E-Submission ฉับไว…ต้องไม่ “เสี่ยง”

หลังจากรัฐบาลประกาศนโยบาย “Thailand 4.0” โดยให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการให้รวดเร็ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ปรับปรุงระบบสารสนเทศด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพเป็น ระบบE-Submission เพื่อเพิ่มช่องทางการยื่นคำขออนุญาตและการอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผ่าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้รองรับการเติบโตและความต้องการของภาคธุรกิจ

ข้อดีของการนำระบบนี้มาใช้คือ การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ เพิ่มความรวดเร็วและความถูกต้องในการพิจารณาคำขอ ลดอุปสรรคทางเศรษฐกิจและการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบางระบบบริการได้รับการพัฒนาเป็นระบบที่ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่พิจารณาคำขอ (automated service) ผู้ยื่นคำขอจะได้รับการพิจารณาอนุญาตโดยทันที หากมีข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ทำให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกในการขออนุญาตมากยิ่งขึ้น

ภก.รังสรรค์ วงษ์บุญหนัก

อย่างไรก็ดี นักวิชาการด้านการคุ้มครองผู้บริโภคย้ำว่า บริการที่ฉับไวนี้ต้องผนวกคุณสมบัติ “ไม่เพิ่มความเสี่ยง” แก่ผู้บริโภคด้วยเช่นกัน

 ภก.รังสรรค์ วงษ์บุญหนัก เภสัชกรชำนาญการ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ ตั้งข้อสังเกตต่อการนำระบบ Auto E-Submission มาใช้ได้ 2 ปี มีการพบปัญหาเกิดขึ้น

“ปัญหาของระบบนี้อยู่ที่ไม่ได้เปลี่ยนจากระบบที่เป็นแมนนวลไปสู่อิเล็กทรอนิกส์ แต่มีการเปลี่ยนกระบวนการจากเดิมการจดแจ้งผลิตภัณฑ์บางอย่างต้องส่งสูตรและฉลากให้เจ้าหน้าที่พิจารณาก่อน แต่ระบบนี้เครื่องจะคัดกรองโดยอัตโนมัติ เช่น ผู้ประกอบการกรอกว่าเป็นอาหารพร้อมบริโภค ตั้งชื่อ สูตรและฉลากไม่ต้องใส่กรอกเข้ามาในระบบ ถ้าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ผู้ประกอบการจะได้เลขสารบบ อย. ในทันที โดยที่เจ้าหน้าที่อนุมัติไม่เห็น

เมื่อเครื่องไม่ได้เป็น AI (Artifificial Intelligence) การคัดกรองจึงมีปัญหา เช่น “ข้าวควบคุมน้ำตาล”  คำว่า “ข้าว” ไม่ผิด  “ควบคุม” ไม่ผิด  “น้ำตาล” ก็ไม่ผิด เมื่อได้รับเลขสารบบ อย. ผู้ประกอบการใช้คำว่า  “ข้าวควบคุมน้ำตาล“ ตรา… ไปใช้โฆษณาเต็มไปหมด เมื่อมีปัญหาผู้บริโภคร้องเรียน กลายเป็นว่าหาคนรับผิดชอบไม่ได้ โดยหลักการจึงควรต้องให้เจ้าหน้าที่คัดกรองก่อน”

เขาเล่าว่าหลังจากสะท้อนปัญหาไปยัง สำนักอาหาร อย. จึงได้ปรับปรุงระบบ ให้ผู้ประกอบการยื่นเรื่องผ่านอิเล็กทรอนิกส์แต่ยังไม่ได้เลขสารบบทันที เพื่อให้เวลาเจ้าหน้าที่คัดกรอง 1-2 วันทำการตามที่พระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 กำหนดไว้

ส่วนของเครื่องสำอาง ภก.รังสรรค์ สะท้อนปัญหาว่าหลังเปิดระบบลงทะเบียนทางอินเทอร์เน็ตจนได้เลขไปขอขึ้นทะเบียนตำรับเครื่องสำอางแล้ว พบว่า ร้อยละ 80 ไม่มีสถานที่ประกอบการ เฉพาะสมุทรปราการสุ่มตรวจ 50 แห่งมีสถานที่ประกอบการจริงไม่ถึง 10 แห่ง

“ปัญหาที่เกิดขึ้นสรุปได้ 2 เรื่อง คือ ทะเบียนเฟ้อ และ การควบคุมติดตามทำได้ยาก… ต้องยอมรับว่าประเทศไทย Post Marketing ไม่เข้มแข็ง เมื่อขึ้นทะเบียนแล้วไปกองอยู่ ในระบบ เราไม่สามารถตามดูแลได้เท่าที่ควร”

เขาฝากมุมมองทิ้งท้ายว่า ในสภาพความเป็นจริงที่คนไทยยังมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่สูงพอ ระบบ การออกเลขมาก่อนผิดถูกค่อยว่ากัน ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงเป็นเงาตามกัน

“ถ้าเราคัดกรองตั้งแต่ต้นน่าจะดีกว่า เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดไม่พ้นผู้บริโภคนั่นเอง”

 

ที่มา: คอลัมภ์ ตีฆ้องร้องป่าว จดหมายข่าวสานพลัง ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2561

เขย่าสังคมด้วยปัญหายา

จากการรายงานของ BBC อุตสาหกรรมยาเป็นอุตสาหกรรมที่ทำกำไรสูงที่สุด บางปีเคยสูงถึงร้อยละ 47 ขณะที่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 17-18 ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เมื่อกำไรมาก วงเงินมาก อิทธิพลก็มากตามไปด้วย ถึงขั้นสามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายโลก กติการะหว่างประเทศ มิพักต้องพูดถึง ‘การที่จะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในประเทศ’

การที่ ร่าง พ.ร.บ.ยา ที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงอยู่ในขณะนี้ พยายามนำเอาข้อยกเว้นมาเป็นหลักการ อย่างเช่น ในทางปฏิบัติที่เป็นอยู่ การอนุญาตให้มีการจ่ายยาโดยบุคลากรสุขภาพในหน่วยบริการรัฐที่ไม่แสวงกำไรในที่ห่างไกล เช่น ใน รพ.สต. ที่ไม่มีเภสัชกรนั้นให้ทำได้ เพราะมีความจำเป็น แต่มีเงื่อนไขคือ ทำในภาครัฐ ทำในขอบเขต ไม่แสวงกำไร เมื่อมีความพยายามที่จะเอาข้อนี้มาเป็นหลักการในกฎหมาย จะด้วย ‘ความปรารถนาดี’ หรือมีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง อาทิ ข่าวการสยายปีกทำธุรกิจขายยาของอภิมหาทุนของเจ้าสัวไทย ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่ากะพริบตา เพราะนี่ไม่ใช่เพียงปัญหาความขัดแย้งของวิชาชีพ แต่เป็นเรื่องความปลอดภัยของผู้ป่วย

อย่างไรก็ตาม การควบคุม กำกับ ติดตาม ตรวจสอบ อุตสาหกรรมเหล่านี้ก็ไม่ง่ายนัก ด้วยอิทธิพล ด้วยความยากและซับซ้อนของเรื่องราว แม้จะใกล้ตัวทุกคนอย่างที่สุดก็ตาม แต่จะละเลยไม่กัดติดเพื่อเขย่าสังคมให้ตื่นก็เป็นไปไม่ได้

ประวัติศาสตร์สี่ทศวรรษของกลุ่มศึกษาปัญหายา (กศย.) ที่เขย่าสังคมสำเร็จอย่างกัดติดต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษา โดยเฉพาะ การศึกษาหาข้อมูลข้อเท็จจริงความรู้อย่างจริงจัง

ทำเพื่อประโยชน์สังคมอย่างที่ไม่มีข้อกังขา ไม่เพียงเท่านั้น การทำงานของ กศย. ยังไม่ใช่การทำงานวิชาการบนหอคอยงาช้าง แต่ติดดินและอยู่กับดิน บอกกล่าวเล่าเรื่องยากให้ง่ายเพื่อให้สังคมสนับสนุน จึงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง

รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานนท์ อดีตประธานกลุ่มศึกษาปัญหายาคนที่ 3 กล่าวในงานเปิดตัวหนังสือ เขย่าสังคมด้วยปัญหายา ว่า หนังสือเล่มนี้แม้จะเป็นหนังสือที่ถูกเขียนโดยบุคลากรด้านสาธารณสุข แต่การทำงานตลอด 40 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ก่อตั้ง ‘กลุ่มศึกษาปัญหายา’ หรือ กศย. ล้วนเป็นการทำงานกับชาวบ้านมาตลอด ดังนั้น หนังสือเล่มนี้จึงถูกเขียนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และต้องการสื่อสารกับประชาชนหมู่มากเป็นหลัก

ภญ.จิราพร เล่าต่อว่า ในเบื้องต้นนั้นกลุ่มศึกษาปัญหายาเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่ก่อตั้งโดย ภญ.สำลี ใจดี ซึ่งเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจต่อทั้งนักศึกษาในคณะเภสัชศาสตร์และคณาจารย์ที่เคยทำงานร่วมกัน

อุดมการณ์ที่เกาะเกี่ยวความเป็น ‘กศย.’

“ประเด็นก็คือว่า ในช่วงนั้นคณะเภสัชฯ จุฬาฯ เป็นคณะที่อยู่ใจกลางเมือง เพราะฉะนั้นในการเรียนการสอน เราเองไม่เข้าใจปัญหาที่อยู่ห่างไกล จนกระทั่ง อาจารย์สำลี ใจดี มาชักชวนพวกเราว่า ในเมื่อเราสอนนิสิตนักศึกษาให้รู้เรื่องยา เป้าหมายสุดท้ายของเราคือชาวบ้านสามารถที่จะดูแลสุขภาพตนเอง และใช้ยาอย่างเหมาะสมเท่าที่จำเป็น”

จากการชักชวนโดย ภญ.สำลี นั้นเอง นำไปสู่การลงพื้นที่ของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เห็นปัญหาของยาในยุคสมัยที่มีการขายกันอย่างผิดสูตรของยาประเภทนั้นๆ ทว่าแม้จะมีการทำหนังสือส่งต่อไปยังหน่วยงานภาครัฐต่างๆ เพื่อให้ดำเนินการระงับการขายยาที่ผิดสูตร ยาเหล่านั้นก็ยังมีการขายอยู่

ผลของความพยายามที่สูญเปล่านี้ ทำให้ ภญ.จิราพร มองเห็นว่า ภายใต้เป้าหมายการให้ความรู้แก่ชาวบ้านเพื่อการใช้ยาอย่างเหมาะสมนั้นมีอุปสรรคใหญ่ขวางกั้น เป็นอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากคำว่าผลประโยชน์ โดยขาดการคำนึงถึงสุขภาพของประชาชน ต่างจากยุคสมัยโบราณที่การผลิตตำรับยาขึ้นมานั้นมีจุดประสงค์เพื่อรักษาเพียงประการเดียว

“เพราะฉะนั้นเมื่อการผลิตยาถูกพัฒนามาเป็นธุรกิจแล้ว จึงมีองค์ประกอบมากมายเข้ามา เป็นสิ่งที่ทำให้เราเรียนรู้ แล้วได้เกิดกระบวนการรวมกลุ่มของการสร้างความเข้มแข็งของตัวชาวบ้านเอง เพราะเราเชื่อว่าพลังความเข้มแข็งนั้นจะช่วยขับเคลื่อนปัญหายากๆ ได้”

ภายใต้เป้าหมายของการส่งเสริมให้ชาวบ้านมีความรู้ในการดูแลสุขภาพและการใช้ยาที่เหมาะสม ทำให้กลุ่มบุคลากรด้านสาธารณสุขและเภสัชกรเข้ามารวมตัวกันจากยุคเริ่มแรก กระทั่งเติบโตขึ้นมากลายเป็นกลุ่มศึกษาปัญหายาอย่างที่เป็นในปัจจุบัน

นพ.วิชัย โชควิวัฒน

เฟมินิสต์จากมรดก 14 ตุลา

ในฐานะผู้เขียนคำนิยมให้กับหนังสือ นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าวว่า ตนขอนำเสนอบทวิเคราะห์เพื่ออธิบายความเป็นไปเป็นมาของ กศย. ให้เกิดความเข้าใจในภาพรวม 43 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ข้อสรุปออกมาว่า กลุ่มเฟมินิสต์เป็นกลุ่มซึ่งต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี เพื่อผลประโยชน์ของสตรี แต่เฟมินิสต์ในกลุ่ม กศย. เป็นเฟมินิสต์ที่แตกต่างออกไป เพราะออกมาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ในขณะที่การเลือกวันก่อตั้งก็ยังเป็นวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นวันสตรีสากล

“เขาไม่เคยเขียน ไม่เคยประกาศตัว แต่ผมมองดูอยู่ในฐานะพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันมาว่า เป็นกลุ่มเฟมินิสต์ที่ยืนหยัดต่อสู้มาตลอด นอกจากนี้ กลุ่ม กศย. ยังก่อตั้งภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบาน กลุ่มอาจารย์สำลีก็เป็นกลุ่มหนึ่งในยุคสมัยนั้นที่นำเอาวิชาชีพมารับใช้ประชาชน แล้วตอนที่ตั้งกลุ่มขึ้นมาก็เป็นกลุ่มจำนวนน้อยที่ตั้งชื่ออย่างอ่อนน้อมถ่อมตน คือ ตั้งว่า ‘กลุ่มศึกษาปัญหายา’ ดูแล้วเหมือนกับว่าเป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยรู้อะไร เลยต้องศึกษา แต่ความจริงผมเชื่อว่ามีอิทธิพลจากฝ่ายซ้าย”

วรรณกรรม/วาทกรรมความเป็น ‘แม่’

นพ.วิชัย ยังกล่าวต่ออีกว่า นวนิยายที่คนในยุคสมัยนี้ กระทั่งร่วมสมัยด้วยกันกับตน อาจจะลืมเลือนไปแล้ว คือนวนิยายเรื่อง แม่ ของ แมกซิม กอร์กี ที่แปลโดย จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งบอกเล่าถึงกลุ่มนักศึกษาที่ออกไปต่อสู้เพื่อมวลชนในรัสเซีย โดยมีแม่คอยให้การสนับสนุน แม่ที่ไร้การศึกษา แต่ไปร่วมการเคลื่อนไหวกับลูกๆ จนกระทั่งเกิดการตื่นรู้ขึ้นมา โดย นพ.วิชัย มองว่าการก่อตั้งกลุ่ม กศย. ในห้วงปี 2518 จึงน่าจะมีเงาของแม่ทาบทับอยู่ไม่มากก็น้อย

“คือวรรณกรรมเป็นงานที่มีอิทธิพลสูงที่สุด ขณะที่สารคดีหรือบทความทางวิชาการทั้งหลายอาจได้เฉพาะสมองส่วนคิด แต่วรรณกรรมจะได้ทั้งสมองส่วนคิดและอารมณ์ความรู้สึกด้วย ซึ่งจะดึงอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างมีพลังและมากกว่าบทความทางวิชาการ”

นอกจากนั้น นพ.วิชัย ยังกล่าวว่า ในการตั้งกลุ่มศึกษาปัญหายาเป็นการก่อตั้งที่ถูกต้องตามหลักยุทธศาสตร์ ‘สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา’ ของ นพ.ประเวศ วะสี โดยหลักยุทธศาสตร์สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาข้อที่หนึ่ง คือยุทธศาสตร์ในเรื่องความรู้ และความรู้จะเกิดขึ้นได้ด้วยการศึกษา โดยถ้าย้อนกลับไปในหลักพุทธศาสนาก็คือหลักไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา

เริ่มต้นจากฐานความรู้นำไปสู่การเคลื่อนไหวด้านประชาชน และนำไปสู่การผลักดันเชิงนโยบาย

“กลุ่มศึกษาปัญหายาทำแบบนี้มาโดยตลอด สิ่งนี้ทำให้มีชีวิตรอดหลัง 6 ตุลา ปี 2519 และดำรงอยู่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ แล้วก็สร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถสร้างผลกระทบชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในวงกว้าง เพราะว่าระบบสังคมของเราถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจใหญ่ และเราไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนระบบใหญ่นั้นได้ แต่เราสามารถทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในระบบใหญ่นี้ได้”

สิ่งดีๆ ในมุมมองของ นพ.วิชัย เช่น การรณรงค์ยกเลิกยาสูบที่มีส่วนผสมของยาเสพติดต่างๆ จนกระทั่งยกเลิกไปได้ ซึ่งในชีวิตของ ภญ.สำลี สามารถยกเลิกการใช้ยาที่ส่งผลต่อสุขภาพประชาชนไปได้หลายตัวแล้ว ทำให้สามารถรักษาชีวิตของประชาชนจำนวนมากนับแสนนับล้านคนได้

นพ.วิชัย ยกตัวอย่างจากเรื่องเล่าสมัยยังทำงานเป็นแพทย์ชนบทแล้วพบว่า มีชาวบ้านจำนวนมากที่มาโรงพยาบาลด้วยโรคกระเพาะทะลุจากผลของยา ซึ่งด้วยการรณรงค์ในเรื่องนี้ของ กศย. ทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงไปเป็นจำนวนมาก

ไม่เพียงแต่การโจมตียาที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเท่านั้น นพ.วิชัย มองว่า กลุ่ม กศย. ยังมีสถานะของความเป็นสุนัขที่ไม่เพียงกัดไม่ปล่อย แต่ยังเป็นสุนัขที่กัดชนิดเอาให้ถึงตาย คือหากไม่ได้ตามเป้าประสงค์ที่วางไว้ทางกลุ่มจะไม่ยอมเลิกภารกิจโดยเด็ดขาด

ฟื้นฟูวิชาการนวด

หากแต่การรณรงค์ให้ยกเลิกยาที่เป็นอันตรายในยุคสมัยเริ่มแรกที่วิทยาการยายังไม่ก้าวหน้าเหมือนเช่นในปัจจุบัน วิธีการหนึ่งที่ทางกลุ่ม กศย. นำมาใช้เพื่อทดแทนยาที่ถูกยกเลิกไป คือการนำวิชาแพทย์แผนโบราณกลับมา เช่น การนวด โดยส่งเสริมให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลสุขภาพ

“เริ่มต้นจากไม่รู้เรื่องนวด แล้วสร้างจนเป็นตำราเรื่องการนวดที่สมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งตำราการนวดไทยในสมัยแรกๆ เป็นตำราที่ถูกเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แล้วถูกนำไปจารึกที่วัดโพธิ์ แต่ก็เป็นความรู้ที่กระท่อนกระแท่น และอ่านลำบากเนื่องจากเป็นภาษาไทยโบราณ กลุ่มของอาจารย์สำลีจึงนำเอาความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันมาผสมกับความรู้สมัยโบราณจนเขียนเป็นตำราแพทย์แผนไทยที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้จนถึงปัจจุบัน อันนี้คือมรดกสำคัญของกลุ่ม กศย. ซึ่งเป็นตำราที่มีความสำคัญ เพราะเป็นการดึงเอาความรู้ในตัวหมอนวดประเทศไทยมาเขียน เป็นคุณูปการอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงเป็นการฟื้นฟูวิชาการนวดแผนไทย แต่ยังขยายไปสู่การขึ้นบัญชียาแผนโบราณต่างๆ ซึ่งในวันนี้ได้กลายเป็นยาสำคัญที่อยู่ในยาสำคัญของชาติไปแล้ว”

นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา

ปัจจุบันที่ไม่มองอดีต จึงไม่เห็นอนาคต

ในส่วนต่อมา นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้กล่าวในเชิงวิจารณ์ว่า ผู้คนในยุคสมัยใหม่ต่างสนใจต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คือโทรศัพท์มือถือ มากกว่าจะสนใจเรื่องราวในอดีต เป็นสภาวะของกลุ่มคนสมัยใหม่ที่ไม่รู้เท่าทันสิ่งที่ทุนนิยมสร้างขึ้นมา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้จึงเป็นกลุ่มที่เหมาะสำหรับหนังสือ เขย่าสังคมด้วยปัญหายา เพราะจะทำให้มองเห็นว่าปัจจุบันมีเส้นทางจากอดีตเป็นมาอย่างไร แล้วอนาคตก็จะต้องนำอดีตมาสังเคราะห์เพื่อจะนำไปสู่ข้างหน้าได้

“หนังสือเล่มนี้ถ้าอ่านไปก็เหมือนเป็นมหากาพย์ เป็นเหมือนการอ่านพงศาวดารว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่าทำไมเก่าขนาดนั้น เพราะว่าคนปัจจุบันสนใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเปลี่ยนหัวข้อไปเร็วมาก

“40 ปีจริงๆ แล้วในเชิงความเป็นจริงคือ ‘บันทึกประวัติศาสตร์ร่วมสมัย’ แต่สำหรับผู้คนในโลกยุคดิจิตอลก็จะบอกว่านี่คือ ‘พงศาวดาร’ เพราะเขานึกไม่ออกเลยว่าปี 2518 มันเป็นอย่างไร นึกไม่ออกเลยว่าทำไมเขาต่อสู้เพื่อประชาชนขนาดนั้น แม้แต่การพูดถึงเอกสารโรเนียวในหนังสือเล่มนี้ยังต้องมีคำอธิบายว่าโรเนียวคืออะไร คำว่าโรเนียวกลายเป็นคำที่ไม่มีใครรู้จักกันไปหมดแล้ว

“ดังนั้น ถ้าพูดอย่าง กศย. แล้ว หนังสือเล่มนี้คือบันทึกของคนตัวเล็กตัวน้อย กศย. ไม่ได้เชิญนายกฯ มา กศย. ไม่ได้เชิญนายพลมา กศย. ไม่ได้เอาอธิการบดีมา แต่ทำงานโดยพลังของคนตัวเล็กตัวน้อย ซึ่งพลังนั้นเกิดขึ้นจากจิตอาสา”

มองคำว่าจิตอาสาจากมุมปัจจุบัน นพ.ประวิทย์ กล่าวว่าคนในปัจจุบันอาจมองคำคำนี้เป็นคำที่น่าหลงใหล แต่ในยุคสมัยนั้น คำว่า ‘จิตอาสา’ คือการทุ่มเทเพื่อประชาชน เป็นการทำงานโดยมีอุดมการณ์เป็นหลัก หาได้เป็นไปตามกระแสเช่นในปัจจุบัน

“และที่สำคัญ กศย. ถ้าพูดกันในวงการสาธารณสุข คือกลุ่มคนที่คิดออกนอกกรอบที่ใครเขาวางไว้ ผมยกตัวอย่างตำราที่พูดถึงยาในลักษณะของสารเคมี หรือเคมีภัณฑ์ ในลักษณะของการรักษาโรค คือเป็นเรื่องของการแพทย์ แต่เวลาเราพูดถึง กศย. เราพูดถึงยากับสังคม เราพูดถึงสาธารณสุข ฉะนั้นจึงเป็นการเอาตัววิชาการ เอาตัวความรู้ไปตอบชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ตอบโจทย์ข้อสอบว่าต้องกินยาตัวนี้กี่เวลา มีอาการป่วยข้างเคียงอย่างไร เพราะหมอทุกคนก็รู้ว่าให้ยาไป เขาก็ไม่ค่อยทำตามที่เราบอกหรอก ฉะนั้น จะให้ยาไปอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“ดังนั้น สิ่งที่ กศย. ทำ จึงเป็นการทำที่อยู่นอกกรอบที่เขาสร้างเอาไว้ เป็นกรอบที่ไม่มีใครมองเห็น แล้วทุกคนก็ตกอยู่ในกรอบนั้น หลงคิดไปว่าตัวเองมีเสรีภาพ เป็นเสรีชนโน่นนี่ แต่ไม่ใช่ เราคิดในกรอบที่ทุนนิยมได้สร้างขึ้น ที่ระบบการศึกษาได้สร้างขึ้น ที่สังคมได้สร้างขึ้น ในกรอบที่ยังมีความเอารัดเอาเปรียบ ในกรอบที่ยังมีความเหลื่อมล้ำ”

วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์

สิ่งที่ควรมีในภาคต่อของหนังสือ

ในฐานะของสื่อมวลชน วิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ มองสิ่งที่ควรมีในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเหมือนจะยังไม่จบดีจากเรื่องราวความเป็นมาตลอดทั้ง 43 ปี คือ ในการขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ ทางสังคม จำเป็นต้องอาศัยการสั่งสมความรู้ผ่านการรอคอยอย่างอดทน เพื่อจะนำเสนอในเชิงนโยบายได้อย่างมีพลัง ซึ่งเป็นสิ่งที่วิเชษฐ์มองในแง่ของกลยุทธ์หรือกลวิธีในการทำงานของภาคประชาสังคม หรือแม้แต่เอ็นจีโอ ได้ประโยชน์มากทีเดียว

นอกจากนี้ วิเชษฐ์ยังมองอีกว่า การก่อตัวของกลุ่มศึกษาปัญหายาที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ นั้น ประกอบขึ้นมาจากกัลยาณมิตรและเครือข่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนงานด้านสังคมปัจจุบันที่นับวันยิ่งยากมากขึ้น

“อีกจุดหนึ่งที่ผมอ่านที่อาจารย์สำลีพูดถึง ซึ่งอันนี้ผมมองว่าสำคัญ ที่มีการพูดถึงว่าเราจะต้องเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง คือผมมองว่าเรื่องยาเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้กับคนมากที่สุด คนไทยเราเกี่ยวข้องกับเรื่องยาในชีวิตประจำวันตลอด ซึ่งถ้าเราไม่มีองค์ความรู้ที่ถูกต้องแล้ว ผมคิดว่าอันนี้จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าอันตรายสำหรับประชาชน

“เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมมองเห็นจากหนังสือเล่มนี้ก็คือการขับเคลื่อนในแนวดิ่งไปสู่นโยบายอย่างเดียวมันไม่พอแล้ว แนวระนาบในการสร้างความเข้มแข็ง ให้คนได้รู้เท่าทัน ซึ่งสรุปแล้วต้องทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่างจึงจะสำเร็จ ซึ่งอันนี้เป็นบทเรียนที่ผมมองว่าคนรุ่นใหม่ๆ ที่ทำงานด้านประชาสังคมจะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้เยอะเลยทีเดียว”

สุดท้าย วิเชษฐ์มองว่าสิ่งที่ควรมีต่อในหนังสือเล่มต่อไปของ ‘เขย่าสังคมด้วยปัญหายา’ คือ หนึ่ง-การทำงานด้านประชาสังคมควรมีกรณีศึกษา กรณีตัวอย่างที่มากขึ้นกว่าเดิม สอง-เมื่อสังคมพูดถึงเรื่องเหล้า บุหรี่ โดยส่วนมากจะมองในเรื่องการตลาดของบริษัทเหล่านี้ ซึ่งหากมองกลับมาเปรียบเทียบในกรณีของบริษัทยาต่างๆ ตั้งแต่ยุคอดีตจนมาถึงยุคปัจจุบันเพื่อฉายให้เห็นกลยุทธ์ในการทำการตลาดของบริษัทยาแล้ว ประชาชนก็จะได้ประโยชน์อย่างมาก และข้อที่สาม-การทำงานท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในบริบทของสื่อยุคใหม่ คือในเรื่องของโซเชียลมีเดียที่ กศย. จะต้องมีการปรับกลยุทธ์ในการทำงานให้สอดรับสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง

ภญ.สำลี ใจดี

ภารกิจที่ต้องไปต่อ

ด้วยความเชื่อว่าสิ่งที่ กศย. ทำเป็นสิ่งที่ดีงามในสังคมไทย ภญ.สำลี ใจดี จึงมองว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในการทำงานในลักษณะคนละมือคนละไม้ เป็นการทำงานที่เกิดจากกัลยาณมิตรอย่างที่ได้พูดกันไปแล้ว นอกจากนี้ ในฐานะเภสัชกรที่มีความรู้ในเรื่องยา ซึ่งตัวเภสัชกรเองรู้อยู่แล้วว่ายาแต่ละชนิดแต่ละประเภทเป็นเช่นไร จึงเปรียบเหมือนเป็นหน้าที่ที่ ภญ.สำลี มองว่า เราต้องชัดเจนในเรื่องประเด็นปัญหา

“งานชิ้นนี้ ถ้าไม่ลงไปคลุก ไม่ปั้นมากับมือ เราคงเคลื่อนไม่ได้ เพราะถ้าจะเคลื่อนอะไร เราต้องชัดเจน ในส่วนที่ผ่านมาที่เราตั้งป้อม และทำอย่างต่อเนื่องคือเรื่องสิทธิบัตร กับเรื่องทุนข้ามชาติ สารพัดที่เขาเข้ามาแทรก แล้วพวกเราใช้ชีวิต เต้นรำ ทำดนตรี ฟังเพลง ไปตามจังหวะที่เขากำหนด พวกเราบอกเราไม่เต้นจังหวะเขา เรามีจังหวะของเราเอง คนไทย สังคมไทย มีรากมีเหง้า มีเงื่อนไขที่เราควรรู้ว่า เราจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร สังคมไทยเป็นประเทศที่เรียกว่าโชคดีและน่ารักที่สุดในโลก แล้วตัวร้ายวายร้ายทั้งหลายก็ทำร้ายได้ทุกวัน อย่างในเรื่องพาราควอตนี่ก็ด้วย”

นอกจากเรื่องสิทธิบัตรและทุนข้ามชาติแล้ว ในส่วนของแพทย์แผนไทย ภญ.สำลี มองว่ายังเป็นสิ่งที่ กศย. จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เช่น เรื่องหมอนวดคนตาบอด ที่จะต้องทำให้พวกเขาสามารถยืนหยัดในหลักวิชาชีพของพวกเขาได้ด้วยตัวเอง

“เพื่อให้พวกเขาอยู่ได้ และอยู่อย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นหมอ” ภญ.สำลี กล่าว

สุขภาพจิตดีขึ้นแน่ แค่ขยับร่างกาย

วารสารการแพทย์ The Lancet Psychiatry ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่ระบุว่า การเคลื่อนไหวร่างกายแบบทั่วไปติดต่อกันครั้งละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง สามารถลดอาการทางสุขภาพจิตได้

นักวิจัยได้วิเคราะห์รายงานระดับกิจกรรมและคะแนนสุขภาพจิตของคนอเมริกัน 1.2 ล้านคนภายในหนึ่งเดือน ระหว่างปี 2011-2015 เพื่อหาความเชื่อมโยงของการเคลื่อนไหวทางร่างกายและสุขภาพจิต โดยพบว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายจะมี ‘วันแย่ๆ’ น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเดือนละ 1.5 วัน

นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังเป็นที่รู้จักกันดีว่าสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ การอุดตันในเส้นเลือด และเบาหวาน

ถึงผลจะออกมาว่า ประเภทกีฬาที่เล่นเป็นกลุ่ม การปั่นจักรยาน และเต้นแอโรบิกส่งผลด้านบวกมากที่สุด แต่ผลการศึกษาได้พบว่า กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกายทุกประเภทสามารถพัฒนาสุขภาพจิตได้ในทุกเพศและวัย ไม่ว่าจะเป็นแค่การทำงานบ้านหรือเลี้ยงเด็กเล็กๆ ก็ตาม

ก่อนหน้านี้ มีงานวิจัยที่ได้ทดสอบผลของการออกกำลังกายต่อสุขภาพจิตและได้ผลลัพธ์ผสมผสานกัน ขณะที่บางงานวิจัยแนะนำว่า การไม่เคลื่อนไหวทางร่างกายสามารถทำให้สุขภาพจิตแย่ลงได้พอๆ กับการเกิดโรค

ผู้เข้าร่วมการศึกษาในครั้งนี้บอกว่า พวกเขารู้สึกสุขภาพจิตแย่เฉลี่ยแล้วเดือนละ 3.4 วัน แต่ในส่วนของกลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ ตัวเลขลดลงเหลือเพียงเดือนละ 2 วัน

และในกลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า การเคลื่อนไหวร่างกายดูจะสร้างผลกระทบได้ใหญ่โตกว่า โดยผลการศึกษาออกมาว่า กลุ่มที่ออกกำลังกายจะมีอาการสุขภาพจิตแย่เดือนละ 7 วัน น้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ออกกำลังกายที่มีอาการเกือบ 11 วัน

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังไม่อาจฟันธงได้เลยว่าการเคลื่อนไหวร่างกายเป็นผลโดยตรงให้สุขภาพจิตดีขึ้น

หนักไปก็ไม่ดี

เมื่อพูดถึงเรื่องการออกกำลังกาย สิ่งที่เกิดตามมาคือความถี่และระยะเวลาในแต่ละครั้งที่เป็นผลดีมากพอ เพราะเช่นเดียวกับทุกอย่าง การออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายมากเกินไปก็ไม่ได้เป็นเรื่องดี

แม้ผลการศึกษาจะระบุว่า การเคลื่อนไหวร่างกาย 30-60 ชั่วโมงในทุกๆ สองวันดูจะเป็นกิจวัตรที่เหมาะสมที่สุด แต่ก็ยังสรุปว่า นั่นอาจเป็นการออกกำลังกายที่มากเกินไปได้

ดร.อดัม เชคราวด์ (Adam Chekroud) ผู้เขียนผลการศึกษาและเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยเยล กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ ผู้คนมักเชื่อว่า ยิ่งออกกำลังกายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับสุขภาพจิตมากขึ้นเท่านั้น แต่การศึกษาของเราแนะนำว่าไม่ใช่ในกรณีนี้”

“การออกกำลังกายมากกว่า 23 ครั้งต่อเดือน หรือครั้งละนานกว่า 90 นาทีมีส่วนเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตที่แย่ลง”

เขาบอกว่าผลด้านบวกของการเล่นกีฬาเป็นทีมคือ สามารถลดความรู้สึกโดดเดี่ยว ดีต่อการฟื้นฟูสุขภาพจิตใจ และ ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ด้วย

ความเชื่อมโยงอันซับซ้อน

ถึงผลของการศึกษานี้จะหนุนหลังแนวทางของรัฐบาลที่แนะนำให้ประชาชนใช้เวลาออกกำลังกายสัปดาห์ละ 150 นาที แต่การศึกษานี้มีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ มันอ้างอิงจากการรายงานด้วยตัวเองซึ่งไม่ถูกต้องเสมอไป และไม่มีทางวัดการเคลื่อนไหวทางร่างกายได้

ดร.ดีน เบอร์เน็ตต์ (Dean Burnett) นักประสาทวิทยาและนักวิจัยกิตติมศักดิ์ จากวิทยาลัยจิตวิทยา มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ กล่าวว่า ปกติแล้วไม่ง่ายนักที่จะค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างการออกกำลังกายและสุขภาพจิต แต่การศึกษาครั้งนี้ใหญ่พอที่จะบอกได้ว่า ทั้งสองอย่างมีความเกี่ยวข้องกัน

“อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะของการศึกษาหมายความว่ามันยากที่จะบอกอย่างแน่นอนได้มากกว่านั้น”

ศาสตราจารย์ สตีเฟน ลอว์รี (Stephen Lawrie) หัวหน้าแผนกจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ กล่าวว่า มันแสดงให้เห็นว่า สังคมและการออกกำลังกายตามที่ตัวเองสนใจมีผลดีอย่างยิ่งต่อสุขภาพจิต – แต่ต้องไม่ทำมากเกินไป

“เราต่างรู้จักคนที่ดูเหมือนจะเสพติดการออกกำลังกาย วัดง่ายๆ คือ ถ้าการออกกำลังกายเริ่มส่งผลต่อส่วนอื่นๆ ในชีวิต เช่น กิจกรรมทางสังคม การพบปะผู้คน เพราะหมกมุ่นอยู่กับการทำลายสถิติการวิ่งของตัวเอง การออกกำลังกายจะเปลี่ยนเป็นศัตรูต่อร่างกายและจิตใจของคุณได้ทันที”

อ้างอิงข้อมูลจาก:
bbc.com

เมื่อแบคทีเรีย Super Bug เริ่มดื้อแพ่งและแข็งแกร่งกว่าแอลกอฮอล์

น้ำยาฆ่าเชื้อ (ที่มักจะเป็น) สีฟ้าสดวางอยู่ตามห้างสรรพสินค้า โรงเรียน รวมทั้งโรงพยาบาล ที่รอให้ผู้คนเข้าไปกดก่อนถูทั่วฝ่ามือ โดยเฉพาะน้ำยาล้างมือในโรงพยาบาลที่ส่วนใหญ่ใช้ชนิดมีไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์หรือเอธิลแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบหลัก แต่งานวิจัยล่าสุดในวารสาร Science Translational Medicine เปิดเผยว่า แอลกอฮอล์ในน้ำยาเหล่านั้นเริ่มจัดการแบคทีเรียได้ไม่อยู่หมัดแล้ว

แต่ช้าก่อน…ไม่ได้หมายความว่าจะต้องโยนน้ำยาเหล่านั้นทิ้งทันที

แม้เชื้อแบคทีเรียเอนเทอโรคอคคัส ฟีเซียม (Enterococcus faecium หรือ อี. ฟีเซียม) จะอยู่ในร่างกายของเรา แต่เชื้อตัวนี้จะกลายเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ซับซ้อนในช่องท้อง ผิวหนัง ทางเดินปัสสาวะ และเลือดทันทีเมื่อมันอวลอยู่ในโรงพยาบาล แบคทีเรียชนิดนี้อยู่ในกลุ่มเอนเทอโรคอคซี (Enterococci) ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับที่ 4 และ 5 ของภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดที่คุกคามชีวิตผู้คนในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปตามลำดับ – นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า Super Bug แบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะ

ทีมนักวิจัยระบุว่า ออสเตรเลียได้ตรวจสอบสุขลักษณะของน้ำยาล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นหลักอย่างเข้มงวด และมันได้ช่วยลดการติดเชื้อในโรงพยาบาลหลายแห่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่า นอกจาก Super Bug จะดื้อยาแล้ว พวกมันกำลังจะเอาชนะแอลกอฮอล์ เพราะการติดเชื้อ อี. ฟีเซียม ที่ดื้อยากลับมีปริมาณเพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลออสเตรเลีย

อีกรูปแบบของการดื้อยา

นักวิจัยได้วิเคราะห์ตัวอย่างแบคทีเรีย 139 ชนิดที่เก็บมาจนถึงปี 2015 รวมเป็นเวลานานกว่า 19 ปีจากโรงพยาบาลสองแห่งในเมืองเมลเบิร์น พวกเขาศึกษาอัตราการมีชีวิตรอดของแต่ละตัวอย่างเมื่อสัมผัสกับไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์เจือจาง

พวกเขาค้นพบว่า โดยเฉลี่ยแล้วตัวอย่างที่รวบรวมตั้งแต่หลังปี 2009 ทนต่อแอลกอฮอล์มากกว่าตัวอย่างที่ได้มาตั้งแต่ก่อนปี 2004 และเกิดการกลายพันธุ์ของตัวอย่างแบคทีเรียที่ทนต่อแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะในกระบวนการเผาผลาญอาหารที่บ่งชี้ว่าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถอยู่ในลำไส้ได้ดียิ่งขึ้น

แม้ผลการทดลองจะชี้ให้เห็นว่า เชื้อเหล่านี้สามารถปรับให้เข้ากับแอลกอฮอล์และส่วนประกอบอื่นๆ ที่พบในน้ำยาฆ่าเชื้อได้ แต่นักวิจัยก็เตือนว่ายังไม่อาจสรุปได้จนกว่าจะมีการวิจัยเพิ่มเติม

“มีสองอย่างที่เรากำลังทำอยู่ในตอนนี้” ทิม สตีเนียร์ (Tim Stinear) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าว “อย่างแรกคือการทำความเข้าใจแนวทางที่ทำให้แบคทีเรียทนทานมากขึ้น และสองคือดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่อื่นๆ ในโลกบ้าง และเรากำลังจับมือกับทีมงานทั่วโลกเพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น”

สตีเนียร์และผู้ร่วมเขียนงานวิจัยระบุว่า หนึ่งในสามของการติดเชื้อแบคทีเรียเอนเทอโรคอคคัส ในโรงพยาบาลออสเตรเลียมีสาเหตุมาจากเชื้อ อี. เฟเซียม จากการทดลองพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของเชื้อชนิดนี้ทนต่อแอมพิซิลลิน (Ampicillin) ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มเพนนิซิลลิน และกว่าครึ่งทนต่อยาแวนโคมัยซิน (Vancomycin) ยาฆ่าเชื้อในอีกกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าหมอจะพยายามใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงกว่าเพื่อรักษาโรค แต่อาจได้ผลลัพธ์ที่หนักหนากว่าการดื้อยา ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อเรื้อรังมากขึ้น

พอล จอห์นสัน ผู้ร่วมวิจัยและศาสตราจารย์ด้านโรคติดเชื้อและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ ออสติน เฮลธ์ (Austin Health) หน่วยบริการด้านสาธารณสุขของโรงพยาบาลออสติน บอกว่า “เราอาจต้องเพิ่มมาตรการควบคุมการติดเชื้ออื่นๆ เช่น การใช้ยาคลอร์เฮกซิดีน (Chlorhexidine) ฆ่าเชื้อที่มือก่อนการดูแลรักษาขั้นต่อไป

แม้จะใช้ได้ในโรงพยาบาล แต่วิธีการเดียวกันก็ไม่อาจนำมาใช้ได้ในวงกว้างทั่วโลก

อย่าเพิ่งโยนน้ำยาล้างมือทิ้ง!

“อย่างน้อยสิ่งสำคัญคือ นี่เป็นการทดลองที่ดีมาก” คือคำแนะนำของ ศาสตราจารย์เจมส์ สก็อตต์ จากวิทยาลัยสาธารณสุขดัลลา ลานา (Dalla Lana School of Public Health) มหาวิทยาลัยโตรอนโต

“นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เหล่านักจุลชีววิทยาคิดว่าอาจจะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ไม่มีใครคิดทดลองอย่างจริงจัง” แม้สก็อตต์จะไม่ได้เข้าร่วมในการวิจัยนี้ แต่เขาบอกว่า ตอนนี้เรื่องแบคทีเรียทนแอลกอฮอล์ ‘ค่อนข้างชัดเจน’ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ

“เชื้อจุลินทรีย์ที่ถูกทดสอบในการทดลองนี้เป็นเชื้อที่มาจากโรงพยาบาลจริงๆ ไม่ใช่เชื้อที่คุณจะได้เจอตามชุมชนในชีวิตประจำวัน” เขาบอก เพราะในสถานที่ทั่วไป ผู้คนต่างใช้น้ำยาล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อที่อาจเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย “แต่สถานการณ์ในโรงพยาบาลนั้นแตกต่างกันมาก”

เขาอธิบายถึงสภาพแวดล้อมแบบปิดของโรงพยาบาล เต็มไปด้วยผู้ป่วยที่ร่างกายอ่อนแออย่างมาก เป็นโอกาสดีในการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตอย่างเชื้อโรค “อาจนำไปสู่การดื้อยาในเวลาต่อมาได้”

แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อถูกใช้ในการแพทย์มานาน เป็นยาฆ่าเชื้อในระดับทั่วไป ส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าแอลกอฮอล์จะทำให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคทั้งชนิดที่อ่อนแอและทนทาน สก็อตต์จึงมองว่า การทดลองนี้เป็นการหักล้างสมมุติฐานดังกล่าว

“นักวิทยาศาสตร์ยังรู้ดีว่า การใช้แอลกอฮอล์ไม่ใช่การฆ่าเชื้อแบบครอบจักรวาล เพราะเชื้อโรคที่สำคัญจำนวนหนึ่งมีความทนทานต่อแอลกอฮอล์สูง เช่น เชื้อคลอสไทรเดียม ดิฟิซายล์ (Clostridium Difficile) เป็นเชื้อที่ทำให้ลำไส้ใหญ่อักเสบและท้องเสียรุนแรง

อีกสิ่งสำคัญที่ผู้คนต้องทำความเข้าใจคือ การศึกษานี้เกี่ยวข้องเฉพาะกับเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีส่วนในการติดเชื้อในโรงพยาบาล การศึกษานี้สามารถใช้ได้กับสภาพแวดล้อมเฉพาะของโรงพยาบาลเท่านั้น และผมมั่นใจว่าน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบหลักจะยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการใช้ทั่วไปนอกโรงพยาบาลอยู่ดี

อ้างอิงข้อมูลจาก:
edition.cnn.com

รอยสักใต้ผิวหนังและเคมีภัณฑ์อันตรายในขวดหมึก

 

หน่วยเฝ้าระวังด้านเคมีภัณฑ์ของ EU รวบรวมสารอันตรายที่อยู่ในสีที่ใช้การสักลวดลายใต้ผิวหนัง ว่าอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นสารก่อมะเร็ง

เช่นเดียวกับที่เราเห็นท่อนแขนของนักฟุตบอลในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพร้อยไปด้วยลวดลายหลากหลาย กระแสการสักบูมไปทั่วโลก มีตัวเลขบอกว่า เฉพาะยุโรป 1 ใน 4 ของประชากรอายุระหว่าง 18-35 ปี มีรอยสักติดตัว

การสักคือการตัดสินใจครั้งสำคัญ เพราะรอยนี้จะอยู่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต เมื่อเป็นเสมือนเครื่องประดับร่างกายถาวร สีที่ใช้ในการสักจึงต้องติดทนนานไม่ลบเลือน ทำให้บางครั้งต้องพึ่งพาคุณสมบัติทางเคมีของสารบางอย่าง – ซึ่งอาจมีอันตรายผสมอยู่ด้วย

องค์การจัดการสารเคมีแห่งสหภาพยุโรป (European Chemicals Agency: ECHA) แสดงความกังวลเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายที่อาจผสมอยู่ในหมึกสีที่ใช้ในการสัก เพราะสิ่งที่อยู่ในขวดประกอบด้วยสารหลากหลายผสมผสานกันหลายรอบ ก่อนจะบรรจุขวด และมาถึงมือช่างสัก แม้ว่าสีที่ใช้จะต้องมีมาตรฐาน แต่ใช่ว่าจะครอบคลุ,คุณภาพการสักได้ทั้งหมด

โทนี ริตา (Toni Rita) แกนนำสมาคมช่างสักฟินแลนด์ บอกว่า หมึกสีราคาถูกที่หลั่งไหลมาจากจีนคือปัญหาใหญ่

“พวกเขานำเข้าสีจำนวนมากเข้ามาใน EU ซึ่งคนก็ใช้มันนะ แล้วพวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าในหมึกสีนั้นมีอะไรผสมอยู่บ้าง มันอันตรายมากๆ”

การไม่มีมาตรฐานควบคุมส่วนผสมในหมึกสีที่ใช้สัก และไม่มีการศึกษาถึงผลระยะยาว ทำให้ ECHA เตรียมทำรายงานและสรุปผลในเดือนตุลาคมว่า อาจมีความจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อควบคุมสารเคมีที่ใช้ในการสัก ซึ่งรวมถึงการสักคิ้ว และอายไลเนอร์

“ในรายงานของ ECHA มีรายชื่อสารเคมีอันตรายผสมอยู่ประมาณ 4,000 ชนิด” มาร์ค เบลนีย์ (Mark Blainey) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสจาก ECHA กล่าว

เขาย้ำว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสารเคมีอันตรายในรายการเหล่านี้อาจถูกควบคุมภายใต้กฎหมายอื่นว่า ‘ห้ามทา’ บนผิวหนัง ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมถึงการฉีดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง

“ข้อกังวลสำคัญเลยคือการแพ้สารเคมีที่ผสมอยู่ในหมึก ซึ่งมีความเชื่อมโยงว่าสามารถเป็นต้นเหตุของมะเร็ง DNA เสียหาย หรือไม่ก็ส่งผลต่อการสืบพันธุ์” เขาเพิ่มเติม

“เราไม่ได้มองเรื่องแบนการสัก แต่เราต้องมั่นใจว่าเมื่อคนสัก หมึกนั้นต้องปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

 

อ้างอิงข้อมูลจาก: independent.co.uk

วิเคราะห์ปัญหา “ร่างพระราชบัญญัติยา พ.ศ. … ฉบับ อย.” (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑) โดย ผศ.ภญ.ดร.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ


“…ร่าง พระราชบัญญัติยา พ.ศ. …. ฉบับ อย.-กระทรวงสาธารณสุข ภายหลังการรับฟังได้ถูกนำมาเสนอในเว็บไซต์ของกระทรวงดิจิตัลและเทคโนโลยีเพื่อรับฟังความคิดเห็นในระหว่างวันที่ ๑๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาพัฒนาและติดตามกฎหมายหรือร่างกฎหมายที่มีผลต่อการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สภาเภสัชกรรม ได้มีความเห็นต่อร่าง พระราชบัญญัติยา พ.ศ. …ฉบับ อย.- กระทรวงสาธารณสุข (วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑) สรุปความว่า (๑) อย.รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ แต่ไม่ได้นาหลักการตามที่เสนอมาแก้ไขปรับปรุง เลือกบางประเด็นมาแก้ไขปรับปรุง (๒) ไม่คุ้มครองความปลอดภัยต่อผู้บริโภคโดยใช้หลักการกฎหมายที่ผิด (๓) ไม่สนใจหลักการสมดุลและตรวจสอบในการจ่ายยา และ (๔) ไม่ให้ความสาคัญกับข้อเสนอของวิชาชีพเภสัชกรรมซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรง

ในที่นี้ ผู้เขียนขอ วิเคราะห์ร่าง พระราชบัญญัติยา พ.ศ… ฉบับ อย. (วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑) นส่วนบทบัญญัติที่มีปัญหาสมควรปรับปรุงแก้ไข เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาทบทวนแก้ไขกฎหมายของผู้ที่เกี่ยวข้อง..”

 

เอกสาร วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติยา พ.ศ. … ฉบับ อย 17 กค 61

ความเหลื่อมล้ำในน้ำนมแม่ และดราม่านมผง

ปี 2545 องค์การอนามัยโลก (WHO) มีข้อแนะนำในการเลี้ยงดูทารกให้กินนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน และควรให้กินนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น

ปี 2555 ที่ประชุมเวทีสมัชชาอนามัยโลกตั้งเป้าร่วมกันว่า ภายในปี 2568 เด็กทารกร้อยละ 50 จะต้องได้รับนมแม่ตลอดช่วง 6 เดือนแรก

ขณะที่ผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 2559 โดยองค์การยูนิเซฟ พบว่ามีเด็กทารกเพียง 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรก

ปี 2555 มีเพียง 12 เปอร์เซ็นต์

ปี 2548 มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์

เรียกได้ว่า ประเทศไทยมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก และต่ำที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

เราต่างรู้ดีว่า ‘นมแม่ดีที่สุด’

ทว่าด้วยอิทธิพลของโฆษณาและการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์นมผง กลับสร้างค่านิยมผิดๆ และกลายเป็นแรงโน้มน้าวให้คุณแม่มือใหม่ล้มเลิกความพยายามในการให้นมแม่

นี่จึงเป็นเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องมี พ.ร.บ.นมผง (Milk Code) เพื่อให้ทารกและเด็กเล็กได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม

พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 ไม่ได้กีดกันการจำหน่ายนมผง และไม่ได้ห้ามเด็กกินนมผง แต่เพื่อยับยั้งการส่งเสริมการตลาดและการโฆษณาที่อวดอ้างข้อมูลจนเกินจริง โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560

แม้กฎหมายฉบับนี้จะมีเจตนารมณ์เพื่อปกป้องคุ้มครองทั้งแม่และเด็ก ด้วยการห้ามโฆษณานมผงในทุกช่องทางการสื่อสารอย่างเด็ดขาด แต่อีกด้านหนึ่งก็ก่อให้เกิดความแคลงใจบางประการกับคำถามที่ตามมาว่า เช่นนี้แล้วจะเหลือที่อยู่ที่ยืนให้กับคุณแม่ที่จำเป็นต้องพึ่งพานมผงอย่างไร

 

ต้องนมแม่เท่านั้นหรือ?

ก่อนจะไปสู่ข้อสงสัยที่ว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะให้คุณให้โทษอย่างไร อาจจำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจกันอีกครั้งว่า นมแม่นั้นดียังไง?

แพทย์หญิงชมพูนุท โตโพธิ์ไทย หรือ ‘หมอปุ๊’ นายแพทย์ชำนาญการ สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ในฐานะคุณแม่วัยสาวขอยืนยันอีกครั้งว่า นมแม่นั้นดีที่สุด

“นมแม่คือสุดยอดอาหารสำหรับทารก น้ำนมแม่หยดแรกเป็นเสมือนวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันที่อาหารอื่นไม่สามารถให้ได้ และมีสารอาหารครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ในนั้น เด็กที่กินนมแม่จะแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันโรค การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงถือเป็นรากฐานของชีวิตก็ว่าได้” หมอปุ๊กล่าว

นอกเหนือจากคุณค่าสารอาหาร หมอปุ๊บอกอีกว่า การให้ลูกกินนมแม่ยังมีส่วนสำคัญต่อกระบวนการเลี้ยงลูกและการสร้างสายสัมพันธ์ เพราะระหว่างป้อนนม ‘เข้าเต้า’ เด็กจะได้รับการโอบกอด การสบตา การสัมผัส อันเป็นกระบวนการที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทั้งกายและใจของเด็ก

“การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนทุกคน ทุกประเทศ ทุกเผ่าพันธุ์ ทว่าด้วยคลื่นโลกาภิวัตน์และวิวัฒนาการทางสังคมที่เปลี่ยนไป จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่แม่ทุกคนจะสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ และไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีโอกาสได้กินนมแม่”

โดยเฉพาะในสังคมไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมค่อนข้างสูง คุณแม่ยุคใหม่ไม่สามารถอยู่เหย้าเฝ้าเรือนเหมือนในยุคเก่าก่อนได้อีกต่อไป บทบาทของคุณแม่ต้องเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงทำงาน มีสิทธิลาคลอดได้เพียง 3 เดือน ซ้ำร้ายหลายคนอาจใช้สิทธิลาคลอดได้ไม่นานก็จำเป็นต้องรีบกลับเข้าสู่สายพานการทำงาน เหตุเพราะขาดรายได้

นี่จึงเป็นข้อจำกัดของแม่ที่ไม่สามารถให้นมบุตรได้ และยังมีอีกหลายเหตุปัจจัย ไม่ว่าปัญหาสุขภาพร่างกาย ความเจ็บปวดหลังการผ่าตัด ความบีบคั้นทางเศรษฐกิจ สถานที่ทำงานไม่เอื้อต่อการให้นมบุตร และอีกตัวแปรคือ การรุกคืบของอุตสาหกรรมนมผง

ปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้นำไปสู่ปัญหาที่ทับซ้อนตามมาคือ ‘ความเหลื่อมล้ำในนมแม่’ ที่แม้เด็กทารกทุกคนจะเกิดมามีชีวิตเท่ากัน แต่กลับไม่สามารถเข้าถึงนมแม่ได้อย่างเท่าเทียม ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงนมแม่ จึงเป็นห่วงโซ่ที่ส่งผลพันผูกต่อคุณภาพชีวิตและการเติบโตของเด็กอย่างมีนัยสำคัญ

 

นมแม่สูตร 1-6-2

ตามคำแนะนำของ WHO ระบุไว้ว่า เด็กทารกทุกคนควรได้รับนมแม่อย่างเหมาะสมตามสูตร 1-6-2 ความหมายก็คือ

1 – ควรให้เด็กกินนมแม่ตั้งแต่ 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด

6 – ควรให้นมแม่อย่างเดียวตลอดช่วง 6 เดือนแรก โดยไม่ต้องเสริมอาหารอื่น แม้กระทั่งน้ำเปล่า เพราะในนมแม่มีปริมาณน้ำที่เพียงพอแล้ว

2 – ควรให้นมแม่ควบคู่กับอาหารที่เหมาะสมตามวัย ต่อเนื่องจนถึง 2 ขวบขึ้นไป หรืออาจมากกว่านั้น

“สูตร 1-6-2 อาจฟังดูเหมือนง่าย แต่ในทางปฏิบัติยังคงทำได้ยาก เพราะนอกจากแม่จะต้องแบกภาระในการทำงานนอกบ้าน คุณแม่มือใหม่ยังไม่มีความพร้อมในการเลี้ยงดู บางคนอาจจะยังอุ้มลูกไม่เป็น จะเอาลูกเข้าเต้าก็ทำไม่เป็น ทำให้คุณแม่จำนวนหนึ่งไม่สามารถให้นมลูกได้สำเร็จ ด้วยประสบการณ์และความเชื่อมั่นที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นจะต้องรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้กันอย่างต่อเนื่อง”

แพทย์หญิงชมพูนุทบอกอีกว่า คุณแม่มากกว่าครึ่งมักเข้าใจผิดว่าตัวเองนมไม่พอ เมื่อไม่พอจึงต้องหานมอื่นมาเสริม ซึ่งเป็นการเสริมนมโดยไม่จำเป็น ทั้งที่จริงยังมีโอกาสที่จะกระตุ้นน้ำนมได้ แต่โอกาสนั้นก็หลุดลอยไปเมื่อมีทางเลือกอื่นที่ง่ายกว่า

 

เทรนด์คุณแม่ยุคใหม่บนความเข้าใจที่ผิดเพี้ยน

ปัญหาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มิใช่เกิดขึ้นเฉพาะแม่ที่ไม่สามารถให้นมบุตรได้ หากความเข้าใจเรื่องนมแม่ยังมีความผิดเพี้ยนในอีกบางมิติ ทุกวันนี้แม้ว่าสังคมไทยจะเริ่มเห็นความสำคัญของนมแม่มากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็มีวิธีปฏิบัติที่ผิดทิศผิดทาง

แพทย์หญิงชมพูนุทระบุว่า สายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการโอบกอด การสัมผัส และไออุ่นจากแม่ แต่บางคนอาจตีความแค่ว่าให้ลูกได้กินน้ำนมของแม่ก็เพียงพอแล้ว คุณแม่ส่วนหนึ่งจึงไม่เอาลูกเข้าเต้า แต่หันไปปั๊มน้ำนมเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง แล้วค่อยป้อนผ่านขวด

“สิ่งที่ขาดหายไปก็คือกระบวนการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก แม้ลูกจะได้สารอาหารครบถ้วน แต่ไม่ได้สายสัมพันธ์ ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงอาจไม่เต็มร้อย

“ถ้าติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย เราอาจเห็นคุณแม่จำนวนหนึ่งพยายามปั๊มนมเก็บสำรองไว้และคาดหวังที่จะมีนมแช่เป็นตู้ๆ แต่จริงๆ แล้ววิธีที่ถูกต้องที่สุดคือ ‘Breastfeeding’ หมายถึงการป้อนนมจากอกของแม่ เพื่อให้เด็กได้รับทั้งสารอาหารและสายสัมพันธ์” หมอปุ๊กล่าว

แนวโน้มที่น่ากังวลคือ เรื่องนี้กลับกลายเป็นเทรนด์ของคุณแม่ยุคใหม่ จริงอยู่ว่าคุณแม่จำเป็นต้องทำงานนอกบ้าน จึงต้องปั๊มนมเก็บไว้ แต่หากเมื่อไหร่มีเวลาอยู่กับลูก หมอปุ๊แนะนำว่าควรให้ลูกเข้าเต้า แต่คุณแม่ยุคปัจจุบันแม้อยู่กับลูกก็ไม่เข้าเต้า ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความรีบเร่งในชีวิตประจำวัน

 

จุดอ่อนนมแม่และทัศนคตินมผง

อีกประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อนมแม่คือ ปัญหาด้านทัศนคติและความเชื่อในสังคม หมอปุ๊ให้ข้อสังเกตว่า หากมองย้อนกลับไปเมื่อราว 50 ปีก่อน การใช้นมผงแทนนมแม่ถือเป็นเรื่องปกติในความเข้าใจของคนทั่วไป

“จริงอยู่ว่านมผงก็มีประโยชน์ทดแทนนมแม่ได้ แต่เป็นไปได้ไหมที่จะยื้อเวลาให้เด็กได้กินนมแม่ต่อสัก 6 เดือน แทนที่จะเปลี่ยนใจไปใช้นมผงก่อนเวลาอันควร”

หมอปุ๊มองว่า ทัศนคติในการใช้นมผง ส่วนหนึ่งเกิดจากอิทธิพลของโฆษณาและการส่งเสริมการตลาดที่พยายามเข้าถึงการรับรู้ของคนในสังคมทุกช่องทาง ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย หากยังเกิดกับแทบทุกประเทศ

“นมแม่นั้นดี แต่จุดอ่อนที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ หลังคุณแม่คลอดแล้ว หากไม่มีการกระตุ้นน้ำนมภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง น้ำนมแม่ก็จะไม่ไหล หรือหากกระตุ้นไม่เพียงพอ น้ำนมแม่ก็จะไหลน้อย กระทั่งหยุดไหล

“เมื่อนมแม่มีจุดอ่อนเช่นนี้แล้ว กลยุทธ์การตลาดจึงอาศัยช่องว่างนี้โดยการเอานมผงมาแจกให้ฟรี เพื่อให้นำไปใช้ป้อนเด็กในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เมื่อเด็กได้รับนมผงแล้ว เด็กก็อิ่ม และไม่ยอมดูดนมแม่ นมแม่จึงไม่ถูกกระตุ้นและแห้งไปในที่สุด”

ที่ผ่านมากลยุทธ์การตลาดของอุตสาหกรรมนมผงจึงมีทั้งการลด แลก แจก แถม รวมถึงการฝากนมผงให้กับโรงพยาบาลหรือสถานบริการสุขภาพในลักษณะของการบริจาค เพื่อให้คุณแม่ได้นำไปทดลองใช้

“การลงทุนแจกนมผงฟรีในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังคลอด ทำให้กระบวนการกระตุ้นน้ำนมของคุณแม่ถูกตัดตอนไปและแห้งไปในที่สุด หลังจากนั้นคุณแม่ก็ต้องพึ่งนมผงไปตลอด นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากของบริษัทนมผง”

 

 

เมื่อเด็กไม่มีสิทธิเลือก

ปี 2524 WHO และองค์การยูนิเซฟ ได้เชิญตัวแทนจากประเทศต่างๆ รวมทั้งภาคประชาสังคม และบริษัทผู้ผลิตนมผงรายใหญ่ มาร่วมเจรจาหากรอบแนวทางที่เหมาะสมในการโฆษณาและการส่งเสริมการตลาดนมผงและอาหารเสริมสำหรับเด็ก เพื่อไม่ให้เป็นการตัดโอกาสเด็กในการได้รับนมแม่

กระทั่งสมัชชาอนามัยโลก (World Health Assembly: WHA) ได้ออกหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast-milk Substitutes) หรือ ‘Milk Code’ ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกได้ยอมรับในหลักเกณฑ์นี้ และประกาศใช้ในปี 2527

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่า ยังมีผู้ผลิตและผู้ประกอบการต่างๆ ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นี้ โดยมีการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุที่ยังไม่มีเงื่อนไขข้อบังคับและบทลงโทษชัดเจน ปัญหานี้จึงนำมาสู่การผลักดันเป็นกฎหมายฉบับล่าสุดคือ พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 หรือเรียกง่ายๆ ว่า ‘พ.ร.บ.นมผง’ โดยมีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นการให้ข้อมูลที่โอ้อวดหรือจูงใจให้ซื้อโดยไม่จำเป็น

“เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.นมผง เพื่อปกป้องสิทธิของทารกและเด็กเล็กให้ได้รับอาหารที่ดีและเหมาะสมต่อการเลี้ยงดู เพราะทารกคือประชากรกลุ่มเปราะบาง เขาไม่สามารถเลือกอาหารเองได้ คนที่เลือกให้เขาคือคุณแม่และครอบครัว ฉะนั้น สิ่งที่แม่และครอบครัวควรได้รับคือ ข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอต่อการตัดสินใจ”

กฎเหล็กนมผง

แพทย์หญิงชมพูนุทอธิบายถึงสาระสำคัญของกฎหมายนมผงว่า จุดมุ่งหมายจะเน้นไปที่การควบคุมผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารทารกและเด็กเล็กให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม โดยมีมาตรการที่สำคัญ 2 ส่วนหลักๆ คือ 1) ควบคุมการโฆษณาและการส่งเสริมการตลาดต่อสาธารณะ 2) ควบคุมการโฆษณาและการส่งเสริมการตลาดผ่านสถานบริการสาธารณสุข

รายละเอียดที่สำคัญคือ ห้ามมีการโฆษณาโดยเด็ดขาด ได้แก่ มาตรา 14 ห้ามโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารทารก (วัยแรกเกิดถึง 1 ขวบ) และเด็กเล็ก (1-3 ขวบ) และมาตรา 25 ห้ามโฆษณาอาหารเสริมสำหรับทารก นอกจากนี้ยังห้ามผู้ใดก็ตาม ทั้งดารา เซเล็บ ก็ไม่สามารถเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาได้

มาตรา 18 ห้ามใช้กลยุทธ์ลด แลก แจก แถม เช่น การให้คูปองส่วนลด การจัดโปรโมชั่นจูงใจ แจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง ซื้อ 3 แถม 1 หรือลดราคาได้ แต่ห้ามติดป้ายประกาศ รวมทั้งห้ามติดต่อกับหญิงมีครรภ์และคนในครอบครัวที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ เป็นต้น

“กฎหมายไม่ได้ห้ามลดราคาแบบถาวร เรายังเชื่อว่า นมผงไม่ใช่ยาพิษ นมผงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อเด็กที่ไม่สามารถกินนมแม่ได้ ฉะนั้น ในเด็กที่ยังจำเป็นต้องใช้ก็ควรหาซื้อได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป”

นอกจากนี้ มาตรา 22 ห้ามบริษัทนมผงสาธิตการใช้อาหารทารกและเด็กเล็กในทุกที่ เพราะการให้ข้อมูลความรู้จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของบุคลากรสาธารณสุขเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในมาตรา 16 กฎหมายยังเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถให้ข้อมูลได้เท่าที่ปรากฏอยู่บนฉลากซึ่งผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วเท่านั้น

ขณะเดียวกัน มาตรา 15 ว่าด้วยเรื่องฉลากอาหารสำหรับทารก และฉลากอาหารสำหรับเด็กเล็ก จะต้องมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน สามารถแยกแยะจากอาหารอื่นได้โดยง่าย เนื่องจากที่ผ่านมาสร้างความสับสนแก่ผู้บริโภคค่อนข้างมาก

สำหรับมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสถานบริการสาธารณสุข อาทิ มาตรา 23 ห้ามบริจาคอาหารทารกและเด็กเล็กแก่หน่วยบริการสาธารณสุข ยกเว้นในกรณีจำเป็นสามารถบริจาคให้ได้สำหรับเด็กทารกที่มีความต้องการพิเศษหรือเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์ มาตรา 19 การให้อุปกรณ์สิ่งของแก่หน่วยบริการ จะต้องไม่มีตราสัญลักษณ์สินค้าหรือทำให้เกิดการส่งเสริมการตลาดที่เชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ และมาตรา 20 ห้ามให้สิ่งของ สิ่งจูงใจ แก่บุคลากรสาธารณสุข ยกเว้นให้ตามประเพณีหรือธรรมจรรยา ในราคาไม่เกิน 3,000 บาท

มาตรา 17 และมาตรา 29 ได้กำหนดว่า การให้ข้อมูลแก่บุคลากรสาธารณสุขจะต้องมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ประกอบ และมาตรา 21 เรื่องการสนับสนุนการจัดประชุมวิชาการ บริษัทสามารถสนับสนุนได้เฉพาะทุนให้แก่องค์กรวิชาชีพด้านสาธารณสุข และสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับแม่และเด็ก

หลัง พ.ร.บ.นมผง มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560 ยังมีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข 9 ฉบับ เพื่อเติมเต็มรายละเอียดข้อบังคับให้มีความสมบูรณ์และกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งการรับเรื่องร้องเรียน การเอาผิดผู้ละเมิดกฎหมาย การเฝ้าระวังและกำกับติดตาม

 

ราคาที่ต้องจ่าย

นมผงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธสำหรับผู้ที่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ และสิ่งที่ต้องยอมรับคือรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น หมอปุ๊กล่าวถึงงานศึกษาวิจัยเปรียบเทียบเรื่องรายจ่ายจากการใช้นมผง พบว่า ภาระของคุณแม่จะตกอยู่ที่ราวๆ 4,000 บาทต่อเดือน ขณะเดียวกัน มีการศึกษาเปรียบเทียบอีกว่า กรณีผู้ที่มีฐานะเศรษฐกิจระดับปานกลาง จะเสียค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกด้วยนมผงสูงถึง 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมดต่อเดือน ยังไม่รวมค่าผ้าอ้อมสำเร็จรูป และค่าอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นตามมา

“จะสังเกตได้ว่า ผลิตภัณฑ์นมผงที่วางจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดถูกแบ่งเป็นหลายเกรด แต่ละสูตรจะมีการโฆษณาว่าได้เติมสารอาหารแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป และการเติมยังทำให้มีมูลค่าเพิ่ม สามารถขายแพงขึ้นได้ เพราะแม่ก็อยากจะซื้ออะไรที่คิดว่าดีกว่าหรือดีที่สุดให้ลูกตัวเองอยู่แล้ว ทั้งที่ความจริงแล้วเราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่า นมผงในราคาที่แพงกว่าจะดีกว่าเสมอไป เพราะสูตรการเติมสารอาหารต่างๆ เป็นความลับทางการค้า ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมาเปรียบเทียบว่าของใครดีกว่าใคร หรือต่างกันมากน้อยแค่ไหน

“คนส่วนหนึ่งอาจเข้าใจผิดว่า พ.ร.บ.นมผง เป็นกฎหมายที่ตอกย้ำความล้มเหลวของคุณแม่ที่ไม่สามารถให้นมลูกได้ ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยใจและเกิดแรงต่อต้าน ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากกฎหมายนี้ไม่ใช่คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่คือแม่ที่จำเป็นต้องเลี้ยงลูกด้วยนมผง เพราะจะได้รับการปกป้องจากข้อมูลที่ถูกต้องมากขึ้น และช่วยให้ตัดสินใจได้ว่าคุ้มค่าแค่ไหนกับราคาที่ต้องจ่าย ไม่ใช่ว่าต้องจ่ายทุกเดือน เดือนละ 4,000 บาท กับนมผงที่เขาคิดว่าดีเลิศ แต่คุณสมบัติกลับไม่ต่างจากนมผงราคา 2,000 บาท”

เช่นเดียวกัน สำหรับคุณแม่ที่มีความยากลำบากในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถ้าตราบใดที่ยังไม่ถูกชักจูงให้รู้สึกว่ามีทางเลือกอื่น ก็จะยังมีความมุ่งมั่นในการให้นมแม่ต่อไปในช่วงระยะเวลายาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

หมอปุ๊ย้ำอีกครั้งว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้บังคับว่า เด็กทุกคนห้ามกินนมผง เพราะต้องยอมรับว่าในชีวิตจริงบางคนอาจจะเลือกไม่ได้ ประกอบกับปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมไม่เอื้อให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คุณแม่จำนวนหนึ่งจึงจำเป็นต้องพึ่งนมผง

“นมผงไม่ใช่ยาพิษ นมผงเป็นอาหารที่มีประโยชน์ แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ วิธีโฆษณาและการส่งเสริมการตลาดที่บิดเบือนจนเกินข้อเท็จจริง”

นี่คือคำแนะนำจากหมอปุ๊-คุณแม่ยังสาว ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดีต่อแม่และเด็กทุกคน

ไขข้อสงสัย ‘ไขมันทรานส์’

ควันหลงจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการห้ามผลิต ห้ามจำหน่าย ห้ามนำเข้า ผลิตภัณฑ์ที่มี ‘ไขมันทรานส์’ ยังคงสร้างความสับสนคลุมเครืออยู่ไม่น้อย ทั้งข่าวลือข่าวลวงที่แพร่สะพัดอยู่ตามโซเชียลมีเดีย ขณะเดียวกัน การให้ข้อมูลความรู้แก่สังคมยังคงมีอยู่อย่างจำกัด

ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการไขข้อสงสัยเกี่ยวกับไขมันทรานส์ให้กระจ่างอีกครั้ง คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดเสวนาในหัวข้อ อยู่อย่างไรในยุค (เกือบ) ไร้ไขมันทรานส์’ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมี รองศาสตราจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ จากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ

อาจารย์เจษฎาเปิดประเด็นว่า “ตามความเข้าใจของคนทั่วไปที่บอกว่าเรากำลังถูกทำให้อยู่ในยุคไร้ไขมันทรานส์ แต่ในความจริงเราแค่ ‘เกือบ’ เท่านั้น และในฐานะที่ทำงานด้านการสื่อสารเผยแพร่ความรู้ไปด้วย คำถามที่ผมถูกถามมาตลอดก็คือ น้ำมันพืชกับน้ำมันหมู ตกลงน้ำมันชนิดใดดีกว่า?”

เป็นคำถามที่ฟังดูง่าย แต่อธิบายค่อนข้างยาก ซึ่งคำตอบของเจษฎาก็คือ ไม่ว่าน้ำมันชนิดใดก็ตาม แต่ไขมันทรานส์อันตรายที่สุด

ก่อนหน้านี้อาจารย์เจษฎาพยายามทำคลิปวิดีโอเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่การรับรู้ในหมู่ประชาชนทั่วไปยังนับว่าน้อยมาก จนกระทั่งวันที่ 13 กรกฎาคม 2561 ได้มีประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และให้มีผลอีก 6 เดือนข้างหน้า ผู้คนจึงเริ่มตื่นตัว แต่เป็นการตื่นตัวชนิดที่เรียกว่า แตกตื่นผสมไปกับความกลัว มากกว่าจะเป็นการตื่นตัวเพื่อจะเรียนรู้ ว่าอาหารหรือขนมชนิดใดบ้างที่สามารถรับประทานได้ และจริงๆ แล้วไขมันทรานส์คืออะไรกันแน่

เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วินเนอร์กรุ๊ป เอ็นเตอร์ไพรซ์ จำกัด เจน วองอิสริยะกุล ตอบคำถามของเจษฎาที่ตั้งคำถามจากความตระหนกที่ว่านี้ว่า เราจะใช้ชีวิตกันอย่างไร?

“จริงๆ บริษัทของผมเองอยู่ใน 3 สถานะด้วยกันก็คือ ผู้นำเข้า จัดจำหน่าย และผลิต ไว้ใช้ในผลิตภัณฑ์เบเกอร์รี ส่วนตัวก็ต้องทานขนมปัง เค้ก ทดสอบอยู่ทุกวัน เพื่อว่าจะดูว่าสูตรไหนดีไม่ดี” เจนบอกเล่าถึงภารกิจที่ตนเองรับผิดชอบ รวมถึงบทบาทของบริษัทในฐานะผู้นำเข้าชอตเทนนิ่ง (Shortening) หรือ เนยขาว และมาการีน ก่อนจะอธิบายถึงลักษณะของไขมันทรานส์ว่า

“ไขมันที่ผ่านกระบวนการ PHOs (partially hydrogenated oils) หรือกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงไป มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการจับตัวแข็ง เพื่อเอาไปใช้ผลิตสินค้าสำเร็จรูป อย่างเช่นครีมเทียม ชอตเทนนิ่ง ซึ่งเบเกอร์รีทั้งหมดต้องมีส่วนผสมเหล่านี้ เท่าที่ผ่านมามีการวิเคราะห์ออกมาแล้วว่าไขมันทรานส์มีผลเสียแก่ร่างกาย อเมริกาก็ประกาศตั้งแต่ปี 2558 ให้เวลาปรับตัว 3 ปี เพิ่งมีผลเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ซึ่งเราเองก็มีความระมัดวังเช่นกัน จึงเร่งถามไปยังผู้ผลิตว่าโรงงานของคุณมีกระบวนการผลิตแบบ PHOs หรือเปล่า?”

คำตอบที่เจนได้รับจากโรงงานคือ ไม่มีกระบวนการผลิตแบบ PHOs แต่อย่างใด นอกจากนี้เจนกล่าวอีกว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการสุ่มตรวจบริษัทในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารมาตลอด 2 ปี นับตั้งแต่ที่อเมริกามีการประกาศเรื่องไขมันทรานส์ ดังนั้น เมื่อกระทรวงสาธารณสุขมีประกาศอย่างเป็นทางการ ทางบริษัทของเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะมีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว หากแต่ผู้บริโภคต่างหากที่ตื่นตระหนก ส่งผลให้ยอดขายเบเกอร์รีตกลงไป 50 เปอร์เซ็นต์ ในวันแรกหลังมีประกาศกระทรวง

“เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เราจึงต้องติดประกาศไว้ที่หน้าร้านว่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเราทุกชนิดไม่ได้ผ่านกระบวนการ PHOs ที่เป็นต้นเหตุให้เกิดไขมันทรานส์ เราจึงสามารถบอกกับผู้บริโภคได้อย่างสบายใจ”

ขนิษฐา ธนานุวงศ์

ธรรมชาติของไขมัน

คำถามข้อต่อมาว่า ผู้บริโภคควรระวังไขมันประเภทต่างๆ อย่างไรบ้าง รองศาสตราจารย์ขนิษฐา ธนานุวงศ์ หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ให้คำตอบว่า โดยธรรมชาติของไขมันแล้วแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ไขมันอิ่มตัวกับไขมันไม่อิ่มตัว

“ในการเปลี่ยนไขมันบางประเภทให้เหมาะกับการใช้งาน จริงๆ แล้วเกิดขึ้นจากประเทศในซีกโลกตะวันตก เนื่องจากพืชที่ปลูกได้ดีในประเทศเหล่านั้นจะไม่เหมือนบ้านเรา บ้านเราเป็นน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับใช้ทอด แต่ถ้าเป็นอเมริกา ยุโรป พืชน้ำมันหลักๆ ของเขาจะเป็นถั่วเหลือง ซึ่งไม่ได้มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงเท่าน้ำมันปาล์ม เพราะฉะนั้นจึงมีการดัดแปลงน้ำมันถั่วเหลืองให้มีความเหมาะสมในการใช้งานได้หลากหลายขึ้น คือต้องเติมไฮโดนเจนเข้าไปในโมเลกุล ซึ่งก็คือที่มาของกระบวนการที่เรียกว่า Hydrogenation”

กล่าวโดยสรุปได้ว่า ในภูมิภาคเอเชียและประเทศไทยมีทั้งมะพร้าว ปาล์ม อันเป็นแหล่งพืชน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวค่อนข้างมาก การปรับปรุงคุณสมบัติด้วยการเติมไฮโดรเจนบางส่วนจึงมีน้อยกว่าในซีกโลกตะวันตก

ทางด้านเจษฎากล่าวเสริมว่า ทั้งไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวที่มีกระบวนการ Hydrogenation จะต้องระวังไขมันทรานส์ที่มาจากการเติมไฮโดรเจนเข้าไปบางส่วน เช่น เนยเทียม มาการีน และหากผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนเข้าไปจนเต็มแล้ว สิ่งที่ต้องระวังต่อมาก็คืออันตรายที่เกิดจากไขมันอิ่มตัว

เจน วองอิสริยะกุล และ นุชนาถ สุขมงคล ตัวแทนผู้ประกอบการ

ในมุมมองของผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการประกอบอาหาร นุชนาถ สุขมงคล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มรกต อินดัสตรี้ส์ จำกัด (มหาชน) อธิบายเสริมต่อว่า โดยความเข้าใจทั่วไปเมื่อได้ยินคำว่าน้ำมันที่ผ่านกระบวนการก็จะเกิดความเข้าใจผิดๆ เมื่อไปอ่านฉลากบนขวดผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าผ่านกรรมวิธีแล้วเข้าใจว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

“จริงๆ แล้วน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธีในท้องตลาดที่เราเห็นๆ จะเรียกว่าการผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์ และผ่านกระบวนการกรอง เพื่อแยกของเหลวและของแข็งออกจากกัน เพราะฉะนั้นน้ำมันปาล์มที่ผลิตอยู่ในตลาดทั่วไปจึงมีไขมันทรานส์ แต่มีในปริมาณที่น้อยมาก สามารถพูดได้ว่าตัวผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชมีทรานส์น้อยมากจนถึงไม่มีเลย”

ทว่าน้ำมันอีกประเภทที่มีการพูดถึงกันจนเป็นกระแส คือ น้ำมันที่ผ่านกระบวนการ Hydrogenation ซึ่งในที่นี้ไม่ใช่กระบวนการเติมไฮโดรเจน แต่เป็นกระบวนการเผาไหม้ไขมันให้ได้จุดหลอมเหลวตามที่ต้องการ หรือการเติมโอโดรเจนเข้าไปบางส่วนเพื่อให้ได้มาการีนตามที่ต้องการ เพื่อนำไปผลิตขนมปัง ขนมเค้ก ในการขึ้นรูปตามที่ต้องการได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้หมายความว่า ชอตเทนนิ่งหรือมาการีน จะมีไขมันทรานส์เสมอไป

นอกจากนี้ ด้วยความที่ประเทศไทยมีน้ำมันปาล์มมากอยู่แล้ว ผลิตภัณฑ์จำพวกเชตเทนนิ่งและมาการีน จึงไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ PHOs ทุกๆ ผลิตภัณฑ์

ณัฐธิดา โชติช่วง

เลือกไขมันอย่างไรให้อิ่มสุขภาพ

จากมุมมองด้านโภชนาการ ณัฐธิดา โชติช่วง อาจารย์สาขาโภชนาการอาหาร ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า เราไม่ควรบริโภคอาหารที่น้อยเกินไปหรือสูงเกินไป เช่นเดียวกับปริมาณของไขมัน โดยไขมันอิ่มตัวสูงนั้นให้พลังงานมากอยู่แล้ว นอกจากไขมันอิ่มตัวจากพืช จำพวกปาล์ม มะพร้าว ยังมีไขมันจากสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเรสเตอรอลสูง ยกเว้นบางชนิด เช่น ปลาที่มีไขมันไม่อิ่มตัวและเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

“หน้าที่ของไขมันนอกจากให้พลังงานแก่ร่างกายแล้วยังเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ต่างๆ ช่วยการขนส่งและดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน และยังเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย แต่การรับประทานไขมันมากเกินไปจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ อย่างโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วน โรคความดัน แต่ถ้ารับประทานน้อยไปก็ไม่เกิดผลดีเช่นกัน

“หากเรารับประทานไขมันน้อยไปอาจจะมีผลต่อผิวหนัง รวมถึงระบบทำงานต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากไขมันเป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนต่างๆ โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศที่ใช้สารตั้งต้นจากคอเรสเตอรอล โดยปริมาณของไขมันที่ควรได้รับในแต่ละวัน อยู่ที่ร้อยละ 44 กรัมของปริมาณที่ได้รับ หรือประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ซึ่งปริมาณนี้อาจดูเหมือนเยอะ แต่ที่จริงเป็นแค่ไขมันในสารตั้งต้น ไม่ใช่ไขมันในจำนวนอาหารทั้งหมด”

นอกจากนี้ ไขมันที่ควรเลือกรับประทาน ควรจะเน้นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันที่มีโอเมก้า 3 โอมาก้า 6 ซึ่งมีการศึกษาแล้วว่าการรับประทานไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้จะช่วยลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดต่างๆ ด้วย

ทั้งนี้ ในน้ำมันถั่วเหลืองจะมีสัดส่วนไขมันโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 หากรับประทานมากไปก็จะส่งผลให้เกิดการอักเสบในร่างกายขึ้น ดังนั้น จึงควรรับประทานให้เหมาะสมระหว่างโอเมก้า 3 หนึ่งส่วน โอเมก้า 6 ไม่เกินสี่ส่วน กล่าวให้จำเพาะกว่านั้นคือ ควรรับประทานไขมันที่มีโอเมก้า 3 มากกว่า ซึ่งผู้บริโภคสามารถสังเกตได้จากฉลากข้างขวดผลิตภัณฑ์น้ำมันต่างๆ ว่ามีปริมาณโอเมก้าอยู่ที่จำนวนเท่าไร เพื่อเลือกรับประทานให้เหมาะสม ไม่ให้มากหรือน้อยจนเกินไป

รู้จักกฎหมาย ‘นมผง’ (Milk Code)

ปี 2545 องค์การอนามัยโลก (WHO) มีคำแนะนำในการเลี้ยงดูทารกให้กินนมแม่อย่างเดียวตลอดช่วง 6 เดือนแรก และกินนมแม่ต่อเนื่องถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น

ปี 2555 ที่ประชุมเวทีสมัชชาอนามัยโลกตั้งเป้าร่วมกันว่า ภายในปี 2568 เด็กทารกร้อยละ 50 จะต้องได้รับนมแม่ตลอดช่วง 6 เดือนแรก

ขณะที่ผลสำรวจของประเทศไทยในปี 2559 มีเด็กทารกเพียง 23 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรก

เราต่างรู้ดีว่า ‘นมแม่ดีที่สุด’

ทว่าด้วยอิทธิพลของโฆษณาและการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์นมผง กลับสร้างค่านิยมผิดๆ และกลายเป็นแรงโน้มน้าวให้คุณแม่มือใหม่ล้มเลิกความพยายามในการให้นมแม่

นี่จึงเป็นเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องมี พ.ร.บ.นมผง (Milk Code) เพื่อให้ทารกและเด็กเล็กได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม

พ.ร.บ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 2560 ไม่ได้กีดกันการจำหน่ายนมผง และไม่ได้ห้ามเด็กกินนมผง แต่เพื่อยับยั้งการส่งเสริมการตลาดและการโฆษณานมผงที่อวดอ้างข้อมูลจนเกินจริง โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2560

 

นวัตกรรมเภสัชอัจฉริยะ

เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยึใหม่ได้เข้ามามีบทบาทต่อทุกส่วน ในส่วนที่เกี่ยวกับเภสัช คงไม่อาจเลี่ยงได้ บรรดาเภสัชอัจฉริยะเหล่านี้ บางอันอาจยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ชี้ว่ามีแนวทางที่จะเกิดขึ้นต่อไป และใช้จริง อีกไม่นาน ไอโอที เอไอ บิ๊กดาต้า โรบอต ทรีดีปริ้นติ้ง ฯ คงค่อยๆทยอยมาในงานเภสัชฯ ตัวอย่างเช่น

1) เครื่องจ่ายยาอัจฉริยะประจำบ้าน  โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

https://news.thaipbs.or.th/content/268099

2)  เตือนภัยอัจฉริยะ  โดย ระบบหน้าต่างเตือนภัยสุขภาพ  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

http://www.tumdee.org/alert/

3) กล่องยาอัจฉริยะ

4) ฉลากยาอัฉริยะ โรงพยาบาลค่ายกาวิละ

ฉลากยาอัจฉริยะ (Kawila Smart Labels)

5) หุ่นยนต์จัดยาอัจฉริยะ

https://www.vejthani.com/web-thailand/Vial-Filling-Systems-EV-220.php

6) ระบบคิวอัจฉริยะ (ระบบจัดคิวพบแพทย์อัจฉริยะ )

7) เม็ดยาอัจฉริยะ

http://www.vcharkarn.com/vnews/151834

 

เภสัชกร วิทยา กุลสมบูรณ์

รวบรวม