนึ่งในประเทศไทยก็คือผู้ป่วยมะเร็ง และปัจจุบันมีการแอบใช้กันอยู่จำนวนมากในรูปแบบของน้ำมันกัญชาที่ไม่ได้มีการตรวจสอบคุณภาพและวิธีการใช้เลย ดังนั้นถ้าไม่จับมันมาอยู่บนโต๊ะ จะมีผู้ป่วยเสียโอกาสจำนวนมาก

“ผมยืนยันว่ากัญชาที่ใช้กันอยู่มีหลายมาตรฐาน และมีปนเปื้อน รวมถึงยาฆ่าแมลง ดังนั้นเราจึงต้องรีบจับมันเข้าสู่กระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เร็วที่สุด เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้ป่วยจริงๆ ประการที่สอง ในสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าประเทศไทยช้า นอกจากจะเสียประโยชน์ของผู้ป่วย เราจะเสียอิสรภาพในเรื่องภูมิปัญญาของไทยอีกด้วย ซึ่งเป็นการสั่งสมประสบการณ์ในการนำมาเป็นตำรับตำรานับพันปี ถึงรู้วิธีการใช้กัญชาอย่างไม่เป็นอันตราย”

ปานเทพสรุปไว้ว่า ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาไว้เจ็ดประเด็น คือ ประเด็นที่หนึ่ง งานวิจัยเผยชัดเจนแล้วว่ากัญชาไม่ได้เป็นยาเสพติดรุนแรงเท่ากับแอลกอฮอล์และบุหรี่ ถ้าบุหรี่และแอลกอฮอล์ยังถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องมีวิธีการจัดการกับกัญชาให้ถูกกฎหมายเช่นกัน ประการที่สอง กัญชาออกฤทธิ์ทางยาเช่นกันกับกระท่อม ย้อนกลับไปยังอดีต ฝิ่นก็เคยเป็นยาเสพติด ปัจจุบันใช้เป็นมอร์ฟีน และผู้ผลิตรายใหญ่คือต่างชาติ สุดท้ายแล้วประเทศไทยต้องนำเข้า

“นั่นคือเราสูญเสียสมุนไพรที่เกิดขึ้นในเมืองไทยสามตัวยา กลายเป็นยาเสพติดไปหมด สุดท้ายประเทศไทยซึ่งมีภูมิปัญญาการใช้กัญชา ฝิ่น กระท่อม เราต้องไปพึ่งพาต่างชาติด้วยการนำเข้าสารสำคัญทั้งหมด เพราะเราไม่เข้าใจตัวเองว่าเรามีการควบคุมไม่แพ้ต่างชาติเช่นเดียวกัน”

ประเด็นที่สาม ปานเทพมองในเรื่องของภูมิปัญญาไทยที่รู้จักวิธีการใช้กัญชาและกระท่อมมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ตลอดจนมาถึงช่วงต้นรัชกาลที่ 2  ซึ่งมีการรวบรวมตำรับยา ปรากฏว่ามีการสืบทอดการใช้กัญชามาอีกสองตำรับ กระท่อมต่างหาก ต่อมาในรัชกาลที่ 5 มีมากกว่า 10 ตำรับ และมีการเขียนตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงและแพทยศาสตร์สงเคราะห์สองคัมภีร์ที่ยืนยันการใช้กัญชาตรงกันว่า

กัญชา แก้ไข้ผอมเหลือง หากำลังมิได้ ให้ตัวสัตว์เสียงสัตว์เป็นด้วยวาโยธาตุกำเริบ แก้นอนไม่หลับ

ซึ่งทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีความรู้ด้านการใช้กัญชามานานแล้ว

“ที่ผมกำลังจะยืนยันว่าภูมิปัญญาไทยน่าสนใจก็เพราะว่าเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้วมีเว็บไซต์ของผู้จัดการได้ลงข่าวเรื่องของผู้ป่วยมะเร็งรายหนึ่งใช้กัญชาเพียงต้มแค่สองดอกต่อวัน ปรากฏว่าหายป่วยจากโรคมะเร็งตับโดยไม่มีคีโมฉายแสงเลย ดังนั้นภูมิปัญญาไทยใช้มานานแล้ว และเป็นเอกภาพมากนะครับ”

อุปสรรคจากพืชยาไปสู่ยาเสพติด

ประการที่สี่ การปรากฏอยู่ในบัญชียาเสพติดซึ่งเป็นปัญหาหลักสำคัญในมุมมองของปานเทพ เพราะแก้ไขได้ยากมาก โดยปานเทพมองว่าต่อให้ย้ายมาอยู่ในบัญชีประเภทที่ 2 แล้วก็ยังจะเกิดปัญหาใหม่ในเรื่องของวิธีการใช้ต้องผ่านขั้นตอนอีกมาก

“ทั้งที่เรามีภูมิปัญญามาหลายร้อยปีก็จะใช้ไม่ได้ สิ่งที่เรากังวลมากที่สุด คือย้ายไปอยู่บัญชี 2 และเมื่อถึงเวลาจริง แพทย์ภูมิปัญญาใช้ไม่ได้ ใช้แต่สาระสำคัญที่ต้องสกัดมาเท่านั้น แบบมอร์ฟีน ทำให้ภูมิปัญญาไทยเดิมหายไปอีกอย่างน้อย 93 ตำรับ  ดังนั้นอาจจะต้องถอนออกจากบัญชียาเสพติดมาเป็นกฎหมายเฉพาะ ในลักษณะของพืชยาควบคุมที่ปลอดภัยกว่า และเปิดโอกาสให้ใช้ได้ทั้งแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน”

ประเด็นที่ห้า ในส่วนของการเสียโอกาสล่าช้าในเรื่องสิทธิบัตรยาที่จะนำไปสู่ผลกระทบต่อเนื่องเรื่องความมั่นคงในประเด็นเวชภัณฑ์ยาต่างๆ เพราะจะทำให้เสียสิทธิบัตร ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำเข้าสารสำคัญเพียงอย่างเดียว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องไม่เพียงไม่จดสิทธิบัตร แต่ต้องยกเลิกคำขอ เพราะถ้าไม่ยกเลิกคำขอ ประเทศไทยจะไม่มีสิทธิจดสิทธิบัตรซ้ำในตำรับยานั้นอีกเลย

ประเด็นที่หก ว่าด้วยเรื่องของข้อเปรียบเทียบว่าไทยทำได้หรือทำไม่ได้ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอิสรภาพและภูมิปัญญา ถ้าอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลียทำได้ แต่เรากลับกลายเป็นทำไม่ได้

“ประการสุดท้าย เราต้องรีบออกเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ป่วย ทั้งในแง่ขององค์ความรู้ การตรวจสอบสาระสำคัญ การตรวจสอบสารพิษในกัญชาและกระท่อม และกำหนดวิธีการใช้ภายใต้การดูแลทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทย”

“ทั้งเจ็ดประการนี้เป็นจุดยืนที่ต้องรีบนำเสนอให้รัฐบาลรีบแก้ไขปลดล็อคกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์อย่างเร็วที่สุด”

เมื่ออากาศเป็นพิษคุกคามทารกถึงในท้องแม่

ระบบความปลอดภัยในท้องป่องๆ ของแม่อาจสั่นสะเทือนเพราะงานวิจัยชิ้นใหม่เพิ่งแสดงให้เห็นว่า ต่อให้แม่ระวังตัวแจแค่ไหน มลพิษทางอากาศก็สามารถเดินทางผ่านทางปอดและคืบคลานเข้าไปหาเด็กๆ ได้ โดยผ่านรกของแม่เอง

ก่อนหน้านี้แม้จะรู้กันดีว่ามลพิษในอากาศเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่ยังไม่พบวิธีการหรือช่องทางที่แน่ชัด กระทั่งผลการศึกษาชิ้นใหม่ที่สำรวจบรรดาแม่ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ได้เผยให้เห็นอนุภาคเขม่าควันที่เกาะตัวในรกของแต่ละคน โดยนักวิจัยบอกว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อนุภาคเหล่านี้จะเข้าไปสู่ตัวอ่อนในครรภ์ได้ด้วย

“ปัญหาที่น่ากังวลอย่างมากคือ ความเป็นไปได้ที่มลพิษจะปนกับลมหายใจของแม่ และเข้าไปส่งผลต่อตัวอ่อนในครรภ์” ลิซา มิยาชิตะ (Lisa Miyashita) หนึ่งในทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนแมรี กรุงลอนดอน บอก “ถ้าคุณสามารถเดินทางบนเส้นทางที่มีมลภาวะน้อยลงขณะตั้งท้องอยู่ได้ก็คงดี หรือต่อให้ไม่ท้อง ฉันก็เลี่ยงถนนที่พลุกพล่านตอนเดินไปสถานีรถไฟอยู่ดีนั่นแหละ”

รกเปื้อนเขม่าควัน

ก่อนหน้าผลการศึกษานี้ยังมีอีกหลายครั้งที่พร้อมใจกันชี้ให้เห็นว่า มลพิษทางอากาศเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดและทำให้น้ำหนักแรกเกิดต่ำ จนสามารถทำลายสุขภาพเด็กไปได้ตลอดชีวิต หนึ่งในนั้นเป็นการรวบรวมข้อมูลการคลอดมากกว่า 500,000 ครั้งในลอนดอน และได้ยืนยันถึงความเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้แพทย์ส่วนใหญ่มองว่า สิ่งเหล่านี้ “แสดงให้เห็นความล้มเหลวของระบบสาธารณสุข”

บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างค้นคว้าหาผลกระทบจากมลพิษทางอากาศต่อปัญหาสุขภาพในส่วนอื่นๆ มากกว่าปัญหาในปอด เนื่องจาก อากาศเป็นพิษมีผลต่อความฉลาดทางสติปัญญาที่ลดลง “อย่างมหาศาล” และในปี 2016 อนุภาคนาโนที่เป็นพิษจากมลภาวะทางอากาศถูกพบในสมองของมนุษย์

นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยใหม่ที่ทดสอบรกในครรภ์ของผู้หญิงไม่สูบบุหรี่ห้าคน ที่คลอดทารกสุขภาพดีทุกคน โดยแยกเซลล์แมคโครฟาจ (macrophage cell) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและดักจับอนุภาคที่เป็นอันตราย เช่น แบคทีเรียและมลพิษทางอากาศ พวกเขาพบอนุภาคสีดำ 72 แห่งท่ามกลางเซลล์ 3,500 เซลล์ ก่อนจะใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนทดสอบรูปร่างของอนุภาคเหล่านี้บางส่วน พวกมันดูเหมือนอนุภาคเขม่าที่ถูกพบในเซลล์แมคโครฟาจในปอด

ขณะที่การวิเคราะห์ดังกล่าวยังต้องการการยืนยันครั้งสุดท้าย มิยาชิตะกล่าวว่า “เราไม่อาจคิดถึงอย่างอื่นได้อีกเลย มันเป็นหลักฐานที่ชัดมากว่าเป็นอนุภาคเขม่าควัน” ช่วงต้นของการทดลองยังแสดงให้เห็นว่าอนุภาคที่สัตว์กำลังตั้งครรภ์หายใจเข้าไปจะผ่านกระแสเลือดไปยังตัวอ่อนในครรภ์ได้

“เรายังไม่อาจยืนยันได้เต็มที่ว่า อนุภาคที่ค้นพบจะเคลื่อนตัวเข้าไปสู่ตัวอ่อนในครรภ์ได้หรือไม่ แต่หลักฐานชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้” นอร์ริซ ลิว (Norrice Liu) หนึ่งในทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนแมรีกล่าว “เรายังรู้ว่า อนุภาคเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปถึงตัวทารก เพราะแค่มีผลต่อรกในครรภ์ก็จะส่งผลโดยตรงต่อตัวอ่อนไปด้วย”

ผลการวิจัยนี้ถูกนำเสนอในการประชุมระดับนานาชาติของสมาคมโรคทางเดินหายใจแห่งยุโรป  (European Respiratory Society: ERS) ที่กรุงปารีส โดยศาสตราจารย์มินา กากา (Mina Gaga) ประธานสมาคมและแพทย์จากโรงพยาบาลเอเธนส์ เชสต์ ประเทศกรีซ กล่าวว่า “นี่แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ทางเทคนิคของหนทางที่ทารกจะได้รับผลกระทบจากมลพิษ ทั้งที่ตามทฤษฎีแล้ว พวกเขากำลังได้รับการปกป้องอยู่ในมดลูก

“สิ่งนี้ควรกระตุ้นให้แพทย์และสาธารณชนตระหนักถึงผลกระทบจากมลภาวะทางอากาศที่เป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์” เธอบอก “เราต้องการนโยบายอากาศสะอาดที่เข้มงวดกว่านี้ เพื่อลดผลกระทบจากมลภาวะทางอากาศต่อสุขภาพคนทั่วโลก เพราะเราได้เห็นกันแล้วว่า ประชากรรุ่นใหม่ๆ ต่างมีปัญหาสุขภาพกันเป็นจำนวนมาก”

หอบหืดขโมยความสุขในการเรียน

โรคหอบหืดคือหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของมลพิษทางอากาศ ซึ่งงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในการประชุมดังกล่าวระบุว่า โรคหอบหืดทำให้เด็กๆ มีความสุขในการเรียนน้อยกว่าคนที่ไม่เป็น ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มหรือเป็นหอบหืดมานานแล้วก็ตาม

ผลการวิจัยในสวีเดนที่ทำมานานกว่า 20 ปียังบอกว่า เด็กๆ ที่เป็นหอบหืดมีโอกาสออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16 ปีมากกว่าเด็กที่ไม่เป็นถึงสามเท่าครึ่ง และมีโอกาสออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันถึงสองเท่า

คริสเตียน ชิลเลิร์ท (Christian Schyllert) จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแคโรลินสกา (Karolinska) กรุงสต็อกโฮล์ม กล่าวว่า “เมื่อเป็นเรื่องของการศึกษาและหน้าที่การงานในอนาคต หอบหืดทำให้โอกาสของเด็กๆ แย่ลง” เขาบอกว่า เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้คือ เด็กๆ ที่เป็นหอบหืดมักขาดเรียนบ่อยๆ

นอกจากนี้ แอนโธนี เลค (Anthony Lake) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูนิเซฟ ยังบอกว่า “ไม่เพียงแต่สารพิษเท่านั้นที่เป็นอันตรายต่อการพัฒนาปอดของทารก แต่มันยังทำลายการพัฒนาสมองได้อย่างถาวรอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงทำลายอนาคตของพวกเขาเลยทีเดียว”

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com

 

หยุดแก้ พ.ร.บ.สิทธิบัตร เปิดช่องทุนข้ามชาติผูกขาดยา

ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่เสนอโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ส่อว่าจะนำไปสู่ปัญหาบานปลายและกระทบชีวิตคนไทยทั้งประเทศ เหตุเพราะร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงจะฉุดให้ประเทศไทยถอยหลัง ยังเอื้อให้บริษัทข้ามชาติผูกขาดสิทธิบัตรยา ส่งผลให้ยาราคาแพงจนประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ อีกทั้งยังมีจุดอ่อนที่ทำให้ประเทศไทยประกาศใช้มาตรการซีแอลได้ยากยิ่งขึ้น

25 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการพิจารณาศึกษาการยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาภายในองค์การการค้าโลก (TRIPS) พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์เภสัชกรหญิง จิราพร ลิ้มปานานนท์ กรรมการพิจารณาศึกษาการยอมรับพิธีสารฯ เข้ายื่นหนังสือต่อ นายแพทย์เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับแก้ไข) ที่ยกร่างโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องจากพบว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพิจารณาศึกษาการยอมรับพิธีสารฯ

กรรณิการ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการ สนช. ครั้งที่ 39/2558 วันที่ 27 ตุลาคม 2558 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาศึกษาการยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยความตกลง TRIPS โดยในเดือนพฤศจิกายน 2558 คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้เสนอผลการศึกษาและเสนอแนะให้ระมัดระวังเรื่องมาตรการทางทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มงวดเกินไปกว่าข้อตกลง TRIPS หรือที่เรียกว่า ‘มาตรการ TRIPS ผนวก’ (TRIPS+) ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยาและก่อให้เกิดปัญหาด้านสาธารณสุข

ที่ผ่านมา กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกร่างแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับที่ …) พ.ศ. … โดยเปิดให้มีการรับฟังความเห็นทางระบบออนไลน์มาแล้ว 2 ครั้ง แต่พบว่ายังมีการแก้ไขสาระสำคัญของกฎหมายให้มีมาตรการที่เกินไปกว่าความตกลง TRIPS ในมาตรา 51 และ 51/1 และประเด็นนี้ยังคงอยู่ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับล่าสุดที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ในมาตรา 51 วรรคสุดท้าย กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้เสนอแก้ไขกฎหมายให้ผู้ทรงสิทธิ์สามารถร้องขอต่อศาลให้ยกเลิกคำสั่งมาตรการใช้สิทธิโดยรัฐ (มาตรการซีแอล) ได้ หากปรากฏว่าเหตุแห่งการอนุญาตได้หมดสิ้นไปและไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีก ซึ่งเป็นมาตราที่เข้มงวดเกินกว่าความตกลง TRIPS เนื่องจากในความตกลง TRIPS และ พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฉบับปัจจุบัน อนุญาตให้ผู้ทรงสิทธิ์ฟ้องร้องต่อศาลในเรื่องค่าตอบตอบแทนจากการใช้มาตรการใช้สิทธิโดยรัฐเท่านั้น การจะอนุญาตให้ผู้ทรงสิทธิ์สามารถฟ้องร้องต่อศาลให้หน่วยงานรัฐยกเลิกมาตรการเพื่อใช้คุ้มครองประชาชน แม้จะมีเงื่อนไข แต่ถือเป็นการล่วงอำนาจการบริหารของประเทศ

เช่นเดียวกับมาตรา 51 และ 51/1 กรมทรัพย์สินทางปัญญาเสนอแก้ไขให้หน่วยงานรัฐที่มีอำนาจประกาศใช้มาตรการใช้ซีแอลจำกัดอยู่แค่กระทรวงเท่านั้น ทั้งๆ ที่ความตกลง TRIPS ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นหน่วยงานของรัฐหน่วยใด แต่เปิดกว้างให้แต่ละประเทศกำหนดเอง และในกฎหมายฉบับปัจจุบันก็ระบุให้กระทรวง ทบวง และกรมมีอำนาจ ซึ่งการแก้ไขกฎหมายให้จำกัดเฉพาะกระทรวง จะทำให้การใช้มาตรการซีแอลเป็นไปได้ยากมากขึ้น

กรรณิการ์ กล่าวอีกว่า ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรการซีแอลยังขัดแย้งกับข้อเสนอแนะของคณะผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงขององค์การสหประชาชาติในเรื่องการเข้าถึงยา ซึ่งเรียกร้องให้ไม่มีข้อผูกมัดด้านทรัพย์สินทางปัญญาแบบ TRIPS+ อยู่ในการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี อีกทั้งเป็นอุปสรรคทำให้ไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้อีกด้วย เนื่องจากมาตราดังกล่าวทำให้เกิดการผูกขาด ทำให้ยามีราคาแพงและเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนเข้าไม่ถึงการรักษา

“ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญากำลังเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาเพื่อยื่นต่อ สนช. จึงขัดต่อมติของคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 39/2558 รวมถึงไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศในเรื่องการเข้าถึงยา เราจึงเสนอคณะกรรมาธิการสาธารณสุขพิจารณาและให้คำแนะนำต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาหยุดแก้ไขมาตราดังกล่าวที่จะมีผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข และปฏิบัติตามข้อแนะนำของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อย่างเคร่งครัด” กรรณิการ์กล่าว

อนึ่ง ประเทศไทยเคยประกาศใช้ซีแอลในปี 2549 และ 2550 เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติการขาดแคลนยาจำเป็น เพราะการผูกขาดผ่านการจดสิทธิบัตรทำให้ยามีราคาแพง ซึ่งมาตรการซีแอลช่วยให้ประหยัดงบประมาณค่ายาต้านไวรัส HIV ได้มากกว่า 4,500 ล้านบาทในช่วงปี 2551-2554 อีกทั้งสามารถให้การรักษาและช่วยชีวิตผู้ติดเชื้อไวรัส HIV เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในยาเอฟฟาไวเรนส์ จากจำนวนไม่ถึง 5,000 คนก่อนประกาศใช้ซีแอล เพิ่มเป็นเกือบ 30,000 คนในต้นปี 2553 และในยาโลพินาเวียร์+ลิโทนาเวียร์ เพิ่มขึ้นจาก 0 เป็น 7,000 คนในช่วงเดียวกัน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ ยาทั้งสองชนิดเป็นยาที่ใช้เป็นสูตรพื้นฐานและสำรองให้กับผู้ติดเชื้อนับแสนคนในแต่ละปี

เช่นเดียวกับยารักษาโรคหัวใจและโรคมะเร็ง ประเทศไทยสามารถประหยัดงบประมาณด้านยาได้มากกว่า 1,500 ล้านบาทในช่วงปี 2552-2554 ช่วยให้ผู้ป่วยโรคร้ายแรงนับแสนคนเข้าถึงการรักษาและไม่เสียชีวิต โดยงบประมาณที่ประหยัดได้นี้ ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้นำไปจัดซื้อยาและขยายสิทธิประโยชน์การรักษาสำหรับผู้ป่วยโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย

ทันตแพทยสภา ยกระดับปัญหา“จัดฟันแฟชั่น”

“ทันตแพทยสภา” เป็นอีกหนึ่งภาคีเครือข่ายที่ร่วมกัน ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคมานานนับทศวรรษ นับตั้งแต่ ทพ.ดร. ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล ร่วมกับ คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคทางทันตกรรม ทันตแพทยสภา จัดทำโครงการสำรวจสภาพปัญหาและความรุนแรงของการจัดฟันแฟชั่น ปี 2552 จนกระทั่งได้หนังสือ “จากแฟชั่นจัดฟัน “สู่จัดฟันแฟชั่น” ได้ไม่คุ้มเสีย” ออกมาหนึ่งเล่มทำให้เรารับรู้ถึงสภาพปัญหา ผลกระทบต่อสุขภาพและทางออกของปัญหาอันเนื่องจากการจัดฟันแฟชั่น อย่างไรก็ดี จากงานวิจัยชิ้นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปการจัดฟันแฟชั่นมีรูปแบบเปลี่ยนไปมาก

ทพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล

“เปลี่ยนจากร้านค้าห้องแถวมาเป็นออนไลน์ อยู่ในโซเชียลมีเดีย เปลี่ยนจากการที่เด็กต้องเดินไปทำที่ร้านเอง เป็นการสั่งอุปกรณ์มาทำเองที่บ้าน รูปแบบมันเปลี่ยนมาก ยิ่งทำให้ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคยากขึ้น เพราะต้องอาศัยกฎหมายจากหลายองค์กรในการแก้ปัญหา” ทพ. ดร.ธงชัย กล่าว

 

นอกจากนี้ ทพ. ดร. ธงชัย ยังเสริมด้วยว่าทางทันตแพทยสภาได้หารือกับศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) ในเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานานและมีผลกระทบมาก เพราะมีคนที่ได้รับโลหะหนัก ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จึงอยากเสนอประเด็นดังกล่าวเป็นวาระเข้าสู่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี 2561

 

“เราต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน จากทั้งหน่วยงานรัฐคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ตำรวจที่ดูแลงานคุ้มครองผู้บริโภค และตำรวจไซเบอร์ นอกจากนี้เราต้องตามไปแก้ที่ต้นนำ กรณีการนำวัสดุจัดฟันเหล่านี้เข้ามาในประเทศไทยแล้วไปขายต่อ ต้องร่วมมือกัหน่วยงานต่างๆ ไปตามจับ รวมถึงทำอย่างไรให้วัยรุ่นไทย รู้เท่าทันเรื่องนี้ด้วย งานก็จะขยายออกไปหลายหน้างาน”

 

การนำประเด็นนี้เข้าสู่สมัชชาเป็นหนึ่งความหวังในการหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาพูดคุยในเวทีระดับชาติเพื่อร่วมกันรับรู้ปัญหาและก่อเกิดความร่วมมือในการแก้ปัญหาจากภาคส่วนต่างๆ ต่อไป

 

ที่มา: สานพลัง ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2561

ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  1. สมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 11 ลุย! ‘จัดฟัน-ฟันปลอมเถื่อน’ สุดอันตราย…รื้อระบบทันตกรรมเพิ่มการเข้าถึงบริการที่ปลอดภัย  (17 ก.ย.2561)

  2. คู่มือแนวทางการดำเนินงาน การจัดการปัญหาฟันแฟชั่นและ ฟันเทียมที่ผิดกฎหมาย
  3. จากแฟชั่นจัดฟันสู่ “จัดฟันแฟชั่น” ได้ไม่คุ้มเสีย
  4. รวบสาวเปิดคลินิกเถื่อน รับจัดฟันแฟชั่น โฆษณาผ่านเฟซบุ๊ค ลูกค้าติดตรึม
  5. Consumer Channel – จัดฟันแฟชั่น ‘อันตราย’  (20 / 01 /2017)
  6. Consumer Channel – คิดดีๆ ก่อนทำ ฟัน+ปลอม+เถื่อน (23/01/2014)

ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร เดิมพันชีวิตผู้ป่วยด้วยผลประโยชน์บรรษัทยา

เรื่อง: ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.)
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นับตั้งแต่มี ‘พระราชบัญญัติสิทธิบัตร’ ฉบับแรกเมื่อปี พ.ศ. 2522 ประเทศไทยได้แก้ไขกฎหมายฉบับนี้มาแล้วสองครั้ง แต่ละครั้งสร้างผลสะเทือนต่ออุตสาหกรรมยาภายในประเทศและการเข้าถึงยาของประชาชนอย่างมหาศาล แต่ละครั้งเกิดขึ้นเพราะแรงกดดันของประเทศมหาอำนาจ ที่ต้องการให้เกิดการผูกขาดผ่านระบบสิทธิบัตรเข้มงวดและยาวนานยิ่งขึ้น เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ทางการค้าของบรรษัทต่างชาติ ซึ่งรวมถึงบรรษัทยาข้ามชาติ

ไทยแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2535 สองปีก่อนหน้านั้น สหรัฐได้ใช้มาตรการทางการค้าที่มีชื่อว่า ‘รายงานพิเศษ 301’ (Special 301 Report) เพื่อกดดันประเทศไทยให้แก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ทำให้ไทยถูกจัดอยู่ในบัญชีดำ ‘ประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา’ ของภาคธุรกิจอเมริกัน ประเภทประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List) ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2534 บรรษัทยาในสหรัฐเรียกร้องให้รัฐบาลของตนเองตัดสิทธิพิเศษทางศุลกากร (Generalized System of Preferences: GSP) ที่ให้กับประเทศไทย

ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2535 ไทยยอมแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ทำให้อายุสิทธิบัตรขยายจาก 15 ปี เป็น 20 ปี และผู้ยื่นขอสิทธิบัตรสามารถจดสิทธิบัตรได้ครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น ทั้งสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ (product patent) และสิทธิบัตรกระบวนการ (process patent) ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายภายในประเทศล่วงหน้าให้สอดคล้องกับข้อตกลงการค้าว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา (ข้อตกลงทริปส์)[1] ที่มีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ในปี พ.ศ. 2538

แม้ข้อตกลงทริปส์จะมีผลบังคับให้ประเทศสมาชิกต้องออกหรือแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา แต่ก็มีข้อยืดหยุ่นให้กับประเทศกำลังพัฒนาที่เป็นสมาชิก โดยยังไม่ต้องออกหรือแก้ไขกฎหมายจนกว่าจะถึงปี พ.ศ. 2544

แต่ประเทศไทยกลับถูกบีบบังคับให้แก้ไขกฎหมายก่อนข้อตกลทริปส์จะมีผลบังคับใช้เกือบ 3 ปี และละทิ้งสิทธิจากข้อยืดหยุ่นที่ไม่ต้องแก้ไขกฎหมายในช่วง 6 ปี หลังข้อตกลงทริปส์มีผลบังคับใช้

ปี พ.ศ. 2541 ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในบัญชีดำที่รวมรายชื่อประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐอีกครั้ง โดยที่สหรัฐเรียกร้องให้ไทยแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่เคยแก้ไขไปแล้วในปี พ.ศ. 2535 ด้วยการขอให้ยกเลิกคณะกรรมการสิทธิบัตร ซึ่งมีอำนาจกำกับควบคุมราคายา ท้ายที่สุดไทยยอมแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2542 โดยยอมทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐนั้น

ผลจากการแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ทั้งสองครั้ง คือ ในช่วงปี พ.ศ. 2535-2545 มีผู้ยื่นขอรับสิทธิบัตรยาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่เกือบทั้งหมดหรือร้อยละ 98.7 เป็นชาวต่างชาติ และเป็นคนไทยเพียงร้อยละ 1.3 ในขณะที่มูลค่าการผลิตยาแผนปัจจุบันภายในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 จากร้อยละ 70 เหลือเพียงร้อยละ 32 ในปี พ.ศ. 2558 สวนทางกับมูลค่าการนำเข้ายาแผนปัจจุบันในช่วงเวลาเดียวกัน[2] ปัจจุบันมูลค่าการบริโภคยาที่ผลิตภายในประเทศอยู่ที่ร้อยละ 33 และยานำเข้าอยู่ที่ร้อยละ 67

นั่นหมายความว่า การแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ไม่ได้ช่วยให้บริษัทยาที่คนไทยวิจัยและพัฒนายาใหม่สามารถจดสิทธิบัตรได้เพิ่มขึ้น แต่กลับเป็นบริษัทยาต่างประเทศที่ได้ประโยชน์จากการผูกขาดผ่านระบบสิทธิบัตร ยาชื่อสามัญในราคาถูกไม่สามารถผลิตออกสู่ตลาดได้ ประเทศไทยต้องพึ่งพายานำเข้าที่มีสิทธิบัตรและราคาแพงมากขึ้นเรื่อยๆ

แก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ประโยชน์เพื่อใคร?

ในประเทศไทยมีคำขอรับสิทธิบัตรยาและสิทธิบัตรยาที่ด้อยคุณภาพ ไม่สมควรได้รับการคุ้มครอง หรือที่เรียกว่า ‘สิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุด’ (Evergreening Patent) เป็นจำนวนมากถึงร้อยละ 84 ของคำขอรับสิทธิบัตรยา และร้อยละ 74 ของสิทธิบัตรยาที่ให้ไปในช่วงปี พ.ศ. 2534-2553 จัดว่าเป็นสิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุด โดยมีการประเมินว่าประเทศไทยต้องสูญเสียงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านยาไปกับสิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุดอายุอย่างน้อยเกือบ 8,500 ล้านบาท[3]

ในช่วงที่ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่ต้องจับตาเป็นพิเศษของสหรัฐอีกครั้งในปี พ.ศ. 2550-2560 (หลังจากที่ไทยประกาศใช้มาตรการใช้สิทธิโดยรัฐในปี พ.ศ. 2549) กรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทยมีความพยายามที่จะแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร โดยให้ข้อมูลแก่สาธารณะว่าแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามปฏิญญาโดฮา วรรค 6 ที่ไทยเพิ่งลงนามไป ซึ่งจะมีผลให้ไทยสามารถส่งออกยาให้กับประเทศอื่นที่ประกาศใช้มาตรการใช้สิทธิโดยรัฐ (Government Use) หรือมาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตร (Compulsory Licensing) ได้ แต่ในการประชุมรับฟังความคิดเห็นเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2559 ที่กระทรวงพาณิชย์ กลับพบว่ามีการเสนอแก้ไขมากไปกว่าเรื่องการส่งออกยาภายใต้มาตรการใช้สิทธิฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกเลิกการคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรก่อนได้รับสิทธิบัตร และการอนุญาตให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาว่าจ้างหน่วยงานหรือองค์กรอื่นเพื่อการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตร เป็นเหตุให้ภาคประชาสังคมที่เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นได้คัดค้านข้อเสนอดังกล่าว

ต่อมา กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับแก้ไข) ซึ่งจะเป็นฉบับแก้ไขครั้งที่สาม และเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวทางออนไลน์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ถึง 1 มิถุนายน 2560 (14 วัน) จากนั้นกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ปรับแก้ร่าง พ.ร.บ. และเปิดรับฟังความคิดเห็นทางออนไลน์ครั้งที่สองในช่วงวันที่ 31 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2561 (29 วัน)

จากร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับแก้ไข) ที่เสนอโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา พบว่ามีเรื่องการส่งออกยาภายใต้มาตรการใช้สิทธิโดยรัฐที่ประกาศโดยรัฐบาลประเทศอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรส่งเสริม แต่กรมฯ ได้เสนอแก้ไขในบางมาตราที่ส่งผลให้ประเทศไทยไม่สามารถดำเนินมาตรการใช้สิทธิโดยรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำมาบังคับใช้ได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ประเทศสหรัฐหยิบยกขึ้นเป็นข้ออ้างในการจัดให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ หลังจากที่ไทยประกาศใช้มาตรการใช้สิทธิโดยรัฐเมื่อปี พ.ศ. 2549 และ 2550[4] ซึ่งเป็นมาตรการส่งเสริมการเข้าถึงยาที่จำเป็นตามกฎหมายภายในประเทศและเป็นไปตามข้อตกลงทริปส์ แต่เป็นหอกข้างแคร่สำหรับบรรษัทยาข้ามชาติมาโดยตลอด

ยิ่งไปกว่านั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญากลับไม่ใช้โอกาสนี้แก้ไขกฎหมายเพื่อขจัดหรือลดปัญหาสิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งเป็นวิกฤติที่ทำให้เกิดการผูกขาดอย่างไม่เป็นธรรมและโดยไม่จำเป็น รวมถึงขัดขวางยาชื่อสามัญที่จะเข้ามาแข่งขันในตลาดซึ่งจะทำให้ราคายาถูกลง โดยในร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ยังมีความคลุมเครือในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์การให้สิทธิบัตรที่ไม่ชัดเจน ระยะเวลาการคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรที่สั้นเกินไป ความล่าช้าในการตัดสินคำคัดค้าน ความโปร่งใสในการพิจารณาสิทธิบัตร ฯลฯ

นอกจากนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้นำข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่ยื่นเป็นหนังสือในการรับฟังความคิดเห็นเมื่อเดือนมกราคม 2559 และผ่านการรับฟังความคิดเห็นในระบบออนไลน์เมื่อกลางปี 2559 มาพิจารณาปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฉบับแก้ไขครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า คณะกรรมการยกร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฉบับนี้ ประกอบไปด้วยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทว่าไม่มีตัวแทนของภาคประชาสังคมและนักวิชาการ การเสนอแก้ไข พ.ร.บ. ผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งมีการแก้ไขเนื้อหาในหลายมาตราและมีความซับซ้อน แต่เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์ในระยะเวลาสั้นๆ และร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร สำหรับการรับฟังความคิดเห็นทางออนไลน์ครั้งที่สองมีเนื้อหาเข้มงวดกว่าร่างฯ ที่เปิดรับฟังความคิดเห็นทางออนไลน์ครั้งที่หนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นที่ให้ผู้ทรงสิทธิฟ้องระงับการประกาศบังคับใช้สิทธิ (CL) ได้

น่าสนใจว่า เนื้อหากฎหมายที่เกินไปกว่าพันธะสัญญาระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีอยู่นั้น เกิดขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีของไทยที่มาจากการรัฐประหารไปเยือนประธานาธิบดีของสหรัฐ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2560[5] และต่อมาประเทศไทยได้ถูกถอดออกจากประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List) มาเป็นเพียงประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561[6] จนทำให้สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า นี่คือหนึ่งในประเด็นแลกเปลี่ยนหรือไม่

การแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ครั้งนี้ที่กำลังดำเนินการอยู่ จะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาสองครั้งหรือไม่

ราคา (ยา) ที่ต้องจ่าย เพราะการแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ที่ผ่านมาสองครั้ง สูงมากเกินไปแล้ว

กรมทรัพย์สินทางปัญญาและรัฐบาลไทยจะเอาชีวิตของผู้ป่วยและการเข้าถึงยาจำเป็นของประชาชนไปแลกอีกหรือไม่ เป็นเรื่องที่ ‘ต้องจับตามองเป็นพิเศษ’ เช่นกัน


[1] Trade-related Aspects of Intellectual Property Rights (TRIPs) Agreement

[2] http://ndi.fda.moph.go.th/uploads/policy_file/20170801151550.pdf

[3] http://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/3750?locale-attribute=th

[4] https://ustr.gov/sites/default/files/2007%20Special%20301%20Report.pdf

[5] https://www.bbc.com/thai/41479210

[6] https://ustr.gov/sites/default/files/files/Press/Reports/2018%20Special%20301.pdf

เปิดปมร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร เดินหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังสิบก้าว

ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับแก้ไข) ที่เสนอโดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา และเปิดรับฟังความคิดเห็นทางออนไลน์ ครั้งที่ 2 แม้จะมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการพิจารณาให้สิทธิบัตรที่แตกต่างไปจาก พ.ร.บ.ฉบับปัจจุบันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจแก้ปัญหา ‘สิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุด’ (Evergreening Patent) ได้จริง ทำให้ยังคงเกิดการผูกขาดโดยไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงยา

เมื่อเปรียบเทียบกระบวนการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฉบับปัจจุบันและฉบับแก้ไข มองผิวเผินอาจดูเหมือนว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีการระบุระยะเวลาในบางขั้นตอนที่ชัดเจนขึ้น และย่นระยะเวลาในการตรวจสอบขั้นการประดิษฐ์ลงได้ระดับหนึ่ง แต่ในบางขั้นตอน เช่น การประกาศโฆษณา ครั้งที่ 2 และการพิจารณาคำคัดค้าน ยังไม่มีการระบุระยะเวลาที่ชัดเจน ซึ่งโดยรวมแล้วไม่อาจช่วยให้การพิจารณาคำขอสิทธิบัตรทั้งกระบวนการใช้ระยะเวลาที่สั้นลงได้ และช่องทางการยื่นคัดค้านยังไม่สามารถใช้ป้องกันสิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กล่าวโดยสรุป ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับแก้ไข) ยังไม่มีหลักเกณฑ์การพิจารณาให้หรือไม่ให้สิทธิบัตรที่ชัดเจน และไม่สามารถคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของสาธารณชนได้อย่างแท้จริง ปัญหาสิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุดจึงยังไม่ได้รับการแก้ไข

 

ร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร กับราคา (ยา) ที่ต้องจ่าย

ความมั่นคงของระบบยาในประเทศไทยถูกสั่นคลอนอีกครั้ง เมื่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร (ฉบับแก้ไข) เพื่อตอบโจทย์รัฐบาล คสช. ที่ต้องการเร่งแก้ปัญหาความล่าช้าในการออกสิทธิบัตรที่คั่งค้างอยู่ในระบบกว่า 12,000 รายการ

‘สิทธิบัตร’ ไม่เพียงหมายถึงแค่ผลิตภัณฑ์หรือสิ่งประดิษฐ์คิดค้นต่างๆ นานา แต่ยังเกี่ยวข้องกับ ‘อุตสาหกรรมยา’ ที่ทุกๆ ชีวิตมีความจำเป็นต้องพึ่งพายารักษาโรคในยามป่วยไข้และในราคาที่เอื้อมถึงได้

หากร่าง พ.ร.บ.สิทธิบัตร ฉบับนี้ถูกปล่อยผ่านไปโดยไม่มีการทัดทาน นั่นหมายความว่า ชะตากรรมของผู้ป่วยในประเทศไทยย่อมจะถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย ระหว่างความเป็นและความตาย

Infographic ชุดนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในเบื้องต้นว่า การแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร จะนำไปสู่การผูกขาดและการกำหนดกลไกราคายาของบรรษัทข้ามชาติอย่างไร และท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบโยงใยมาถึงประชาชนโดยถ้วนหน้าอย่างไร

‘สิทธิบัตร’ คือ ทรัพย์สินทางปัญญาประเภททรัพย์สินทางอุตสาหกรรม (Industrial Property) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์คิดค้นและการออกแบบผลิตภัณฑ์

เงื่อนไขการได้รับสิทธิบัตร

  1. ต้องมีความใหม่
  2. มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น
  3. ประยุกต์ใช้ในทางอุตสาหกรรมได้

*สิ่งประดิษฐ์ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตรนี้ รวมถึงยาด้วย

‘สิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุด’ (Evergreening Patent)

คือ สิทธิบัตรที่ให้แก่สิ่งประดิษฐ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเพียงเล็กน้อยจากสิ่งประดิษฐ์เดิม แล้วมาขอรับสิทธิบัตร ทั้งที่สิ่งประดิษฐ์ที่อ้างว่า ‘ใหม่’ นั้น ให้ผลลัพธ์ไม่ต่างจากของเดิม ไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นที่ประจักษ์โดยง่ายแก่บุคคลที่มีความชำนาญในระดับสามัญสำหรับงานประเภทนั้น และมักยื่นขอรับสิทธิบัตรเพิ่มหลายๆ ฉบับไว้ให้แก่สิ่งประดิษฐ์เดิม โดยมุ่งหมายที่จะขยายอายุสิทธิบัตรตัวเดิมออกไปเรื่อยๆ

ในกรณีของยา ยาชนิดเดียวอาจมีสิทธิบัตรได้หลายฉบับและมีอายุสิทธิบัตรรวมกันมากกว่า 20 ปี ซึ่งตามกฎหมาย สิทธิบัตรแต่ละฉบับจะมีอายุการคุ้มครอง 20 ปี นับตั้งแต่วันที่ยื่นขอสิทธิบัตร

ผลกระทบจาก ‘สิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุด’ ต่อการเข้าถึงยา

สาธารณชนไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิทธิบัตรไม่มีวันสิ้นสุดอายุนี้ ตรงกันข้าม สิทธิบัตรประเภทนี้จะขัดขวางไม่ให้มียาชื่อสามัญแข่งขันในตลาด โดยจะจดสิทธิบัตรในรูปแบบต่างๆ ในยาตัวเดียว เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้อื่นทำการวิจัยและพัฒนาหรือผลิตยาชนิดเดียวกันออกมาแข่งขันได้

เมื่อไม่มีผู้แข่งขัน การกำหนดราคายาตามอำเภอใจโดยบริษัทยารายเดียวย่อมทำได้ง่าย ดังนั้น ยาที่มีสิทธิบัตรเช่นนี้จึงมีราคาแพงเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 20 ปี

ในสหรัฐฯ พบว่า บริษัทยาขอจดสิทธิบัตรให้แก่ยารักษามะเร็งชนิดหนึ่ง (ชื่อการค้า ‘เรฟลิมิด’) ไว้มากถึง 105 ฉบับ และจะมีอายุสิทธิบัตรผูกขาดได้นานถึง 40 ปี  ยารักษามะเร็งนี้มีราคาสูงถึง 4,000,000 บาทต่อปี

ในประเทศไทย บริษัทยาข้ามชาติรายเดียวขอจดสิทธิบัตรยารักษาไวรัสตับอักเสบซี (ชื่อสามัญทางยา ‘โซฟอสบูเวียร์’) ไว้มากถึง 14 ฉบับ และจะมีอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรรวมกันนานถึง 30 ปี ถ้าได้รับสิทธิบัตร

สุดท้ายแล้ว ประชาชนจะเข้าถึงยาเหล่านี้ไม่ได้ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะแบกรับค่ายาที่แพงไม่ไหว และไม่สามารถจ่ายยาให้ได้ ประชาชนจะต้องควักเงินซื้อยาเอง หรืออาจไม่ได้รับการรักษา

หมายเหตุ: ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิบัตรยาที่ไม่มีวันสิ้นสุด ศึกษาได้ที่ link นี้https://www.youtube.com/watch?v=FkxaxlX6zqM

มูลค่า ‘ยานำเข้า’ เกือบทั้งหมดเกิดจากยาที่มีสิทธิบัตรหรือได้ยื่นคำขอสิทธิบัตรแล้วโดยบริษัทยาข้ามชาติ โดย 95 เปอร์เซ็นต์ เป็นของบริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกันและยูโรเปียน

นอกจากนี้ยังพบว่า 74 เปอร์เซ็นต์ของยาที่มีสิทธิบัตร เป็นสิทธิบัตรยาที่ไม่มีวันสิ้นสุด มีผลทำให้เกิดการผูกขาดในไทยยาวนานกว่า 20 ปี ในช่วงปี 2539-2571 ไทยจะต้องสูญเสียงบประมาณไปกับยาที่มีสิทธิบัตรที่ไม่มีวันสิ้นสุดเหล่านี้ไม่น้อยกว่า 8,500 ล้านบาท โดยคำนวณมูลค่าเฉพาะยาจำเป็น 59 รายการเท่านั้น

ผ้าอ้อมใช้ซ้ำ วิธีช่วยโลกสไตล์พ่อแม่ Millennials

ถ้าแนวคิดของผ้าอ้อมใช้ซ้ำจะทำให้นึกถึงภาพของผ้าขนหนูสี่เหลี่ยมที่ห่อไว้หลวมๆ กลัดด้วยเข็มกลัดตัวใหญ่ลายสารพัดสัตว์ – คิดใหม่ เพราะผ้าอ้อมใช้ซ้ำเวอร์ชั่นโมเดิร์นเพิ่งคลอดมาในรูปแบบสีสันสดใสและทำจากวัสดุหลากหลายแบบ ทั้งผ้าฝ้าย ผ้าใยไผ่ ผ้าไมโครไฟเบอร์ และผ้าใยกัญชง

นอกจากความกังวลเรื่องพลาสติกที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ผู้บริโภค ความต้องการประหยัดเงินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้อุตสาหกรรมผ้าอ้อมแบบใช้ซ้ำค่อยๆ เติบโต

“เริ่มต้นจากแก้วกาแฟมาถึงทิชชู่เปียก จึงไม่น่าแปลกใจเมื่อประเด็นจะกระโดดมาเป็นเรื่องผ้าอ้อม เพราะผู้คนเริ่มรับรู้ถึงผลกระทบของผ้าอ้อมใช้แล้วทิ้ง ในฐานะที่มันเป็นหนึ่งในพลาสติกที่ใช้ได้แค่ครั้งเดียว” เวนดี ริชาร์ดส์ (Wendy Richards) ผู้อำนวยการกลุ่ม The Nappy Lady ที่จัดสรรผ้าอ้อมใช้ซ้ำแบบออนไลน์ในอังกฤษ กล่าว

เธอยังเล่าว่า ตัวเลขของผู้ใช้บริการเติบโตขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจของเธอมีพนักงานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านับตั้งแต่เริ่มต้นในปี 2018 หรือก็เพิ่งไม่นานมานี้เอง

ธุรกิจผ้าอ้อมใช้ซ้ำ

พลาสติกเป็นส่วนประกอบราว 25 เปอร์เซ็นต์ของผ้าอ้อมใช้แล้วทิ้ง และผ้าอ้อมที่ไปจบลงในหลุมฝังกลบขยะมีถึงปีละ 3,000 ล้านชิ้น ตอนนี้หน่วยงานบางแห่งในอังกฤษได้มอบบัตรกำนัลให้กับคู่ที่เพิ่งเป็นพ่อแม่หมาดๆ สูงสุด 55 ปอนด์เพื่อช่วยจ่ายค่าผ้าอ้อมใช้ซ้ำหนึ่งเซ็ต

อลิซ วอล์คเกอร์ (Alice Walker) จากองค์กร Real Nappies for London ที่รณรงค์ลดการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป กล่าวว่า “เราไม่เคยคุยกันถึงเรื่องขยะพลาสติกมาก่อน พ่อแม่ในปัจจุบันต่างรับรู้ถึงตัวเลือกของพวกเขามากขึ้น และการพูดปากต่อปากก็ช่วยกระจายข่าวสารได้เป็นอย่างดี”

Bambino Mio แบรนด์ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมใช้ซ้ำที่จำหน่ายทั้งทางออนไลน์และตามซูเปอร์มาร์เก็ต ระบุว่า สินค้ามียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา และตอนนี้มีพ่อแม่มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์กำลังทดลองใช้ชีวิตแบบปลอดพลาสติก

“ผลกระทบของพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงกันทั่วโลก” วิคตอเรีย วิลเลียมส์ (Victoria Williams) โฆษกของแบรนด์กล่าว

ไม่มีผลิตภัณฑ์ใช้ครั้งเดียวทิ้งใดที่จะแย่ไปกว่าผ้าอ้อมใช้ครั้งเดียวทิ้ง – ขวดพลาสติกและถุงพลาสติกสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ แต่ผ้าอ้อมใช้ได้แค่ครั้งเดียวจริงๆ

ผ้าอ้อมกับบิลรายจ่าย

อีกคำอธิบายหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในประเด็นผ้าอ้อมคือมิติทางเศรษฐกิจ ข้อมูลจากโครงการผ้าอ้อมของสภาเมืองนอตติงแฮมเชียร์ พบว่า การใช้ผ้าอ้อมจริงๆ และซักหลังใช้จะช่วยประหยัดเงินได้ปีละ 200 ปอนด์ เมื่อเปรียบเทียบกับแบบใช้แล้วทิ้ง

“นี่อาจช่วยให้พ่อแม่ชาวอังกฤษประหยัดเงินได้มากถึงปีละ 360 ปอนด์ ขณะเดียวกันก็ทำให้เราก้าวเข้าสู่สังคมปลอดขยะได้จริงๆ” เอมิเลีย โวแม็ค (Amelia Womack) รองหัวหน้าพรรคกรีน กล่าว

จากมุมมองของกระทรวงการคลัง รายการบัตรกำนัลทั่วประเทศเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการหารือเรื่องขยะพลาสติก แต่โวแม็คกล่าวว่า รัฐบาลและสภาท้องถิ่นต้องทำอะไรให้มากกว่านี้

สื่อสังคมออนไลน์ในแพล็ตฟอร์มต่างๆ ก็ช่วยกันการกระจายข่าวนี้ด้วย เช่น คาเซีย เรสเซล (Kasia Reszel) แม่ของ จูเลียน ลูกชายวัย 2 เดือน เธอเล่าว่า “คุณสามารถซื้อผ้าอ้อมมือสองได้ในเฟซบุ๊ค ซึ่งถูกกว่า และมีเครือข่ายขนาดมหึมาที่จะโชว์ให้คุณเห็นว่าต้องทำอย่างไร เราซักวันละครั้ง และมันง่ายมาก”

ความเห็นจากคนอื่นๆ ก็เป็นไปในทางบวกเช่นกัน “ฉันเพิ่งเจอผ้าขนหนูสีขาวที่พี่เลี้ยงเคยพูดถึง และผ้าพวกนี้กลายเป็นของมีสไตล์ไปแล้ว” อันเดรีย สนุค (Andrea Snook) แม่ของลูกชายวัย 1 ขวบบอก “แต่ดีไซน์ของผ้าอ้อมใช้ซ้ำในตอนนี้ทั้งผิวสัมผัสนุ่มกว่าและทนทานมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ราคาของผ้าอ้อมใช้ซ้ำอาจเป็นอุปสรรคสำหรับพ่อแม่จำนวนหนึ่ง ด้วยอุปกรณ์เริ่มต้นสำหรับผ้าอ้อมใช้ซ้ำเต็มรูปแบบมีราคาอยู่ระหว่าง 100-350 ปอนด์ พ่อแม่รายได้น้อยส่วนหนึ่งจึงระมัดระวังในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต

จอร์จีนา เดเวิร์สต์ (Georgina Dewhirst) และ ลุค สามี พ่อแม่ของลูกวัย 5 สัปดาห์ กำลังพิจารณาว่าจะใช้ผ้าอ้อมทำจากผ้า เพราะถังขยะของพวกเขาเต็มไปด้วยผ้าอ้อมใช้แล้วทิ้ง และถังขยะจะว่างเปล่าเพียงเดือนละสองครั้ง

นอกจากค่าใช้จ่ายในเบื้องต้น พวกเขากังวลเกี่ยวกับค่าน้ำค่าไฟจากการทำความสะอาดผ้าอ้อมเหล่านี้ด้วย “เราจะพยายาม แต่ช่วงเวลานี้ รายจ่ายกำลังทำให้เราท้อ”

ชาร์ล็อตต์ แฟร์โคลธ (Charlotte Faircloth) อาจารย์ด้านสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยกรุงลอนดอน บอกว่า มักจะเป็นพ่อแม่ชนชั้นกลางที่คอยกังวลเรื่องสไตล์การเลี้ยงดูแบบธรรมชาติ “ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังกังวลกับบิลค่าใช้จ่ายมากกว่า”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com

ทำไมหยุดยาผิดกฎหมายไม่อยู่

จับได้แต่ไล่ไม่ทัน จับอย่างไรก็ดูเหมือนการขายยาผิดกฎหมาย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปลอม หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายก็ดูจะไม่ลดลง เรายังเห็นการโฆษณาขายอย่างโจ่งแจ้งบนสื่อออนไลน์ คนขายร่ำรวย คนใช้กลับเอาชีวิตและสุขภาพไปเสี่ยง

ต้องแก้ตรงไหน ทำไมเราจึงหยุดยาผิดกฎหมายไม่อยู่

คำถามเหล่านี้ เภสัชกรอดุลย์ ลาภะแนน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ได้ให้คำตอบไว้ในงานศึกษา เรื่อง ‘การวิเคราะห์การใช้ประมวลกฎหมายอาญาในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ’ ภายใต้หลักสูตรการฝึกอบรมเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ ของวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) สภาเภสัชกรรม และแผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) เพื่อจะวิเคราะห์ให้เห็นว่า การบูรณาการกฎหมาย อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะทำให้การลงโทษตามกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อุดช่องโหว่ พ.ร.บ.ยา ด้วย ‘กฎหมายอาญา’ ปราบสินค้าลวงโลก

แม้หน่วยงานภาครัฐและบุคลากรด้านสาธารณสุขจะระดมกำลังปราบปรามอย่างหนัก แต่ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยก็ยังคงแพร่ระบาดไม่หยุด ทั้งผลิตภัณฑ์ประเภทยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เสริมความงาม ลดน้ำหนัก ยิ่งช่องทางสื่อสารในโลกออนไลน์เปิดกว้างเท่าไร สินค้าเหล่านี้ก็ยิ่งเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายดายขึ้น

หนักกว่านั้น เมื่อเห็นช่องทางทำเงิน ผู้บริโภคบางรายยังผันตัวไปเป็นผู้ผลิต ผู้จำหน่าย สร้างสินค้ายี่ห้อใหม่เป็นของตัวเอง บ้างรับช่วงต่อเป็นทอดๆ จนกลายเป็นเครือข่ายธุรกิจลูกโซ่ เน้นยอดขายให้ได้ปริมาณมากๆ และการโหมโฆษณาทุกวิถีทาง โดยไม่คำนึงว่าข้อความโฆษณานั้นจะเข้าข่ายหลอกลวงหรือไม่ เพราะเห็นว่าใครๆ ก็ทำกัน

นั่นหมายความว่า กฎหมายใช้ไม่ได้ผลเช่นนั้นหรือ หรือการบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มข้น หรือบทลงโทษยังไม่แรงพอที่จะกำราบได้ ต้องใช้กฎหมายอะไรและบทบัญญัติข้อใดจึงจะเอาอยู่?

คำถามเหล่านี้ เภสัชกรอดุลย์ ลาภะแนน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ได้ให้คำตอบไว้ในงานศึกษา เรื่อง ‘การวิเคราะห์การใช้ประมวลกฎหมายอาญาในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ’ ภายใต้หลักสูตรการฝึกอบรมเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ ของวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) สภาเภสัชกรรม และแผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) เพื่อจะวิเคราะห์ให้เห็นว่า การใช้ ‘ประมวลกฎหมายอาญา’ อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะทำให้การลงโทษตามกฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พ.ร.บ.ยา
เภสัชกรอดุลย์ ลาภะแนน

ที่ผ่านมาการใช้กฎหมายเฉพาะอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะตอบโต้สถานการณ์ปัจจุบันที่มีผลกระทบรุนแรงต่อสังคมในวงกว้าง บางสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัย ทว่ากฎหมายที่มีอยู่กลับไม่สามารถทุเลาปัญหาให้ลดน้อยลงได้ ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ยา พ.ร.บ.อาหาร พ.ร.บ.เครื่องสำอาง โดยเฉพาะบทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิดซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น คือ ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท จำคุก 1-2 ปี อีกทั้งรอลงอาญาหากจำเลยรับสารภาพ

“หากมีการบังคับใช้กฎหมายในรูปแบบบูรณาการหลายกฎหมายอย่างเข้มข้น จะเป็นการเสริมให้มาตรการการลงโทษทางอาญาเกิดประสิทธิภาพมากขึ้นได้” ภก.อดุลย์ กล่าว

เห็นได้ชัดว่ากฎหมายไม่สามารถที่จะบังคับยับยั้งผู้กระทำผิดได้จริง หรืออาจกล่าวได้ว่าบทลงโทษเบาเกินไปจนไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้และไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ด้วยเหตุนี้จึงอาจจำเป็นต้องใช้ ‘ยาแรง’ เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการออกนอกลู่นอกทาง

ภก.อดุลย์เสนอว่า แนวทางที่จะทำให้เกิดการกำกับควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรต้องหามาตรการเสริมเพื่อให้ผลการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นขึ้น ซึ่งมาตรการเสริมมีทั้งทางเพ่ง ปกครอง และอาญา โดยมาตรการทางอาญาน่าจะเป็นมาตรการอันดับต้นๆ ที่ควรนำมาพิจารณา

ภก.อดุลย์ อธิบายว่า ประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ แบ่งเป็น 2 หมวดใหญ่คือ

  1. ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกรณีที่มีผู้เสียชีวิตจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ถือเป็นความผิดที่ส่งผลต่อชีวิตและร่างกาย
  2. ความผิดที่ก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน เช่น การปลอมปนอาหาร เครื่องสำอาง เครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อให้บุคคลเสพหรือใช้

นอกจากนี้ กลุ่มความผิดที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน จะเห็นได้จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพิกถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์ในเครือบริษัท magic skin ซึ่งพบว่าความผิดที่เกิดขึ้นสามารถนำประมวลกฎหมายอาญามาบังคับใช้ได้ ดังนั้น ในขั้นตอนการพิจารณาหากพบว่าพฤติการณ์และข้อเท็จจริงมีความคาบเกี่ยวกับความผิดทางอาญา ก็สามารถเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญาได้

บูรณาการกฎหมายแพ่ง-อาญา-ปกครอง

ปัจจุบันทั้งกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา และกฎหมายปกครอง มีอยู่แล้ว หากแต่ว่าทุกวันนี้ยังไม่มีการนำมาบังคับใช้กับคดีที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพมากนัก สาเหตุหนึ่งเนื่องจากเจ้าหน้าที่ อย. อาจยังไม่มั่นใจที่จะใช้กฎหมาย อย่างเช่นการนำข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์เป็นเท็จ การโฆษณาผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนหรือเครื่องสำอางโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ อย. ขาดความชำนาญและความมั่นใจที่จะใช้กฎหมายนี้ ก็ควรประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอาญา คือเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญมากกว่า

ในงานศึกษาของ ภก.อดุลย์ พยายามที่จะหาแนวทางกระตุ้นหรือให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้กฎหมาย โดยสนับสนุนทางวิชาการว่า ‘กฎหมายนี้ใช้ได้’ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ 77 จังหวัด มีเพียงการบังคับใช้แค่กฎหมายเฉพาะ เปรียบเทียบปรับ หรือกล่าวโทษร้องทุกข์ตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ร.บ.ยา แต่น้อยนักที่จะมีการใช้ประมวลกฎหมายอาญาควบคู่ไปด้วย

“ยกตัวอย่างกรณีเด็ก ม.1 เสียชีวิต ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการสืบสวนว่าเกิดจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจริงหรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถใช้มาตรา 288 ตามประมวลกฎหมายอาญาคือ ผู้ใดฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ส่วนกรณีที่มีการปลอมปนอาหาร ตามมาตรา 236 คือผู้ใดปลอมปนอาหารสำหรับให้ประชาชนเสพ หรือบริโภค ก็มีความผิดอาญาเช่นกัน โดยกฎหมายมาตรานี้ยังรวมถึงเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งหมด”

ในกระบวนการปราบปรามผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค ภก.อดุลย์ เสนอว่าประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ หากพบการกระทำความผิดหรือเข้าข่ายกระทำความผิดอย่างที่ว่ามาทั้งหมด สามารถแจ้งเบาะแสเพื่อเป็นหูเป็นตาให้กับส่วนราชการเพื่อป้องปรามไม่ให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  ซึ่งเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีความชำนาญในการใช้คอมพิวเตอร์ หากพบว่ามีผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายก็สามารถแจ้งเบาะแสแก่ทางราชการได้ เพื่อเป็นการช่วยสกัดกั้นภัยร้ายแก่สังคม