ขนตาแอลอีดี กับ Hills Criteria


การนิยามคำว่า “สินค้าไม่ปลอดภัย” สำหรับราชการมักจะมีความจำกัด เนื่องด้วยหน่วยงานราชการด้านการคุ้มครองผู้บริโภคมิได้ใช้องค์ความรู้ด้าน “ความสัมพันธ์ของอันตรายเชิงสาเหตุ”  (Causal Relationship) ความรู้ดังกล่าวเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งที่มีในวิชาระบาดวิทยา (Epidemiology) ซึ่งหลักการนี้นำเสนอโดย Austin Bradford Hill ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคจำนวนมาก เช่น มะเร็งปอด ซึ่งเรียกกันต่อมาว่า Hills criteria of causation

หลักสำคัญประการแรก ที่ใช้เป็นเกณฑ์พิจารณาว่า ปัจจัยใดสัมพันธ์และอาจเป็นเหตุแห่งอาการ หรือความเจ็บป่วย หรือโรค หรือความไม่ปลอดภัย หรืออันตราย ประกอบด้วย ความเป็นไปได้ทางชีววิทยา (Biological plausibility) หรือความสามารถที่จะอธิบายได้ทางหลักวิทยาศาสตร์ในระดับหนึ่ง เช่น มีเหตุผลที่จะอธิบายได้ว่า แสงแอลอีดี มีผลต่อดวงตา เพราะแสงที่มีความสว่างมาใกล้ชิดดวงตา มีการเปิดและปิด กระพริบ และติดอยู่ขอบตาที่ใกล้บริเวณดวงตา ซึ่งปกติวิสัยแล้วคนทั่วไปไม่ทำกัน

หลักประการที่สอง คือ Time Consequence หรือ Temporal Relationship ข้อนี้อธิบายว่า ผลที่เกิดขึ้นต้องเกิดหลังเหตุ หากผู้ที่ได้รับอันตรายใดๆ มีเหตุมาก่อนหน้า เช่น เป็นโรค หรืออาการมาก่อนแล้ว และมารับปัจจัยภายหลัง ย่อมไม่มาจากเหตุหรือปัจจัยที่มาสัมผัส หากคนใช้ ขนตาแอลอีดี มีโรคตาบางอย่างที่ผิดปกติมาก่อน ย่อมไม่เกิดจากขนตาแอลอีดี เป็นต้น

หลักประการที่สาม คือ Consistency หมายความว่าถ้าเกิดความผิดปกติกับคนใดคนหนึ่ง ย่อมจะเกิดได้กับคนอื่นๆเช่นกัน ซึ่งหากเกิดขึ้นกับคนเพียงคนเดียว หรือคนจำนวนน้อยมาก ก็อาจจะทำให้ข้อสนับสนุนที่จะตีกลับว่าความผิดปกติเกิดจากปัจจัยดังกล่าวลดลง แต่กรณีนี้ก็ไม่ถูกทั้งหมด เพราะปัจจัยเสี่ยงบางอย่างก่ออันตรายโดยไม่เกิดกับทุกคน จึงมีการพิจารณาเรื่องจำนวนบุคคลที่เกิดอันตรายต่อจำนวนประชากรที่รับสัมผัส หรือที่เรียกว่า “ความชุก” (prevalence) ของการเกิดโรคในกลุ่มรับสัมผัส (Population of Risk) เป็นต้น

หลักประการที่สี คือ Strength of Association หรือ ความแข็งแรงของความสัมพันธ์ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลายประการที่มักจะเกียวข้องกัน รูปแบบวิธีการศึกษา เช่น ออกแบบการศึกษาวิจัยเป็นแบบใด ศึกษาจากเหตุไปหาผลที่เกิด หรือ ศึกษาจากผลย้อนกลับไปหาเหตุ หรือ ศึกษาแบบคู่ขนาน แบบตัดขวาง หรือแบบทดลอง เป็นต้น การวิเคราะห์ผลความสัมพันธ์เชิงสถิติ การจัดการที่เกี่ยวกับการลดอคติ การศึกษาความเป็นไปได้ทางสถิติที่เกิดอาการผิดปกติ หรืออันตราย เป็นต้น รวมไปถึงขนาดของปัจจัยเสี่ยง เช่น ความแรงของแสงที่จะมีผล และระยะเวลาที่ให้สัมผัส ก็สามารถนับรวมอยู่ในข้อนี้ได้ หลักเกณฑ์ข้อนี้มักจะใช้กับสาเหตุและผลที่อาจเป็นข้อกังขา จึงจำเป็นต้องทำการวิจัยเพื่อตอบคำถาม และให้ได้ข้อสรุป เช่น ยาพีพีเอมีผลต่อเส้นเลือดแตกในสมองจริงหรือไม่ คลื่นโทรศัพท์มือถือมีผลต่อ ความผิดปกติของสมองเด็กหรือไม่ เป็นต้น

หลักเกณฑ์ข้อสุดท้าย เป็นหลักเกณฑ์ที่ง่ายที่สุดคือ Specificity ที่ว่าง่ายคือพิสูจน์ได้ เมื่อให้เหตุปัจจัยไปสัมผัสแล้วเกิดอันตราย (Challenge) หรือเอาเหตุปัจจัยออกอันตรายก็ลดลง (De-challenge) หรือเมื่อให้เหตุปัจจัยไปอีกก็เกิดขึ้นอีก (Re-challenge) หลักเกณฑ์ข้อนี้เห็นชัดเจน คนธรรมดาก็รู้ได้ แต่ในหลายกรณีทำไม่ได้ เช่น ให้เหตุปัจจัยแล้วทำให้ตาย ให้เหตุปัจจัยแล้วทำให้พิการ หรือเกิดอาการที่ไม่สามารถจะกลับคืนสภาพเดิมได้อีก บรรดาการทดลองที่กระทำโดยรับรู้ว่าปัจจัยนำเข้ามีอันตรายก็ไม่สามารถกระทำได้ ถือว่าละเมิดหลักจริยธรรม

ในบรรดา 5 หลักเกณฑ์ หากจะนำมาตัดสินใจเกี่ยวกับการพิจารณาว่า แอลอีดี ที่มาติดอยู่บนขนตา และทำเป็นสินค้าขายให้แก่ประชาชนทั่วไป มีโอกาสเกิดอันตรายและจัดเป็นสินค้าไม่ปลอดภัยได้หรือไม่ อาจพิจารณาได้จาก 5 องค์ประกอบไปพร้อมกันตามความเหมาะสม

(1) มีความเป็นได้ว่าแสงจากแอลอีดีเมื่อกระทบต่อตา ย่อมจะเกิดผลกระทบได้ไม่มากก็น้อย เพราะไม่ใช่ภาวะปกติ หรือภาวะที่พึงควรสำหรับมนุษย์ทั่วไปที่จะใช้ขนตาชนิดดังกล่าว

(2) หากจะพิสูจน์ว่าเกิดผิดปกติหลังจากใช้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ถ้าพิจารณาจากความผิดปกติ เช่น การมองเห็นชั่วคราว ความรู้สึกระคายเคือง อาจจะทราบได้ทันที แต่หากพิจารณา เรื่อง ตาต้อ และอื่นๆที่ต้องการเวลาระยะยาว ก็จะลำบาก และอาจต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ 4 ซึ่งยากที่จะมีใครศึกษาหรือรับผิดชอบ เพราะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ

(3) กรณีความสม่ำเสมอก็อาจจะติดตามดูได้หากมีใช้กับหลายคน แต่จากหลักเกณฑ์ข้อ 1 ก็น่าจะคาดเดาถึงผลที่จะเกิดได้ว่าคงไม่แตกต่างกัน เพราะตาของมนุษย์มีลักษณะแบบเดียวกัน

ข้อที่ (4) และ ข้อที่ (5) ควรจะพิจารณาไปพร้อมกันว่าจำเป็นที่จะต้องมีการทดลองสินค้านี้กับคนที่จะใช้หรือไม่ว่าปลอดภัยหรือไม่ ละเมิดหลักจริยธรรมหรือไม่ การที่จะยืนยันว่าสินค้านี้ไม่อันตรายในระยะยาว ทำได้ยาก และมีค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่หาคนจ่ายไม่ได้ ขณะเดียวกันการที่จะระบุว่าจะใช้สินค้านี้ใช้ได้ในขนาดแสงเท่าใด ระยะเวลาเท่าใด หากจำเป็นต้องทำการศึกษา เราไม่สามารถทำได้เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีผลเสียต่อดวงตา จะไม่มีใครยอมเป็นผู้ถูกทดลอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นการศึกษาตามหลักเกณฑ์ข้อที่ 5

มีเหตุผลสนับสนุนที่อาจมีการยกมาอ้างว่าคล้าย “บุหรี่ไฟฟ้า” กล่าวคือ เมื่อประกาศเป็นสินค้าไม่ปลอดภัยก็จะยังแอบขายได้โดยขายทางออนไลน์ และจะทำให้ตามไล่จับได้ยากขึ้น ข้อโต้แย้งนี้คงพิจารณาได้ไม่ยากว่าเหมาะสมที่จะให้เป็นสินค้าไม่ปลอดภัยหรือไม่ เพราะการยอมให้เกิดจุดกระจายสินค้าโดยให้เป็นสินค้าทั่วไปก็ดี เป็นสินค้าที่ติดคำเตือนก็ดี ย่อมถือได้ว่า รัฐ หรือ หน่วยราชการได้รับรอง ความปลอดภัยระดับหนึ่งแล้ว สุดแท้แต่ว่าผู้บริโภคจะมีสติหรือใช้ความรู้ปกป้องตนเองได้หรือไม่ กล่าวคือ เป็นความผิดของผู้บริโภคเองหากใช้ไม่ถูกต้อง

          สามัญชนโดยทั่วไปเมื่อได้อ่านสาระที่นำเสนอมาจนถึงตอนนี้แล้ว ท่านคงพิจารณาได้ไม่ยากว่า สังคมไทย ควรจะเพิ่มสินค้าไม่ปลอดภัยอีกรายการหนึ่ง โดยการ ยอมรับของหน่วยงานรัฐ อย่างเปิดเผย ตามหลักการค้าเสรี ใครใค่ค้า ค้า ใครใคร่ขาย ขาย เป็นตายไม่เป็นไร หรือ ควรที่จะพิทักษ์ ปกป้อง คุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะวัยรุ่น นักเรียน ที่ยังแบบมือขอเงินพ่อแม่มาซื้อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย และไม่ได้รับประโยชน์จากสินค้าเหล่านี้

 

บทความโดย ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภาพประกอบจาก http://soomipark.com/main/?portfolio=led-eyelash

สสจ.ขอนแก่น แจ้งผลวิเคราะห์ “ไอดอลเบอรรี่พลัส” พบผสมยาลดอ้วน “ซิบูทรามีน” ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอาหาร และไม่ได้มีผู้ผลิตตามที่อ้าง

เมื่อวันที่ 18 ส.ค 60  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น (สสจ.ขอนแก่น) ออกประกาศฯ เรื่องประกาศผลการตรวจวิเคราะห์อาหารที่มีความเสี่ยงต่อการบริโภค ว่าตรวจวิเคราะห์ “ไอดอลเบอรรี่พลัส” พบผสมยาลดอ้วน “ซิบูทรามีน” ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอาหาร และไม่ได้มีผู้ผลิตตามที่อ้าง โดยมีรายละเอียดดังนี้

 

ด้วยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ “ไอดอลเบอรี่พลัส” (Idol Berry Plus) เลขสารบบอาหาร 10-30-09980-1-0766 นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย PK Nature Product Co,Ltd (Thailand) Lamchabang Rd. Bangkapi Bangkok 10240 ผลิต 310816 หมดอายุ 151218 ส่งตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น ผลตรวจวิเคราะห์พบยาแผนปัจจุบัน “ซิบูทรามีน (Sibutramine)” ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ถอนผลิตภัณฑ์ยา Sibutramine ออกจากตลาดโดยความสมัครใจของผู้ผลิต หลังพบความเสี่ยงต่อผู้มีประวัติเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์ “ไอดอลเบอรี่พลัส” (Idol Berry Plus) ไม่พบการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และจากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้วไม่พบข้อมูลการจดทะเบียนพาณิชย์ของบริษัท PK Nature Product Co,Ltd (Thailand) แต่อย่างใด

ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 30(3) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่ 495/2555 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2555 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่นจึงขอประกาศผลการตรวจพิสูจน์อาหารให้ประชาชนทราบและระมัดระวังในการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ทั้งนี้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่นอยู่ระหว่างการติดตามตรวจสอบผู้กระทำความผิดเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ประกาศ สสจ.ขอนแก่น เรื่องประกาศผลการตรวจวิเคราะห์อาหารที่มีความเสี่ยงต่อการบริโภค

สสจ.อุทัยธานี และภาคีร่วมจัดการปัญหาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ

วันที่ 1 สิงหาคม 2560 กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานี (สสจ.อุทัยธานี) จัดประชุมคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญจังหวัดอุทัยธานี เพื่อสรุปประเด็นปัญหาเรื่องตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญและหาแนวทางร่วมจากคณะกรรมการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญจังหวัดอุทัยธานีในการแก้ปัญหาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบให้เกิดประสิทธิภาภา

 

ทั้งนี้ สสจ.อุทัยธานี มีการดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 โดยการตรวจเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ด้วยชุดทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จำนวน 97 ตู้ ไม่ผ่านมาตรฐานจำนวน 73 ตู้ คิดเป็นร้อยละ 75.26 ปีงบประมาณ 2560 ได้แบ่งการตรวจออกเป็น 2 รอบ ซึ่งรอบที่ 1 ตรวจเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ด้วยชุดทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จำนวน 225 ตู้ ไม่ผ่านมาตรฐานจำนวน 80 ตู้ คิดเป็นร้อยละ 35.56 และรอบที่ 2 ตรวจเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญจากจำนวนตู้น้ำที่ไม่ผ่านมาตรฐาน 80 ตู้จากรอบที่ 1 ปิดกิจการ 3 ตู้ ตรวจด้วยชุดทดสอบของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จำนวน 77 ตู้ ไม่ผ่านมาตรฐานจำนวน 41 ตู้ คิดเป็นร้อยละ 53.25 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานีเล็งเห็นถึงปัญหาคุณภาพของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ จึงร่วมกับสมัชชาสุขภาพจังหวัดอุทัยธานีกำหนดให้การพัฒนาคุณภาพตู้น้ำหยอดเหรียญเป็นประเด็นที่จะขับเคลื่อนร่วมกัน

ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญจังหวัดอุทัยธานี ดังกล่าวท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีมอบหมายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานีเป็นประธานการประชุม โดยมีผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 3 นครสวรรค์, ศูนย์อนามัยที่ 3 นครสวรรค์, ประธานเครือข่ายกองทุมชุมชน ฯ, เจ้าหน้าที่สำนักงานกองทุนชุมชน ฯ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบธุรกิจตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญเข้าร่วมประชุม โดยได้กำหนดแนวทางการพัฒนาคุณภาพตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ โดยขอความร่วมมือจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้ออกเทศบัญญัติเกี่ยวกับตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญให้เป็นกินการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และในปีงบประมาณปี 2561 จะมีการจัดอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ และผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ เจ้าหน้าที่สสจ.อุทัยธานีออกตรวจเฝ้าระวังพร้อมให้คำแนะนำในการดูแลตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญแก่ผู้ประกอบการ หากพบยังมีตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ไม่ผ่านมาตรฐานจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป

รายงานโดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานี

ลพบุรีสุขภาพดี..เริ่มที่ร้านชำ ‘60

มอบป้ายร้านชำมาตรฐาน

“ชาวบ้านในหมู่บ้านทุกวันนี้ จะซื้อหาข้าวของอะไรก็ต้องที่ร้านชำ คนจะสุขภาพดีหรือไม่ดี ก็ต้องเริ่มที่ร้านชำ”

ภายใต้แนวคิดดังกล่าวสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี โดยกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุขได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์สุขภาพจังหวัดลพบุรี ในการยกระดับร้านชำในจังหวัดลพบุรีให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยโดยได้มีกิจกรรม “ลพบุรีสุขภาพดี เริ่มที่ร้านชำ”ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาร้านชำในจังหวัดลพบุรี ให้มีมาตรฐาน เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพและเกิดการจัดการชุมชนที่สามารถพึ่งตนเองในด้านสุขภาพได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนภายใต้แนวคิด “รู้ ตระหนัก รัก แบ่งปัน”

ตัวอย่างป้ายร้านชำมาตรฐาน

ผลการดำเนินงานในปี ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นปีแรกได้ร้านชำมาตรฐานจำนวน ๒๐๐ ร้าน ครอบคลุม ๑ ตำบล ๑ ร้านชำ เพื่อจัดการปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยในชุมชนอย่างยั่งยืน อาทิ ปัญหาการขายยาชุดและยาอันตราย

การดำเนินงานครั้งนี้ได้รับความเมตตาจากพระครูวิมลสมณวัตรหรือหลวงพ่อเพี้ยนอัคคธัมโม พระอาจารย์เกจิชื่อดังเจริญพุทธาภิเษก ป้ายร้านชำมาตรฐานเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ร้านชำที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน และได้รับเกียรติจากนายอำเภอทุกอำเภอเป็นผู้แทนมอบป้ายร้านชำมาตรฐานให้แก่ร้านชำที่ผ่านการประเมิน

ในเวทีประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้าน ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการร้านชำโดยมีร้านชำเข้าร่วมโครงการอย่างท่วมท้น และในปี ๒๕๖๑ จะขยายสู่ ๑ หมู่บ้าน ๑ ร้านชำมาตรฐาน และกำหนดเป้าหมายร้านชำมาตรฐานครบทุกแห่งในจังหวัดลพบุรีภายในปี ๒๕๖๔ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประชาชนในชุมชนได้รับความปลอดภัยจากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพและสินค้าอื่นๆต่อไป

กระบวนการดำเนินงานร้านชำมาตรฐานของจังหวัดลพบุรี

รายงานโดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี

การมีส่วนร่วมของผู้บริโภคเพื่อการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยในลุ่มน้ำโขง


(26 ก.ค.60) รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ รับเชิญเป็นวิทยากรเรื่อง Engaging consumers for safe food consumption: Thailand’s experience ในการประชุม Regional Training Program on Raising Public Awareness for Safe Food Consumption ระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค.60 ณ จังหวัดขอนแก่น จัดโดย MEKONG INSTITUTE

การประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อแนะนำกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของผู้บริโภคเพื่อส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย การเสริมสร้างขีดความสามารถของรัฐบาลท้องถิ่นในการพัฒนาและใช้กลยุทธ์ในการสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์การสื่อสารความปลอดภัยด้านอาหาร ผู้เข้าร่วมประชุมเป็นผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน จากกัมพูชา สปป.ลาว พม่าและเวียดนาม จำนวน 27 คน

 

รวบสาวเปิดคลินิกเถื่อน รับจัดฟันแฟชั่น โฆษณาผ่านเฟซบุ๊ค ลูกค้าติดตรึม

สืบเนื่องมาจากในโลกออนไลน์ มีการโฆษณาผ่านเฟซบุ๊คชื่อ “มารูโก๊ะ เปรี้ยวจี๊ด เผ็ดมัน”สามารถจัดฟันแฟชั่นในราคาถูก และได้มีการแชร์ผ่านสื่อออนไลน์ทั้งเฟซบุ๊กและอื่นๆ เชิญชวนให้ไปจัดฟันแฟชั่น ทำให้มีเด็กวัยรุ่นไปจัดจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบก็พบว่าเป็นหมอฟันเถื่อนในจังหวัดลำพูน ซึ่งหากมีคนไปจัดฟันลักษณะนี้จำนวนมาก อนาคตอาจจะเป็นอันตรายต่อในช่องปากของผู้ที่ทำเป็นอย่างมาก

  

ดังนั้น ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2560  เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามอาชญากรรมทางสื่อสังคมออนไลน์ ตำรวจภูธรภาค 5 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.5 ร่วมกับ เจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน  โดย  นายจิระ  วิภาสวงศ์ เภสัชกรเชี่ยวชาญด้านเภสัชสาธารณสุข นางอินทริยา อินทพันธุ์ เภสัชกรชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค และนายคทา โกศัยดิลก ทันตแพทย์ปฏิบัติการ  จึงได้ร่วมกันจับกุมตัว น.ส.ข อายุ 25 ปี อยู่บ้านในอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน  พร้อมด้วยของกลางที่เป็นวัสดุอุปกรณ์สำหรับจัดฟันแฟชั่น 43 รายการ แต่ละรายการมีเป็นจำนวนมาก เช่น Forcep, Mouth retractor, Mathieu forcep, ลวดจัดฟันชนิด Nickel titanium, Bracket จัดฟัน, C-chain (ยางดึงฟัน ), O-ring แบบตัดแบ่ง, กรดฟอสฟอริก (Phosphoric acid 35%), Bonding สำหรับติดเครื่องมือจัดฟัน เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังมี ป้ายแสดงวัน-เวลาเปิดให้บริการ  ป้ายแสดงราคา  สมุดโน้ต จดรายละเอียด (ราคา/เบอร์โทร/ยอดขาย)  ปฏิทินชนิดแขวนแสดงรายละเอียดชี้แจงลูกค้าพร้อมราคา

แจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ข ว่ากระทำผิดฐาน  “ขายสินค้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งห้ามขาย ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่ 10/2552 ลง 31 ก.ค. 2552 เรื่อง ห้ามขายสินค้าลวดดัดฟันแฟชั่น” ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ม.36 และโทษตาม ม.56

ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว ได้ทำการจับกุมตัว น.ส.พ อายุ 27 ปี พร้อมของกลาง ที่ร้านแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองลำพูน ซึ่ง น.ส.พ ทำงานอยู่ โดย เจ้าหน้าที่ได้ส่งสายไปติดต่อและขอจัดฟัน ก่อนที่ตำรวจจะแสดงตัวเข้าทำการจับกุมได้พร้อมหลักฐาน จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเปิดมานานแล้วและรับทำเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น โดยคิดค่าบริการไม่ถึงพันบาท  ก็ทราบว่าผิดกฏหมายแต่ก็แอบทำ เพราะเด็กส่วนใหญ่อยากทำ แต่หากไปทำที่คลินิกถูกกฏหมายราคาจะแพงกว่านับ 10 เท่า

เจ้าหน้าที่จึงตั้งข้อกล่าวหา น.ส.พ ว่า “1. ทําการประกอบวิชาชีพทันตกรรมหรือแสดงด้วยวิธีใดๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้มีสิทธิประกอบวิชาชีพดังกล่าว โดยมิได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต 2.ขายสินค้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งห้ามขาย ”

น.ส.พ  ได้ให้การว่าได้ซื้อสินค้าลวดจัดฟันแฟชั่นมาจาก น.ส.ข และได้สมัครใจนำพาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมไปยังบ้านของ น.ส.ข ที่อำเภอป่าซาง รวมทั้งทำการติดขอซื้ออุปกรณ์ดัดฟันแฟชั่น จำนวน 1 ชุดเล็ก รวมราคา 1,600 บาท เจ้าหน้าที่ได้จ่ายเงินให้จำนวน 2,000 บาท  เมื่อ น.ส.ข รับเงินไปแล้วและเจ้าหน้าที่ได้รับของกลาง จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอทำการตรวจสอบภายในบ้าน  จากนั้นจึงได้ทำการจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

รายงานโดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน

สสจ.สมุทรสงครามและเครือข่ายเภสัชกรร้านยา ร่วมเฝ้าระวังการขายยาไม่เหมาะสม

วันที่ 27 กค 60 กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคฯ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม จัดประชุมเภสัชกรประจำร้านขายยาแผนปัจจุบัน จำนวน 34 คน เพื่อกำชับมาตรการการขายยาให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะยากลุ่มที่เสี่ยงจะนำไปใช้ในทางที่ผิด

นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งเครือข่ายเภสัชกรร้านขายยา เพื่อเฝ้าระวังการขายยาอย่างไม่เหมาะสม รวมทั้งมีมาตรการในการจัดการปัญหาและเป็นเครือข่ายจิตอาสาในการสร้างสุขภาวะและสังคมที่ดีให้กับชาวสมุทรสงครามอีกด้วย

รายงานโดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม

แคนาดา ร่วมขบวนแบนใยหิน เลิกปีหน้า 2561

เมื่อวันจันทร์ที่ 24 ก.ค. 2560 เวลา 9.00-12.00 น. อาคารนวัตกรรมทางเภสัชศาสตร์ ชั้น 2 คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ   รศ.ดร.อีฟบอนนิเออร์ ไวการ์ (Yv Bonnier Viger) คณะแพทยศาสตร์ Laval รัฐควิเบค ประเทศแคนาดา ชี้โรคจากใยหิน โดยเฉพาะมะเร็งเยื่อหุ้มปอดทรมานมาก ผู้ป่วยจะค่อยๆหายใจยากคล้ายคนจมน้ำ ทรมานในระยะโรคพัฒนาคุกคามคุณภาพชีวิตผู้ป่วยจนกระทั่งเสียชีวิต โดยไม่สามารถรักษาหายขาดได้ ทำได้เพียงการรักษาแบบประคับประคอง แม้แคนาดาจะมีระบบป้องกันที่ดีแต่ก็พบผู้ป่วยจำนวนมาก อาจารย์อีฟ บอนนิเออร์ ไวก้า ยืนยันแคนาดาประกาศจะยกเลิกแร่ใยหินปีหน้า คศ 2018 (พศ 2561) ทั้งนี้ ในอดีต แคนาดาเป็นผู้ส่งออกแร่ใยหินรายใหญ่ ส่งออกแต่ไม่ใช้ ทำให้ประชาชน นักวิชาการ บุคลากรสุขภาพ นักสิทธิมนุษยชน นักสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์คัดค้านรัฐบาล จนที่สุดเลิกการสนับสนุนเหมืองใยหิน และนำมาสู่การประกาศห้ามการส่งออกและการใช้ในที่สุด

 

ขณะที่ประเทศไทยมีมติ ครม. ที่ให้ยกเลิกแร่ใยหิน ในปี 2554 แต่ยังไม่มีผลเชิงปฏิบัติ สำหรับยาที่รักษาโรคมะเร็งจากใยหิน คือ พรีเมทิเสด และ ซิสพลาติน มีราคาแพงมาก เมื่อมีผู้ป่วยมากขึ้นจากโรคจากใยหิน โดยขาดมาตรการป้องกันและยังไม่ยกเลิก ย่อมจะมีผลต่อผู้ป่วยจำนวนมาก รวมทั้ง มีผลต่องบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพ ขณะนี้มีรายงานผู้ป่วยมะเร็งเยื่อหุ้มปอดจำนวนหนึ่ง และกำลังมีการตรวจสอบยืนยัน ข้อมูลผู้ป่วยจากการยืนยันโรคน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้การตัดสินใจยกเลิกใยหินในประเทศไทยเป็นไปได้เร็วขึ้น

 

รายงานโดย ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กลุ่มงานคบส.สสจ.หนองบัวลำภู ร่วมกับพื้นที่ดำเนินคดีกับรถเร่ พบขายยา อาหารผสมสเตียรอยด์

21 ก.ค.60-สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ทรายมูล อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู แจ้งกลุ่มงาน คบส. สสจ.หนองบัวลำภู ว่ามีกลุ่มรถเร่ขายยาเข้ามาในพื้นที่และตั้งจอฉายหนัง เดินขายยากระจายในพื้นที่และบริเวณอำเภอใกล้เคียง

กลุ่มงาน คบส. จึงเข้าพื้นที่พร้อมเจ้าหน้าที่จาก รพ., สสอ., รพ.สต. และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 8. อุดรธานี จากการตรวจสอบพบรถเร่ขายยาเตรียมการตั้งจอหนังเพื่อฉายหนัง เบื้องต้นพบ ว่ามีผลิตภัณฑ์ ยาน้ำแผนโบราณ, เครื่องดื่มสมุนไพร และ อุปกรณ์รถเข็นเร่ขายยา

จากการตรวจผลิตภัณฑ์ พบการปลอมปนสเตียรอยด์ เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บหลักฐานพิ่มเติมเพื่อประกอบการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ยา , พ.ร.บ.อาหาร และส่งพนักงานสอบสวนต่อไป และได้สั่งการให้ระงับกิจกรรมฉายหนัง, จำหน่ายยาและให้ออกจากพื้นที่ห้ามกลับมาจำหน่ายอีก

รายงานโดย กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู

 

Continue reading “กลุ่มงานคบส.สสจ.หนองบัวลำภู ร่วมกับพื้นที่ดำเนินคดีกับรถเร่ พบขายยา อาหารผสมสเตียรอยด์”

สว่างแดนดิน จับกุมรถเร่ขายยาแผนโบราณ พบผสมสเตียรอยด์

เมื่อวันที่ 19 กค.60 พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ยา โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จ.สกลนคร ร่วมกับเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค อ.สว่างแดนดิน ร่วมตรวจสอบและจับกุมรถเร่ขายยาแผนโบราณ  ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบสเตียรอยด์ ในยาน้ำแผนโบราณ จำนวน 2  รายการ  ได้แก่ ยากษัยตราพระปิดทวาร ทะเบียนยาเลขที่ G250/29 และยาสตรีกัลยาณี ตราพระปิดทวาร G248/29 ฉลากระบุผลิตโดย พระธรรมขันต์โอสถ ขอนแก่น

เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.สว่างแดนดินได้ควบคุมผู้กระทำความผิด  เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาขายยาแผนโบราณโดยไม่ได้รับอนุญาต โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่เกิน 5,000 บาท

รายงานโดย -เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอำเภอสว่างแดนดิน จ.สกลนคร