แนวทางการแจ้งเตือนภัยสินค้าไม่ปลอดภัยทางออนไลน์

เสวนา เรื่อง แนวทางการแจ้งเตือนภัยสินค้าไม่ปลอดภัยทางสื่อดิจิตัล ในการประชุมสมัชชาผู้บริโภคประจำปี 2561

การแจ้งเตือนภัยในปัจจุบัน จำเป็นต้องเท่าทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะในยุคที่มีการใช้สื่อออนไลน์อย่างกว้างขวาง หน่วยราชการอย่าง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.),ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ,สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองปู้บริโภค (สคบ.) และ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  มีทั้งข้อมูลและความน่าเชื่อถือ การประกาศแจ้งเตือนภัยและจัดการสินค้าไม่ปลอดภัยจำเป็นต้องดำเนินการอย่างทันท่วงที เมื่อพบผลว่าสินค้าไม่ปลอดภ้ยและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคในวงกว้าง อย. มีเว็บไซต์ และ แอพพลิเคชั้นจำนวนมาก ขณะที่ บก.ปคบ. แม้สื่อออนไลน์ของหน่วยงานอาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่วิทยากร ได้จัดทำเฟสบุคเผยแพร่ข่าวสารเพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสาร เช่นเดียวกับ สคบ. ที่ได้ดำเนินการสื่อสารออนไลน์ในเว็บไซต์ สคบ. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ร่วมกับ คคส. พัฒนา หน้าต่างเตือนภัยสุขภาพมาอย่างต่อเนื่อง และ มีการใช้งานในระดับจังหวัด สสจ. ต่างๆ และ ชุมชน โดย รพ.สต. และ อสม.นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน  ซึ่งถือได้ว่า การที่ชุมชนตื่นตัวป้องกันภัย โดยมีมาตรการต่างๆ เช่น ติดป้ายห้ามรถเร่ ขายยา สินค้าไม่ได้รับอนุญาต โฆษณาเกินจริง การให้ อสม.นักวิทย์ฯ ส่งไลน์สื่อสารกันเมื่อมีการเข้ามาขายสินค้าไม่ปลอดภัย. การเฝ้าระวังตรวจสอบสินค้าด้วยชุดทดสอบ การใช้ฐานข้อมูลหน้าต่างเตือนภัย ทั้งการใส่ข้อมูลและเปิดดูข้อมูล การแจ้งเตือนภัยในชุมชนในรูปแบบต่างๆ และการเรียกเก็บสินค้าเมื่อพบว่าไม่ปลอดภัยชัดเจนจากการตรวจวิเคราะห์โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. การดำเนินการในมิติต่างๆเหล่านี้ ถือเป็น การปูพื้นฐานสาระใน ร่างพ.ร.บ.การแจ้งเตือนภัยและจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัย สอดคล้องกับ มาตรา 61 ของรัฐธรรมนูญ และ สคบ. กำลังมีการดำเนินนำเสนอ ร่างกฎหมายนี้ สู่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ ส่งไปยังคณะรัฐมนตรีต่อไป

ที่มา: การเสวนา เรื่อง แนวทางการแจ้งเตือนภัยสินค้าไม่ปลอดภัยทางสื่อดิจิตัว ในการประชุมสมัชชาผู้บริโภคประจำปี 2561 วันที่  14 มีนาคม 2561
1.แนวทางการแจ้งเตือนภัยสินค้าไม่ปลอดภัยทางสื่อดิจิตัล, ภก.วิษณุ โรจน์เรืองไร นักวิชาการอาหารและยาชำนาญการพิเศษ fda

2. แนวทางการแจ้งเตือนภัยสินค้าไม่ปลอดภัยทางสื่อดิจิตัล, นายพิฆเนศ ต๊ะปวง รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ
3.  แนวทางการแจ้งเตือนภัยสินค้าไม่ปลอดภัยทางสื่อดิจิตัล, ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร มูลนิธิวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ มวคบท

 

องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคคุณภาพ

คคส. ได้ประสานให้ 4 หน่วยงาน ร่วมมือพัฒนา ‘องค์กรผู้บริโภค’

โดย เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต คคส. ได้จัดให้มี พิธีลงนามความร่วมมือในการพัฒนาและสนับสนุนองค์กร ผู้บริโภคคุณภาพ ระหว่าง 4 องค์กร ได้แก่ สสส. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ (มวคบ.) โดยการลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อผลักดันให้เกิดระบบการพัฒนาและรับรององค์กรผู้บริโภคคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับ โดยความร่วมมือของทุกองค์กร ทั้งนี้ คคส. ได้รับมอบภารกิจจาก สสส. ในการพัฒนาหลักเกณฑ์และกระบวนการในการพัฒนาองค์กรผู้บริโภค เพื่อให้มีความพร้อมเข้าสู่กระบวนการรับรององค์กรคุณภาพ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2558  โดยในปี 2561 มีองค์กรผู้บริโภคที่สมัครลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมในกระบวนการรับรองคุณภาพแล้วกว่า 300 องค์กร เพื่อให้องค์กรผู้บริโภค มีบทบาทคุ้มครองผู้บริโภคในกรณีที่มีการร้องเรียนต่างๆ เพราะภาครัฐจะมีข้อจำกัดด้านกำลังคนและการกระจายจุดบริการรับ-แก้ปัญหาเรื่องร้องเรียน ซึ่งส่งผลให้เกิดเครือข่ายภาคประชาชนในการเฝ้าระวังได้อย่างกว้างขวาง และจะเป็นการองรับ ร่างพ.ร.บ.สภาผู้บริโภคแห่งชาติ พ.ศ… ตามมาตรา 46 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำลังมีการดำเนินนำเสนอ ร่างกฎหมายนี้ สู่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ ส่งไปยัง คณะรัฐมนตรีต่อไป

อาหารโรงเรียนเปลี่ยนอนาคตประเทศ

เพื่อสร้างพื้นที่ถอดสรุปบทเรียนและสังเคราะห์ความรู้ในการจัดการอาคาร และขับเคลื่อนเพื่อความมั่นคงทางอาหารเพื่อให้มีการนำประสบการณ์ที่ดีและประสบผลสำเร็จในการนำไปใช้ และขยายผลการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการจัดระบบอาหารแก่ชุมชน เครือข่ายสมัชชาความมั่นคงทางอาหาร BIOTHAI และ สสส. จึงได้ร่วมกันจัดงาน ‘สมัชชาความมั่นคงทางอาหาร 2561’ ระหว่างวันที่ 9-10 มีนาคม 2561 โดยมีประเด็นที่น่าสนใจหลากหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือประเด็นในเรื่องการจัดการอาหารโรงเรียนและชุมชน ในหัวข้อ ‘ปรับอาหารโรงเรียน ขยายตลาดทางเลือก เปลี่ยนประเทศไทย?’ โดยมีเครื่องหมายคำถามเสมือนการย้อนกลับมายังพวกเราในฐานะคนไทย ในฐานะพ่อแม่ และผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนว่าจะเป็นไปได้ไหม? จะเปลี่ยนประเทศไทยได้ไหม? จากการขยายตลาดทางเลือกและการปรับอาหารโรงเรียน

เพื่อจะตอบคำถามนี้ ภายในงานจึงมีการจัดวงเสวนาแยกย่อยหลายวง สองในวงเสวนาที่น่าจะตอบคำถามต่อประเด็นของความเป็นไปได้อยู่ที่ หนึ่ง-วงเสวนาว่าด้วยบทเรียนและแนวทางจัดการความมั่นคงทางอาหารของโรงเรียน เพื่อสรุปบทเรียนจากการทำงานที่ผ่านมา สอง-นำเสนอนโยบายการจัดการอาหารโรงเรียน เพื่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจท้องถิ่น ที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้เกิดขึ้นในชุมชน แต่ยังรวมถึงการสร้างสุขภาพโภชนาการให้แก่อนาคตของชุมชน ที่จะกลายไปเป็นอนาคตของประเทศอย่างเด็กและเยาวชนอีกด้วย

งานเชิงประเด็นนโยบายสู่การจัดการ

เพลินพิศ หาญเจริญวนะภูษิต จากสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในโครงการประมวลองค์ความรู้จากการดำเนินงานตามรอยพระยุคลบาท พัฒนาอาหาร โภชนาการและสุขภาพเด็กในโรงเรียน นำเสนอวิดีทัศน์ที่บอกเล่าเรื่องราวของการดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เอาไว้ว่า ด้วยความที่ทรงมองเห็นความสำคัญของสุขภาพของเด็กยากจนในโรงเรียนต่างๆ พระองค์จึงนำพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มาใช้ในการทรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพโภชนาการในโรงเรียนยากจนต่างๆ จากโครงการอาหารกลางวันที่เป็นโครงการเริ่มแรกได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันได้กลายเป็นต้นแบบในการพัฒนาเด็กและเยาวชนแบบองค์รวม ครอบคลุมไปถึงเรื่องสุขภาพ โภชนาการ และสุขภาพอนามัยอย่างครบวงจร

“การพัฒนาสุขภาพอนามัยอย่างครบวงจรประกอบไปด้วยแปดองค์ประกอบ หนึ่ง-เกษตรในโรงเรียน สอง-สหกรณ์นักเรียน สาม-การจัดการบริหารอาหารของโรงเรียนผ่านร้านสหกรณ์นักเรียนนำมาประกอบอาหารกลางวัน สี่-การติดตามภาวะโภชนาการ ห้า-การพัฒนาสุขนิสัยของนักเรียน หก-การพัฒนาอนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนพัฒนาทักษะการจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกลักษณะอนามัย เจ็ด-การจัดบริการสุขภาพ แปด-การจัดการเรียนรู้ เกษตร อาหาร และสุขภาพเพื่อให้นักเรียนเรียนรู้เรื่องเกษตรยั่งยืน โภชนาการและสุขภาพอนามัย โดยมีหัวใจสำคัญของพระองค์คือให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตัวเอง”

เพลินพิศบอกเล่าต่อจากการลงไปทำงานในพื้นที่ภายใต้โครงการ ‘เด็กไทยแก้มใส’ ทำให้เห็นปรากฏการณ์ของโรงเรียนภายใต้แปดองค์ประกอบของการพัฒนาสุขภาพอนามัยที่แม้บางโรงเรียนจะยังไม่ได้พัฒนาครบทั้งแปดองค์ประกอบ แต่การดำเนินรอยตามพระยุคลบาทย่อมหมายถึงการดำเนินรอยตามพระราชดำริที่ต้องการให้การพัฒนาขึ้นอยู่กับสภาพตามบริบทของโรงเรียนนั้นๆ ด้วย ทำให้ระดับความสำเร็จของแต่ละโรงเรียนจะแตกต่างกันไปขึ้นกับต้นทุนของโรงเรียน

“ทีนี้เราก็เลยมาดูว่าสิ่งที่สำคัญของโครงการของพระองค์ท่าน คือการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ซึ่งเป็นตัวหลักนะคะ เพราะเมื่อทานอิ่มแล้วก็ต้องมีสุขภาพที่ดีด้วย อาหารที่จะทานจะต้องถูกสุขลักษณะอนามัย” เพลินพิศกล่าว ก่อนจะเสริมว่า ปัจจัยความสำเร็จของโครงการไม่ว่าจะเป็นโครงการตามพระราชดำริหรือโครงการเด็กไทยแก้มใสอยู่ที่โรงเรียนนั้นๆ ศรัทธาในแนวทางของพระองค์ท่านอยู่แล้วเป็นทุนเดิม รวมถึงมีความเข้าใจในแนวทางพระราชดำริของพระองค์ท่าน

“ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ โครงการของพระองค์ท่านเน้นเด็กให้เป็นผู้ปฏิบัติงานเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของตนเอง โดยผู้บริหารของโรงเรียนและบุคลากรต้องมีความเข้าใจในงานที่จะทำ ส่วนสำคัญอีกอันหนึ่งคือชุมชนและภาคีเครือข่าย”

แม้ไม่ได้เป็นครู แต่ในฐานะนักละครเพื่อการพัฒนาเยาวชน ศศิธร คำฤทธิ์ จากโครงการ ‘เชฟน้อยกินเปลี่ยนโลก’ ก็มองเห็นถึงความสำคัญของโภชนาการอาหารที่ถูกสุขอนามัยเช่นเดียวกัน หลังจากเมื่อสี่ปีก่อนได้รับการติดต่อจากเครือข่ายกินเปลี่ยนโลกให้ทำการสื่อสารด้วยละครไปยังเด็กให้ปรับเปลี่ยนความคิดมากินผัก

“เราใช้กระบวนการละครในช่วงเริ่มต้นเพื่ออยากจะดูว่าจริงๆ แล้วเด็กๆ เขากินอะไร เป็นปัญหาไหม ถ้าเราไปพูดคุยกับเด็กและครู เราจะไม่ได้คำตอบที่เป็นจริงสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเราใช้กระบวนการละคร เราจะได้รับรู้ความรู้สึกของเด็กจริงๆ ว่าเด็กชอบกินอะไร และไม่ชอบกินอะไร”

ในระยะเริ่มต้นของโครงการที่ดำเนินงานอยู่ในพื้นที่เชียงใหม่ ศศิธรบอกเล่าว่า ก่อนจะลงไปทำงาน ได้มีการศึกษาจนพบว่าการดำเนินงานเรื่องอาหารกลางวันในโรงเรียนแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือ หนึ่ง-การจ้างเหมา โรงเรียนจะใช้วิธีเหมาให้ผู้ผลิตเป็นคนดำเนินการเองทั้งหมด ทั้งวัตถุดิบตลอดจนกระบวนการผลิต ด้วยวิธีการนี้ ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบได้ เนื่องจากเป็นการจ้างเหมาทั้งหมด สอง-คุณครูจะเป็นคนปลูกผักนำมาประกอบอาหาร ซึ่งกลุ่มนี้จะทำในศูนย์เด็กเล็กที่มีจำนวนเด็กไม่มากนัก และกลุ่มที่สาม ซึ่งจะเป็นกลุ่มพ่อครัว/แม่ครัวที่จะรับซื้อวัตถุดิบจากทั้งชุมชนและตัวโรงเรียนเองนำมาประกอบอาหาร ศศิธรจึงตัดสินใจว่าจะทำงานกับกลุ่มที่สามเป็นหลัก เพราะเป็นผู้กำหนดทั้งในส่วนของเมนูและวัตถุดิบโดยตรง

โครงการ ‘เชฟน้อยกินเปลี่ยนโลก’ จึงได้เกิดขึ้น

เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนลิ้นเด็กในวัย ป.4-ป.6 ให้รู้จักการกินผักมากขึ้น ศศิธรนำพาเด็กไปยังแปลงปลูกผักอินทรีย์ของเกษตรกรในพื้นที่ที่ทำการเกษตรเรื่องนี้ เพื่อเด็กจะได้เรียนรู้ว่านอกจากผักกาดขาว คะน้า แล้วยังมีผักอินทรีย์อื่นๆ อีก ก่อนจะนำมาสู่การสอนให้เด็กรู้จักปลูกผักในที่สุด และเมื่อเด็กรู้จักการปลูกผักเอง เด็กก็จะกินผักที่พวกเขาปลูกเองเช่นกัน

ทว่าการปลูกฝังให้เด็กกลายเป็นเชฟน้อย ในมุมของศศิธรแล้ว ลำพังแค่เด็กยังไม่พอ เพราะถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับโรงเรียน และครู ซึ่งเป็นผู้กำหนดเรื่องอาหารในโรงเรียนแล้ว การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ศศิธรจึงเกณฑ์ครูและแม่ครัวในโรงเรียนมาพูดคุยทำความเข้าใจร่วมกันกับเด็กๆ จนเกิดความเข้าใจร่วมกันในที่สุด

“เราขยายแนวคิดเรื่องการกินผักปลอดสารพิษตามฤดูกาลโดยใช้ละครเร่ชั้นประถมฯ เร่ไปตามโรงเรียนอนุบาล ไปตามชุมชน แล้วตอนนี้ปรากฏการณ์ที่เห็นก่อนช่วงที่เราจะทำโครงการ พื้นที่ในการปลูกกินเองในโรงเรียนมีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์นะคะ การจองแปลงปลูกไม่เคยมีเกิดขึ้นเลย อีก 90 เปอร์เซ็นต์คือผักที่ซื้อมาจากตลาดทั่วๆ ไป หรือตลาดกลางของจังหวัดเชียงใหม่ พอมาปัจจุบันนี้พื้นที่ในการปลูกมากขึ้น กระจายไปตามแปลงปลูกต่างๆ รวมถึงของพ่อแม่ด้วย แม้จะยังไม่ได้ทุกวัน บางโรงเรียนอาจจะได้แค่วันพฤหัส บางโรงเรียนได้แค่พุธกับศุกร์ แต่หลังจากเราไปทำงานร่วมกับเครือข่ายฯ เราก็ได้มีการติดต่อเพื่อซื้อผักเพิ่มมากขึ้น”

ถอดบทเรียนจากสงขลาสู่กรุงเทพฯ: บทเรียนการจัดการจากสองโรงเรียน

โรงเรียนจองถนน

หัตถยา เพชรย้อย ผอ.โรงเรียนเทศบาลจองถนน จังหวัดพัทลุง บอกเล่าบทเรียนและแนวทางการจัดการความมั่นคงทางอาหารของโรงเรียนของตนที่ตั้งอยู่ติดทะเลสาบสงขลา ซึ่งจัดเป็นพื้นที่ราบแอ่งรับน้ำในหน้าฤดูมรสุมเมื่อน้ำทะเลหนุนเอาไว้ว่า “ตอนแรกที่เราไปทำงานด้านความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน เราไปทำความรู้จักกับชุมชน รู้จักกับผู้ใหญ่บ้านในชุมชม การบริโภคอาหารของคนที่นั่น เนื่องจากผู้ปกครองของเด็กๆ ทำอาชีพประมง ดังนั้น สิ่งที่เขาจะหาได้ง่ายที่สุดก็คือปลา สมมุติว่ามีแกงในงานต่างๆ ก็จะต้องมีปลาท้องถิ่นที่ดังที่สุด คือปลาหัวโม่ง บางท่านอาจจะเคยได้ยินก็คือคล้ายๆ กับปลากลดน่ะค่ะ ที่นั่นแกงจะไม่ใส่ผัก แกงปลาอย่างเดียว อาหารของคนในชุมชนจะเป็นอาหารที่ไม่มีผัก”

เมื่อลักษณะอาชีพของผู้ปกครองนักเรียนส่งผลมาสู่โภชนาการที่ไม่ครบถ้วน เนื่องจากพืชผักเป็นสิ่งที่หาได้ยากในพื้นที่เทศบาลจองถนน ดังนั้นหัตถยาจึงไม่เคยโทษผู้ปกครองและชุมชน อีกทั้งปัจจัยของการเป็นพื้นที่รับน้ำในช่วงทะเลหนุน จึงส่งผลให้พื้นที่โดยรอบทั้งชุมชนและโรงเรียนประสบสภาวะน้ำท่วม

“แต่ว่าการศึกษาคือชีวิตใช่ไหมคะ นี่เป็นสิ่งที่ ผอ. พูดกับคุณครู นักเรียน และผู้ปกครอง ว่าการศึกษาคือชีวิต เราต้องอยู่กับธรรมชาติแบบนี้ให้ได้ ไม่ใช่เราไปเอากระสอบทรายมากั้นโรงเรียนเราไม่ให้น้ำท่วม แต่ที่บ้านเด็กน้ำท่วม เด็กก็มาไม่ได้ แต่เราจะทำยังไงเพื่อให้เด็กๆ อยู่ให้ได้”

ทั้งการปรับตัวให้อยู่กับสภาพธรรมชาติและการปรับตัวให้เข้ากับสภาพวิถีชีวิตในชุมชน หัตถยาบอกเล่าว่าวิธีในการอยู่กับน้ำท่วมคือการเปิดเรียนก่อนฤดูน้ำหลากจะมาถึง เมื่อน้ำท่วมก็จะให้เด็กได้หยุดอยู่บ้านกัน พอน้ำลดแล้วจึงกลับมาเรียน ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การบริหารเวลาที่สมดุลกับโรงเรียนอื่นๆ เพื่อให้เด็กเข้าสอบชั้นมัธยมต้นได้เหมือนกัน

ในขณะที่ด้านโภชนาการอาหาร หัตถยาส่งเสริมให้มีการทำเกษตรในโรงเรียนภายใต้โครงการเด็กไทยแก้มใสด้วย ซึ่งแน่นอนว่าในระยะเบื้องต้น เด็กนักเรียนจะไม่รับประทานผักเลย เพราะคุ้นชินกับวิถีที่ไม่ได้กินผักมาแต่ต้น วิธีแก้ปัญหาของ ผอ.เทศบาลจองถนนจึงกระตุ้นให้เด็กทำการปลูกพืชผัก ให้รู้จักคุณค่าของสิ่งที่จะกินเข้าไป โดยมีการปรับตัวในการปลูกในกระถางบ้าง ในรองเท้าบูทบ้าง เนื่องจากสภาพน้ำท่วม นอกจากนี้แล้ว ยังมีการประกาศในช่วงเข้าแถวเคารพธงชาติว่าเมนูในวันนี้จะนำผักจากชั้นเรียน และกลุ่มของนักเรียนไหนบ้างมาประกอบอาหารเพื่อให้เด็กเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ

ทำให้เด็กมีความรู้สึกที่จะอยากกิน เด็กก็จะเริ่มกินไปทีละนิด ทีละนิด จนเด็กยอมกินผักในที่สุด

กระนั้นปัญหายังคงมี นั่นคือแม้ว่าเด็กจะกินผักได้ที่โรงเรียน แต่เมื่อกลับไปชุมชนแล้ว เด็กจะไม่กินผักเลย วิธีแก้ปัญหาของหัตถยาคือ ลงไปชุมชน เรียกพ่อแม่ผู้ปกครองมาคุย แล้วแจกจ่ายพืชผักให้นำกลับไปปลูกที่บ้านแต่ละครอบครัว เพื่อสร้างลักษณะนิสัยการกินผักร่วมกันตั้งแต่พ่อแม่จนถึงเด็ก กระทั่งเด็กในโรงเรียนเทศบาลจองถนนกลายเป็นเด็กที่กินเก่งที่สุด

“จนตอนนี้ทำอาหารอะไรที่เป็นผัก เด็กกินได้หมดทุกอย่างแล้ว”

โรงเรียนปัญโญทัย

แม้บริบทของพื้นที่จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างโรงเรียนติดชายทะเลที่มีน้ำท่วมอยู่เนืองๆ กับโรงเรียนในกรุงเทพฯ มหานครที่หนีไม่พ้นปัญหาคลาสสิกในเรื่องรถติดชั่วนาตาปี แต่ นพ.พร พันธุ์โอสถ ผอ.โรงเรียนปัญโญทัย ก็กล่าวว่า ปัญหาของทั้งสองโรงเรียนที่มีเหมือนกันคือ ปัญหาในเรื่องโภชนาการอาหาร ปัญหาในเรื่องของการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้เกิดขึ้น

“เวลาเราพูดถึงเรื่องความมั่นคงทางอาหาร อันดับแรกเราอาจจะนึกถึงเรื่องปริมาณ อันดับต่อไปคือคุณภาพของโภชนาการ แต่กับปัญโญทัยตั้งคำถามจากสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ว่าอาหารที่เรามีให้กับเด็กมันปลอดภัยจริงหรือเปล่า”

นพ.พรไม่ปฏิเสธว่าในระยะแรกก่อนการเริ่มต้นโครงการความมั่นคงทางอาหาร โรงเรียนปัญโญทัยเองก็ไม่ต่างจากอีกหลายโรงเรียนที่ใช้วัตถุดิบที่สุ่มเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากสารเคมี ยากำจัดศัตรูพืชต่างๆ ที่ทำให้เกิดคำถามว่า กับสารเคมีที่มีศักยภาพในการกำจัดแมลงและฆ่าหญ้าเหล่านั้นมาเข้าสู่ร่างกายของเด็กและเยาวชนที่จะเป็นอนาคตของประเทศแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

มันเปรียบเสมือนกับว่าเราได้ให้ยาพิษแก่พวกเขาวันละน้อยวันละน้อยหรือเปล่า ซึ่งก็มีแนวคิดที่บอกว่าเราก็อยู่กับยาฆ่าแมลงเหล่านี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก โอเค สมมุติว่าเป็นอย่างนั้น ถ้าถามกลับว่าไม่ใช่ยาฆ่าแมลงก็ได้ แต่เรารู้ละว่าเป็นยาพิษ แล้วเราใส่ลงไปในอาหารทีละนิด ทุกวันๆ เราจะกินหรือเปล่า

จากจุดเริ่มต้นของคำถามเมื่อ 20 ปีก่อนที่โรงเรียนปัญโญทัยยังเป็นโรงเรียนเล็กๆ และไม่สามารถจ้างแม่ครัวมาทำอาหารเองได้ รวมถึงกำหนดเมนูที่รวมไปถึงวัตถุดิบต่างๆ ที่จะนำมาประกอบอาหาร แนวคิดในเรื่องอาหารปลอดสารเคมีในห้วงเวลานั้นนับได้ว่ายังเป็นเพียงระยะตั้งไข่เท่านั้น วิธีการแก้ปัญหาของ นพ.พร ก็คือการหาแหล่งผลิตผักที่ปลอดสารพิษ ซึ่งหาได้ยาก และส่วนมากก็มีแต่ผักพื้นบ้าน ทำให้เมนูอาหารไม่หลากหลาย และทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย อีกทั้งต้องทำความเข้าใจกับพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้กินเนื้อมากกว่า ซึ่ง นพ.พรก็ชี้แจงให้เข้าใจถึงการนำผักอินทรีย์มาใช้ประกอบอาหาร ทั้งการที่ยังเป็นวัตถุดิบที่หายาก และการที่มื้อกลางวันให้เด็กได้กินอาหารที่มีแต่ผักบ้าง พ่อแม่ผู้ปกครองจึงยินยอมโอนอ่อนตาม กระทั่งยอมให้ใช้พื้นที่ในบ้านตัวเองเป็นพื้นที่รับผักจากเกษตรกรที่จะต้องมาส่งให้กับโรงเรียนตั้งแต่ตีสี่ ซึ่งไม่มีใครอยู่รอรับในช่วงเวลานั้น

จากจุดเริ่มต้นกระทั่งถึงปัจจุบันที่ความคิดในเรื่องผักอินทรีย์ได้กระจายไปมากขึ้นกว่า 20 ปีก่อน นพ.พร ไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงวิธีกินผักให้เด็กแค่หนึ่งมื้อในโรงเรียน แต่ยังรับซื้อผักจากเกษตรกรเพื่อขยายตลาดต่อไปยังครอบครัวของเด็กนักเรียนให้ได้กินผักทั้งสามมื้อ ตลอดทั้งปี ครอบครัวของเด็กนักเรียนได้ประโยชน์ เกษตรกรเองก็เช่นกัน

ถ้าเรามองว่าเด็กคืออนาคตของชาติ การที่เราลงทุนในเรื่องโภชนาการอาหารที่ดีต่อเด็กก็เท่ากับเราลงทุนให้กับอนาคตของประเทศและสังคมให้เป็นสังคมที่ดี ประเทศที่ดี

นโยบายการจัดการอาหารเพื่อความมั่นคงและปลอดภัยทางอาหาร

หนึ่งในเครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร และเป็นผู้พยายามผลักดันให้เกิดการตระหนักในพิษภัยจากสารกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะสารที่กำลังเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่าจะมีมติให้มีการยกเลิกหรือใช้งานต่อไปของคณะกรรมการวัตถุอันตราย วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ จากมูลนิธิชีววิถี จึงนำเสนอการปรับเปลี่ยนนโยบายการจัดการอาหารในศูนย์เด็กเล็กและในโรงเรียนเพื่อพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก โดยเริ่มต้นจากการกล่าวถึงประสบการณ์ทำงานที่เชื่อมโยงกับชุมชน ขณะที่อีกด้านพยายามขับเคลื่อนในเชิงนโยบาย

“เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการที่เราจะอธิบายต่อฝ่ายนโยบายว่าสิ่งที่เราเสนอมันมีความสำคัญ มันทำได้ มันมีเหตุและผล และประชาชนจะสนับสนุนได้อย่างไร อันนี้ต้องไปด้วยกัน”

การพยายามนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ประชาชนสนใจเป็นสิ่งที่วิฑูรย์มองว่าสำคัญยิ่งกว่าการพยายามโน้มน้าวให้ฝ่ายนโยบายยอมรับและสนใจ เพราะหากประชาชนสนใจแล้ว ฝ่ายนโยบายย่อมให้ความสนใจในที่สุด

ด้วยเหตุนั้น งานที่จัดภายใต้ธีมของความมั่นคงทางอาหารจึงเป็นการพยายามเรียบเรียงประเด็นสองสามเรื่อง ตั้งแต่เศรษฐกิจชุมชนและท้องถิ่น การจัดการอาหารในโรงเรียน การสร้างตลาดทางเลือก เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีจุดเริ่มต้นจากการค้นพบสารตกค้างในอาหารเกินค่ามาตรฐานสูงมาก จนนำไปสู่การผลักดันให้มีการยกเลิกสารเคมีที่มีความเสี่ยงสูง อย่าง Chlorpyrifos ที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก ซึ่งในวันที่ 20 มีนาคม ที่จะถึงนี้จะมีมติออกมา ซึ่งจะทำให้มีการจัดการที่ต้นทางโดยไม่ต้องมาเหนื่อยกับการจัดการที่ปลายทางในส่วนของเกษตรกร

พาราควอต จากท่าเรือสู่ครรภ์มารดา

นอกจาก Chlorpyrifos สารตั้งต้นทางเคมีอย่าง พาราควอต ที่มีอันตรายสูงมาก ก็จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณายกเลิกเช่นเดียวกัน แต่วิฑูรย์มองว่าลำพังแค่การยกเลิกยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีมาตรการในการขยายอาหารปลอดภัยออกไป ซึ่งการจัดการอาหารในโรงเรียน และสร้างตลาดทางเลือกเป็นมาตรการที่ว่านั้น

นอกจากนี้จากผลการวิจัยยังพบว่า ผลกระทบจากพาราควอตกับการพัฒนาทางสมองของเด็กที่เติบโตมาในบ้านเด็กกำพร้าที่มีระดับการพัฒนาทางสมองไม่ต่างจากผู้ป่วยโรคพาร์คินสันแทบไม่แตกต่างกันแต่อย่างใดเลย

“เรื่องที่ไม่มีการพูดถึงคือ ผลกระทบของสารกำจัดศัตรูพืชมีผลต่อการพัฒนาการทางสมองของเด็ก ถ้าดูการศึกษาจากไทยแพนเมื่อปี 2559 จาก 300 ตัวอย่างโดยใช้ห้องแล็บที่มีมาตรฐานจะพบว่าสารเคมีอย่าง Carbendazim ตกค้างอยู่ในตัวอย่างถึง 47 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ ในอเมริกาได้ยกเลิกไปแล้ว ขณะที่ Chlorpyrifos ทั่วโลกได้ทำการยกเลิกไปแล้ว ไม่ให้มีการใช้ในผักและผลไม้ พบสัดส่วนอยู่ที่ 27 เปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งสองตัวนี้เรากลับพบอยู่ในอันดับหนึ่งและอันดับสอง และ Chlorpyrifos คือเหตุผลที่หลายประเทศแบนเพราะว่ามันมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กนั่นเองนะครับ”

นอกจากสารเคมีทั้งสองตัวแล้ว พาราควอต (Paraquat) ก็เป็นสารเคมีที่พบว่าปนเปื้อนในผักและผลไม้ทั่วไป แต่ไม่เพียงแค่นั้น พาราควอตยังส่งผลกระทบต่อแม่และลูกในครรภ์โดยมีการพบ 17-20 เปอร์เซ็นต์ในเซรั่มจากแม่และในสะดือทารก ขณะที่อีก 54.7 เปอร์เซ็นต์พบในขี้เทาของทารกแรกเกิด

การค้นพบนี้สำคัญและเป็นเรื่องที่ซีเรียสอย่างไร?

เพราะพาราควอตเป็นสารเคมีอันตรายระดับถึงชีวิตหากได้รับการสะสมเข้าไปในร่างกายมากพอ โดยตัวเลขจากการวิเคราะห์ของไทยแพน คณะสาธารณสุขศาสตร์ ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดีระบุว่า จำนวนผุ้ป่วย 8.2 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิตจากการฉีดยากำจัดศัตรูพืชที่มีพาราควอตเจือปน ดังนั้น วิฑูรย์จึงมองถึงความจำเป็นที่จะต้องมีนโยบายที่นำไปสู่กุญแจเกษตรยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารขึ้น

“เหตุผลที่เราต้องเปลี่ยนในเรื่องอาหารของโรงเรียนเพื่อนำไปสู่อาหารที่ปลอดภัยมากขึ้นถูกรองรับด้วยนโยบายระดับชาติสองนโยบายสำคัญ ซึ่งต้องการการปฏิบัติ ณ ปัจจุบันโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเห็นภาพใหญ่ร่วมกันในข้อเสนอของเรา ยุทธศาสตร์ที่หนึ่งในแผน 12 ชัดเจนนะครับ ส่งเสริมการผลิต และบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยส่งเสริมมาตรการให้แรงจูงใจทางภาษี การให้เงินอุดหนุนแก่เกษตรกรที่ปลูกพืชผักผลไม้เกษตรอินทรีย์ ยุทธศาสตร์ที่สามพูดถึงการเพิ่มพื้นที่เกษตรให้ได้ห้าล้านไร่ และพูดถึงมาตรการการเงินการคลังให้ไปสู่การทำเกษตรอินทรีย์ และเกษตรยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ 4 นะครับ อันนี้ชัดเจนเลย ต้องใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐเพื่อไปหนุนเสริมสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมทั้งระดับภูมิภาคและท้องถิ่น ซึ่งอันนี้คือตัวอย่างในส่วนของนโยบาย”

ประเด็นสุดท้าย วิฑูรย์กล่าวถึงงบประมาณจำนวน 7,000 ล้านบาท* ในการจัดซื้อจัดจ้างอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนทั่วประเทศที่หากมีการปรับเปลี่ยนไปเป็นการซื้อพืชผักผลไม้ที่เป็นเกษตรอินทรีย์แล้ว ก็จะกลายเป็นส่วนที่ป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในระยะยาวต่อพัฒนาการทางสมองของอนาคตชาติอย่างสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันกับการลดการใช้สารเคมี การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรที่ในท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนของภาครัฐนี้จะได้กลับคืนมาในระดับเดียวกันอยู่แล้ว กล่าวให้ชัดกว่านั้นคือ รัฐแทบไม่ได้เสียอะไรจากการลงทุนในเรื่องเกษตรอินทรีย์

เพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 2.4 เท่า: เปลี่ยนอาหารกลางวันเด็ก เป็นผลิตผลอินทรีย์

สภาพปัญหา

  • มีเด็กอนุบาล-ป.6 มีปัญหาทุพโภชนาการทั้งสิ้น 5,800,549 คน
  • เด็กบริโภคผักและผลไม้ไม่พอเพียง
  • พบสารเคมีตกค้างในผักผลไม้เกินมาตรฐาน 51 เปอร์เซ็นต์
  • เมื่อปี 2556 มติ ครม. ให้เพิ่มค่าอาหารกลางวันเด็กจาก 13 บาทเป็น 20 บาท

ข้อเสนอ

เพิ่มงบประมาณต่อหัวจาก 20 บาทเป็น 26 บาท เพื่อจัดซื้ออาหารอินทรีย์ซึ่งแพงกว่าราคาพืชผักผลไม้ทั่วไป 30 เปอร์เซ็นต์ จึงจะต้องใช้เงินเพิ่มขึ้น 6 บาท คูณจำนวนมื้ออาหาร 200 มื้อจากเด็ก 5.8 ล้านคน = 6,960,000,000 บาท

ความเชื่อมโยงกับนโยบายอื่น

  • แก้ปัญหาทุพโภชนาการของเด็กในการดูแลของ สธ. และ อปท.
  • สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติเรื่องการขจัดความหิวโหย
  • ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่เกษตร 5 ล้านไร่ของแผน 12 จากการส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์

ผลประโยชน์ด้านอื่นๆ

  • เด็กได้รับผักผลไม้อย่างพอเพียงและปลอดภัยส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่ดีของสมองและร่างกายจำนวน 5.8 ล้านคน
  • เกษตรกรลดการใช้สารเคมีในผักและผลไม้

ลดการใช้ในผักและผลไม้ 20,000 บาท/ไร่ = 6,960,000,000 บาท
ลดการใช้ในนาข้าว 1,500 บาท/ไร่ 72,500,000 บาท
รวมทั้งสิ้น 7,032,500,000 ล้านบาท

ทว่าประเด็นสำคัญที่วิฑูรย์ต้องการเน้นก็คือ ทุกๆ หนึ่งล้านบาทที่เรานำสารเคมีเข้ามา เราจะต้องจ่ายไปสองล้านบาทในเรื่องของการรักษาพยาบาล รวมไปถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“นั่นหมายความว่าการลงทุนเรื่องนี้คุ้มค่ามากๆ โดยไม่ต้องไปพูดเรื่องอนาคตของเด็กในการได้รับประทานอาหารอย่างปลอดภัย และมีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน”


*เป็นตัวเลขจากเมื่อปี 2555 โดยคิดจากอัตราเฉลี่ยค่าอาหารเด็กไทยอยู่ที่ 13 บาท โดยผู้ที่กล่าวคือ สง่า ดามาพงศ์  อุปนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และที่ปรึกษากรมอนามัย กล่าวในการประชุมวิชาการโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 6
“อยากวอนรัฐบาลให้ความสนใจในการบริโภคอาหารที่เหมาะสม มีคุณค่าของสารอาหารในเด็กเล็กก่อน โดยควรเพิ่มค่าอาหารกลางวันจากปัจจุบันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศอยู่ราว 7,000 ล้านบาท ตกคนละ 13 บาท ซึ่งไม่เพียงพอ ควรเพิ่มเป็น 15-20 บาทต่อคน แต่การเพิ่มงบประมาณดังกล่าวค่อนข้างยากและล่าช้า ผมได้เข้าไปศึกษาและพูดคุยกับทางชุมชน โดยนำร่องใน 9 จังหวัด คือ สมุทรปราการ นนทบุรี เพชรบุรี อุดรธานี ขอนแก่น สงขลา ภูเก็ต เชียงใหม่ และลำปาง ในการเพิ่มงบอาหารกลางวันให้กับเด็กกันเองภายในชุมชน ซึ่งจะมีการประเมินการทำงานและจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในสิ้นปีนี้”
ดูเนื้อข่าวเพิ่มเติม ‘เด็กไทยยังขาดสารอาหาร! อ้อนรัฐบาลเทงบอาหารกลางวันเพิ่ม’ โดย wannapa เผยแพร่ในส่วน ทันกระแสสุขภาพ เว็บไซต์ สสส. วันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 https://goo.gl/4yLkC2

 


ปฐกถา บทบาทและความสำคัญของผู้มีความรู้ความชำนาญ ในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพต่อสังคม

รองศาสตราจารย์ ดร.เภสัชกรวิทยา กุลสมบูรณ์

ประธานมูลนิธิเภสัชชนบท และ กรรมการอำนวยการ

วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย สภาเภสัชกรรม

ในพิธีมอบหนังสืออนุมัติแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม

สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย สภาเภสัชกรรม

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561

ณ ห้องประชุม 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

รศ.ดร.ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์

ท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.มงคล ณ สงขลา

ท่านนายกสภาเภสัชกรรม

กรรมการอำนวยการ กรรมการบริหาร และ

สมาชิก วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ สภาเภสัชกรรม

ท่านแขกผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน

 

วันนี้เป็นวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2561 เป็นวันที่จะอยู่ในความทรงจำของทุกท่านที่มาร่วมในพิธีอันทรงเกียรติ โดยเฉพาะสมาชิกวิทยาลัยฯ ที่จะได้รับหนังสืออมุมัติ ในวันนี้

ในวาระสาคัญนี้ มีความสาคัญที่เป็นมงคล คือ สิ่งที่นาไปสู่ความดี อย่างน้อย 3 ประการ หรือ อาจเรียกได้ว่า เป็น “ไตรมงคล” ประกอบด้วย (1) คณะมงคล (2) ปูชนียมงคล (3) บุคคลมงคล

 มงคลประการแรก ที่เรียกว่า คณะมงคล ก็คือ การที่ วิทยาลัยฯ ได้มีคณะกรรมการอานวยการ วิทยาลัยเป็นคณะแรกที่ได้มีการประชุมหารือเกี่ยวกับกิจการของ วคบท. ถือได้ว่าเป็นการสถาปนาเจดีย์ที่สมบูรณ์ อันประกอบด้วยฐานเจดีย์ คือ สมาชิก วคบท. กลางเจดีย์ คือ กรรมการบริหาร และ ยอดเจดีย์ คือ กรรมการอานวยการ คุณูปการนี้ต้องชื่นชมสภาเภสัชกรรม โดยเฉพาะ ท่านนายกสภาเภสัชกรรม ที่ท่านได้อุปถัมภ์เกื้อหนุนให้ภารกิจตามข้อบังคับของวิทยาลัยในการต่อยอดเจดีย์เสร็จสมบูรณ์

 มงคลประการที่สอง คือ ปูชนียมงคล ข้อบังคับของวิทยาลัยได้นำมาสู่ การดำเนินการเสนอชื่อสมาชิกกิตติมศักดิ์ที่ทรงไว้ซึ่งองค์ความรู้ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและมีคุณปการต่อวิทยาลัย สมาชิกกิตติมศักดิ์ทั้งสองท่าน ทั้งอาจารย์สำลี ใจดี และ อาจารย์จิราพร ลิ้มปานานนท์ เป็นปูชนียบุคคลของ วคบท. โดยแท้ ภูมิประวัติ และ เกียรติประวัติ ในการทำงานของท่านทั้งสองทั้งด้านการปกป้อง คุ้มครอง “เภสัชสิทธิ” และ การกำจัด ป้องกัน “เภสัชภัย” เป็นที่ประจักษ์ การที่ท่านทั้งสองได้ตอบรับการเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของ วคบท. จึงเป็นเกียรติอย่างสูงยิ่งของวิทยาลัยฯ

 มงคลประการที่สาม คือ บุคคลมงคล ที่ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์แห่งนี้ เมื่อวันอังคารที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา สภาคณาจารย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มอบรางวัล อาจารย์แบบอย่างของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2 ท่าน หนึ่งในนั้นคือ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ  ผศ.ภญ.ดร.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ โดย สภาคณาจารย์ได้ให้รางวัล แก่ อาจารย์วรรณา เป็นอาจารย์แบบอย่าง ในสาขารับใช้สังคม มีการคัดเลือกจากอาจารย์ จำนวนกว่าร้อยคนได้มา 2 คน จาก 2 สาขา ใน 4 สาขา ท่านนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ปรารภว่า ผลงานของอาจารย์ เป็นการยืนยันถึงเกียรติภูมิจุฬาฯในการรับใช้สังคม

“ไตรมงคล” ที่ได้กล่าวถึงนี้จึงเป็น “วัตถุมงคล” ที่เป็น อิทธิปัจจัย หรือ ปัจจัยที่จะนามาสู่ความสาเร็จของ วคบท. ในการสืบสานภารกิจการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพของสังคมไทย

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ได้ระบุถึงบทบาทของผู้สาเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ “ต่อสังคม” คำว่า “ต่อสังคม” ที่ต่อท้ายมีความหมายอย่างมาก  ทุกวันนี้ องค์กรทั้งหลายต่างแสดงตนที่จะมีบทบาทต่อสังคม เช่น ภาคธุรกิจก็ประกาศว่าจะมี “ความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ Corporated Social Responsibility (CSR)”  ภาควิชาการ ในส่วนของมหาวิทยาลัย ประกาศว่าจะดำเนินการ “พันธกิจเพื่อสังคม หรือ University Social Engagement (USE)” จึงถือได้ว่าความพยายามในการทำงานเพื่อสังคม เป็นกระแสที่ฝ่ายต่างๆให้ความสำคัญ ทั้งนี้หากกล่าวถึงบทบาทต่อขอบเขตปัญหาที่สังคมเผชิญอยู่ทุกด้านแล้ว ในกำหนดเวลาที่มีอยู่ในวันนี้ คงไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด

แม้แต่ที่กำลังจะพูดถึงบทบาทของเภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภค ต่อ “เภสัชสิทธิ” และ “เภสัชภัย” เพียงบทบาทต่อสองภารกิจสาคัญดังกล่าวนี้ ก็ยากที่จะครอบคลุมภายในเวลาได้อย่างครบถ้วน

“อาจารย์ ดร.ภญ.กฤษณา ไกรสินธุ์” ก็ดี “นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงษ์” ก็ดี เป็นตัวอย่างของบุคคลสาคัญที่ได้อุทิศตน ปกป้องคุ้มครอง “เภสัชสิทธิ” คือ สิทธิในการเข้าถึงยาของกลุ่มบุคคลที่เสียเปรียบ ขาดโอกาส จากความเหลื่อมล้าในสังคม แน่นอนว่า ไม่เพียง เภสัชกร และ แพทย์ สองท่านนี้เท่านั้น แม้แต่บุคคลธรรมดาอย่าง “คุณบุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์” อดีตนายกเทศมนตรีเมืองกาญจบุรี เจ้าของรถเมล์บุญผ่อง ซึ่งอดีต ท่านเคยเป็นเจ้าของร้านบุญผ่องแอนบราเดอร์ ที่กาญจนบุรี ที่ได้เสี่ยงชีวิต โดยไม่กลัวภัยที่จะนาไปสู่ความตาย เพราะความมีมนุษยธรรมในหัวใจ ทำให้เชลยศึกสัมพันธมิตร ที่เป็นแรงงานสร้างสะพานมรณะข้ามแม่น้าแควได้รับยารักษาโรคต่างๆ จนรอดชีวิตและต่อมายังได้กลับมาตอบแทนบุญคุณของคุณบุญผ่อง จนบัดนี้ยังมีทุนให้นักเรียนแพทย์ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย บุคคลเหล่านี้จึงเป็นผู้ที่เห็นแก่ชีวิตของเพื่อนมนุษย์มากกว่าชีวิตของตนเอง ไม่กลัวความตาย ในห้องประชุมอันทรงเกียรตินี้ ผมคงไม่อาจที่จะไม่กล่าวถึงท่านอาจารย์มงคล ณ สงขลา คุณหมอชนบทขี่ม้าแกลบ ผู้นำการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุการประกาศบังคับในสิทธิ (Compulsory Licensing หรือ CL) ทำให้ประชาชนไทยเข้าถึงยา ได้รับ “เภสัชสิทธิ” ตามภารกิจคุ้มครองผู้บริโภคที่ต้องปกป้องสิทธิในการเข้าถึงยาที่จาเป็นที่จะยังชีวิตของประชาชน

ผมมีความเห็นว่า บทบาทในการพิทักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง เภสัชสิทธิ ของประชาชน เป็น ภารกิจหน้าที่ของเภสัชกรที่ทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง

กล่าวสำหรับ “เภสัชภัย” เป็นภัยเชิงประจักษ์ จากมนุษย์เห็นแก่ตัว ที่ได้สร้างขึ้น และ ปัจจุบันมีพัฒนาการที่หลากหลายกว้างขวาง ทันสมัยมากขึ้นเป็นลำดับ

จาก ยุค 1.0 ที่ เภสัชภัย ปรากฎ เป็นยาชุด ยาซอง ยาฟินิลบิวตาโซน ยาไดพัยโรน ยาเตตร้า ยาคลอแรม กระจายตามหมู่บ้าน ส่งเสริมการขายด้วยการฉายหนังขายยา

มาเป็นยุค 2.0 ที่เริ่มกระจายขายทั่วไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ในร้านชา เริ่มมีรถมาส่งยา และมีรถเร่มาขายยาในหมู่บ้าน พัฒนารูปแบบยาผสมเสตียรอยด์แก้ปวด

ในยุค 3.0 ที่อาศัยสื่อ On air ทั้งวิทยุชุมชน เคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม ส่งเสริมการขายยา ยาแก้ปวด สมุนไพร อาหารเสริมและสารพัดยา On air กันอย่างกว้างขวาง

ปัจจุบัน ถึงยุค 4.0 ที่ “เภสัชภัย” กระจายอย่างเข้มข้น ในรูปแบบ On line ทั้งการพัฒนาในรูปแบบยาผิดกฎหมายนานาชนิด เช่น การนายาเสตียรอยด์ใส่ใน อาหารเสริม ยาสมุนไพร เพื่อแก้ปวด เอายา Sibutramine ใส่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อลดความอ้วน เอายา Sildenafil ใส่ผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อกระตุ้นทางเพศ ไม่นับรวม อาหาร น้ำผลไม้ ยาสมุนไพร เครื่องสำอาง ชนิดต่างๆ ที่มีโทษแอบแฝง ขายตรง และอาศัยการโฆษณา On line และ On air ปลุกระดม หลอกลวงในรูปแบบต่างๆ

มีข้อสังเกตว่า การเสียชีวิต การป่วย และ การพิการ จากสาเหตุของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังเป็น Unseen hazard หรือ ภัยบดบัง ภัยที่มองไม่เห็น มีอุบัติการณ์ที่ออกตามสื่อเกี่ยวกับการเสียชีวิตเป็นครั้งคราว มีข่าวสารจับกุมทยอยออกมา จากผลปฏิบัติการของกลุ่มเภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภค แต่ปัญหาเภสัชภัยที่เผชิญอยู่อาจยังไม่ถูกกำจัดและป้องกันได้ตามคาดหวังทั้งหมด จนเกิดความกังวลว่าอาจจะกลายไปเป็นความผิดปกติแบบใหม่ หรือ New normal ที่ สังคมต้องพบเจอบ่อยๆ จนเคยชินและรู้สึกว่าเป็นธรรมดา และแก้ปัญหาไม่ได้

ภายใต้ความกังวลเหล่านี้ อาจสังเกตได้ว่ามีปรากฏการณ์ที่บ่งชึ้ถึงความก้าวหน้าในการต่อสู้กับปัญหาหลายประการ ได้แก่

(1) ความยอมรับ จะเห็นได้ว่ามีการยอมรับบทบาทด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในวิชาชีพเภสัชกรรมเพิ่มมากขึ้น คำว่า “การคุ้มครองผู้บริโภค” ปรากฏในนิยามวิชาชีพเภสัชกรรม ตามที่มีอยู่ใน พ.ร.บ.วิชาชีพเภสัชกรรม ในปัจจุบัน พัฒนาการของ วคบท. ในขณะนี้ ได้เติบโต สมบูรณ์ ตามข้อบังคับ ของ วคบท. ที่ได้กำหนดไว้ กล่าวคือ มี กรรมการอำนวยการ กรรมการบริหาร สมาชิกกิตติมศักดิ์ สมาชิก วคบท. ทั้งนี้ สภาเภสัชกรรม ได้เห็นชอบ ประกาศเงื่อนไขและข้อจากัดในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมสาขาต่างๆ รวมทั้งสาขาการคุ้มครองผู้บริโภค วคบท. มีจำนวนสมาชิก และ ผู้ที่ได้รับหนังสืออนุมัติ ในจำนวนเพิ่มมากขึ้น และคงจะถึงหนึ่งร้อยคนในปีต่อไป

ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ วคบท. ในปีนี้ ได้มีข้อเสนอให้พิจารณาว่า จำนวนสมาชิกที่ได้รับหนังสืออนุมัติแต่ละปีประมาณ 20 คน จะสามารถเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นได้หรือไม่ เพื่อรองรับปัญหาการคุ้มครองผู้บริโภคที่ขยายตัว เช่น การลดเงื่อนไขของผู้สมัครที่ต้องมีประสบการณ์อย่างน้อย 10 ปี โดยให้ลดเวลาลง เพื่อจะได้มีผู้สมัครเข้าเรียนที่มีอายุน้อย และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น

(2) ภาวะคุกคาม มีความพยายามในการฟ้องร้องผู้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในพื้นที่ ตลอดจนมีการคุกคามข่มขู่ผู้ปฏิบัติงานในลักษณะต่างๆ เพื่อให้เกิดความหวั่นไหวในการทางาน ถือเป็นความท้าทายของพนักงานเจ้าหน้าที่ ที่ได้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ในการปฏิบัติการตาม พ.ร.บ.ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นโอกาสที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความรู้ที่ถูกต้องและเหมาะสมในการดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย หากมีการปฏิบัติที่รอบคอบ ถูกต้อง แล้วจะเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่ความสาเร็จ ขอชมเชยและให้กำลังใจแก่เภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภคที่ตั้งใจปฏิบัติงานในภาวะคุกคาม ซึ่ง เชื่อมั่นได้ว่า วคบท. จะเป็นองค์กรที่หนุนเสริมความถูกต้องทางวิชาการในการสนับสนุนส่งเสริมการปฏิบัติงานของเภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเต็มที่

(3) การขยายภารกิจ เพื่อให้ การกำจัด และป้องกัน “เภสัชภัย” กว้างขวางขึ้น เภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภคได้มีบทบาทภารกิจการทางานที่กว้างขวางในภัยต่างๆจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ไม่เพียง

ปัญหาหรือภัยจากยาเท่านั้น แต่ขอบเขตยังกว้างขวางไปสู่ กลุ่มผู้บริโภคอาหาร เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน เด็กเล็ก หรือ แม้แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาหารปนเปื้อนจากสารพิษ เช่น กรณีน้ำมันทอดซ้า อาหารที่ได้จากวัตถุดิบที่ปนเปื้อนสารเคมีที่มีพิษทางการเกษตร สารพิษแร่ใยหินในวัสดุก่อสร้างที่มีผลต่อผู้ใช้แรงงาน สารบีพีเอที่อยู่ในขวดนม เครื่องสำอางอันตราย วัตถุมีพิษที่ขาดการควบคุมที่เหมาะสม ตลอดจนถึงการดำเนินการแก้ปัญหาการโฆษณาทั้งจาก ทีวี วิทยุ ที่เรียกว่า ออนแอร์ และทางอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่าออนไลน์ และการขายตรง เป็นต้น

ปัญหาที่รุนแรงและการขยายตัวที่มีมากขึ้น อาจมีเกินกว่าปรากฏการก้าวหน้าที่ได้กล่าวถึง ได้แก่ การยอมรับบทบาทเภสัชกรสาขาคุ้มครองผู้บริโภค ความพยายามที่แข็งขันในการต่อสู้กับภาวะคุกคาม และ การขยายบทบาทภารกิจที่กว้างขวางมากขึ้น จึงจำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาความเชี่ยวชาญของเภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภค ในการสร้างองค์ความรู้สำคัญที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีแนวทางการปฏิบัติงานที่นำไปสู่ความสาเร็จ ทำให้บทบาทและความสำคัญของผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพมีผลประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม เพิ่มมากยิ่งขึ้น

การที่จะทำให้ องค์ความรู้ด้านวิชาชีพ ของ วคบท. ในห้าวิชา หรือ “ปัญจวิทยา” ประกอบด้วย ระบาดวิทยา ความเสี่ยงวิทยา ชุมชนวิทยา นโยบายวิทยา และนิติวิทยา มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น คงต้องอาศัยความร่วมมือจากสมาชิกทั้งมวลที่จะสร้างปัญญารวมหมู่ หรือ ปัญญากลุ่ม (Collective wisdom) ประสานกับการเรียนรู้ท่ามกลางการปฏิบัติ (Learning through action) เพื่อนำองค์ความรู้ที่ได้รับมา สร้างเป็นหลักปฏิบัติที่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับ ทำให้เกิดความยั่งยืนทางวิชาการต่อไป

ในฐานะสมาชิก วคบท.ท่านหนึ่ง ขอถือโอกาสนี้ ให้กำลังใจพวกเราที่เป็นสมาชิกด้วยกัน รวมทั้ง ถือโอกาสขอพร จากผู้อาวุโส ท่านสมาชิกกิตติมศักดิ์ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีเกียรติ ที่เป็นกัลยาณมิตร ณ ที่นี้ อำนวยพรให้พวกเราสามารถนา “ปัญจวิทยา” ให้เป็น “ปัญจพล” ที่ เป็นพลังต่อสู้กับปัญหา นาพาไปสู่ “อิทธิ-พละ” หรือ อิทธิพล ที่จะเป็น พลังที่จะนาสู่ความสาเร็จ เอาชนะ บรรดา “อิทธิ-พาล” ทั้งหลายที่เอาเปรียบ ก่อ “เภสัชภัย” และแสวงประโยชน์จากชีวิตของเพื่อนมนุษย์

ท้ายสุดนี้ ขอให้ สมาชิก วคบท. ทุกท่าน ร่วมกันขับเคลื่อน ให้ วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทยก้าวสู่องค์กรที่รับใช้สังคมรับใช้ประชาชนอย่างเต็มภาคภูมิโดยแท้จริง

เภสัชกรที่ได้รับหนังสืออนุมัติผู้ความรู้ความชำนาญฯ สมาชิกกิตติมศักดิ์ คณาจารย์ และ กรรมการอำนวยการ

ดาว์นโหลดเอกสาร

ปฐกถา บทบาทควาสำคัญของผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพต่อสังคมไทย

 

 

ผู้จัดการ คคส.รับรางวัล “อาจารย์แบบอย่างของสภาคณาจารย์ สาขารับใช้สังคม”

ผศ.ดร.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ
ผู้จัดการแผนงานฯ

ผศ.ภญ.ดร.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ ผู้จัดการแผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ  ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) และ อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ เข้ารับรางวัลโล่ประกาศเกียรติคุณ “อาจารย์แบบอย่างของสภาคณาจารย์ สาขารับใช้สังคม” ประจำปี 2560 ซึ่งได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติอาจารย์ที่อุทิศตนเพื่อส่วนร่วมเป็นแบบอย่างทางด้านการสอนให้กับนิสิตทั้งในด้านจริยธรรมและคุณธรรม ในวันที่ 16 มกราคม 2561 ณ ห้อง 111 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์

 

ภาพถ่ายโดย รศ.ดร.ธงชัย สุขเศวต

การปฏิบัติการของเภสัชกรชุมชน :ปัญหา อุปสรรคและโอกาส

เอกสารการประชุมวิชาการวันเภสัชกรโลก

From Research to Pharmaceutical Care: Rule and Regulations Update

วันพธ ที่ 27 กันยายน 2560 ณ ห้องประชุม 1002 ชั้น 10 อาคารนวัตกรรมทางเภสัชศาสตร์

คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา

การปฏิบัติการของเภสัชกรชุมชน : ปัญหา อุปสรรคและโอกาส (download)

โดย

รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกร วิทยา กุลสมบูรณ์

ภาควิชาเภสัชศาสตร์สังคมและบริหาร คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กรรมการสภาเภสัชกรรม และ

ประธานอนุกรรมการจรรยาบรรณ สภาเภสัชกรรม

คคส เตือน อย่าเสี่ยงเสียชีวิตจากยาออนไลน์ รัฐต้องเร่งมาตรการป้องภัย

การเสียชีวิตจากการซื้อยาทางเฟซบุ๊กสำหรับประเทศไทยกลายเป็นเรื่องปกติเข้าทุกวัน คล้ายการข้ามถนนโดยไม่ข้ามทางม้าลาย การขับรถย้อนศร ที่ปัจจุบันไม่เพียงมอเตอร์ไซค์ที่ย้อนศร แม้แต่รถกะบะก็ย้อนศร ในถนนเลนกลาง จนปะทะกับรถเก๋งและมีเด็กเล็กเสียชีวิต ร้านขายยาที่ใช้เภสัชกรแขวนป้าย การขายยาออนไลน์ที่ทำได้ง่ายและ รัฐไม่มีความสามารถที่จะจัดการ ปรากฏการณ์เช่นนี้พบมากขึ้น. ในอดีตเคยมีการขายยาออนไลน์จากประเทศไทย ส่งไปขายให้ผู้ป่วยที่สหรัฐ และเกิดการเสียชีวิต พบว่า เอฟบีไอ ของสหรัฐตามมาจัดการ พบว่ามีแหล่งขายในภาคเหนือ. กรณีล่าสุดนี้ ที่เกิดการเสียชีวิต จึงควรมีการสอบสวนย้อนกลับเพื่อการดำเนินการ เพราะการซื้อขายย่อมมีหลักฐานที่อยู่และการโอนเงิน

การปล่อยปะละเลยการบังคับใช้กฎหมายจะทำให้ปัญหาพอกพูน คนทำผิดรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจ และทำต่อไปเรื่อยๆ จนทุกคนรู้สึกจำนนต่อปัญหา ดังกรณี การขายยาแก้ไอที่นำไปสู่การเสพติดในภาคใต้ และประชาชนต้องลุกขึ้นมาทวงถามเรียกร้องให้รัฐเข้ามาดำเนินการรับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดกับเยาวชน นำสู่การจัดการกับบริษัทผู้ผลิตยา ที่เป็นต้นตอการส่งยาขายอย่างผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ มาตรการเพียงการให้การศึกษาผู้บริโภคคงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องพัฒนามาตรการด้านวิศวกรรมเทคโนโลยีที่จะดำเนินการกับผู้ละเมิดกฎหมาย และ มาตรการบังคับใข้กฎหมายที่จริงจังต่อเนื่อง มากกว่าที่เป็นอยู่. ตัวอย่างที่เกิดขึ้นนี้ คือ ผลข้างเคียงของการใช้เทคโนโลยี
ของมิจฉาขีพที่นำมาสู่การเสียชีวิตของผู้ป่วย ที่จำเป็นต้องสร้างมาตรการป้องปรามก่อนที่จะทำให้เกิดการขยายตัวต่อไปจากภัยเทคโนโลยีออนไลน์

อ้างอิง ข่าว เสียชีวิตจากการสั่งซื้อยาผิวขาวและเพิ่มขนาดหน้าอกจากทางเฟซบุ๊ก จาก ข่าวสด

สลดสาวกินยาผิวขาว-เสริมอึ๋มช็อกตายก่อนวันเกิด ญาติร่ำไห้-เพื่อนต้องหอบเค้กวางหน้าโลง

กศย.: ปฐมบท องค์ความรู้ระบบยา

กลุ่มศึกษาปัญหายา (กศย.) มีคุณูปการต่อสังคมไทย และพึงควรบันทึกไว้ให้เกิดการเรียนรู้ต่อไป

​หลังจากจบการศึกษาเภสัชศาสตร์บัณฑิตแล้ว การไปทำงานที่โรงพยาบาลอำเภอในต่างจังหวัด สภาพแวดล้อมย่อมเป็นเรื่องราวของปัญหาการทำงานที่อยู่รายล้อมเฉพาะหน้ารายวัน แม้แต่การแก้ปัญหาเชิงระบบก็เป็นระบบงานที่เกี่ยวกับองค์กร ตลอดจนปัญหาสุขภาพในชนบท ส่วนที่จะขาดไปคือ ความเชื่อมโยงกับระบบโดยรวม ทั้งระบบสังคม ระบบสุขภาพ และระบบยา

กศย.ได้ทำหน้าที่ “เติมเต็ม” ส่วนขาดสำหรับเภสัชกรชนบทที่ห่างไกล ข้อมูลข่าวสารในระดับประเทศ และความเคลื่อนไหวในวงวิชาการในส่วนกลาง กศย.ได้เติมเต็มเรื่องราวต่อไปนี้

(1) การค้ายาระดับสากล บรรษัทยาข้ามชาติ หรือ TNC (TRANS NATIONAL COMPANY) มีบทบาทต่อการบริโภคยาของคนไทย มีผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ และต้นทุนสุขภาพ กศย.ได้นำเอาเรื่องราวที่ซับซ้อน ยากที่จะเข้าใจได้ว่าคนไทยเสียเปรียบอย่างไร ต่อการนำเอาระบบสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับยามาดำเนินการ โดยมิได้พิจารณาอย่างรอบคอบ เหมาะสมหรือไม่กับเวลาที่ให้มีการใช้สิทธิบัตรยา มีกลไกและภูมิคุ้มกันตนเองดีพอหรือไม่ เรื่องราวเหล่านี้ กศย.ได้เปิดเผยข้อมูลและข้อเท็จจริงให้เกิดการวิเคราะห์ วิจัย และวิจารณ์ เพื่อเกิดภูมิรู้ในการสร้างทางเลือกเชิงนโยบาย เกิดสติปัญญาในการตั้งหลักดำเนินการบนฐานวิชาการ และเกิดปิติในการเข้าร่วม มีบทบาททำสิ่งที่ถูกที่ควร

(2) สมุนไพร กศย.เป็นกลุ่มสุขภาพกลุ่มแรกๆที่ตระหนักถึงทรัพยากรสมุนไพร นำเอาข้อมูลวิชาการมาชี้ชวน และทำให้สังคมตื่นตัว แน่นอนว่าเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว การสร้างแนวความคิดเรื่องการใช้สมุนไพร ขณะนั้นยังคงเป็นกระแสเล็กกระแสน้อย และหาใช่บรรยากาศ “กระแสหลัก” เช่นในปัจจุบัน  ในช่วงนั้น การมีฐานทางวิชาการที่มั่นคง โดยเฉพาะ จากผศ.ภญ.สุนทรี วิทยานารถไพศาล อาจารย์เภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ ที่ท่านได้เป็นแกนนำรวบรวมคณาจารย์ นักวิชาการเพื่อประมวลองค์ความรู้ด้านเภสัชพฤษศาสตร์ มานำเสนออย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทำให้มีแหล่งที่พึ่งสำหรับผู้สนใจ โดยเฉพาะเภสัชกรที่อยู่ในชนบท

(3) ยาชุด ยาซอง ยาไม่เหมาะสม ประวัติศาสตร์ไทยได้บันทึกไว้แล้วว่า กศย. คือกลุ่มที่ได้ดำเนินการให้มีการยกเลิก คาเฟอีน และ ฟินาเซติน จากยาสูตรรวม เอ.พี.ซี ที่ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน ใช้แก้ปวด และมีพฤติกรมใช้ประจำจนทำให้เกิดโรคเลือดออกในกระเพาะอาหาร และเป็นโรคที่เกิดตามฤดูกาลปลูกข้าวในช่วงปักดำต้นกล้า และช่วงเกี่ยวข้าว เนื่องจากชาวนาต้องใช้แรงงานอย่างมากในช่วงเวลานั้น เภสัชกรชนบทได้นำข้อมูลจากพื้นที่เชื่อมโยงกับ กศย.และนำไปสู่นโยบายของรัฐ ในการให้ เอ.พี.ซี. เหลือแค่ “แอสไพริน” อย่างเดียว คำว่า “ยาชุด” เกิดจากการนิยามและประกาศให้สาธารณะทราบ โดย กศย. และ ต่อมามีการบรรจุคำนี้ในกฎหมาย และ ยังนำไปสู่การขับเคลื่อนรณรงค์แก้ปัญหาเสตียรอยด์ที่ยังคงหมักหมม ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน แม้จนในปัจจุบัน ดังนั้นกศย.คือกลุ่มสุขภาพที่เปิดประเด็น “ยาชุด” ทำให้สังคมตระหนัก ตื่นตัว และเภสัชกรชนบทมีส่วนผลักดันแก้ไข รวมไปถึง ยาไม่เหมาะสมต่างๆ เช่น ยาปฏิชีวนะในเด็ก ยาปฏิชีวนะทั่วไป ตลอดจน ยาไดพัยโรน ยาฟีนิวบิวทาโซล และยาแก้ปวดอันตรายอีกหลายรายการ

(4) การพึ่งตนเองในการผลิตยาในระดับประเทศ กศย. สนับสนุนให้ องค์การเภสัชกรรม เป็นองค์กรหลักสำคัญของประเทศ และ ยังมีการจูงใจ ส่งเสริมการผลิตยาในระดับโรงพยาบาลทุกระดับ  พัฒนาจิตสำนึก “การพึ่งตนเอง” ให้เป็นจิตวิญญาณที่สำคัญที่จะทำให้เภสัชกรตระหนัก ต่อบทบาทหน้าที่นี้  กศย. ยังได้เสนอให้มีการผลิตสารเคมีตั้งต้นและให้ประเทศไทยเตรียมผลิตเพื่อการพึ่งตนเอง

(5) การใช้ยาที่เหมาะสม ผลกระทบ ทั้งในชุมชนจากยาไม่เหมาะสม และ ทั้งการใช้ยาในโรงพยาบาลที่มักจะเป็นไปตามกระแสการส่งเสริมการขายอย่างไม่คำนึงถึงจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ทำให้มีการผลักดันให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสม โดยประสานกับกลุ่มนักวิชาการที่สวีเดน ในนาม INRUD หรือ International Network of Rational Use of Drugs หรือ เครือข่ายนานาชาติเพื่อการใช้ยาที่เหมาะสม ปัจจุบันกระแสการใช้ยาที่เหมาะสมกลายมาเป็น “กระแสหลัก” อีกกระแสหนึ่งในวงการสุขภาพของประเทศไทย ในอีกด้านหนึ่ง สำหรับการใช้ยาที่เหมาะสมในชุมชน กศย. ได้ส่งเสริมกิจกรรมการจัดหายาจำเป็นในชนบท โดยอาศัยอำเภอด่านขุนทดเป็นพื้นที่ปฏิบัติการ มีการประสานและสนับสนุนให้เกิด “กองทุนยา” ตลอดจนร่วมกับโรงพยาบาลสูงเนินเปิด “ห้องยาชุมชน”เพื่อให้เกิดการใช้ยาที่เหมาะสมในชุมชน

ทั้ง 5 เรื่องที่ได้กล่าวมานี้ เป็นปฐมบทในระยะตั้งแต่ปี พ.ศ.2516 ต่อเนื่องมาตลอด โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ.2520-2530   ในปัจจุบัน เรื่องราวเหล่านี้ได้กลายเป็นนโยบายกระแสหลักอย่างเข้มข้น ทั้งสิทธิบัตรยา สมุนไพร การผลิตยา และการใช้ยาที่เหมาะสม

พลวัตรของเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย แต่มีประวัติศาสตร์ มีต้นเรื่อง มีปฐมภูมิของเรื่อง และพัฒนาไปตามหลัก “ปฏิจจสมุปบาท” ที่ผลเกิดจากเหตุ มีสาระที่มีหลักวิชาการ โดยเฉพาะในฝ่ายที่มุ่งมั่นจะทำประโยชน์เพื่อสังคมและพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชน

กลุ่มศึกษาปัญหายา (กศย.) จึงเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนสติปัญญาของสังคมไทย เปิดเผยเรื่องราวอันซับซ้อน และต่อสู้กับมายาคติในระบบยาให้ผู้คน โดยเฉพาะเภสัชกร เกิด “สัมมาทิฐิ” ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับปัญหาเชิงระบบ โดยเฉพาะระบบยา และระบบสุขภาพได้อย่างถูกต้อง แม้จะไปทำงานอยู่พื้นที่ภูมิภาคต่างจังหวัด เป็น “เภสัชกรชนบท” ก็สามารถติดตามสถานการณ์ เท่าทัน และ เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการขับเคลื่อนเพื่อความถูกต้องของระบบยาในสังคมไทย

รศ.ดร.ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์

ประธานมูลนิธิเภสัชชนบท

คคส. วคบท.จัดประชุมวิชาการฯ 2560 เสนอผลวิจัยคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ

แผนงานพัฒนาวิชาการและสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ โดย ศูนย์วิชาการคุ้มรองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)  คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) สภาเภสัชกรรม จัดประชุมวิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ ปี 2560  เมื่อวันที่ 1 ก.ย.60 ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ และเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นเพื่อพัฒนาความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการเภสัชกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพร่วมกัน รวมทั้งเป็นการเผยแพร่ผลงานวิจัยให้ได้รับทราบ อันจะนำไปสู่การพัฒนาผลงานวิจัยให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการฝึกอบรมเพื่อรับหนังสืออนุมัติเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ (นคบส.) รุ่น 1-4 ซึ่งเป็นเภสัชกรที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภค จากหน่วยงานต่างๆ จำนวน 95 คน

 

รศ.ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์
ผศ.ดร.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ

ในการประชุมนี้มีการบรรยาย เรื่อง CONSUMOPROTECTOLOGY โดย  รศ.ดร.ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์ และ ก้าวต่อไป…ทิศทาง และ แนวทางการจัดการความรู้ โดย ผศ.ดร.ภญ.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ จากนั้นเป็นการนำเสนอผลงานวิชาการ 7 เรื่อง คือ

  1. การพัฒนาความร่วมมือเพื่อจัดการปัญหาการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย จังหวัดขอนแก่น ,ภญ.ชัญญรัชต์ นกศักดา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น
  2. การจัดการปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เป็นอันตรายและผิดกฎหมายอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ , ภญ.อรพินท์ พุ่มภัทรชาติ โรงพยาบาลสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
  3. การจัดการปัญหาร้านชำจำหน่ายยาไม่เหมาะสมในอำเภอตรอน จ.อุตรดิตถ์ , ภญ.จิรวรรณ แสงรัศมี โรงพยาบาลตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์
  4. การจัดการปัญหาอุปกรณ์บำบัดด้วยไฟฟ้าสถิตย์ในหน่วยงานราชการ ,ภก.เลิศเชาว์ สุทธาพานิช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
  5. การจัดการแก้ไขปัญหายาจำเป็นขาดแคลน กลุ่มยากำพร้า-ยาต้านพิษ , ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
  6. การยกระดับมาตรฐานการผลิตอาหาร “ผลิตภัณฑ์แคบหมู” จ.เชียงใหม่ , ภญ.นฤมล ขันตีกุล  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่
  7. ความสวยที่มาพร้อมกับ…อันตราย!!! , ภญ.วิไลวรรณ สาครินทร์  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา
ภญ.ชัญญรัชต์ นกศักดา
ภญ.อรพินท์ พุ่มภัทรชาติ

 

 

 

 

 

 

ภญ.จิรวรรณ แสงรัศมี

 

 

ภก.เลิศเชาว์ สุทธาพานิช

 

 

 

 

 

 

 

 

จากนั้นในช่วงบ่ายเป็นการประชุมเพื่อพัฒนาฐานข้อมูลวิชาการด้านคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ การนำเสนองานทางวิชาการและข้อเสนอจากการประชุมในการประชุมครั้งนี้ จะได้มีการนำมาพัฒนางานของ วคบท.และงานวิชาชีพด้านการคุ้มครองผู้บริโภคต่อไป

 

ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์
ภญ.นฤมล ขันตีกุล
ภญ.วิไลวรรณ สาครินทร์

รายงานโดย ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)

ฝุ่นใยหินใกล้กระทรวงสาธารณสุข การรื้อถอนที่มีภัยต่อสาธารณะ

เมื่อเข้ากระทรวงสาธารณสุข จากถนนติวานนท์เข้าทางโรงพยาบาลศรีธัญญา ผ่านปั๊มน้ำมันยี่ห้อหนึ่ง ทางด้านขวาจะเห็นภาพทึ่ปรากฎดังรูป ที่ชั้นล่างด้านหลังตึกหลายชั้นริมรั้วที่มีคูน้ำกั้นก่อนถึงถนน มีกระเบื้องที่มุงหลังคาจำนวนมากที่แตกเป็นรูใหญ่เล็ก กระจายตัวอยู่ ไม่ใช่รอยแตกตามระยะเวลา แต่น่าจะเป็นร่องรอยการเริ่มต้น ของการรื้อถอน หรือ การทำให้แตกเพื่อรอรื้อถอน แบบไม่ทราบอันตรายของฝุ่นใยหิน ที่จะมีผลทำให้เกิดมะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด มะเร็งกล่องเสียงและมะเร็งรังไข่

ตึกบริเวณทางเข้ากระทรวงสาธารณสุข กำลังรื้อถอนอาคาร

การดำเนินการดังกล่าวอยู่ใกล้กระทรวงสาธารณสุข เห็นได้ชัดเจน และละอองฝุ่นใยหินจะกระจายไปมากน้อยเพียงใดก็ไม่สามารถทราบได้ เพราะเป็นระบบที่เปิดโล่ง ไม่มีมาตรการควบคุมป้องกันแต่ประการใด

กระเบื้องที่มุงหลังคาจำนวนมากที่แตกเป็นรูใหญ่เล็ก

การดำเนินการที่ไม่มีมาตรการที่เหมาะสมเช่นนี้จะทำให้เกิดการกระจายของฝุ่นใยหินทั่วไปในกลุ่มประชากร รวมทั้งช่างที่ทำงานอยู่โดยไม่มีความรู้เรื่องการป้องกันตนเองจากแร่ใยหิน

 

มาตรการเพื่อสังคมไทยไร้แร่ใยหินจำเป็นที่จะต้องเร่งให้สังคมรับทราบภัยดังกล่าว และกำหนดมาตรการรื้อถอนตามหลักวิชาการที่ได้มีการดำเนินการบ้างแล้วในท้องถิ่นหลายจังหวัด เช่น จังหวัดลำพูน จังหวัดเชียงราย เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสกัดกั้นผู้ป่วยจากมะเร็งที่มาจากแร่ใยหินซึ่งกำลังเริ่มพบในกลุ่มประชากรไทย และจะเพิ่มจำนวนต่อเนื่องต่อไป

ขั้นตอนการรื้อถอนอาคารที่มีแร่ใยหิน

รายงานโดย ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วันที่  ๑๙ สค ๒๕๖๐