คคส. วคบท. สปค.จัดฝึกอบรมหลักสูตรเภสัชกรรมปฐมภูมิ: ครอบครัวและชุมชน


คคส. ร่วมกับ สำนักงานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว (สปค.) วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) สภาเภสัชกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการฝึกอบรมหลักสูตรเภสัชกรรมปฐมภูมิ: เภสัชกรรมครอบครัวและชุมชน(Certificate short course Training Program in Family and Community Pharmacist Practice Learning)
 เพื่อปลูกฝังอุดมการณ์ด้านงานเภสัชกรรมปฐมภูมิ พัฒนาองค์ความรู้และทักษะด้านงานเภสัชกรรมปฐมภูมิ และ เพื่อรองรับการขับเคลื่อนโยบายคลินิกหมอครอบครัวของกระทรวงสาธารณสุข

การอบรมครั้งนี้จัดระหว่างวันที่ 22-24 พฤษภาคม 2561 ณ ห้องดอนเมือง โรงแรมอมารี แอร์พอร์ต ดอนเมือง มีผู้รับการอบรมรมเป็นเภสัชกรที่รับผิดชอบงานเภสัชกรรมปฐมภูมิ จากทั่วประเทศ เข้าร่วมอบรมจำนวน 130 คน  และได้รับเกียรติจาก ดร.ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี นายกสภาเภสัชกรรม เป็นประธานเปิดการอบรมและบรรยายร่วมกับ ผศ.ดร.ภญ.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ ผู้จัดการ คคส. เรื่อง “บทบาทของเภสัชกรในระบบบริการปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว” และ นพ.สันติ ลาภเบญจกุล  ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว  บรรยายเรื่อง “คลินิกหมอครอบครัว:ทิศทางการขับเคลื่อนและความคาดหวังบทบาทเภสัชกร”  ”

 

ดร.ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี นายกสภาเภสัชกรรม
นายแพทย์สันติ ลาภเบญจกุล ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรอีกหลายท่านมาบรรยายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานด้านระบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว ตลอดระยะเวลา 3 วัน

ดร.ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี และ ผศ.ดร.ภญ.วรรณา ศรีวิริยานุภาพ
ดร.ภญ.รุ่งทิวา หมื่นปา โรงพยาบาลลำปาง
ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร วคบท.

เอกสารการบรรยายบางส่วน

1.คลินิกหมอครอบครัว: ทิศทางการขับเคลื่อนและความคาดหวังบทบาทเภสัชกร โดย นพ.สันติ

2.แนวคิดระบบบริการปฐมภูมิฯ โดย พญ.สุดารัตน์

3.ความรู้และทักษะการตรวจร่างกายเบื้องต้นฯ โดย นพ.จตุภูมิ

4.แนวทางค้นหาปัญหายาในชุมชนฯ โดย ภก.วรวิทย์

‘สยามพาราควอต’ ประเทศอาบสารพิษ

พาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos) คืออะไร? เชื่อว่าหลายคนคงตอบไม่ได้ถ้าไม่ได้อยู่ในแวดวงเกษตรกรรม แต่หารู้ไม่ว่าผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้มีมากมายมหาศาล หากไม่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังก็ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต ด้วยข้อมูลและการรับรู้ของผู้คนยังอยู่ในวงจำกัด เครือข่ายวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัย และสหพันธ์นิสิตนักศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย จึงจัดเวทีวิชาการเพื่อให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชน และประชาชน เรื่อง ‘ข้อเท็จจริงทางวิชาการในการควบคุมสารเคมีอันตราย: พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส’ เพื่อให้ความกระจ่างแก่สังคมไทย

หลังเสร็จสิ้นงานเสวนา WAY เก็บประเด็นที่น่าสนใจจาก รองศาสตราจารย์พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล ผู้อำนวยการสถานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร มาให้ความรู้เพิ่มเติมว่าสารเคมีอันตรายเหล่านี้มีพิษร้ายแรงเพียงใด

มีอะไรอยู่ใน ‘พาราควอต’

พาราควอต เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อใช้ฆ่าหญ้า ซึ่งสารเคมีก็มีด้านบวกและด้านลบ พาราควอตเป็นสารเคมีที่ใช้ได้ดีในแง่ของการฆ่าหญ้า แต่ในแง่ด้านลบเองกลับมีพิษภัยที่แทรกมา แต่ไม่ได้รับการเผยแพร่ในบ้านเรา นั่นคือสิ่งที่เรากำลังเจอกับพาราควอต โดยที่เราไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้คืออะไร เพราะมองแต่ด้านบวกโดยไม่รู้ด้านลบเลย

ทำไมเราจึงต้องสนใจปัญหาพาราควอตในช่วงนี้

เนื่องจากมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่จะออกมาวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ เครือข่ายวิชาการทั้งด้านการแพทย์และสิ่งแวดล้อมได้คุยกัน เราอยากแสดงข้อมูลทั้งหมด ข้อเท็จจริงที่อาจารย์หลายท่านได้พูด และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการวัตถุอันตรายที่ตั้งขึ้นในยุค คสช. แต่เป็นข้อมูลที่ไม่เคยเผยแพร่ให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปได้รับรู้ เลยอยากให้รู้ข้อเท็จจริง และใช้ในการประกอบการพิจารณาว่า ไม่ว่าคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะแบนหรือไม่แบนพาราควอต แต่เมื่อประชาชนรับรู้ความจริงแล้ว เราจะอยู่กันอย่างไร อันนี้คือประเด็นสำคัญ

อาจารย์ได้อะไรจากการศึกษาพาราควอต

เรื่องของพาราควอตเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรา โดยศึกษาบริบทของการปนเปื้อนของสารเคมีในสิ่งแวดล้อม ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร นำไปสู่ผลกระทบอะไรบ้าง

เราพบว่าสารเคมีที่นำมาใช้ในหลายจังหวัด เชื่อมโยงกับหลายบริบท ไม่ใช่แค่ด้านสารเคมีโดยตรงที่มีพิษภัย แต่เริ่มตั้งแต่การนำสารเคมีเข้ามาในพื้นที่ เริ่มตั้งแต่ความเป็นอยู่ของเกษตรกร ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาเป็นอย่างไร เมื่อเราไปลงพื้นที่ เราเจอเกษตรกรสองกลุ่ม คือเจ้าของพื้นที่ ซึ่งเขาอาจจะกำจัดวัชพืชเอง ฆ่าหญ้าฆ่าแมลงเอง กับอีกกลุ่มหนึ่งคือ ใช้มือปืนรับจ้างพ่นยาฆ่าหญ้า

ในหลายพื้นที่อย่างเช่นจังหวัดน่าน หนองบัวลำภู เราพบว่าชาวบ้านต้องซื้อน้ำดื่ม เขาไม่กล้าใช้น้ำจากพื้นที่ เราถามว่าแล้วรู้ไหมว่ามันมีสารเคมีอยู่ เขาบอกว่ารู้ น่าจะไหลมาตามน้ำ แล้วพอถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าไหลมาตามน้ำ เกษตรกรบอกว่า ก็ที่นี่พ่นยากันเต็มไปหมด

การแก้ที่สารเคมี เป็นการแก้ที่ปลายทาง แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาทั้งระบบได้ ทำอย่างไรให้เกษตรกร หรือมือปืนพ่นยามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่เสี่ยงอยู่อย่างนี้ ในทางตรงกันข้ามเราก็เจอเหมือนกันว่า ผลกระทบไม่ได้ตกอยู่ที่เกษตรกรอย่างเดียว เพราะสารเคมีตกค้างอยู่ในพืชผัก ในน้ำ นั่นหมายความว่า พืชผักที่ขายกันตามท้องตลาด คนกินก็ต้องได้รับเหมือนกัน เพราะยาฆ่าหญ้าจะซึมเข้าจากทางราก พอสะสมมากเข้าๆ คำถามคือใครกินล่ะ?

ผลกระทบของพาราควอตต่อคนคืออะไร

ถ้าเราไปสัมผัสสารเคมีโดยตรง ผิวหนังจะไหม้ เป็นแผลพุพอง ผิวหนังอักเสบ แล้วถ้าพาราควอตเข้มข้นมากๆ โอกาสที่ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดมีสูง มีอันตรายรุนแรงถึงชีวิต หมอท่านหนึ่งบอกว่า การที่ได้รับสาร พาราควอตเข้าทางผิวหนัง และเข้าสู่กระแสเลือด ไม่ต่างอะไรกับการกินเข้าไป และไม่เคยเห็นใครรอด นอกจากนี้พาราควอตยังสามารถนำไปสู่โรคพาร์กินสันได้ ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ ไม่จำเป็นต้องสัมผัส แค่รับประทานผ่านอาหาร พืชผักต่างๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นพาร์กินสันได้เหมือนกัน

นอกจากนี้งานวิจัยของอาจารย์พรพิมล (ศาสตราจารย์พรพิมล กองทิพย์ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) ที่ตั้งโจทย์วิจัยว่า แม่ที่ได้รับสารพาราควอตจะตกค้างไปสู่ลูกหรือไม่ ผลที่ออกมาคือ แม่ที่มีสารพาราควอตอยู่ในตัวจะถ่ายทอดไปสู่รก แล้วลงไปสู่อุจจาระของเด็ก แสดงว่าในตัวเด็กก็มีพาราควอตด้วย สิ่งที่น่าตกใจคือ พาราควอตจากแม่ไปสู่ลูกไม่ได้เกิดเฉพาะเกษตรกร คนท้องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีก็มีพาราควอตในลักษณะนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะพาราควอตอยู่ในพืชผัก เนื้อสัตว์ ที่ผู้บริโภคกินเข้าไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นักวิชาการยอมให้เข้าใจผิดไม่ได้ เราต้องการให้ประชาชนทุกคนรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของเกษตรกรกลุ่มเดียวเท่านั้น แต่เป็นปัญหาของทุกคน สิ่งที่หลายคนมักเข้าใจผิดกัน คือเข้าใจว่ายาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง สารเคมีอะไรก็ตามที่เกษตรกรใช้ สามารถล้างออกได้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ มันยังอยู่ในผัก อยู่ในน้ำ ตรงนี้คือปัญหาของทุกคน ไม่ใช่ปัญหาของเกษตรกร แล้วถ้าจะแก้ปัญหา ทุกคนต้องช่วยกัน

สารเคมีที่เกษตรกรนิยมใช้กันมีรูปแบบอย่างไรบ้าง

มีหลายรูปแบบเลย ตัวพาราควอตเองเป็นชื่อสารเคมีชนิดหนึ่ง แต่มีอยู่หลายยี่ห้อ หรือแม้กระทั่งเกษตรกรผสมเอง นั่นหมายความว่าเรากำลังเอาสารเคมีที่เรารู้ไม่ครบทุกด้านมาใช้ในประเทศเรา โดยที่มองแต่ด้านบวก

ในแง่การนำเข้ามาในประเทศ พาราควอตจะเข้ามาในสองรูปแบบคือ แบบเข้มข้น กับที่มีผสมสารเคมีอยู่แล้ว กรณีของพาราควอตที่ขายโดยทั่วไปคือผสมเข้ามาแล้ว ซึ่งเส้นทางการนำเข้ามาสู่เมืองไทย มันเข้ามาในหลายรูปร่างหน้าตา แต่หน้าตาที่เกษตรกรเอาไปใช้เยอะก็คือ สารเคมีที่ผสมมาพร้อมใช้งาน

ถ้าแบนพาราควอตจะกระทบต่อปริมาณผลผลิตทางการเกษตรไหม วิธีแก้ปัญหาควรตั้งอยู่บนแนวคิดอะไร

ต้องเข้าใจว่า พาราควอตเป็นสารเคมีที่ปนมากับอาหาร คนที่ได้รับไม่เฉพาะแค่เกษตรกร แต่รวมถึงผู้บริโภคด้วย ถ้าอยากจะแก้ปัญหานี้ แบนไม่แบนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เราอยากให้แก้ปัญหาทั้งวงจร แก้ทั้งระบบมากกว่า รวมไปถึงการให้ความรู้แก่ผู้คน ให้ผู้บริโภคตื่นรู้ เกษตรกรตื่นรู้ ว่าสารเคมีมันอยู่ใกล้ตัวเรามากขนาดไหน เพราะต่อให้แบนไปแล้ว ประชาชนยังถูกปิดหูปิดตาอยู่อย่างนี้ หรือไม่เคยรับรู้เรื่องเหล่านี้ เดี๋ยวก็จะมีพาราควอตตัวที่สอง ที่สาม ในชื่อการค้าอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่จบไม่สิ้น

การผลักดันเชิงนโยบายและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต้องมีวิธีการอย่างไร จึงจะไม่มีพาราควอตตัวที่ 2 3 4 เข้ามา

ถ้าเราย้อนกลับไปตั้งแต่แรก ปัญหาคือความเป็นอยู่ของคนทั้งประเทศ จะทำอย่างไรให้เกษตรกรอยู่ดีกินได้ แม้กระทั่งมือปืนพ่นยา เช่น ทุกคนอยากกินผักปลอดภัยไม่มีสารเคมี ทำอย่างไรให้ผักเหล่านี้ขายได้ดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผักที่ไม่ใช้สารเคมีแพงกว่าผักที่มีสารเคมี ต้องทำอย่างไรเราถึงจะได้กินอาหารที่ปลอดภัยและไม่ต้องไปจ่ายเงินสำหรับรักษาสุขภาพ

หน่วยงานที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานด้านเกษตร ด้านเศรษฐกิจ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค หรือหน่วยงานที่ทำเรื่องเกษตรอินทรีย์ เกษตรยั่งยืน ทำอย่างไรจึงจะจูงใจให้เกษตรกรไม่ใช้สารเคมี ทำอย่างไรจึงจะควบคุมไม่ให้มีการปนเปื้อนของสารเคมีในอาหาร ในสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นในกรณีเวียดนาม ทำไมประเทศของเขาถึงทำได้ ทำไมประเทศเราทำไม่ได้ หรือในแง่ของการตรวจสอบผักและอาหาร ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัยและราคาถูก

จะเห็นว่าบริบททั้งหมดต้องมองให้ครบวงจร ไม่ใช่ถามแค่ว่าจะใช้สารอะไรมาทดแทน หมายความว่าทุกภาคส่วนจะต้องเข้ามา โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่เป็นคนดำเนินงานหลักและอยู่ในทุกบริบทของปัญหา ต้องมองบริบททั้งหมดแล้วแก้ร่วมกัน ไม่ใช่เป็นภาระของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

พาราควอต ผลกระทบเสมอหน้า เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา สตรีมีครรภ์ จนถึงทารก

ในเวทีวิชาการเพื่อให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชน และประชาชน เรื่อง “ข้อเท็จจริงทางวิชาการในการควบคุมสารเคมีอันตราย : พาราควอต (Paraquat) ไกลโฟเซต (Glyphosate) และคลอร์ไพริฟอส (Chlorpyrifos)”

เราได้คุยกับ รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล ผู้อำนวยการสถานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัย นเรศวร

การศึกษาของอาจารย์รวมทั้งนักวิชาการอื่นๆ บนเวทีเห็นพ้องต้องกันว่า พาราควอตรวมทั้งสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องที่แก้กันเป็นส่วนๆ หรือเห็นกันเป็นเศษเสี้ยว แต่เกี่ยวข้องกันตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงมือปืนพ่นยาในท้องทุ่ง

สารเคมีเหล่านั้นตกค้างจากพืชผัก ผลไม้ จากคนปลูกสู่คนกิน จากผืนดินจนถึงผืนน้ำ

หากถามว่าเราควรเดือดร้อนกับเรื่องพวกนี้หรือไม่ สิ่งที่เราได้จากการพูดคุยคือ พาราควอตมันตามมาถึงจานกับข้าวของเราทุกคนเท่านั้นเอง

ถึงเวลาสยบโฆษณาเสี่ยงสุขภาพใน Facebook

ในขณะที่เทคโนโลยีสารสนเทศมีอิทธิพลสูงยิ่งในโลกทุกวันนี้ แต่กฎหมายหรือระบบจัดการความเสี่ยงของ “ข่าวเท็จ” “ข้อมูลลวง” กลับไล่ตามไม่ทัน

ส่วนหนึ่งของปัญหาที่หนักหนาและส่งผลกระทบรุนแรงจนทำให้เจ็บป่วยจนถึงขั้นเสียชีวิตมาแล้วอย่างต่อเนื่องก็คือ การโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสื่อสังคมเฟซบุ๊ก ที่ปัจจุบันพบว่ามีปัญหาในวงกว้าง และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งการโฆษณาอวดอ้าง เกินจริง หลอกให้ประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่หลงเชื่อเพราะไม่มีความรู้เท่าทันด้านสุขภาพจึงตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงและเกิดปัญหาตามมามากมาย

ผลพวงที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคจนถึงขั้นเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าใจ ส่วนหนึ่งมาจาก ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ใช้ชื่อ อ้างสรรพคุณหรือ โฆษณาว่าลดน้ำหนัก หรือ ลดความอ้วน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายตั้งแต่ชื่อและประเภทผลิตภัณฑ์  มีการตรวจพบการลักลอบใส่ยาควบคุมพิเศษ รวมทั้งยาอันตรายที่สามารถคร่าชีวิตได้ภายในเวลาสั้นๆ

โครงการจัดการความรู้ประกอบรายวิชาความชำนาญด้านการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ภายใต้ วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย (วคบท.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นกรณีศึกษา โดย ภญ.ฐิติพร  อินศร  นคบส.รุ่นที่ 4 ได้ลงมือจัดการความรู้ในหัวข้อ  “การโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผิดกฎหมายในสื่อสังคมเฟซบุ๊กและข้อเสนอแนวทางบังคับใช้กฎหมายของพนักงานเจ้าหน้าที่” โดยมี ภญ.พรพรรณ สุนทรธรรม เป็นที่ปรึกษา

จับต้นชนปลาย…สถานการณ์ร้ายแรง

งานชิ้นนี้เริ่มต้นด้วย การติดตามสถานการณ์การโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนักในประเด็นที่ผิดกฎหมายต่อผู้บริโภค โดยสำรวจเพจโฆษณาเฟซบุ๊กในช่วง เดือน ธันวาคม 2560-มกราคม 2561 โดยใช้คำค้น “อาหารเสริมลดน้ำหนัก” พบว่า

  • ข้อมูลโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้ชื่อ อ้างสรรพคุณหรือโฆษณาว่าลดน้ำหนักจำนวน 204 ผลิตภัณฑ์
  • พบผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลขสารบบอาหารมากถึง ร้อยละ 53.22
  • ไม่มีการขออนุญาตโฆษณา ร้อยละ 100
  • เป็นผลิตภัณฑ์ที่เคยถูกดำเนินคดีหรือมีการประกาศผลวิเคราะห์ว่าเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยแต่ยังพบการโฆษณาจำหน่ายในเฟซบุ๊ก ร้อยละ 28.46
  • เมื่อพิจารณาการกระทำผิดพบว่ามีการโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นเท็จ หรือเกินความจริง ร้อยละ 47.42 นอกจากนี้ยังมีการโฆษณาโดยสื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์สามารถบำบัดบรรเทา รักษาหรือป้องกันโรคได้อีกด้วย

 

สกัดไม่ไหว หน่วยไหนก็เอาไม่อยู่

ประเด็นต่อมาก็คือ แนวทางดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายในสื่อสังคมเฟซบุ๊ก พบว่า

  • การออกมาให้ข้อมูลของเพจดัง เพื่อเตือนภัยยาลดความอ้วน หรือ แม้กระทั่งการที่พนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรวจพบผลิตภัณฑ์อันตราย ได้ออกประกาศเตือนประชาชน ก็ยังถูกคุกคาม ข่มขู่ และ ฟ้องร้อง
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นหน่วยงานที่อนุญาตการโฆษณาทางอินเตอร์เน็ต แต่มีข้อจำกัดคือ การขออนุญาตประเภทอินเตอร์เน็ตไม่มีการระบุแหล่งที่นำไปเผยแพร่ที่ชัดเจน เช่น เฟซบุ๊ก ส่งผลให้ยากต่อการควบคุมกำกับ การตรวจสอบและดำเนินงานตามกฎหมายเป็นหน้าที่ของ อย. รวมทั้ง สสจ.ในช่วงที่ผ่านมาจะดำเนินคดีในประเด็นการไม่ขออนุญาตการโฆษณาซึ่งมีอายุความเพียง 1 ปี แต่การดำเนินคดีทางเฟซบุ๊กมีหลายขั้นตอนและต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกจึงมักจะขาดอายุความ ไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้ ซึ่งแม้บางรายที่มีการดำเนินคดี หากแต่โทษที่ได้รับนั้นจะเป็นโทษปรับสถานเดียว ไม่เกิน 5,000 บาท ทำให้ผู้ประกอบการไม่เกรงกลัว
  • การกระทำผิด ณ ปัจจุบันมีปริมาณมากและขยายวงกว้างมากขึ้น เป็นการโฆษณาที่ทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และส่งถึงผู้บริโภคได้โดยตรง จึงเป็นการยากต่อการควบคุมกำกับด้วยกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เพียงอย่างเดียว

ข้อค้นพบจากการจัดการความรู้ครั้งนี้ ที่พบว่า ปัญหาที่ก่ออันตรายต่อผู้บริโภคเรื่องนี้มีปริมาณมากและกำลังขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบจัดการปัญหาไม่สามารถ “จับได้ไล่ทัน”  ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)  และเครือข่ายอีก 6 องค์กร ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.), มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.), มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา (มสพ.), วิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพแห่งประเทศไทย, (วคบท.) สภาเภสัชกรรมม มูลนิธิเภสัชชนบท (มภช.) และมูลนิธิวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาและสุขภาพ (มวคบ.) จึงร่วมกันเสนอประเด็น “การจัดการปัญหาโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดน้ำหนักในสื่อสังคมเฟซบุ๊ก” เป็นเสนอประเด็นนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ เพื่อพิจารณากำหนดเป็นระเบียบวาระการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11

เพื่อระดมพลังสังคมมาร่วมกันกำราบปัญหาจากการทำธุรกิจที่ไร้จริยธรรมเช่นนี้ให้อยู่หมัด

ที่มา: วารสารสานพลัง ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2561 Click

ปอกเปลือกมายา ‘ผลิตภัณฑ์สุขภาพ’ หลอกลวง

ปรากฏการณ์ ‘เมจิกสกิน’ ที่มียอดผู้เสียหายเข้าแจ้งความเกือบ 1,000 ราย กับมูลค่าความเสียหายเกือบ 300 ล้านบาท และเหล่าดารานักแสดงที่มีส่วนพัวพันร่วม 60 ชีวิต นำมาสู่คำถามที่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยยุคบริโภคนิยม ความปลอดภัยของประชาชนอยู่ตรงไหน

แม้ขณะนี้ผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องสำอางในเครือเมจิกสกินยังอยู่ระหว่างรอผลตรวจพิสูจน์สารประกอบจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่ามีสารประกอบตามที่โฆษณาจริงหรือไม่ และจะส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพเพียงใด แต่เม็ดเงินที่สะพัดนับร้อยๆ ล้านในวงการนี้ คือปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงมายาภาพของกระบวนการโฆษณาที่เข้าแทรกซึมในทุกช่องทางการสื่อสาร โดยอาศัยบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ทรงอิทธิพลต่อความคิดความเชื่อของผู้บริโภค

จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของผลิตภัณฑ์ลวงโลก เภสัชกรภาณุโชติ ทองยัง ประธานชมรมเภสัชชนบท เอ่ยขึ้นว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ หลายกรณีเคยมีเหยื่อที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมาแล้วนักต่อนัก หากไม่เสียโฉมหรือเจ็บป่วยเรื้อรังก็ถึงขั้นเสียชีวิต

“เรากำลังมาถึงยุค ‘มายาโฆษณาบันเทิง’ จะเห็นว่ามีผลิตภัณฑ์ที่เกินจำเป็นต่อสุขภาพเกิดขึ้นมากมาย มีการใช้เน็ตไอดอลและคนในวงการบันเทิงเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์กันมากขึ้น ผ่านโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงผู้คนจำนวนมาก กระบวนการเหล่านี้มีผลทำให้คนหลงเชื่อได้ง่ายขึ้น และทำให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนไป”

ความสวยแลกด้วยความสูญเสีย

ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามทั้งหลาย ไม่ว่าเครื่องสำอาง ครีมหน้าขาว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนต่างๆ ที่ผุดขึ้นยิ่งกว่าดอกเห็ดนับพันนับหมื่นชนิด แม้อาจเรียกได้ว่าไม่ใช่ความจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ‘ทางใจ’ ให้กับผู้คนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ด้วยอิทธิพลของกระบวนการโฆษณาที่ซึมลึกผ่านโซเชียลมีเดียรูปแบบต่างๆ

“จะเห็นว่าคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการส่งเสริมการขายของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไม่ใช่ตาสีตาสา ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เริ่มมีดารานักแสดง เริ่มมีเน็ตไอดอล หรือคนที่ถูกสถาปนาขึ้นมาจนเป็นคนดัง เพื่อมาโปรโมทผลิตภัณฑ์ แม้จะใช้เงินลงทุนเยอะ แต่วิธีการนี้ก็ได้ผล สามารถเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของเขาได้อย่างมหาศาล”

กระบวนการเหล่านี้มีผลทำให้พฤติกรรมการบริโภคของคนเปลี่ยนแปลงไป เป็นการบริโภคที่เกินความจำเป็น ขณะที่หลายคนที่เข้ามาทำธุรกิจนี้ก็มีฐานะดีขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่ง ภก.ภาณุโชติ มองว่า เม็ดเงินที่สะพัดอยู่ในตลาดนี้ ในแง่หนึ่งคือรายจ่ายที่ผู้บริโภคต้องสูญเสียไปอย่างไม่คุ้มค่า ทั้งยังแลกมากับความเสี่ยงต่อสุขภาพ

“ข่าวคราวการเสียชีวิตของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก แต่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้คนในสังคมอาจจะรู้สึกชินชา กระทั่งมีกรณีการจับกุมเครือข่ายผลิตภัณฑ์เมจิกสกินที่เป็นข่าวครึกโครม มันเป็นเหมือนบาดแผลที่อักเสบขึ้นมา และเป็นรูปธรรมที่ทำให้เราเห็นถึงกระบวนการมายาโฆษณาและบันเทิงที่เข้ามาเกี่ยวพันกับผลิตภัณฑ์สุขภาพมากขึ้น”

ประธานชมรมเภสัชชนบท ตั้งข้อสังเกตว่า แม้อาชีพนักแสดงอาจไม่มีการกำหนดมาตรฐานจรรยาบรรณที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยในแง่ศีลธรรมนักแสดงเหล่านั้นจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบพื้นฐาน เพราะถือเป็นบุคคลที่สังคมให้ความเชื่อถือ

“ถ้าคุณไม่เคยทดลองใช้สินค้าตัวนั้นด้วยตัวเองจริงๆ หรือเคยใช้แค่ครั้งเดียวแล้วมารีวิวขายของ ต้องถือว่าเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค นี่คือการโกหกบุคคลที่เขาศรัทธาคุณ ฉะนั้น เมื่อเกิดความผิดปกติในผลิตภัณฑ์นั้น คุณก็ควรต้องร่วมรับผิดชอบด้วย อย่างน้อยที่สุดก็ควรมีจิตสำนึกด้วยการลุกขึ้นมาเตือนคนอื่น ไม่ใช่บอกแค่ว่าตัวเองถูกหลอก แต่ต้องลุกขึ้นมาเป็นเน็ตไอดอลในการเตือนผู้บริโภคที่คุณเคยไปหลอกเขา หรืออย่างน้อยก็ออกมาขอโทษ”

 

ช่องโหว่ของระบบ

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คือหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการให้ใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้แก่ อาหาร ยา เครื่องมือแพทย์ และเครื่องสำอาง โดยผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทจะมีความเข้มงวดในการออกใบอนุญาตแตกต่างกันไป หากเป็นผลิตภัณฑ์ยาหรือเวชภัณฑ์จะมีความเข้มงวดเป็นพิเศษ ก่อนให้ใบอนุญาตจะต้องมีการตรวจสอบสถานที่และรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ยาแต่ละรายการ แต่หากเป็นเครื่องสำอางจะเปิดช่องให้ขึ้นทะเบียนได้ง่ายขึ้น

“สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทยาและเวชภัณฑ์ การขออนุญาตสามารถยื่นเรื่องได้ที่ส่วนกลางหรือที่ต่างจังหวัดได้ หลักการง่ายๆ คือ ถ้าผลิตที่จังหวัดไหนก็ให้ไปยื่นขอใบอนุญาตที่จังหวัดนั้น ยกเว้นว่าผลิตภัณฑ์ยาบางชนิดจะมีเงื่อนไขพิเศษว่าต้องยื่นขออนุญาตจากส่วนกลางเท่านั้น

“แต่กรณีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจะมีเงื่อนไขที่ผ่อนปรนลงมา เพียงแค่ให้ผู้ประกอบการมาแสดงความจำนงเพื่อขอจดแจ้งขึ้นทะเบียนสินค้า โดยสามารถไปจดแจ้งที่จังหวัดก็ได้ และไม่มีระเบียบข้อบังคับว่าจะต้องมีการตรวจสถานที่ผลิต”

ประธานชมรมเภสัชชนบท อธิบายว่า ถึงแม้จะยังไม่มีกฎหมายควบคุมสถานที่ผลิตเครื่องสำอาง แต่ในแง่ปฏิบัติ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดก็สามารถไปตรวจสอบสถานที่ผลิตได้ แต่ทำได้เพียงตรวจสอบเพื่อให้คำแนะนำ ซึ่งจะเป็นการช่วยคัดกรองผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมได้ในระดับหนึ่ง

“ถ้าเป็นผู้ประกอบการที่โปร่งใส เขาย่อมไม่กลัวการตรวจสอบแน่นอน แต่ต้องยอมรับว่า เมื่อระบบการจดแจ้งยังมีช่องว่างอยู่ ผู้ประกอบการบางรายไม่อยากให้เจ้าหน้าที่มายุ่มย่ามกับสถานที่ผลิตของเขา เขาจึงหลีกเลี่ยงด้วยการไปจดแจ้งที่ส่วนกลาง

“เมื่อผู้ประกอบการไปขอจดแจ้งที่ส่วนกลาง และส่วนกลางไม่มีการตรวจทานให้ละเอียด ใครมาขอก็ให้หมด โดยที่ไม่รู้ว่าสถานที่ผลิตอยู่ตรงไหน ไม่มีแผนที่ ไม่มีแผนผัง กลายเป็นว่าผลิตภัณฑ์ที่ต้องการหาทางลัดก็สามารถไปขอจดแจ้งที่ส่วนกลางได้ง่ายๆ”

จากการสำรวจของทีมสาธารณสุขจังหวัด พบว่า บางจังหวัดมีผู้มาขอจดแจ้งเพียง 30 กว่าราย แต่เมื่อตรวจสอบรายชื่อจากฐานข้อมูลส่วนกลางกลับพบว่ามีผู้จดแจ้งขึ้นทะเบียนนับร้อยราย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ระดับจังหวัดไม่เคยรับทราบมาก่อน

หลังจากผู้ประกอบการได้รับการอนุญาตจดแจ้งแล้ว กระบวนการติดตามตรวจสอบยังถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในทางปฏิบัติ เพราะต้องใช้บุคลากรและทรัพยากรจากหลายฝ่ายในการลงพื้นที่ตรวจสอบ

“พอเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดจะขอเข้าไปตรวจสอบก็ทำได้ยาก เพราะไม่รู้ว่าสถานที่ตั้งของแหล่งผลิตอยู่ตรงไหน เราไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ที่รู้จักทุกตรอกซอกซอย ฉะนั้น ปัญหาเครื่องสำอางที่ไม่มีมาตรฐานก็เพราะว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์ไปจดแจ้งที่ส่วนกลาง โดยสาธารณสุขจังหวัดไม่ทราบแหล่งผลิต”

ภก.ภาณุโชติ เล่าเบื้องหลังความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอีกว่า ผู้ประกอบการบางรายพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเปิดเผยชื่อโรงงาน การจดแจ้งสถานที่ผลิตบางครั้งจึงไม่ตรงกับข้อมูลจริง หลายจังหวัดมีการตรวจสอบพบว่า สถานที่จดแจ้งเป็นแค่ตึกแถว ห้องเช่า หรืออาจไม่ใช่สถานที่ผลิตจริง

“ปัญหาเหล่านี้สาธารณสุขจังหวัดพยายามสะท้อนไปยังหน่วยงานส่วนกลางมาโดยตลอดว่า ระบบการจดแจ้งที่หละหลวม ไม่มีการคัดกรองอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะทำให้การติดตามตรวจสอบทำได้ยากแล้ว ยังทำให้ผู้บริโภคเกิดความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งปัญหาจากผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็สะท้อนถึงช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในระบบนี้ได้เป็นอย่างดี”

คืนข้อมูลให้ผู้บริโภค

เหตุผลที่ภาครัฐพยายามผ่อนปรนเงื่อนไขในการจดแจ้งผลิตภัณฑ์สุขภาพ ภก.ภาณุโชติ มองว่า ส่วนหนึ่งเนื่องจากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถดำเนินกิจการได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันเมื่อมีการให้อนุญาตจดแจ้งได้ง่ายแล้ว ภาครัฐควรต้องมีเครื่องมือในการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน

ประธานชมรมเภสัชชนบท เสนอว่า เมื่อผู้ประกอบการได้รับความสะดวกในการจดแจ้งที่ง่ายและรวดเร็วแล้ว ก็ควรต้องร่วมรับผิดชอบหากเกิดข้อผิดพลาดเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นการรับผิดชอบต่องบประมาณของรัฐ รับผิดชอบต่อบทลงโทษ และรับผิดชอบในการเก็บกวาดสินค้าที่ไม่ปลอดภัยออกจากท้องตลาด

“เมื่ออนุญาตได้ง่ายแล้วก็ต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความรับผิดชอบต่อสินค้าที่ตัวเองผลิต เช่น ถ้าขอจดแจ้งได้แล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามที่ขอ บทลงโทษจะต้องรุนแรง และเมื่อคุณผลิตสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานออกสู่ท้องตลาดแล้ว คุณก็ต้องมีหน้าที่ในการเก็บกวาดให้หมด แม้กระทั่งกรณีที่เจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างมาตรวจวิเคราะห์ ก็เป็นการเอางบประมาณแผ่นดินหรือภาษีประชาชนมาใช้ ฉะนั้น ถ้ามีกรณีผลิตภัณฑ์ต้องสงสัย เจ้าของหรือผู้ผลิตก็ควรเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ด้วย”

ในสถานการณ์ที่ผลิตภัณฑ์อันตรายแพร่กระจายออกสู่ท้องตลาด สินค้าที่ไม่น่าไว้วางใจมีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัด งบประมาณมีจำนวนจำกัด เขาเสนอไว้ว่า ควรต้องพัฒนาระบบติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่ประชาชนในฐานะผู้บริโภคเพื่อจะช่วยกันเป็นหูเป็นตาได้

“เครื่องมือการเฝ้าระวังที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งคือ ‘ข้อมูล’ ผู้บริโภคเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคก็ควรมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เขาใช้ เช่น โรงงานที่ผลิตสินค้านั้นอยู่ที่ไหน มีมาตรฐานการผลิตอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้จะปกปิดเป็นความลับทางธุรกิจไม่ได้ เพราะผู้บริโภคคือผู้แบกรับความเสี่ยง”

“ที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะอ้างว่า ข้อมูลผลิตภัณฑ์ถือเป็นความลับทางการค้า แต่ในความเป็นจริงคือ เมื่อใดก็ตามที่ผลิตภัณฑ์นั้นอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพของผู้บริโภค คุณจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” ภก.ภาณุโชติ กล่าว

 

มีเครื่องหมาย อย. ใช่ว่าปลอดภัย

สิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์มักใช้อ้างอยู่เสมอคือ สินค้านั้นมีเลข อย. การันตี ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ แต่โดยข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

“ผมอยากอธิบายให้เข้าใจระบบนี้ก่อน โดยทั่วไปเมื่อมีการขออนุญาตจดแจ้งและได้เลข อย. มาแล้ว หลังจากนั้นจะต้องมีกระบวนการติดตามตรวจสอบว่าทำตามมาตรฐานที่จดแจ้งไว้จริงไหม หรือโฆษณาถูกต้องหรือเปล่า ฉะนั้น การได้รับเครื่องหมาย อย. หมายความว่า ครั้งหนึ่งคุณเคยขออนุญาตถูกต้องตามขั้นตอนแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถรับประกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์

“การที่คนขายบอกว่า เขามีเลข อย. หรือได้รับอนุญาตจดแจ้งแล้ว ก็อย่าเพิ่งเชื่อเสียทีเดียวว่าจะปลอดภัยจริง เพราะผู้ประกอบการที่คิดไม่ซื่อก็อาจจะเอาเลข อย. อย่างอื่นมาสวมแทน อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไปเอาเลข อย. ของน้ำปลามาใช้ หรือบางทีขอเลข อย. สินค้าชนิดนี้แล้ว พอจะผลิตสินค้าชนิดใหม่ก็ไปเอาเลขเดิมมาใช้ เป็นต้น”

 

4 สงสัย 2 ส่งต่อ

จากการคลุกคลีอยู่กับปัญหาในพื้นที่มานาน ภก.ภาณุโชติ เสนอแนวทางการจัดการผลิตภัณฑ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของการถูกหลองลวง ด้วยเครื่องมือที่เรียกง่ายๆ ว่า ‘4 สงสัย 2 ส่งต่อ’ ได้แก่

หนึ่งสงสัย – ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีใบอนุญาตถูกต้องหรือไม่

สองสงสัย – ข้อความบนฉลากระบุชื่อผู้ผลิต สถานที่ผลิต ชัดเจนถูกต้องหรือไม่

สามสงสัย – ผลิตภัณฑ์ที่ว่านั้นโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงหรือไม่ เช่น ใช้แล้วน้ำหนักลดภายใน 3 วัน หรือหน้าขาวทันตาเห็น

สี่สงสัย – เมื่อใช้แล้วเกิดความผิดปกติกับร่างกายหรือไม่ เช่น จากคนอ้วนกลายเป็นคนผอมอย่างผิดสังเกต จากคนผิวเข้มกลับกลายเป็นคนผิวบางใส

ภก.ภาณุโชติ เชื่อว่า หากชู 4 ประเด็นนี้ให้คนเกิดความตระหนัก ประชาชนจะสามารถคัดกรองเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมหัศจรรย์อย่างที่โฆษณาจริงหรือ แต่สุดท้ายแล้ว ‘4 สงสัย’ ก็อาจยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาได้ จึงต้องมี ‘2 ส่งต่อ’ ได้แก่

หนึ่งส่งต่อ – แจ้งเบาะแสให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตรวจสอบ

สองส่งต่อ – ส่งต่อข้อมูลให้คนใกล้ชิดรอบข้าง ญาติสนิทมิตรสหาย หรือเครือข่ายในชุมชน เพื่อเตือนภัยผลิตภัณฑ์ต้องสงสัย ซึ่งถือเป็นช่องทางที่รวดเร็วและสามารถทำได้ทันทีก่อนที่จะมีเหยื่อรายใหม่

เครื่องมือ ‘4 สงสัย 2 ส่งต่อ’ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเกิดกลไกการเฝ้าระวังด้วยตนเอง และสามารถตรวจสอบสินค้าเบื้องต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน หน่วยงานส่วนกลางหรือหน่วยงานระดับจังหวัดจะต้องเชื่อมโยงฐานข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นระบบ และเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ

“ผมมักจะแนะนำชาวบ้านอยู่เสมอว่า ถ้าเราไม่รู้จักคนที่โฆษณาสินค้านั้นเป็นการส่วนตัวจริงๆ อย่าเพิ่งไปเชื่อเขา ผมเคยเจอบางเคสพบว่า เจ้าของเสียงโฆษณานั้นเสียชีวิตไปแล้ว 3 เดือน แต่เสียงของเขายังอยู่ ถ้าผลิตภัณฑ์พวกนี้ใช้แล้วดีจริง คนที่ออกมาโฆษณาแบบนั้นเขาต้องไม่เจ็บป่วย ต้องไม่เข้าโรงพยาบาล และถ้าผลิตภัณฑ์ดีจริงก็ต้องมีขายในโรงพยาบาล ไม่ใช่มาแอบขายกันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ สรุปง่ายๆ คือ ไม่มียามหัศจรรย์ ไม่มียาครอบจักรวาล ไม่มียาฮีโร่มาร์เวลที่สามารถช่วยได้ทุกอย่าง ฉะนั้น ผู้บริโภคต้องใช้วิจารณญาณ”  ภก.ภาณุโชติ กล่าว

ภายใต้โลกการค้าเสรีและการโฆษณาผ่านช่องทางสื่อสารออนไลน์ได้อย่างอิสระ ท่ามกลางระบบการควบคุมตรวจสอบที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มร้อย สิ่งหนึ่งที่จะทัดทานกระแสเหล่านี้ได้ก็คือ กลไกการเฝ้าระวังและการเตือนภัย เพื่อให้ผู้บริโภครู้เท่าทันและเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเอง ก่อนที่จะกลายเป็นเหยื่อรายใหม่ของผลิตภัณฑ์อันเป็นภัยคุกคามชีวิตและสุขภาพ


โฆษณาอาหารขยะทั้งหลายจงหายไปจากลอนดอน

จากคำพูดของเชฟคนดัง เจมี โอลิเวอร์ ที่กล่าวไว้ว่า ตอนนี้ลอนดอนมีเด็กอ้วนและน้ำหนักเกินมาตรฐานมากที่สุดในบรรดาเมืองใหญ่ทั่วโลก และใช่ ข้อเท็จจริงคือ ลอนดอนเป็นหนึ่งในเมืองที่มีเด็กเป็นโรคอ้วนและน้ำหนักเกินมาตรฐานที่สุดในยุโรป โดยเด็กในช่วงอายุ 10-11 ปีจำนวน 40 เปอร์เซ็นต์อยู่ในข่ายโรคอ้วน

เพื่อสู้รบปรบมือกับความอ้วน นายกเทศมนตรีลอนดอน ซาดิก ข่าน (Sadiq Khan) บอกว่าต้องการตอบโต้สิ่งที่เหมือนเป็น ‘ระเบิดเวลาโรคอ้วน’ ของเด็กๆ นั่นหมายถึงอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง (High Fat Sugar Salt: HFSS) ด้วยกลยุทธ์ใหม่ ‘โครงการแบนโฆษณาอาหารขยะ’ แนวคิดนี้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์อาหารของนายกเทศมนตรีลอนดอน ซึ่งเขาบอกว่ามันจะ “ช่วยลดอิทธิพลและพลัง (การโฆษณา) ที่จะผลักให้เด็กๆ และครอบครัวเลือกสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ”

ถ้าโครงการนี้ผ่านฉลุย บรรดาโฆษณาอาหารขยะทั้งหลายจะถูกนับเป็นอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และถูกแบนจากโฆษณาในระบบขนส่งทั้งหมดในลอนดอน (Transport for London: TfL) ทั้งรถไฟใต้ดิน/บนดิน รถบัส กระทั่งป้ายรถประจำทาง

“นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงเสนอให้แบนโฆษณาอาหารขยะจากอุโมงค์รถใต้ดินและรถบัสทั้งหมด”

โฆษกของสำนักนายกเทศมนตรีบอกว่าถ้าการแบนเริ่มต้น “ทุกคนจะได้รับผลของการแบนเท่าๆ กัน ไม่ว่าคุณจะเป็นเครือฟาสต์ฟู้ดใหญ่ที่สุดหรือแบรนด์เล็กๆ ก็ตาม” โดยผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้ต้องผ่านการตรวจประเมินด้านโภชนาการตามขั้นตอนของ Food Standards Agency

ข่านยังบอกอีกว่า “ผมตั้งใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อจัดการกับเรื่องนี้ด้วยอำนาจทั้งหมดที่มีและช่วยชาวลอนดอนให้ได้เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพของพวกเขาและครอบครัว”

อย่างไรก็ตาม โฆษกสมาคมการโฆษณา บอกว่าอังกฤษแบนการโฆษณาอาหารที่เข้าข่าย HFSS ในสื่อต่างๆ ที่เด็กอายุต่ำ 16 ปีจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์สามารถเข้าถึงได้ รวมถึงมีคำแนะนำว่า ภายในรัศมี 100 เมตรจากโรงเรียน ไม่ควรจะมีโฆษณาอาหารขยะอยู่แล้ว เขาจึงบอกว่า “จากประสบการณ์ของนานาชาติและงานวิจัยอิสระยืนยันว่าการแบนโฆษณาส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนน้อยมาก”

อ้างอิงข้อมูลจาก:
bbc.co.uk

อิน-จัน แฝดสยามคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ

ตามประกาศ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย) เรื่อง การตรวจพิสูจน์อาหาร หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อหนึ่ง ที่พบว่าใส่สารที่ปัจจุบันได้ถูกเพิกถอนทะเบียนไปจากประเทศไทย คือ ไซบูทรามีน โดยระบุว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าว มีสิ่งที่น่าจะเป็นอันตรายเจือปนอยู่ด้วย พร้อมทั้ง ระบุว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีกำลังดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิด นั้น ถือได้ว่าเป็นการแสดงบทบาทคุ้มครองผู้บริโภคที่ควรแก่การชื่นชม

หน่วยงานที่พิสูจน์การเจือปน หรือ การใส่สารอันตรายของผู้ประกอบการ คือ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีอยู่ในภูมิภาคต่างๆ สังกัดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้ง ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ด้วย

ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อการดำเนินคดี ในขั้นของการกล่าวหา ต้นเรื่องจะไปจาก เภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภค ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ซึ่งเป็น ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม สาขาการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเป็นกำลังสำคัญ ที่เชื่อมโยงงานกับ อย ในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ

หาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รวมทั้ง ศูนย์วิทย์ ฯ ทั่วประเทศ สำนักงานอาหารและยา (อย) และ เภสัชกร สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทุกจังหวัด ทำหน้าที่ร่วมกันเป็นเสาหลัก คุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ จะทำให้ปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย ลดน้อยถอยลงไปอย่างเห็นผล

กรณี ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เสริมอาหารผสมยาแผนปัจจุบัน ไซบรูทามีน และมีผู้เสียขีวิต จากการกินอาหารเสริมชนิดนั้น ก็ไม่ต่างกับการทำร้ายร่างกายและชีวิตของผู้บริโภค เพราะผู้ขาย ย่อมต้องทราบดีว่า
สารดังกล่าวเป็นอันตราย เนื่องจากต้องลักลอบซื้อสารดังกล่าวซึ่งการซื้อขายเป็นการละเมิดกฎหมาย มีโทษอาญา ทั้งปรับและจำคุก

หากกล่าวว่าไม่รู้และสามารถสืบย้อนไปจนต้นทางได้ ก็จะพบ ผู้ขายสารดังกล่าวที่เป็นต้นตอของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่ง ควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นต้นทางการขายอาหารเสริมลดความอ้วนที่กระจายตัวอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

เครื่องมือที่จะทำให้ การดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคมีประสิทธิภาพ อันหนึ่งก็คือ การประกาศผลการตรวจวิเคราะห์ของกรมวิทย์ หรือ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ทั่วประเทศที่หากทำได้รวดเร็ว จะสามารถทำให้ อย นำมาประกาศดำเนินการต่อ โดยความร่วมมือของหน่วยงานทั้งหมดที่กล่าวถึง

ในหน้าต่างเตือนภัย ซึ่งเป็น เว็บไซต์ของ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หากได้เข้าไปดู จะพบ อาหารเสริม จำนวนมากที่ผสมไซบรูทามีน มีรูป ยี่ห้อ และ รายละเอียดของผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด

เป็นไปได้หรือไม่ ที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จะเป็น “แฝดสยาม ประดุจ อิน-จัน ” ทำหน้าที่เขิงรุก นำข้อมูลจากหน้าต่างเตือนภัยดังกล่าวมาจัดการดำเนินการเข่นเดียวกับ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวโดย อย เร่งรัดขั้นตอนและกระบวนการ ประกาศแจ้งเตือนภัย และ ดำเนินคดี เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคเกิดผลโดยเร็ว ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารไซบรูทามีนทั้งหมด จะต้องถูกดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับ ผลิตภัณฑ์ที่กล่าวถึง

หากทำได้ โดยเริ่มจาก ไซบรูทามีน ที่เอามาใช้ลดความอ้วนโดยผู้ประกอบการไม่คำนึงถึงอันตรายต่อชีวิตของผู้บริโภค ก็จะสามารถดำเนินการได้กับ อาหารเสริมที่อ้างว่าปลุกนกเขาให้ขัน ทีมีการผสมยาอันตราย สมุนไพรแก้ปวดผสมเสตียรอยด์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ ผสมสารอันตราย และ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจพบ

ถือได้ว่า ทั้ง อย และ กรมวิทย์ฯ เป็นองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐที่ร่วมมือกันทำหน้าที่โดยสมบูรณ์ โดยมี เภสัชกรสาธารณสุขจังหวัด หรือ เภสัชกรคุ้มครองผู้บริโภคเป็น หน้าด่านปราการสำคัญ ที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัย และ บังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิด อย่างเต็มกำลัง

วิทยา กุลสมบูรณ์
มูลนิธิเภสัชชนบท
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑

การตั้งข้อหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพเกินจริง เพื่อให้การลงโทษมีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ (No Deterrent Effect)

การโฆษณาอาหารเสริม เครื่องสำอาง ที่โอ้อวดเกินจริง อย่างกว้างขวาง จนทำให้เกิดภัยต่อประชาชนทั้งอันตรายต่อสุขภาพและการหลอกลวง ส่วนหนึ่งมาจากการพิจารณาตั้งข้อหากล่าวโทษที่ไม่สมกับการก่อเหตุ

การจงใจโฆษณาที่ปรากฎอยู่ ไม่ใช่ประมาทเลินเล่อ แต่เป็นการจงใจกระทำความผิด เพื่อผลประโยชน์การ
กล่าวหาเพียงการไม่มาขออนุญาตจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

การตั้งข้อหาการโฆษณา โอ้อวดเกินจริง ในทางกฎหมาย ตาม พรบ อาหาร ๒๕๒๒ จำเป็นต้อง ใช้ฐานคดี ตามมาตรา ๔๐ ที่ห้ามการโฆษณา เป็นเท็จ หลอกลวง

ปัจจุบัน ผู้บังคับใช้กฎหมาย มักเลือก ที่จะใช้ มาตรา ๔๑ ซึ่งระบุเพียง การไม่ขออนุญาตโฆษณา บทลงโทษ ของ มาตรา ๔๑ (ตามมาตรา ๗๑) มีเพียงการปรับ ไม่เกิน ห้าพันบาท ซึ่งน้อยมาก จึง ไม่มี ) ผลต่อพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุ (No Deterrent Effect)

 

แต่หาก การลงโทษ มาใช้ มาตรา ๔๐ บทลงโทษ ซึ่งอยู่ในมาตรา ๗๐ จะเป็น โทษจำคุก สามปี และ ปรับสามหมื่นบาท ดังนั้น เมื่อมีหลักฐานว่า โฆษณาโอ้อวดเกินจริงที่ชัดเจนแล้ว ก็ต้องดำเนินการ ตามมาตรา ๔๐ ที่ห้ามการโฆษณา เป็นเท็จ หลอกลวง ซึ่งบทลงโทษสมแก่เหตุมากกว่า

อย่างไรก็ตาม กรอบการพิจารณา การโอ้อวด เกินจริง จำเป็นต้องมีการกำหนดให้ชัดเจน เช่น โฆษณาว่ากินแล้วอกฟู รูฟิต ทำได้หรือไม่ เป็นต้น

การกำหนดกรอบต้องลดทอนการใข้ดุลยพินิจให้มากที่สุด ทำให้ประชาชน ผู้บริโภครับทราบ เพื่อเป็นกลไกกำกับตรวจสอบร่วมกับรัฐ และ ให้ผู้ประกอบการยอมรับเป็นบรรทัดฐาน ทั้งนี้ ควรมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ศึกษาและจัดทำข้อความที่แสดงการโอ้อวด เกินจริง ให้เป็นปัจจุบัน และนำมาประกาศเป็นเกณฑ์พิจารณา

วิทยา กุลสมบูรณ์
มูลนิธิเภสัชชนบท
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑

ขอบคุณข่าวและภาพ จาก กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพะเยา

4 สารต้องห้ามในเครื่องสำอาง

ภาพประกอบ: antizeptic


เครื่องสำอางปลอมปรากฏเป็นข่าวหลายครั้ง สารเคมีที่นำมาเป็นส่วนประกอบหนึ่งของเครื่องสำอางเป็นสารต้องห้ามในหลายประเทศ แต่ก็ยังมีเครื่องสำอางจำนวนไม่น้อยที่ฝ่าฝืนมาตรการควบคุม สำหรับประเทศไทย อาจไม่มี อย. หรือใช้ อย. ปลอม นั่นเท่ากับว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นไม่มีใครรับรองความปลอดภัยและอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้นั่นเอง

และถ้าไม่อยากให้ความขาว ไร้สิว ไร้ริ้วรอย แทนที่ด้วยรอยด่างไหม้ ห้ามใส่สารเหล่านี้ลงในเครื่องสำอาง!

ปรอท (Mercury)
ผิวขาว ไร้สิว ไร้ริ้วรอย

ความเข้มข้นของสารเคมีที่ทำให้หน้าขาวทันใจ ต้องมีส่วนประกอบของสารปรอทไม่เกิน 1 ในล้านส่วน (1 ppm) แต่ความเข้มข้นระดับนี้จะไม่มีผลทำให้สีผิวจางลง เครื่องสำอางบางชนิดจึงพยายามใช้สารปรอทในปริมาณมากกว่าที่กำหนด

กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้ปรอทเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางตั้งแต่ พ.ศ. 2532 เพราะมีผลต่อการทำงานของตับ ไต เกิดโรคโลหิตจาง เฉพาะผิวหน้าที่ได้รับปรอทมากๆ จะทำให้ผิวหนังอ่อนแอ แพ้ง่าย ไวต่อรังสีอัลตราไวโอเลต

อ้างอิงข้อมูลจาก: mahidol.ac.th

ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)
ใช้กำจัดสิว ฝ้า รอยกระให้ขาวขึ้น

ไฮโดรควิโนนจัดเป็นยาอันตรายที่มีแนวโน้มทำให้เกิดภาวะผิวหนังอักเสบ ถูกเพิกถอนจากการใช้เป็น ‘ยา’ ในบางประเทศแถบยุโรป แต่ประเทศไทยยังพบไฮโดรควิโนนในรูปแบบครีมและเจล ใช้สำหรับลดริ้วรอย ฝ้า และขี้แมลงวัน

อย่างไรก็ตาม ไฮโดรควิโนนยังถูกใช้เป็นยาเพื่อรักษาผิวหน้าจริง แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์

อ้างอิงข้อมูลจาก: haamor.com


สเตียรอยด์ (Steroid)

ทำให้หน้าขาวใส

ปกติแล้วสเตียรอยด์ถูกผลิตออกมาเองตามธรรมชาติจากต่อมหมวกไต ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนสำคัญในร่างกายอีกหลายชนิด เช่น อะดรีนาลีน วงการแพทย์นำสเตียรอยด์มาใช้รักษาอาการเจ็บป่วย และกลุ่มยาเสริมความงาม เป็นทั้งยาฉีด กิน หรือยาทาภายนอก

แม้สเตียรอยด์จะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ออกฤทธิ์ค่อนข้างรุนแรง เฉพาะผลข้างเคียงในเครื่องสำอาง ทำให้ผดผื่นขึ้นง่าย ผิวหน้าบาง ทำให้มลภาวะสารพิษจากภายนอกเข้าสู่ชั้นผิวหนังแท้ได้ง่ายขึ้น เห็นเส้นเลือดแดงตามใบหน้าชัดขึ้น

อ้างอิงข้อมูลจาก: pobpad.com


กรดเรติโนอิก (Retinoic acid)

รักษาสิว รอยด่างดำบนผิวหนัง ช่วยให้ผิวหนังผลัดเซลล์ใหม่

กรดเรติโนอิก (All-Trans-Retinoic acid) ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติของไทย และระบุเป็นยาที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันชนิดเอ็ม 3 (Acute promyelocytic leukemia) และมีการนำมาผลิตในรูปแบบยาใช้ภายนอกทารักษาสิว ช่วยให้ผิวหนังผลัดเซลล์ใหม่ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น

อ้างอิงข้อมูลจาก: haamor.com/th


ที่มา https://waymagazine.org/4_forbidden_chemical/

 

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผย ผลิตภัณฑ์กระชับช่องคลอด อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ใช้แล้วอาจก่อให้เกิดมะเร็ง

ภาพจาก http://www3.dmsc.moph.go.th/post-view/342


กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างเกินจริงว่าใช้ทากระชับช่องคลอด เพราะนอกจากจะไม่มีสรรพคุณตามที่กล่าวอ้าง ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้ มีบาดแผลที่ปากมดลูก ทำให้มีโอกาสที่เซลล์จะกลายเป็นเซลล์มะเร็งในอนาคต

นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์กระชับช่องคลอดหรือยากวาด ช่องคลอด ซึ่งจำหน่ายกันมากในสื่อออนไลน์ มักจะมีการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น  ทำให้ฟิต หรือกระชับ จำหน่ายในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือยาแผนโบราณ อาจแจ้งส่วนประกอบเป็นสมุนไพรซึ่งเป็นเท็จ เพื่อให้เข้าใจว่าสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยไม่มีผลข้างเคียง ซึ่งรูปแบบที่พบได้แก่ ชนิดผง เม็ด ใช้เหน็บหรือกวาดช่องคลอด เจลและครีม ใช้ทาบริเวณช่องคลอด

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อไปอีกว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับตัวอย่างผลิตภัณฑ์ยากวาดช่องคลอดมาตรวจ  มีลักษณะเป็นผงสีน้ำตาล แจ้งส่วนประกอบสำคัญคือ ว่านชักมดลูก ขมิ้นอ้อย ต้นธูปดำ รางจืด เปลือกทับทิม และตัวยาอื่นๆ โดยมีขายทางอินเตอร์เน็ต ผลการตรวจวิเคราะห์พบสารสำคัญในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว 3 ชนิด ได้แก่ โยฮิมบี (Yohimbine) , วินคามีน (Vincamine) และ อะรีโคลีน (Arecoline) แต่ไม่พบสารสำคัญตามที่แจ้งแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังพบว่าตัวอย่างที่ได้รับมีความเป็นกรดสูงมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง

สำหรับ โยฮิมบี (Yohimbine) เป็นสารสกัดจากเปลือกไม้โยฮิมบี เป็นพืชพื้นเมืองที่มีถิ่นฐานในประเทศไนจีเรีย และแคมเมอรูน กล่าวอ้างว่าใช้เพื่อเพิ่มอารมณ์ทางเพศ จัดอยู่ในผลิตภัณฑ์อันตราย องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาและในสหภาพยุโรป (EU) ได้บรรจุโยฮิมบีอยู่ในบัญชีรายชื่อส่วนประกอบที่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสหภาพยุโรป ตั้งแต่ปี 2558 เนื่องจากไม่สามารถลงความเห็น ได้ว่า โยฮิมบี มีความปลอดภัยเมื่อนำมาใช้เป็นส่วนประกอบอาหาร รวมถึงมีอาการ อันไม่พึงประสงค์ เช่น เหงื่อออก คลื่นไส้ อาเจียน กระสับกระส่าย ความดันโลหิตสูง หากได้รับในปริมาณมากและระยะเวลานาน อาจทำให้หัวใจวาย ไตวาย และเสียชีวิตได้ วินคามีน (Vincamine) เป็นสารอัลคาลอยด์จากพืช ชื่อ Vinca minor L มีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัว อาจเพิ่มความรู้สึกทางเพศเมื่อใช้ทาภายนอกในเพศหญิง มีผลข้างเคียงทำให้ความดันโลหิตต่ำ และไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคตับและโรคหัวใจ อะรีโคลีน (Arecoline) เป็น   สารอัลคาลอยด์จากต้นหมาก สามารถกระตุ้นระบบประสาท ทำให้ร่างกายตื่นตัว มีโครงสร้างคล้ายกับสารนิโครตินถ้าใช้ในปริมาณสูงมากๆ จะขับประจำเดือนและอาจทำให้แท้งบุตรได้ ผลข้างเคียง คือ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ตาพร่า เหงื่อออกมาก กระสับกระส่าย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

“อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของช่องคลอดนั้น มีความยืดหยุ่นเป็นปกติอยู่แล้ว ปัญหาการไม่ฟิต ไม่กระชับในผู้หญิง ที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แม่หลังคลอด หรือผู้สูงอายุที่มีปัญหากลั้นปัสสาวะไม่ได้ เมื่อไอ จาม มดลูกหย่อนเมื่อเข้าวัยชรา สามารถบริหารกล้ามเนื้อบริเวณนั้นให้ฟิตกระชับได้ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้บริเวณช่องคลอด เพราะไม่ได้สรรพคุณ ตามที่กล่าวอ้างจริง อาจทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง เกิดเป็นแผลพุพอง แสบคัน และอาจเกิดแผลที่ปากมดลูก ซึ่งมีโอกาสที่เซลล์จะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ในอนาคต” นายแพทย์สุขุม กล่าว

ข่าวต้นฉบับ http://www3.dmsc.moph.go.th/post-view/342